๑
ชีวิตที่ไร้ซึ่งความหมาย
ปังๆๆๆ
ตู้ม!!!
เสียงปืนดังขึ้นก่อนระเบิดกัมปนาทจะส่งกระแสเสียงอันโหดร้ายและอำนาจทำลายล้างเข้าครอบงำทั่วพื้นที่
เพล้ง!
ข้าวของหล่นกระแทกพื้นแตกกระจายด้านนอกพื้นที่ตั้งกระโจมแพทย์อาสา 'แพทย์รักษ์ด้วยภักดี' โครงการคนละไม้ใจเดียวกันเพื่อเพื่อนพ้องร่วมลมหายใจ อันเกิดขึ้นจากการก้มมองเพื่อนมนุษย์ผู้ห่างไกลความเจริญด้วยหัวใจดวงเล็กๆ ของคณะแพทย์และพยาบาลที่อยากทดแทนคุณแผ่นดินด้วยการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
“ปะทะแล้ว เตรียมตัวกันให้พร้อม เดี๋ยวนี้!”
เสียงคำรามตามติดมาฉุดกระชากร่างกายอ่อนเปลี้ยของคนบางคนที่ยังหลับลึกจนเสียงกัมปนาทเมื่อครู่ทำอะไรไม่ได้ ให้สะดุ้งตื่นจากฝัน
“รวมตัวภายในห้านาที ห้านาที!”
หากเมื่อครู่ถูกกระชากจากฝัน คำรามคำรบนี้ก็หมายถึงการกระชากวิญญาณที่หลุดหายให้สิงสถิตสู่ความกระหายอยากในการรักษาผู้บาดเจ็บที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า
“ห้องผ่าตัดเตรียมให้พร้อม เลือดสำรอง น้ำเกลือ พร้อมยัง!”
ครานี้เสียงคำรามส่งผ่านมาทางฝั่งกระโจมพักพยาบาลอาสาทั้งหลายที่แลเห็นเงาตะคุ่มๆ จากการดีดตัวขึ้นลนลานวิ่งออกมาทำหน้าที่อย่างฉุกละหุก
“พร้อม พร้อม พร้อมยัง!”
ถ้ายังไม่มีใครขานรับ ระเบิดจะลงอีกลูกที่ฝั่งกระโจมพักพยาบาลเป็นแน่แท้
“พร้อมค่ะ!”
กานมณี จีรติกุล พยาบาลวิชาชีพสาวผู้ผันตัวเองจากโลกอันศิวิไลซ์สู่ดินแดนห่างไกลนี้ถาวร วิ่งพ้นปากกระโจมออกมาเป็นคนแรก ขานรับอย่างมั่นใจ แม้จะยังไม่ก้าวไปถึงกระโจมแพทย์เคลื่อนที่ที่ตั้งขึ้นเพื่อรองรับสถานการณ์วิกฤติอันคาดคิดไว้อยู่แล้วว่าต้องเกิดขึ้น
ในสถานการณ์คับขัน สิ่งที่ผู้นำต้องการคือการกระตือรือร้นในการปฏิบัติหน้าที่ ความฮึกเหิมที่ไม่หวั่นเกรงกับสภาวะอันน่ากลัว เสมือนนำชีวิตตนเองมาแขวนไว้บนเส้นด้ายที่พลิ้วไหวเฉียดใกล้คมมีดอันคมกริบอยู่ตลอดเวลา
“มีรายงานเข้ามาว่าคนเจ็บมีราวๆ ยี่สิบคน สามในยี่สิบอาการสาหัสและมีแนวโน้มสูงลิ่วว่าพวกตาลูลา[1] ของจอเลอทูจะตามมาจนถึงที่นี่ ทุกนาทีชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับเรา เราต้องพร้อม เราต้องใช้ทุกนาทีอย่างคุ้มค่าที่สุด อย่าได้กลัว เรามีทหารคอยปกป้อง ทหารจะคอยอารักขาเราทุกฝีก้าว ได้ยินไหม!”
เสียงคำรามยังปลุกระดมความฮึกเหิมที่จะช่วยคนเจ็บของทุกจิตอาสาในซอกหลืบหัวใจ เค้นออกมาทุกหยาดหยดเพื่อผู้บาดเจ็บที่กำลังจะมาถึงพร้อมกับอันตรายร้ายแรงเกินคาดถึง
“ได้ยินค่ะ”
กานมณีวิ่งมาถึงกระโจมแพทย์เคลื่อนที่เป็นคนที่สาม รีบเข้าไปประจำในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบอย่างไม่เสียเวลามองหน้าคนที่มาถึงก่อนว่าใครเป็นใคร
“ยืนทำบ้าอะไรอยู่ตรงนั้น มาแล้วก็รีบมาช่วยพี่นับผ้าก๊อซอีกรอบสิ!”
กานมณีคำรามเสียงแหลมแข่งกับเสียงคำรามด้านนอก เมื่อพยาบาลสาวรุ่นน้องที่วิ่งไล่กันติดๆ ยืนใบ้กิน แข้งขาสั่น ใบหน้าซีดขาวราวกับกลายเป็นซากศพไปเสียแล้ว เพราะเสียงกัมปนาทนั่นอยู่ห่างออกไปไม่ถึงยี่สิบกิโลเมตร
จามิกร เป็นพยาบาลที่เพิ่งเข้าร่วมทีมรุ่นล่าสุด อายุเพียงยี่สิบหกปี ประสบการณ์ด้านค่ายอาสายังน้อย อาศัยจิตอาสาอันแรงกล้าทำให้เข้าทีมมาได้ แต่นาทีนี้เหมือนความแรงกล้านั้นจะถูกสาดด้วยน้ำเย็นเจี๊ยบกะละมังใหญ่ให้มอดดับไปเรียบร้อยแล้ว
กานมณีเข้ามาร่วมทีมมาแล้วสามปี เธอเข้ามาที่นี่ด้วยความเต็มใจ แต่ไม่ใช่จิตอาสาอันแรงกล้าเช่นคนอื่น เธอคือคนที่ไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตอีกต่อไป สิ่งที่คิด สิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจขาดสะบั้นไม่เหลือชิ้นดี นำมาซึ่งชีวิตที่ไร้ความหมาย เธอจึงยินดีอุทิศชีวิตที่เหลือนี้เพื่อช่วยเหลือคนอื่น หวังเพียงว่าสิ่งที่ทำไปจะชำระความผิดบาปที่เคยกระทำให้เบาบางลงได้บ้าง และสักวันอาจจะทำให้ชีวิตของเธอพบจุดมุ่งหมายในชีวิตอีกครั้ง
เธอจึงไม่กลัวใคร ไม่เกรงใจใคร ไม่สนสีหน้าใคร สิ่งที่ทำ สิ่งที่พูด ขอเพียงคิดว่าถูกก็ไม่รั้งรอทั้งสิ้น
“ถ้าไม่ไหวก็ไสหัวกลับบ้านไปซะ!”
กานมณีตวาดไปสุดเสียงเมื่ออีกฝ่ายยังเอาแต่สั่น ร่างแบบบางอย่างคนได้รับการทะนุถนอมมาไม่น้อยจึงได้สติ
“รับทราบค่ะ”
“ดี!”
กานมณีไม่เสียเวลาสนใจอีกฝ่ายอีก หันหลังทันทีที่อีกฝ่ายวิ่งเข้ามาสานต่องานในมือของตน และคว้าห่อเครื่องมือซึ่งถูกห่อไว้อย่างดีด้วยผ้าสีเขียววางลงบนโต๊ะ
เนื่องจากเป็นกระโจมผ่าตัดเคลื่อนที่จึงไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น เตียงปรับระดับ โต๊ะเคลื่อนที่ที่สามารถขยับลากไปซ้ายขวาตามแต่สะดวก มีเพียงโต๊ะทื่อๆ ตัวหนึ่งที่ยึดไว้กับดินให้แข็งแรงพอจะรับแรงสั่นสะเทือนจากอานุภาพของระเบิดในระยะหนึ่งถึงสองกิโลเมตรได้
อุปกรณ์ถูกจัดวางไว้ครบถ้วน รถลำเลียงผู้บาดเจ็บก็เคลื่อนเข้ามาจอดลงด้านนอกกระโจม เหตุที่เร็วขนาดนี้แสดงให้เห็นว่ารถที่มาแทบจะเหาะฝ่าถนนอันขรุขระยิ่งกว่าภูเขาลูกเล็กๆ ที่วางต่อกันลูกแล้วลูกเล่า และคนที่อยู่บนรถคันนั้นต้องเป็นคนสำคัญ!
‘ตาลูลา’ เป็นชนเผ่าแถบชายแดนที่ปกครองตนเองในนามของรัฐตาลูลา อันมีจ่อป่า[2] เป็นผู้นำและสืบทอดการปกครองมายาวนานถึงแปดสิบปี จ่อป่าคนปัจจุบันมีชื่อว่าเลอป่อย ผู้ต้องการสานต่อปณิธานอันยิ่งใหญ่ของจ่อป่าคนก่อน ผู้รวบรวมพี่น้องชาวตาลูลาที่ถูกทารุณกรรมจากสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อตั้งเป็นรัฐตาลูลาต่อสู้กับรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้านทั้งสี่ทิศ เพื่อรักษาดินแดนเล็กๆ นี้ให้เป็นเอกราช สามารถปกครองตนเองได้โดยไม่มีการย่ำยีจากชาติที่เหนือกว่า
แต่เนื่องจากดินแดนของพวกเขาอุดมสมบูรณ์ และยังเต็มไปด้วยแร่ธาตุใต้ดินหลายชนิด จึงไม่ง่ายที่จะรักษาเอกราชโดยไม่ถูกรุกรานจากชนชาติที่เรียกตนเองว่าผู้หวังดี ที่จะนำพาความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรืองเข้ามาให้
ทายาทลำดับสองของจ่อป่าที่ไม่ได้รับตำแหน่งผู้สืบทอด จึงได้รับเงื่อนไขจากทางการประเทศหนึ่งที่หวังจะครอบครองผืนดินเล็กๆ แต่เปี่ยมไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติแห่งนี้ ช่วยเขายึดครองอำนาจและตั้งตนเป็นจ่อปาคนต่อไป ผู้สืบทอดซึ่งไม่อาจดูดายให้ประชาชนต้องทนทุกข์กับการก่อกบฏจึงขอความช่วยเหลือจากไทยเพื่อปกปักรักษาแผ่นดินเกิดของตน ทีมแพทย์อาสาจึงจัดตั้งชุดปฏิบัติการฉุกเฉินขึ้นมาเพื่อรองรับสถานการณ์วิกฤตินี้ ทุกนาทีคือความตาย เข้ามาแล้วอาจกลับไปพร้อมลมหายใจที่หลุดลอย ทุกชีวิตต้องพร้อมพลีชีพอย่างไม่เสียดาย
ชีวิต มีอยู่จริง
ลมหายใจ มีอยู่จริง
ความรัก มีอยู่จริง
ความคาดหวัง ไม่มีอยู่จริงอีกแล้ว
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกอีกไหม คงไม่อาจได้เห็นอีก
กานมณีวิ่งออกไปเปิดปากกระโจมพร้อมกับจามิกรพยาบาลรุ่นน้อง เสียงแพทย์ผู้ประเมินอาการดังขึ้น
“ไร้สัญญาณชีพ เตรียมซีพีอาร์!”
ร่างโชกไปด้วยเลือดถูกยกเข้ามาโดยทหารชุดสีน้ำตาลเข้มสี่คนอย่างระมัดระวังที่สุด ถึงจะไม่เคยเห็นหน้าผู้สืบทอดของตาลูลามาก่อน แต่สัญลักษณ์นกอินทรีสีน้ำเงินเข้มที่ปีกข้างหนึ่งถูกเลือดแทรกซึมเข้ามายึดครองไปกว่าครึ่งบนกึ่งกลางของหมวก อันเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวผู้สืบทอดก็ยืนยันได้ชัดเจนว่าไม่ผิดคน
“ตาเนซา[3] ถูกยิงที่ศีรษะ กระผมขอร้องท่านหมอ โปรดช่วยเหลือด้วย ได้โปรดช่วยเหลือตาเนซาด้วย”
ผู้ติดตามร่างสูงเกือบสองเมตรกระแทกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นเพื่อขอความช่วยเหลืออย่างไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรี ใบหน้าของเขาดำคล้ำ หน้าผากแตกเป็นทางยาวเฉียงเป็นรอยบากอันใหญ่ เลือดสีสดไหลลงจนชุ่มหัวไหล่ด้านขวา กระนั้นในดวงตาคู่คมก็ไม่แสดงความเจ็บปวดออกมาแม้แต่น้อย นอกจากสายตาวิงวอน
“ซีพีอาร์!” นายแพทย์วัยห้าสิบคำรามก้อง ไม่สนใจคนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นมากไปกว่าเส้นชีวิตที่ก้าวขาข้างหนึ่งเหยียบเข้าประตูยมโลกแล้วของคนบนเตียง เจ้าเหนือชีวิตของมัน
ขืนเขายังเอาแต่รับการคำนับ นายมันได้ตายแน่!
แพทย์วิ่งตามเข้าไปในกระโจม กานมณีมองผู้ติดตามเพียงแวบเดียวก็ถลาตามเข้าไปสมทบด้านใน...
ทุกคนที่มาที่นี่ไม่กลัวตาย อาจจะเรียกได้ว่าอยากจะวิ่งเข้าหาความตายด้วยซ้ำ เพราะต่างก็เป็นคนที่ไร้เป้าหมายในการดำรงชีวิตแล้วทั้งสิ้น
ผู้ผ่านโลกมาจนพอเพียงแล้ว
ผู้ไร้ห่วง พ่อแม่ ลูก ภรรยา สามี
ผู้พบความเจ็บปวดจนชาชิน
เธอคือจำพวกสาม แต่นายแพทย์วัยห้าสิบคือจำพวกแรกบวกจำพวกสอง และแน่นอนว่ามีหนึ่งสองก็จะแกล้มด้วยสามอัตโนมัติ จึงไม่แปลกที่นิสัยจะไม่สนโลก ไม่มองดวงอาทิตย์เช่นนี้
ไอดอล!
“๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ...๓๐ เปลี่ยน!”
เสียงแพทย์ตะโกนลั่นพร้อมกับผละออกให้อีกคนเข้าไปเปลี่ยนตำแหน่งซีพีอาร์แบบวินาทีต่อวินาที เลือดบนศีรษะไหลเรื่อยๆ อย่างไม่มีใครสนใจ นอกจากพยาบาลคนหนึ่งที่กดเอาไว้แน่นๆ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ผ้าในมือกลายเป็นสีแดงในเวลาอันรวดเร็ว เพราะหากหัวใจยังไม่กลับมาเต้น ต่อให้เลือดหยุดไหล ผู้สืบทอดของตาลูลาคนนี้ก็ต้องตายอยู่ดี
“วัดสัญญาณชีพ”
เนื่องจากไฟฟ้าไม่เพียงพอจึงไม่มีเครื่องมือ ต้องใช้ทักษะของแพทย์เป็นตัววัดสัญญาณชีพ ด้วยการคลำหาชีพจร...
“๒๕ ๒๖ ๒๗ ๒๘ ๒๙ ๓๐”
สามนิ้วกดลงบนลำคอเมื่อจบรอบการปั๊มหัวใจ พร้อมกับร่างสูงโยนตัวลงพื้นผลัดให้คนอื่นขึ้นไปทำหน้าที่เตรียมปั๊มต่อหากปลายนิ้วของตนยังไม่รับรู้ถึงสัญญาณชีพ
“ไม่มา ซีพีอาร์” เขาตะโกนมันออกไป
คนใหม่ที่เตรียมพร้อมรออยู่แล้ว วางส้นมือซ้ายตรงกึ่งกลางหน้าอกระหว่างราวนมและซ้อนทับด้วยมือขวา เหยียดแขนตรงทั้งสองข้างตั้งฉากกับทรวงอกประมาณเก้าสิบองศา โน้มตัวไปข้างหน้าแล้วกดให้น้ำหนักทิ้งลงไปที่มือ ด้วยความลึกประมาณห้าถึงหกเซนติเมตร ในอัตราความเร็วหนึ่งร้อยถึงหนึ่งร้อยยี่สิบครั้งต่อนาที
“จะมาไหมคะ” จามิกรบีบมือตนเองจนเสียงก๊อกดังขึ้นเบาๆ เงยหน้าขึ้นมองรุ่นพี่พยาบาลที่หน้านิ่งจนกลัวว่าอาจจะเปลี่ยนเป็นมัจจุราชพรากลมหายใจของคนเจ็บบนเตียงไปเสียเอง เธอเพิ่งเข้าร่วมกับทีมแพทย์อาสาได้สามเดือน และเพิ่งเข้ามาที่หน่วยแพทย์เคลื่อนที่นี้ได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น คนไข้วิกฤติท่ามกลางเสียงปืนเสียงระเบิดที่เพิ่งเคยเผชิญครั้งแรก อดีตพยาบาลหน่วยตรวจกุมารเวชกรรมยังไม่อาจทำใจให้คุ้นชินได้ แม้ในหัวใจจะพร้อมทุ่มเทเพื่อคนเจ็บมากเท่าไรก็ตาม
“มา” กานมณีตอบพยาบาลรุ่นน้องอย่างมั่นใจ หลายคนไม่เชื่อในปาฏิหาริย์แต่เธอเชื่อ เพราะเธอเองเคยเผชิญกับคำคำนี้มาแล้วด้วยตนเอง ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อหัวใจดวงนั้นไม่ยอมตาย เขาต้องสู้กับมัจจุราชขาดใจจนใบหน้าเหี้ยมเกรียมยิ่งกว่าถึงจะหลุดมาได้
ผู้สืบทอดเป็นเช่นนั้น คนคนนี้ไม่ตายอยู่ตรงนี้แน่ๆ
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังขึ้นอีก ผู้ติดตามทั้งห้าหันไปยังทิศทางอันเกิดเสียงอย่างฉับพลันพร้อมเพรียง แต่ทีมแพทย์ยังนิ่งกับการซีพีอาร์ ไม่มีใครสนใจเสียงกัมปนาทนั้นแม้แต่คนเดียว
“ผู้บาดเจ็บมาอีกชุดแล้ว มีเด็กด้วย!” เสียงจากภายนอกแทรกเสียงระเบิดเข้ามา...
เด็ก!
กานมณีกำมือจนแน่น เมื่อคำคำนั้นทำให้หัวใจไร้ความรู้สึกของเธอสั่นไหว
“มา มาแล้ว!”
เสียงตะโกนอย่างยินดีฉุดกระชากกานมณีออกมาจากภาพหลุมดำตรงหน้า ก็แค่ฝันตื่นหนึ่ง ฝันที่เหมือนตกนรกทั้งเป็น ฝันที่ย้ำเตือนให้เธอรู้ว่าตัวเองนั้นเลวร้ายแค่ไหน ฝันที่อยากจะลืม แต่ยิ่งสลักลึกลงในหัวใจ
มันก็แค่ฝัน!
“เตรียมผ่าตัด กันคนไม่เกี่ยวข้องออกไปให้หมด!”
ผู้ติดตามทั้งห้าถูกกันออกไปด้านนอก ปากกระโจมถูกดึงปิดสนิท ภายในสงบเงียบ ได้ยินเพียงแต่เสียงสั่งการราวกับที่ตรงนี้ไม่ได้มีเสียงโหวกเหวก เสียงปืน และระเบิดดังอยู่ด้านนอกตลอดเวลา
“มีด...ผ้า…”
กานมณีเป็นพยาบาลช่วยผ่าตัดผิดกับตำแหน่งหน้าที่ในอดีตที่เป็นพยาบาลในหน่วยตรวจกุมารเวชกรรม วันๆ พบแต่เนื้อตัวนุ่มนิ่ม เสียงเล็กๆ แหลม งอๆ แงๆ
เกือบแปดชั่วโมงเต็มไฟดวงใหญ่ไร้เงาเหนือสุดบนกระโจมผ่าตัด อันส่องแสงสว่างอยู่เหนืออุโมงค์นรกอเวจีจึงดับลง พร้อมกับชีวิตผู้สืบทอดที่หนีพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชมาได้อย่างหวุดหวิด
กานมณีปาดเหงื่อบนหน้าผาก มองตามจนคนเจ็บถูกหามหายออกจากกระโจมผ่าตัดไปยังกระโจมพักฟื้น จึงลงมือเก็บกวาดเศษซากจากการผ่าตัด รวบผ้าชุ่มเลือดให้รวมเป็นกองใหญ่ ก่อนจะทิ้งลงถังผ้าติดเชื้อ
“ที่เหลือพี่ฝากด้วยนะจ๋า” กานมณีถอดถุงมือทิ้งลงถังขยะติดเชื้อ เธออยากอยู่ช่วยจนแล้วเสร็จ แต่เพราะความกังวลที่ขจัดอย่างไรก็ไม่พ้นไปจากใจ รบกวนจนทนไม่ไหว
“ค่ะพี่กาน จ๋าจะดูแลที่เหลือเองค่ะ” จามิกรรับคำอย่างไม่อิดออด เพราะรู้ว่าข้างนอกยังมีคนเจ็บอีกมากให้ต้องไปดูแลต่อ ไม่เช่นนั้นไม่มีทางที่คนซึ่งมีความรับผิดชอบสูงอย่างกานมณีจะทิ้งงานในมือ แม้จะเป็นเพียงงานเล็กน้อยก็ตาม
“อย่าลืมเตรียมห้องให้พร้อม อาจจะมีคนเจ็บต้องผ่าตัดใหญ่อีก”
“ค่ะพี่กาน”
“เช็ดเหงื่อบนหน้าผากด้วย จะไหลเข้าตาแล้ว”
กระดาษชำระอยู่ใกล้เธอมากกว่า แต่กานมณีก็แค่เอ่ยและเดินออกจากกระโจมผ่าตัดไป เธอไม่อยากจะผูกมิตรกับใครให้มากกว่าเพื่อนร่วมงาน ไม่อยากสนิทสนมให้เป็นบ่วงคล้องแข้งคล้องขาตนเอง
“คนไข้เด็กเป็นไงมั่ง” กานมณีเดินไปทางกระโจมตรวจที่แลเห็นความวุ่นวายเต็มไปหมด และถามพยาบาลคนแรกที่ก้าวออกจากกระโจม
“ไม่รอดค่ะ” พยาบาลคนนั้นตอบอย่างหดหู่ สองมือบีบขอบกล่องอุปกรณ์ที่ประคองอยู่ในมือ
“อีกแล้วเหรอ” เธอทอดถอนใจ...ไม่ยุติธรรมเลยที่เด็กคนแล้วคนเล่าต้องจบชีวิตตัวเองลงเพราะภัยสงคราม เธอไม่พอใจที่ทีมแพทย์ไม่มีกุมารแพทย์สักคนเดียว ทั้งๆ ที่พวกเธอก็มีกันเกือบยี่สิบชีวิต
เด็กมีอวัยวะทุกอย่างเหมือนผู้ใหญ่ แต่อวัยวะนั้นทำงานต่างกับผู้ใหญ่ แพทย์ทั่วไปย่อมไม่เข้าใจอาการของเด็กได้ดีกว่าแพทย์ที่เรียนรู้เฉพาะทางด้านนี้มาโดยตรง
“เสียดายที่เราไม่มีหมอเด็ก”
ถ้ามี...เด็กๆ เหล่านี้อาจจะรอด
“ก็ไม่แน่นะคะ เมื่อวานปลาแอบได้ยินหมอกิตติ์คุยกับหมอท่านหนึ่ง เหมือนจะเป็นหมอเด็ก” ปาริกาแอบบอกสิ่งที่ได้ยินออกมา
“จริงเหรอ แล้วยังไงต่อ”
“ขอบคุณมาก อีกอาทิตย์หนึ่งจะให้คนไปรอรับ แล้วก็วางสายไปค่ะ” เธอเลียนแบบคำพูดที่ได้ยินมาจากการสนทนาของอาจารย์แพทย์ผ่านโทรศัพท์
ประกายความยินดีเล็กๆ ปรากฏบนดวงตากานมณี แต่มันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว นั่นเพราะสิ่งที่ได้ยินยังไม่อาจการันตีใดๆ ได้เลย ว่ากุมารแพทย์ที่ต้องการจะมาจริงๆ หรือไม่
“ถ้าเป็นหมอเด็กมาจริงๆ ก็ดีสิ ขอให้ใช่เถอะ สงครามครั้งนี้คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือเด็ก”
เด็กที่น่ารักขนาดนั้นต้องมาถูกกระสุนยิงทะลุร่าง ต้องมาอาบย้อมด้วยโลหิตของตนและคนในประเทศชาติ ช่างน่าสงสารยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
“แล้วตาเนซาเป็นยังไงมั่งคะ” ปาริกาถามบ้าง
“การผ่าตัดสำเร็จแล้ว แต่จะรอดจริงๆ หรือไม่ ต้องรอดูไปก่อน”
ถ้าเป็นกรุงเทพฯ ที่มีโรงพยาบาลทันสมัย อุปกรณ์ทางการแพทย์ครบครัน กานมณีคงตอบได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าปลอดภัย แต่ที่นี่ในสภาพของเครื่องมือยื้อชีวิตจำกัดเหลือเกินเช่นนี้ เธอไม่อาจตอบเช่นนั้นได้ เพราะไม่รู้จะมีโรคแทรกซ้อนตามมาหรือไม่
“อีกนานไหมคะ กว่าจะจบ”
“จนกว่าจะไม่เหลืออะไรละมั้ง”
คนเรามักแย่งชิงสิ่งที่มีค่าอยู่เสมอ คนยากจนแย่งชิงความอิ่มท้อง คนร่ำรวยแย่งชิงอำนาจและชื่อเสียง หากยังมีสิ่งมีค่าต่อชีวิตเหล่านั้นอยู่สงครามไม่เคยจบ ไม่เพียงสงครามภายนอก สงครามในใจของเราก็เช่นกัน
คนเลวอย่างเธอคิดได้แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร!
กานมณียิ้มขมขื่น ตั้งแต่วันนั้นกระมัง วันที่เธอรู้ว่าความรักมีอยู่จริง
‘กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมคืนสนอง วันนี้เธอทำลายครอบครัวฉัน ทำลายความรักของฉัน สักวันที่เธอรู้จักรักแท้ ความรักนั้นจะทำให้เธอยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็น!’
“โน่น รถมาอีกคันแล้วค่ะ” ปาริการ้องลั่น
กานมณีมีเวลาทอดถอนหายใจเพียงครู่เท่านั้น ก่อนจะวิ่งออกไปรอรับคนไข้ที่มาใหม่อย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น |
---|