1

ลุงหมี

1

ลุงหมี

สิบห้าปีก่อน

คนเรามีสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ มหรรณพเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการทำในสิ่งที่ต้องทำ ไม่ว่าจะลาออกจากวิทยาลัยช่างเพื่อเปิดอู่ซ่อมรถหาเลี้ยงน้องชาย หรือแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นวัตถุแปลกปลอมขนาดเล็กที่มานั่งยองๆ ร้องไห้ฮือๆ อยู่หน้าประตูอู่ซ่อมรถของเขา

“ให้ผมพาเด็กไปส่งบ้านไหมลูกพี่” ลูกน้องที่อายุเยอะกว่าลูกพี่หลายปีเอ่ยถามหลังจากเห็นช่างใหญ่วนเวียนไปมองเด็กหลายรอบ

มหรรณพมองหน้าคนถามซึ่งมีความโหดไม่แตกต่างจากนักเลงทวงหนี้เท่าไร ก่อนจะหันไปประเมินใบหน้าเหล่าลูกน้องทีละราย สุดท้ายหยุดตรงคนหน้าตาดีที่สุดในอู่ว่าสมควรรับตำแหน่งผู้เจรจากับเด็กหรือไม่ แน่นอนว่าคำว่าหน้าตาดีที่สุดในอู่ไม่ได้แปลว่าหน้าตาดีที่สุดในซอย และยิ่งไม่ใช่หน้าตาดีจริงๆ แต่เป็นหน้าตาระดับเดินเข้าไปหาแล้วเด็กไม่วิ่งหนีทันที ส่วนตัวเขาเป็นแบบเด็กเห็นแล้วไม่วิ่งหนี เพราะอาจช็อกจนตัวแข็งไปเลย ทว่าเรื่องบางอย่างถ้าไม่ออกหน้าทำเอง เขาก็ไม่วางใจว่าจะไม่วายป่วง

“อย่าเลย กลับไปเจอพ่อแม่ทะเลาะกันเดี๋ยวก็วิ่งออกมาอีก” 

มหรรณพกล่าวจบก็มีเสียงขว้างปาข้าวของ เสียงด่าทอตอบรับมาจากบ้านข้างๆ ทันที ซึ่งเป็นเหตุผลที่เด็กหญิงตัวเล็กมานั่งร้องไห้อยู่หน้าอู่ของเขาในตอนนี้

อู่ซ่อมรถของมหรรณพอยู่ลึกในซอยขนาดกลาง ตั้งอยู่ริมเขตชุมชนเมืองใหม่จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อนบ้านส่วนใหญ่เพิ่งย้ายมาตั้งรกรากใหม่ในเขตนี้ โดยมากก็เป็นชนชั้นกลางค่อนไปทางสูง แปลว่ามักจะมีปัญหาครอบครัวพอประมาณ แต่บ้านข้างๆ เขาแม้จะหลังใหญ่สุดในซอย มีคนในบ้านน้อย   ทว่าตั้งแต่ย้ายมามีปากเสียงกันดังลั่นซอยแทบทุกวัน 

“เดี๋ยวฉันออกไปดูเด็กเอง” 

มหรรณพบอกแค่ประโยคเดียว เหล่าลูกน้องของเขาก็ถึงกับร้องเสียงหลง

“เอาจริงเหรอลูกพี่!” 

“เด็กมันจะยิ่งร้องไห้นะ” 

“ให้พ่อแม่มารับเด็กไปดีกว่า” ทุกเสียงต่างคัดค้านเป็นเอกฉันท์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

“ถ้าฉันไปกดออดหน้าบ้านเรียกพ่อแม่เด็ก เขาจะคิดว่าฉันรำคาญเสียงทะเลาะ แล้วเรียกเขาออกมากระทืบหรือเปล่า” 

ไม่มีใครเถียงคำพูดเหล่านี้ของมหรรณพเลย เพราะเป็นไปได้ว่าแค่บ้านข้างๆ เหลือบมองหน้าเขาแวบเดียวก็จะรีบปิดประตูหน้าต่าง โทร. แจ้งตำรวจว่ามีอันธพาลโรคจิตมากดออด

ด้วยอาชีพหาเช้ากินค่ำอาบเหงื่อต่างน้ำใช้หนี้แทนพ่อ มหรรณพไม่มีเวลาเหลือไปสอดส่องเรื่องชาวบ้าน แล้วก็ดูเหมือนว่าคนแถวนี้ก็ไม่ได้อยากมายุ่งกับเขาสักเท่าไร อาจเพราะหุ่นเหมือนยักษ์ หน้าตาเหมือนเพิ่งออกมาจากเรือนจำบางขวาง สังกัดนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ก็เป็นได้ แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ เขาต้องคีปลุคนี้เพื่อดำรงชีวิต 

มหรรณพ เด็กหนุ่มอายุยังไม่ถึงสิบเก้าปีต้องมารับช่วงต่ออู่ซ่อมรถจากพ่อที่ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ฆ่าตัวตายหนีโรคพิษสุราเรื้อรังไปโลกหน้า ทิ้งเอาไว้เพียงธุรกิจครอบครัวพร้อมหนี้สินก้อนใหญ่ แถมต้องเลี้ยงน้องชายไป ดำเนินธุรกิจต่อไปด้วยการคุมลูกน้องซึ่งอายุมากกว่าเขา เขี้ยวลากดินกว่าเขา 

เด็กหนุ่มมีทางเลือกไม่เยอะ เลยอัปเกรดจากคุณชายหน้าโหดน้อยๆ เป็นหน้าเหี้ยมมากๆ เพื่อไม่ให้ใครกล้ามาแหยมช่วงชิงบ้านและอู่ซ่อมรถของเขาไป ผ่านมาสองปีความดุดันเลยฝังลึกตั้งแต่กระดูกผุดออกมาจนทั่วทุกรูขุมขน และดูเหมือนว่าเขาจะลืมวิธีเข้าหาเด็กเล็กไปแล้ว

คนเราต้องทำในสิ่งที่ควรทำ มหรรณพท่องประโยคประจำใจ แล้ววางประแจเลื่อนขนาดเหมาะจะฟาดคนตายในมือลง เช็ดมือเปื้อนน้ำมันเครื่องกับผ้าขี้ริ้วลวกๆ เตรียมก้าวไปปลอบโยนเด็กน้อย แต่เปลี่ยนใจกลางทาง เดินย้อนไปยังส่วนออฟฟิศด้านในอู่รถ แล้วคว้าของที่โคตรจะไม่เข้ากับสถานที่และหน้าตาของเขาติดมือมา ตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลขนาดตัวยาวห้าสิบเซนติเมตร 

“เอาตุ๊กตาไหม น้าให้” มหรรณพหยุดห่างจากเด็กหนึ่งเมตร ถามเสียงอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้พร้อมกับย่อตัวลงนั่งยองๆ ให้อยู่ในระดับเดียวกับสายตาเด็กตัวน้อย น่าเสียดายที่เขายังคงตระหง่านค้ำหัวเด็ก ทางเดียวที่เขาจะอยู่ต่ำกว่าคงต้องนอนคว่ำราบไปกับพื้น

ชายหนุ่มเตือนตัวเองให้แสดงความเป็นมิตร แต่เขาแก้ไขส่วนสูงร้อยแปดสิบแปดเซนติเมตรของตัวเองไม่ได้ หน้าตาเขาก็ห่างไกลจากหนุ่มหน้าสวยไปไกล ไม่ว่าจะดวงตาสีดำสนิท จมูกโด่งที่สันมีรอยปูดนิดๆ เพราะเคยหักมาสองรอบ หนำซ้ำช่วงนี้งานยุ่ง เวลานอนเขายังแทบไม่พอ ผมเผ้าหนวดเคราเลยต้องรอไปก่อน เขารวบผมยาวประบ่าเขลอะจาระบีเป็นหางม้าชี้ๆ เอาไว้ ส่วนหนวดเคราเขาคิดจะไว้ให้ดูเท่ แต่ตอนนี้มันคงจะดูเหี้ยมโหด รวมกับข้อความที่เขาเพิ่งถามออกไป มหรรณพชักจะวิตกว่าเขาดูเหมือนลุงโรคจิตที่คิดจะใช้ของเล่นหลอกเด็กไปกินหรือเปล่า

เด็กหญิงจ้องชายแปลกหน้าตาไม่กะพริบตั้งแต่รู้สึกว่ามีบางอย่างใกล้เข้ามาแล้ว อาจเพราะประหลาดใจเธอเลยหยุดร้องไห้ การไม่ลุกขึ้นวิ่งเตลิดหนีไปไหนไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก เป็นไปได้ว่าเธออาจจะกลัวจนเข่าอ่อน อีกนิดอาจจะฉี่ราดเลยก็ได้ 

มหรรณพมองดวงตากลมโตเหมือนลูกแก้วสีน้ำตาลตรงหน้าแล้วอยากจะถอยหลัง มันน่ากลัวกว่าหมาพิตบูลที่เขาเคยปะทะตอนเจ็ดขวบเสียอีก แต่เด็กประถมในตอนนั้นยังยกขาขู่จะเตะหมาที่เห่าน้องชายได้ หนุ่มยี่สิบตอนนี้จะวิ่งหนีเด็กตัวกะเปี๊ยกได้ยังไง

ยายหนูตัวเปี๊ยกมาก ยิ่งเข้าใกล้เขาก็ยิ่งพบว่าร่างนี้เล็กกว่าน่องข้างซ้ายของเขาเสียอีก ผมสีน้ำตาลตัดหน้าม้ายุ่งเหยิงบนใบหน้าเปียกน้ำตาจนมอมเป็นแมว ชุดเสื้อกางเกงนอนเด็กมีโลโก้แบรนด์ดังและไม่เก่าขาด ทว่าสกปรกจากคราบของกิน 

ทั้งที่เป็นเวลาบ่ายโมงกว่า แต่เด็กยังสวมชุดสำหรับนอน พิสูจน์ให้เห็นว่าพ่อแม่นิยมทะเลาะกันมากกว่าดูแลลูก 

“หนูไม่ชอบตุ๊กตาเหรอ” เขาลงทุนคลานเข่าเข้าไปหา ค้อมแผ่นหลังให้ต่ำที่สุดพร้อมกับชูตุ๊กตาหมีนำหน้า ผลก็คือเด็กน้อยผุดลุกขึ้น

จะวิ่งไปหาแม่ก็ไม่ว่า อย่าพาตำรวจมาจับน้าก็แล้วกัน มหรรณพภาวนาในใจ พยายามห่อตัวเองให้เล็กและไร้พิษภัยสุดๆ ขนาดเด็กน้อยยืนตัวตรงยังไม่ค้ำหัวเขาที่นั่งคุกเข่าโค้งแผ่นหลังลงต่ำได้เลย ส่วนทางด้านหลัง เหล่าลูกน้องที่เหมือนแก๊งคนโฉดของเขาก็พากันวิจารณ์

“เด็กช็อกไปแล้ว”

“ต้องจ่ายค่าทำขวัญหรือเปล่าวะ”

“เหมือนจะกินเด็กเลยว่ะ”

ถ้าไม่กลัวเด็กจะขวัญเสีย มหรรณพจะลุกไปอัดลูกน้องของเขาให้กระอักเลือดที่พูดเหมือนเขาเป็นปีศาจกินเด็ก แต่มองอีกมุมเขาก็ใกล้เคียงอมนุษย์มากกว่าเทพบุตรผู้รักเด็ก

เขาไม่รู้จะทำยังไงให้ดูเป็นมิตรกว่านี้ ขนาดยิ้มปากแทบฉีก เด็กยังไม่ยิ้มตอบ เป็นไปได้ว่าหนวดเคราจะบดบังใบหน้าจนเด็กมองยิ้มหวานๆ ของเขาไม่ออก แต่คิดอีกที น้องชายเคยบอกว่าเขายิ้มทีเหมือนแสยะเขี้ยว และเขาเคยทำเด็กชายตัวโตกว่านี้วิ่งหนีไปมากกว่าสองสามครั้ง ความจริงเขาเคยทำเด็กชายซนๆ แถวบ้านวิ่งหนีรวมๆ กันไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง

ทำไมเขาถึงเกิดมาหน้าโหดขนาดนี้ มหรรณพพบว่าหัวใจของตัวเองกำลังห่อเหี่ยวจากการไร้ปฏิกิริยาตอบสนองของเด็กหญิง 

เขารักเด็ก เขาอยากให้เด็กรักเขา

“หมี” เสียงเบากว่าเสียงแมลงหวี่ฉุดคนที่กำลังก้มหน้าคอตกให้เงยมองเด็กตัวน้อยเจ้าของเสียง

เธอยังคงเหมือนตุ๊กตาที่ผอมเกินไป และดูน่าสงสารยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเล็กแหบแห้งเพราะร้องไห้ติดกันมาเป็นชั่วโมง หัวใจพ่อหนุ่มร่างใหญ่สั่นไหวด้วยความสงสาร อยากจะดึงหนูน้อยเข้ามาลูบหัว แต่กลัวลำคอเล็กพอๆ กับคอลูกแมวของเธอจะหักเพราะมือขนาดเท่าจานเปลของเขา

“ครับ หมีตัวนี้น้าให้หนู เอาไหม” ถึงกลัวว่าคนจะกล่าวหาว่าเขาเอาหมีมาล่อลวงเด็ก มหรรณพก็ยังยื่นหมีไปให้เด็กน้อยอีกรอบ

ดวงตากลมโตสีน้ำตาลกะพริบหนึ่งครั้ง กะพริบสองครั้ง มหรรณพไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร แต่การที่เธอทำท่าลังเลแทนจะตื่นกลัวก็นับได้ว่าเป็นสัญญาณดี

แขนเล็กผอมสองข้างยื่นมาหา เขารีบยื่นหมีไปให้ แต่มือหนึ่งของเธอจับหมี ส่วนอีกมือจับมือของเขาเอาไว้ มันเล็กและอุ่นจนมหรรณพไม่อาจใจร้ายสะบัดมือหนี ได้แต่พยายามประคองตุ๊กตาหมีที่ตัวโตกว่าเด็กหญิงให้เธอจับมันได้ด้วยมือข้างเดียว

“ขอบคุณค่ะลุงหมี”

รอยยิ้มของเธอเหมือนดอกเดซีบานท่ามกลางแสงแดด อ่อนโยน น่ารัก ตราตรึงใจ 

มหรรณพลืมความกลัวว่าจะโดนข้อหาหลอกเด็ก และไม่สนใจด้วยว่าเด็กจะเรียกเขาว่าลุง เขามารู้ทีหลังในเวลาไม่นานว่าเธอไม่ได้เอ่ยคำว่าลุงหมีเพราะหมีที่เขาให้ แต่เรียกเขาว่าลุงตัวเท่าหมี 

แล้วก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปี กว่าเขาจะรู้ตัวว่านั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการโดนเด็กหลอก

 

สิบห้าปีต่อมา

คนเรามีสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ ภุมรินรู้ว่าในฐานะนักศึกษาวิชาทำอาหารปีสุดท้าย เธอควรตั้งใจเรียน มองหาที่ฝึกงานเหมาะๆ หรือไม่ก็อาชีพในอนาคต ซึ่งทั้งหมดนั้นเธอทำได้ดีทีเดียว แต่เธอก็อดจะใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนมาทำสิ่งที่ไม่ควร อย่างน้อยก็ไม่ควรทำในสายตาผู้ใหญ่ นั่นก็คือเข้าบ้านชายโสดมาเตรียมอาหารเย็นปรนเปรอเขาราวกับเป็นศรีภรรยา

ก็ใครใช้ให้ลุงหมีของเธอ หรือจะเรียกให้ถูกก็คือ ลุงน้ำ มหรรณพ อาศัยอยู่คนเดียวในบ้านติดกับอู่ซ่อมรถ โดยไม่มีใครมาคอยดูแล เธอในฐานะแฟนคลับอันดับหนึ่งของเขา และมีเป้าหมายจะเป็นภรรยาเขาในอนาคต ย่อมต้องคอยดูแลสอดส่องความเป็นอยู่ รวมถึงคอยทำอาหารและคอยกันท่าไม่ให้ใครมาแทะเล็มลุงหมีสุดที่รักด้วย

เสน่ห์ปลายจวักผัวรักจนตาย ถึงภุมรินจะยังไม่ได้กินหมี แต่การกล่อมกระเพาะหมีให้เป็นสาวกของเธอก่อนก็ถือเป็นการเตรียมการล่วงหน้าเพื่อพิชิตใจมหรรณพ

คนแกงหนึ่งรอบ โอม หมีจงรัก

คนแกงสองรอบ โอม หมีจงหลง

คนแกงสามรอบ โอม หมีจงเป็นของข้า วะฮะฮะฮะ

“แกงต้องคนเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ” 

มหรรณพเอ่ยทักกะทันหันเสียจนภุมรินสะดุ้งเฮือก เธอไม่ได้ตกใจที่เขาโผล่หน้ามาดูหม้อต้มแกงร้อนๆ แต่ร้อนตัวกลัวเขารู้ความคิดในใจ

ครัวบ้านมหรรณพค่อนข้างเหมือนโรงครัวมากกว่าครัวประกอบอาหารในบ้าน มีทั้งเตาแก๊สขนาดสามหัว ช่องก่ออิฐเตาถ่านสำหรับทำปิ้งย่าง เพราะแม่ของเขาเคยเปิดร้านข้าวแกงหน้าอู่ซ่อมรถยนต์ แต่พอเจ้าของบ้านเดินเข้ามามันก็แคบลงถนัดใจ ยืนใกล้กันอย่างนี้ ความต่างของทั้งสองยิ่งเห็นเด่นชัด มหรรณพเป็นชายร่างใหญ่สูงเกือบสองเมตร ขณะที่ภุมรินสูงไม่ถึงเมตรครึ่ง เขาผมดำ ผิวคล้ำ กล้ามแน่น ขณะที่เธอขาวผ่อง ผมสีน้ำตาล ตัวเล็กผอมบาง

“น้ำผึ้งกดมะเขือให้มันจมค่ะ ถ้ามันลอยเหนือน้ำแกง ผิวมันจะดำไม่สวย” ภุมรินแก้ตัวพลางฉีกยิ้มหวาน สาธิตให้มหรรณพดูว่าสวยเป็นยังไง แต่ความขาว ความน่ารัก ความโมเอะ คาวาอี้ ไม่ทำให้เขาสนใจหน้าของเธอเท่าแกงในหม้อ

“แกงเขียวหวานปลากรายเหรอ ของโปรดลุงเลย” มหรรณพแสดงสีหน้าชื่นชมปนอยากกินสมใจภุมริน ซึ่งบรรจงทำแกงสำหรับกินในบ้านให้อร่อยเทียบเท่ากับแกงที่จะยกเสิร์ฟในภัตตาคาร

“ไม่แค่แกงเขียวหวานปลากรายยัดไส้ไข่เค็มนะคะ วันนี้น้ำผึ้งเรียนทำของว่าง แล้วเอาทาร์ตผลไม้ที่ทำในชั่วโมงเรียนมาฝากลุงหมีด้วยกล่องนึง” 

เธอต้องรู้อยู่แล้วว่าอะไรเป็นของโปรดของลุงบ้าง ไม่แค่รู้เท่านั้น เธอไปเรียนวิทยาลัยเทคนิคสาขาคหกรรมศาสตร์ จบออกมาต่อด้วยปริญญาบัตรบริหารธุรกิจร้านอาหาร เสริมด้วยประกาศนียบัตรวิชาชีพคนทำขนมหวาน หรือปาติฟิเย่ เพราะลุงข้างบ้านโปรดปรานของหวานเป็นอันดับหนึ่ง

“เรียกลุงหมีอีกแล้ว” เขาบ่นอย่างไม่จริงจังนัก

เจอกันครั้งแรกๆ มหรรณพพยายามเกลี้ยกล่อมให้ภุมรินเรียกเขาว่าน้า ย้ำว่าตนชื่อน้ำ แต่พอเห็นเด็กหญิงน้ำตาคลอ เขาก็ยอมให้เธอเรียกว่าลุงหมี แลกกับการที่เธอจะไม่ดื้อ หยุดร้องไห้ กินข้าวที่ลุงหน้าโหดแต่โคตรรักเด็กตรงเข้าครัวไปเจียวไข่หอมๆ มาให้รองท้องระหว่างรอให้พ่อแม่เลิกทะเลาะกัน

ดังนั้นทุกครั้งที่พ่อแม่เสียงดังขว้างปาข้าวของ เด็กหญิงตัวน้อยก็จะหนีมาอ้อนให้ลุงหมีปลอบ ถึงตอนนี้พ่อแม่จะหย่ากัน ไม่ทะเลาะกันให้ลูกเห็นอีก เธอก็ยังมาหาลุงหมีอยู่ดี 

“หรือว่าเรียกพ่อหมีดีคะ” เธอแค่เปรยๆ แต่เขาเปลี่ยนสีหน้าทันที หรี่ตา แถมยังถอยห่างนิดๆ ด้วยความหวาดระแวง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ภุมรินแอบเกี้ยวมหรรณพ เธอเริ่มครั้งแรกตั้งแต่อายุสิบห้า คล่องแคล่วตอนอายุสิบหก จริงจังตอนอายุสิบแปด แต่จนเธอใกล้จะยี่สิบแล้ว เขาก็ยังหวังว่าเธอจะเปลี่ยนใจ

“ต่อหน้าของกินอย่าพูดเล่นสิ” 

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร ภุมรินพร้อมสาบานต่อหน้าแกงเขียวหวานว่าเธอไม่ได้พูดเล่น แต่การหยอดนิดๆ ให้มหรรณพเคยชินแตกต่างจากเดินหน้าจีบจริงจังจนหมีตื่น  

“ไม่แกล้งแล้วค่ะ ลุงหมีรีบไปอาบน้ำเถอะ เสร็จแล้วจะได้มากินน้ำผึ้ง” เธอเผลอทำเขาสะดุ้งอีกแล้ว “หมายถึงจะได้มากินกับข้าวที่น้ำผึ้งทำ”

สำหรับชายวัยสามสิบห้าตัวเท่าหมีสีน้ำตาลอะแลสกา เขาเคลื่อนไหวได้เร็วมาก ตอนแรกยืนคุยกับเธอตรงนี้ วินาทีต่อมาก็เผ่นหนีไปไกล

ภุมรินได้แต่มองตามด้วยความรักและความอ่อนใจ โถๆๆ พ่อหมีของน้ำผึ้ง ขวัญอ่อนขนาดนี้ โดนเด็กกินจะเป็นยังไง

 

มหรรณพย่อมไม่คิดกินเด็ก ตรงข้ามเขากลัวข้อหาเลี้ยงต้อยอย่างมาก ตลอดสิบห้าปีที่ช่วยดูแลภุมริน เขาจึงระมัดระวังตัวรักษาระยะที่เหมาะสม ไม่แตะต้องตัวเธอโดยไม่จำเป็น เขาจะได้ไม่เสี่ยงคุกข้อหาพรากผู้เยาว์ ไม่นึกว่าเพียงพริบตาจากเด็กที่เขาอุ้มได้ด้วยมือข้างเดียว จะกลายเป็นหญิงสาวที่ยังตัวเล็ก แต่ทำให้เขาสะดุ้งสุดตัว หัวใจผวาได้แทบทุกนาที

ต้องโทษพ่อแม่ของเธอที่เลี้ยงลูกแบบไม่ใส่ใจ เขาไม่ได้ว่าเฉพาะเรื่องที่ไม่สอนให้สาวน้อยระวังตัวจากหมาป่า แต่ยังรวมหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะการที่ไม่คอยดูแลสุขภาพของลูกตอนยังเล็กๆหรือเอาใจใส่ในตอนโต ไม่ว่าเขาจะหาของกินมาช่วยบำรุงอย่างไร เธอก็เหมือนเด็กมัธยมต้นอยู่ดี

โลลิต้านั้นน่ารัก แต่เขาไม่ได้อยากเป็นโลลิคอน คิดภาพสิ ลุงแก่หลอกเด็ก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่น่าดู แล้วความคิดนี้ก็ยิ่งหดหู่เมื่อมหรรณพคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำและเห็นหน้าตัวเองในกระจก

ในความเป็นผู้ชายวัยสามสิบห้า เขาไม่ได้ดูแย่หรือแก่กว่าวัย แต่ปัญหาก็คือเขาไม่ได้รูปหล่อมีกล้ามกำลังดีพิมพ์นิยมแบบหนุ่มเกาหลี กรรมพันธุ์จากพ่อทำให้เขาแข็งแรงล่ำสัน ประกอบกับการทำงานใช้แรงตั้งแต่เข้าวัยรุ่นส่งผลให้ส่วนสูงกับส่วนกว้างของเขาพอๆ กับตอม่อรถไฟฟ้า ช่วยเน้นความโหดบนใบหน้าที่ต่อให้โกนหนวดโกนเคราทุกวันก็ยังใกล้เคียงกับโจร ที่จริงเขาไม่ควรจะเสียเวลาโกนหนวดด้วยซ้ำ เพราะแค่โกนเช้า ตกกลางคืนมันก็งอกตอขึ้นไรเขียวๆ เขานี่มันหมีชัดๆ หมีที่มีหนูน้อยโลลิคอยหยอกล้อให้ไขว้เขว 

เพื่อไม่ให้สติสัมปชัญญะขาด ระหว่างถอดเสื้อผ้าเขาก็เบี่ยงเบนสมองไปยังค่าครองชีพแทน แผนการสร้างอู่รถโบราณออนไลน์ของเขาประสบความสำเร็จด้วยดี จากตอนแรกที่เขาต้องลงมือเองแทบทุกส่วน ยกเว้นทำสีใหม่ ตอนนี้เขามีช่างผู้ชำนาญมาช่วย แล้วเขายังสร้างเครือข่ายโซเชียลคนรักรถเก่าเพื่อหาทั้งอะไหล่และผู้ซื้อเงินดี คาดว่าอีกไม่นานเขาจะผันตัวเองจากทำงานหน้าอู่ไปอยู่หน้าจอเพื่อรับออร์เดอร์ซื้อรถมาซ่อมแซมแล้วขายไปในราคาสูงได้เต็มตัว 

“ลุงน้ำคะ น้ำผึ้งเพิ่งนึกได้ว่ามีสบู่อันใหม่จะให้ลุงน้ำลองใช้” เสียงของภุมรินมาพร้อมกับการเคาะประตูหนักๆ ทำเอามหรรณพสะดุ้ง ใช้สองมือกุมส่วนที่เพิ่งจะเป็นอิสระ ลืมนึกไปว่าเธอตัวแค่นั้นจะทุบประตูห้องน้ำของเขาจนพังเข้ามาได้อย่างไร

“เปิดประตูสิคะ น้ำผึ้งจะส่งให้” เธอไม่ได้พูดอะไรแปลกๆ แต่ทำไมขนแขนของเขาถึงลุกชันได้ก็ไม่รู้

“ไว้ก่อนแล้วกัน ลุงใช้ขวดที่มีอยู่ก่อนดีกว่า” 

“ไม่ได้หรอกค่ะ น้ำผึ้งเอาขวดเก่าออกมาถ่ายใส่ขวดใหม่แล้ว เปิดประตูเถอะค่ะ แค่แง้มๆ ก็ได้ เดี๋ยวน้ำผึ้งส่งขวดใหม่ให้” 

ในที่สุดมหรรณพก็จับได้แล้วว่าอะไรในน้ำเสียงของภุมรินที่เขารู้สึกแปลกๆ เหมือนมีเสียง ฮิๆ ที่แสนชั่วร้ายซ่อนอยู่ในเสียงพูดของเธอ

เขาต้องเลิกหมกมุ่นเกี่ยวกับประเด็นหนูน้อยโลลิและลุงหมี มหรรณพโทษเว็บไซต์ต่างๆ ที่นำภาพหมีมาล้อเลียนว่าเป็นพวกกินเด็ก แต่เขาไม่โทษภุมรินที่ชอบแกล้งพูดยั่วเขา เพราะเธอยังเด็กเกินไป ไม่รู้หรอกว่ามันอันตรายแค่ไหนที่มาแหย่หมี

จะใส่ชุดเก่าที่เต็มไปด้วยน้ำมันเครื่องและเหงื่อออกไป มหรรณพก็ไม่ชอบ เลยคว้าเพียงผ้าเช็ดตัวมาพันท่อนล่างเอาไว้ แล้วการแง้มประตูก็ดูเหมือนเขาคิดเล็กคิดน้อยเกินไป ยังไงภุมรินก็เป็นเด็กที่เขาเลี้ยงมาเองกับมือ ถ้าเขาระวังตัวตลอดเวลาอาจจะทำให้เธอน้อยใจได้ ดังนั้นคนคิดเยอะเลยเปิดประตูกว้างเดินออกไปครึ่งก้าวเพื่อรับขวดสบู่เหลวจากมือเด็กที่เขามองว่าใสซื่อ

“ลุงน้ำล่ำขึ้นอีกแล้วนะคะ”

เด็กไม่ได้คิดอะไร เด็กไม่ได้คิดอะไร มหรรณพท่องประโยคนี้ในใจ แล้วเพ่งสมาธิไปยังขวดสบู่เหลวรูปคิตตี้สีชมพู ถึงเขาจะเป็นหมีหน้าโหด แต่เขาแอบมีโหมดมุ้งมิ้ง ชื่นชอบสินค้าทุกชิ้นภายใต้แบรนด์ซานริโอ โดยเฉพาะเจ้าเหมียวสัญชาติญี่ปุ่นเชื้อสายอังกฤษคิตตี้ ยิ่งกว่านั้นเขาชอบสีชมพูฟรุ้งฟริ้ง

มีไม่กี่คนที่รู้ว่ามหรรณพชอบของน่ารัก และมีน้อยคนมากที่จะใส่ใจซื้อมาฝากเขา มหรรณพเตือนภุมรินเสมอว่าอย่าสิ้นเปลืองเงินกับของพวกนี้ เพราะเขาไม่จำเป็นต้องใช้ แล้วก็ไม่ได้สะสม เธอเลยเลือกซื้อเฉพาะของที่เห็นแล้วคิดว่าเขาต้องชอบ อย่างเช่นขวดใส่สบู่เหลวใบนี้ทำจากพลาสติกแข็ง ปรับทรงขวดให้เป็นตัวตุ๊กตาทรงกระบอกเตี้ยๆ ซึ่งต่างจากขวดทั่วไปที่เป็นตัวตุ๊กตาเลย และมักจะมีสิ่งสกปรกฝังอยู่ตามมุมได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อคนใช้เป็นผู้ชายที่วันๆ ต้องทำงานกับเครื่องกลซึ่งเต็มไปด้วยน้ำมันเครื่องอย่างเขา

มหรรณพมองขวดสบู่ก็รู้ถึงความตั้งใจของภุมรินที่พยายามคัดเลือกของที่เหมาะสำหรับเขาเสมอ ชายหนุ่มยิ่งชอบมันขึ้นไปอีก 

“ขอบใจนะน้ำผึ้ง น่ารักจัง” เขาหมายถึงขวด แต่แอบชมเธอไปพร้อมๆ กัน

“อุ๊ย! แขนของคุณลุงไปโดนอะไรมาคะ” 

มือของมหรรณพจะไปถึงขวดสบู่เหลวอยู่แล้ว แต่อยู่ๆ มือของภุมรินข้างนั้นก็ชักกลับ แล้วยื่นอีกมือมาคว้าท่อนแขนของเขา ดึงทั้งแขนและตัวเอาไว้ระหว่างขยับมาใกล้ๆ เพื่อดูต้นแขนของเขาว่าเป็นอะไร ทำให้หัวเธอแทบซุกเข้าไปในอกเขา

“แค่เปื้อน” กว่าจะบอกสองคำสั้นๆ ออกไปได้ มหรรณพต้องกลืนน้ำลายไปหนึ่งที

“จริงเหรอคะ” เธอไม่รอเขาตอบว่าจริง แต่ใช้หลังมือข้างที่ถือขวดสบู่ถูๆ กับต้นแขนของเขา

เขาไม่ใช่เสาตกน้ำมัน เธอจะมาถูอย่างนี้ไม่ได้! ที่สำคัญเขาไม่ใช่พระอิฐพระปูนด้วย เธอควรถอยไปห่างๆ มหรรณพกำลังจะเอ่ยปากเตือนภุมริน แต่มีเสียงคนอื่นทักขึ้นมาเสียก่อน

“ทำอะไรกันครับ”

มหรรณพกล้าประกาศว่าเขาไม่ได้หลอกเด็ก ไม่มีเจตนาชั่วร้ายต่อภุมริน ที่สำคัญลุงหมีคนนี้ไม่ได้ร้อนตัว แค่สะดุ้งโหยงจนบ้านสะเทือน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น