8
เก็บรัก
“นี่ไงหลานชายคนเดียวของฉัน” ท่านผู้หญิงอัญชนาแนะนำอรรคกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่อยู่ในบริเวณงาน หลังจากเขาเอาของขวัญเข้ามาให้พร้อมกับหม่อมหลวงพชรหทัยที่มอบช่อดอกไม้ในนามวังวิริยาแก่เจ้าของวันเกิด ได้รับคำขอบคุณพร้อมสายตาเป็นคำถามถึงการมาของทั้งคู่
“ส่วนนี่หม่อมหลวงพชรหทัย ลูกสาวคุณชายพัชรกับคุณเปรี้ยวหวาน”
หญิงสาวยกมือทำความเคารพคนสูงวัยในบริเวณนั้นทั้งหมด บ้างเคยเห็นหน้าค่าตากันตามงานสังคมที่หล่อนตามบุพการีไปบ้าง เห็นตามหน้าหนังสือบ้าง
“ฝากขอบคุณคุณชายกับคุณแม่ด้วยนะหนู...” ท่านผู้หญิงผู้กว้างขวางในวงสังคมมองสตรีตรงหน้าสลับกับหลานชายที่ทำตัวห่างเหินยิ่งกว่าคนรู้จักกันตามสังคม “ว่าแต่ทำไมถึงมาด้วยกันได้ล่ะ วันนี้วันเสาร์นี่นา ไม่ได้ต้องทำงานด้วยกันไม่ใช่เหรอ” คนที่รับรู้ว่าทั้งคู่มีศักดิ์เป็นคนสอนงานกับเด็กฝึกงานกันอยู่ถามโต้งๆ หรี่ตามองอาการหลานชายที่ยืนนิ่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ มีแต่สีแดงระเรื่อจากหน้าฝ่ายหญิงเท่านั้นละที่พอทำให้เห็นพิรุธบ้าง
“ก็คุณป้าเชิญเป๊ปเปอร์นี่ครับ ให้มาคนเดียวก็คงเก้อแย่ ผมเลยพามาด้วย ยังไงก็รู้จักผมดีกว่าทุกคนในงาน” ชายหนุ่มตอบแบบไว้ตัว ไม่มีความสนิทสนมใดๆ ทั้งสิ้นฉายโชนออกมา “เชิญรับแขกท่านอื่นเถอะครับ เดี๋ยวผมดูเป๊ปเปอร์ให้เอง” พูดจบอรรคก็แตะหลังพชรหทัยเบาๆ ให้อีกฝ่ายออกเดิน
ดูเหมือนว่าหญิงสาวข้างๆ ก็รับรู้ภาษากายและสัมผัสได้ถึงอารมณ์ขมุกขมัวของอีกคนได้เป็นอย่างดี จึงหันไปขอตัวจากผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลายในบริเวณนั้น
จนเมื่อเดินห่างจากกลุ่มเจ้าภาพมาไกล และพอมีความเป็นส่วนตัว หญิงสาวจึงถามขึ้นระหว่างยกเครื่องดื่มที่อรรคส่งให้ขึ้นจิบ “คุณอรรคไม่สนิทกับท่านผู้หญิงเหรอคะ”
ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ แววตาหม่นหมองพิกล
“ไม่เลยละ” อรรคยกเครื่องดื่มขึ้นจิบบ้าง “แค่ท่านเป็นพี่สาวคุณพ่อ ไม่เคยติดต่อกันเลย จนคุณพ่อคุณแม่พี่เสีย” เสียงทุ้มสั่นเล็กน้อยจนหญิงสาวอดเศร้าตามไม่ได้ รู้สึกผิดเล็กน้อยที่ทำให้เขานึกถึงบุพการีที่ล่วงลับไปแล้ว
“ขอโทษนะคะ”
หน้าตาเจี๋ยมเจี้ยมของพชรหทัยทำเอาอรรคยิ้มได้ไม่น้อย รับรู้ได้ถึงความเอาใจใส่ของหล่อน
“พี่ไม่ได้เศร้า ท่านเสียนานจนชิน ที่ไม่ค่อยแฮปปีเพราะคุณป้าท่านไม่ยอมรับคุณแม่ต่างหาก” เสียงถอนใจเพราะเรื่องในอดีตดังขึ้น
เรื่องราวที่ได้รับการถ่ายทอดจากปากเขาทำเอาหม่อมหลวงพชรหทัยอดสงสารเขาไม่ได้ ทั้งสาเหตุที่คุณป้ารังเกียจมารดาของอรรค ทั้งสิ่งที่เขารู้สึกต่อผู้เป็นป้า
“รู้อย่างนี้แล้วเป๊ปเปอร์รังเกียจพี่ไหม ที่แม่พี่ไม่ได้เป็นคนมีชาติมีตระกูลอะไร ไม่ได้มีเลือดสีน้ำเงินแบบเป๊ปเปอร์” ชายหนุ่มถามเพราะความหวาดหวั่นในเบื้องลึกของจิตใจอย่างแท้จริง เขาวาดภาพอนาคตร่วมกับผู้หญิงคนนี้ไว้มากมาย ถึงแม้จะไม่เคยออกปากให้อีกฝ่ายได้รู้ เพราะอยากให้หล่อนโฟกัสกับการเรียน อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตามตอนที่เขาตกลงกับหม่อมราชวงศ์พชรฉัตรไว้
หม่อมหลวงคนสวยส่ายหน้า ยิ้มหวานให้อีกคน “ไม่เกี่ยวกันเลยนะคะ คุณแม่เป๊ปเปอร์เป็นลูกคนจีน อากงเนี่ยจีนแท้ๆ เลยนะคะ ไม่ได้เป็นผู้ลากมากดีมาจากไหน อีกอย่างไม่มีใครเขามานั่งคิดเรื่องแบบนี้กันแล้วละค่ะ คุณอรรคสบายใจได้” หญิงสาวบอกตามความจริง “แต่ต่อให้ใครจะยังไง ถ้าเปอร์รักก็คือรัก แต่ถ้าทำให้เปอร์เกลียด โกรธร้อยปี อย่ามาดีร้อยชาติ”
ท่าทางน่าเอ็นดูของพชรหทัยทำเอาอรรคยิ้มออกมาได้ แต่ก็ไม่วายวนเวียนอยู่กับปมด้อยลึกๆ ของตัวเอง
“เทียบกันได้ไงครับ คุณแม่เป๊ปเปอร์ต่อให้ไม่ใช่พวกเลือดสีน้ำเงิน ก็เจ้าของธุรกิจระดับโลกนะครับ ส่วนแม่พี่น่ะลูกครูต่างจังหวัดจนๆ โตมาในตลาด สาวบ้านนอกตัวจริงเลย”
“ก็ถ้าคุณอรรคคิดว่าเปอร์เป็นพวกยึดติดลาภยศ เป็นพวกวัตถุนิยม ใจแคบ คบคนที่ฐานะ เราก็คงไม่เหมาะกันมั้งคะ” คราวนี้พชรหทัยเริ่มออกอาการบ้าง ฝังใจมาตั้งแต่เล็กๆ ที่คนชอบคิดไปก่อนว่าพวกเลือดสีน้ำเงินแบบหล่อนที่มีคำว่าหม่อมหลวงนำหน้าจะต้องรังเกียจคนที่ไม่มีเชื้อสาย หรือคนที่มีฐานะทางสังคมต่ำกว่า ร่างบางหมุนตัวหนี ตั้งท่าจะเดินหลีกไปจากชายหนุ่มที่ยืนคุยกันอยู่ที่ซุ้มการเวกในสวนสวย ทว่าอรรคกลับคว้าข้อศอกไว้ได้ทัน
“พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น พี่แค่ไม่อยากให้เป๊ปเปอร์เข้าใจผิด คิดว่าพี่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับมรดกของ ท่านผู้หญิงอัญชนา อัครนันท์ ทั้งสิ้น”
เป็นที่รู้กันดีว่าญาติผู้ใหญ่คนเดียวของเขามีฐานะติดรายชื่อห้าสิบอันดับคนที่รวยที่สุดในประเทศ ถึงจะไม่ได้อู้ฟู่ระดับหนึ่งในห้าแบบราชสกุลวิริยาและเครือญาติของหญิงสาว แต่ก็ร่ำรวยไม่น้อย เงินทองที่ส่งเขาเรียนหนังสือมาจนจบคือเงินส่วนตัวของพ่อเขาที่ใส่ทรัสต์ฟันด์ไว้ให้ ถึงจะมีจำนวนเยอะพอตัว แต่หากเขาใช้เงินแบบลูกเศรษฐีไร้ความคิดคงหมด และไม่งอกเงยมาจนแบบนี้ ที่สำคัญทรัพย์สินของพ่อเขาที่ติดตัวมาเมื่อโดนพี่สาวคนเดียวตัดขาดตั้งแต่เลือกแต่งงานกับแม่ของเขาถึงจะมากในสายตาใคร แต่เมื่อเทียบกับทรัพย์สินของอัครนันท์ทั้งหมดแล้วเรียกได้ว่าไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ
“เปอร์ก็ไม่เคยคิดจะคบใครเพราะสมบัติ ลำพังเงินคุณพ่อคุณแม่เปอร์ก็มีกินไปไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ ไม่ได้อยากมีแฟนรวยให้มาคอยเลี้ยง” หน้าสวยจัดเชิดขึ้นขนานพื้น แสดงออกชัดเจนทั้งน้ำเสียงทั้งกิริยาว่าไม่พอใจ “ขอตัวไปห้องน้ำสักครู่นะคะ”
พูดจบหม่อมหลวงพชรหทัยก็บิดแขนออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย ทิ้งให้อรรคยืนอยู่คนเดียวในซุ้มดอกไม้กลางสวน ตกใจกับการทะเลาะกันครั้งแรกระหว่างเขากับแฟนเด็ก กว่าจะตั้งสติได้อีกฝ่ายก็เดินเข้าอาคารทรงโคโลเนียลหลังใหญ่ไปเสียแล้ว
ชายหนุ่มเลยได้แต่ส่ายหัวก่อนจะก้าวขายาวๆ ตามคนสวยแสนงอนไป นึกในใจว่าจะง้ออีกฝ่ายอย่างไร ทั้งห่างเหินการมีแฟนจริงๆ จังๆ มาเนิ่นนาน ทั้งไม่เคยรักกับคนที่อายุต่างกันตั้งสิบสามปีแบบนี้ แต่ยังไม่ทันเดินหาหญิงสาวพบ สาวใช้ก็มาเชิญเขาไปพบเจ้าของงานในห้องทำงานแบบที่อรรคไม่มีช่องทางให้ปฏิเสธ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นไม่นาน คนในห้องก็อนุญาตให้ชายหนุ่มผู้เป็นทายาทคนเดียวของอัครนันท์ แต่ไม่อยากเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นเข้าพบ
“มีอะไรครับ” อรรคยืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่หน้าประตูห้อง ไม่แม้แต่จะนั่งลงบนเก้าอี้รับแขก ทำตัวประหนึ่งว่าหากเข้าใกล้สตรีสูงวัยคนนี้จะทำให้เขาติดโรคร้ายแรง อีกฝ่ายก็รู้ดีว่าหลานชายคนเดียวคิดอะไร
“เป็นอะไรกับลูกสาวคุณชายพัชร” คนอาบน้ำร้อนมาก่อนถามตรงๆ ทำเอาอรรคสะอึกไม่น้อย แต่ก็เปิดปากพูดอย่างไม่คิดปิดบัง
“เราคบกันอยู่” คำตอบนั้นทำให้ชายหนุ่มเห็นแววตาไม่พอใจพาดผ่านสายตาของญาติผู้ใหญ่ทันที
“หวังสูงเหมือนแม่เราไม่มีผิด แต่ก็ยังดีที่ไม่ใฝ่ต่ำแบบพ่อ”
คำพูดเผ็ดร้อนทำเอาอรรคบดกรามแน่น นี่ขนาดพ่อแม่เขาตายไปหลายปี ผู้หญิงใจร้ายตรงหน้าก็ยังไม่รู้จักปล่อยวาง แถมยังล่วงเกินบุพการีของเขาอีก
“แล้วมีปัญหาอะไรครับ ผมทำให้คุณป้าหรืออัครนันท์เสื่อมเสียหรือไง ดีซะอีกที่ตระกูลที่คุณป้ารักหนักหนาจะได้ดองกับคนที่เหนือกว่าตัวเอง” ชายหนุ่มตอกกลับคนที่คิดว่าเหนือกว่าคนอื่นทุกอย่างแบบไม่ไว้หน้า เรื่องอะไรเขาต้องสนใจ นอกจากนามสกุลที่ต้องใช้ร่วมกัน เขาก็ไม่เห็นว่าเขากับผู้หญิงคนนี้มีอะไรต้องเกี่ยวพันกัน
“ระวังเถอะ คนเขาจะหาว่าแกจะฮุบทั้งราชสกุล ทั้งบริษัท” น้ำเสียงดูถูกปรามาสดังขึ้น “ยิ่งลูกสาวคุณชายยังเด็กแบบนั้น ไม่มีใครเขามองว่าแกรักเขาจริงหรอก...เอ หรือป้าจะเข้าใจถูกที่ว่าอรรคตั้งใจจะถีบตัวเองจริงๆ หวังจะเอาเลือดสีน้ำเงินมาเจือจางเลือดบ้านนอกของแม่หรือไง”
“หึ...”
อรรคหัวเราะในลำคอ เพราะคิดแบบนี้ไงคนแบบท่านผู้หญิงอัญชนาถึงไม่ประสบความสำเร็จในความรัก หย่าร้างกับสามีที่เหมาะสม ร่ำรวย เทียบเท่ากันทุกประการ แต่ไม่มีความรักความเข้าใจใดๆ ให้กันทั้งสิ้น แต่งได้ไม่ถึงปีก็ต้องหย่า กลายเป็นแม่ม่ายผัวทิ้งมาจนทุกวันนี้
“ผมว่าตอนนี้ความเป็นอัครนันท์ของผมมีค่าพอๆ กับของคุณป้านะครับ” ชายหนุ่มบอกด้วยความภูมิใจ และมั่นใจว่าชื่อเสียง ตำแหน่งหน้าที่ และการยอมรับในสังคมที่เขามีอยู่ทุกวันนี้เกิดขึ้นเพราะความรู้ความสามารถของเขา ทำให้อัครนันท์มีชื่อเสียงมากกว่าความเป็นตระกูลเก่าแก่ แต่กลับมีบทบาทในวงการธุรกิจ
ตอนนี้เขาเองไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาควรจะเป็นคนตอกหน้าผู้เป็นป้าหรือเปล่า ว่าอีกฝ่ายนั่นละกำลังได้ประโยชน์จากการที่เขาใช้นามสกุลอัครนันท์ เหตุผลเดียวที่เขายังใช้นามสกุลนี้อยู่ก็เพราะเป็นนามสกุลของบิดาเขาเช่นเดียวกัน เป็นสิ่งที่ยังทำให้เขาระลึกถึงท่านได้ตลอดเวลา
“อย่าทะนงตัวมากไปเลยตาอรรค” คนพูดมองคนที่มีสายเลือดครึ่งหนึ่งเหมือนกันด้วยแววตาว่างเปล่า อ่านความหมายไม่ออก “ลองแกไม่มีอัครนันท์ต่อท้าย คนก็คงมองผ่านแกไป ไม่เห็นหัวแม้แต่เงาหรอก”
“คุณป้ามีอะไรอีกไหมครับ” ชายหนุ่มที่รู้ตัวดีว่าน่าจะเหลือความอดทนอยู่เพียงเล็กน้อยถามโต้งๆ แต่ยังคงความสุภาพไว้
“ทำอะไรก็อย่าให้ใครมาครหาละกันว่าอัครนันท์หวังจะล่มเรือในหนองของวิริยา หลอกเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ” อีกฝ่ายบอกตรงๆ แบบไม่คิดถึงความรู้สึกคนฟังเช่นกัน
อรรคสบตาคนตรงหน้าแน่วแน่ แววตาแข็งกร้าวปรากฏชัด
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ” อรรค อัครนันท์ ยิ้มเยาะ “หรือถ้าคุณป้ากลัวมาก จะประกาศวันนี้เลยก็ได้นะครับว่าเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน จะได้ไม่ต้องมีปัญหามาฝืนใจฝืนยิ้มกันแบบนี้”
พูดจบชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก็หมุนตัวเดินออกไป ไม่หวังให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น และไม่รอคำตอบจากคนที่มีสายเลือดเดียวกับบิดาของเขา
อีกฝ่ายยืนกำมือแน่น นิ่งเพราะทั้งโกรธหลานชายคนเดียวที่พูดจาสามหาวใส่หล่อน ทั้งโกรธตัวเองที่กี่ครั้งๆ ก็ไม่เคยอดกลั้นความในใจเรื่องน้องสะใภ้ไว้ได้ ทำให้ทุกครั้งที่พบกันอรรคกับหล่อนมีอันต้องจบบทสนทนาด้วยการผิดใจกันอยู่ร่ำไป
...
อรรคเดินปรี่ออกมาจากบรรยากาศชวนขาดใจได้ก็สอดส่ายสายตาหาพชรหทัย สาวน้อยคนสวยของเขาที่ไม่รู้ป่านนี้งอนตุ๊บป่องไปอยู่ตรงไหน ละความไม่สบายใจที่เกิดจากญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ได้ในวินาทีเดียว เพราะไม่เคยคิดจะเก็บเอามาใส่ใจ แต่มองหาอยู่ไม่นานก็พบสาวร่างบางที่โดดเด่นออกมาจากผู้คนยืนหัวร่อต่อกระซิกกับชายหนุ่มที่ยืนหันหลังให้เขา เลยไม่ทันได้เห็นหน้าว่าเป็นใคร แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้อรรคโมโหขึ้นมาอีกได้ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เดินดุ่มเข้าหาหญิงสาว ยืนซ้อนหลังชายหนุ่มที่บังอาจมาคุยกับคนของเขา
“อย่างนี้ไว้ปราบกับเปรมกลับมา พี่จะแวะไปที่วังนะครับ” คนไม่รู้ชะตาตัวเองบอก และไม่ทันสังเกตด้วยว่าหน้าสวยของพชรหทัยที่ยิ้มแย้มกับเขาเมื่อครู่ฉายแววตกใจขึ้นครู่หนึ่ง ถึงจะไม่มากจนใครๆ สังเกตได้ แต่ก็ไม่สดใสแบบเมื่อครู่ที่ผ่านมา
“ยินดีค่ะ”
“พี่ขอเบอร์เป๊ปเปอร์ไว้ดีกว่า เผื่อจะได้ไว้โทร. ถามว่าสองคนนั้นจะกลับมาตอนไหน”
ข้ออ้างจีบสาวแบบเด็กๆ ของคนข้างหน้าทำเอาชายหนุ่มที่ยืนข้างหลังสูดหายใจเข้าลึกเต็มปอดเรียกความอดทนให้ตัวเอง ตาคมกริบจ้องพชรหทัยแบบวัดใจว่าเมื่อไรอีกฝ่ายจะเลิกคุย เลิกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใส่ผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่เขา แล้วก็พบว่าเด็กอายุสิบเจ็ดตรงหน้ากลับแสบกว่าที่คิด เพราะนอกจากเจ้าตัวปรับอารมณ์กลับมาได้เป็นปกติในชั่วพริบตาเดียวแล้ว ก็กลับไปยิ้มหวานให้คนอื่นอีกครั้งแบบไม่เกรงกลัวเขาแม้แต่น้อย
“เอาสิคะ” ทั้งสองยืนแลกเบอร์ติดต่อกันจนเสร็จสรรพ โดยที่ชายหนุ่มไม่ได้รู้เลยว่ามียักษ์ปักหลั่นยืนคุมเชิงวัดใจกับพชรหทัยอยู่ด้านหลัง ยังอุตส่าห์ทำตัวเจ้าชู้ไก่แจ้ใส่คนมีเจ้าของแล้วอีก
“แล้วนี่เป๊ปเปอร์มายังไง ให้พี่ไปส่งไหมครับ”
ยังไม่ทันที่คนกลางอย่างหม่อมหลวงแสนสวยของวังวิริยาจะได้ตอบ คนที่เป็นคนพาหล่อนมาก็โพล่งขึ้นแบบหมดความอดทน ยืนดูมันฟังมันอ้อร้อกับแฟนเขามานานพอแล้ว หมดเวลาสนุก...
“คงไม่จำเป็นครับ เป๊ปเปอร์มากับผม”
คนที่สูงพอๆ กับเขาหันกลับมามองหน้า หน้าตาหล่อเหลาเอาการเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ก็มีมารยาทพอที่จะไม่แสดงอาการใดๆ และยกมือไหว้เพราะรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายมีวัยมากกว่า รับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่คืออะไร แต่ยังไม่วายทิ้งเชื้อไว้ให้คนทั้งคู่ได้มีเรื่องขัดใจกัน
“งั้นพี่ไม่แย่งเป๊ปเปอร์กับใครดีกว่า ไว้เป๊ปเปอร์ว่างเมื่อไหร่ค่อยแบ่งเวลาให้พี่นะครับ” คำพูดกำกวมเล่นเอาอรรคอึ้งไปพักใหญ่ เห็นหน้าอ่อนๆ ไม่น่าแก่กว่าพชรหทัยมาก แต่ท่าทางเขี้ยวเล็บจะไม่ใช่ย่อย “พี่ไปก่อนนะครับ ท่านพ่อคงรอเสด็จกลับวังอยู่”
พอบุคคลที่สามปลีกตัวออกไปได้ อรรคที่อุตส่าห์ละความหงุดหงิดจากญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ก็กลับต้องของขึ้นอีกรอบเพราะพชรหทัย คนสองคนที่ยืนจ้องตาวัดใจกันอยู่ไม่มีคำพูดหรือกิริยาอะไรที่บ่งบอกว่าต่างฝ่ายต่างคิดอะไร จนเป็นอรรคเองที่ทนไม่ไหว เดินเข้าไปช้อนหลัง กระซิบข้างๆ หู ก่อนจะแตะเอวบางให้ออกเดิน มีหวังยืนอยู่ตรงนี้ต่ออีกสักวินาที เขาคงได้ปล้ำจูบพชรหทัยแสดงความเป็นเจ้าของแบบขาดสติแน่ๆ
“กลับครับ” เสียงห้าวเอ่ยเรียบๆ พอกับหน้าตาไร้อารมณ์ของเขา
อีกฝ่ายก็หมดอารมณ์จะอยู่ในงานต่อ หล่อนไม่ได้รู้จักใครเลย ที่บังเอิญเข้ามาคุยเมื่อกี้ก็เป็นรุ่นพี่ของญาติ ที่เข้ามาทักเพราะเห็นว่าหน้าตาคล้ายญาติสาวผู้พี่ที่เป็นลูกสาวของน้องชายคุณพ่อ เลยพานพูดคุยถามไถ่ถึงญาติๆ รวมถึงพี่ชายฝาแฝดทั้งคู่ของหล่อนที่ต่างย้ายไปร่ำเรียนต่างประเทศ ฝ่ายโน้นเองก็ร่ำเรียนอยู่กับญาติหล่อนด้วย เลยพูดคุยกันด้วยความสนิทสนมพอตัว แต่พอต้องกลับมาเจอ ‘คนรัก’ ที่เพิ่งหาเรื่องหงุดหงิดกันไป พชรหทัยก็หมดอารมณ์จะฝืนหน้าปั้นยิ้มอยู่ในงานสังคมที่ไม่รู้จักใครเหมือนกัน จึงออกเดินตามที่ชายหนุ่มบอกอย่างไม่ถือพยศใดๆ ไม่ใช่ว่ายอมเขาหรอกนะ....
ยนตรกรรมหรูหราเคลื่อนตัวออกมาจากบ้านท่านผู้หญิงอัญชนาได้พักใหญ่ อรรคก็คว้ามือคนที่นั่งข้างๆ มากุมไว้แบบไม่พูดพร่ำทำเพลง บีบแน่นๆ จนหญิงสาวนิ่วหน้า
“อะไรคะ...ปล่อยมือเปอร์นะ เจ็บค่ะ” เสียงหวานแหวคนข้างๆ ถึงแม้ตกลงปลงใจศึกษากับเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมาถึงเนื้อถึงตัวตามใจชอบแบบนี้ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความพอใจของหล่อนด้วยทั้งนั้น
“ไม่ปล่อยครับ” อีกคนตอบเสียงเรียบ ตามองที่ถนน แต่มือคลายออกเล็กน้อย รู้ดีว่าเมื่อครู่ลงแรงกับพชรหทัยมากไปหน่อย นิ้วเรียวจึงเกลี่ยที่ข้อมือเบาๆ เป็นการปลอบประโลม “ขนาดปล่อยไปแป๊บเดียว หนุ่มที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามาเลย”
“ก็ช่วยไม่ได้นิคะ” พชรหทัยยักไหล่ตอบระหว่างพยายามดึงมือออกจากมือเขา ทว่าชายหนุ่มกลับยกมือบางขึ้นจูบ พร้อมใช้ปลายคางถูไถพอให้เกิดความหวั่นไหว
“ช่วยไม่ได้ได้ไง เป๊ปเปอร์เป็นของพี่นะครับ” สิ้นประโยคนั้นพชรหทัยก็หน้าแดงก่ำเพราะประโยคแสดง ความเป็นเจ้าของของเขา
“เปอร์ไม่ได้เป็นของใครนะคะ อย่ามาพูดแบบนี้” ถึงจะสะบัดเสียง แต่อรรคที่ผ่านโลกมามากกว่าก็รับรู้ ได้ว่ามีความเขินปะปนอยู่ จนอดอมยิ้มไม่ได้ อารมณ์ที่ขุ่นมัวคลายไปเกือบครึ่งพอได้เห็นหน้าสวยมีสีเลือดจากความอายแต่งแต้มทั่วหน้า
“เป็นสิครับ เปอร์เป็นของพี่ อีกหน่อยเรียนจบก็เป็นภรรยาพี่นะครับ” คนพูดบอกหน้าตาเฉยราวกับพูดเรื่องกำหนดการทำงานในวันปกติ ไม่นำพาต่อท่าทางตื่นตะลึงของหญิงสาว ซึ่งถึงไม่ได้หันไปมอง แต่ก็รู้ว่าต้องกำลังออกอาการอยู่แน่ๆ
“บ้า!” พชรหทัยยิ่งหน้าแดงขึ้นเป็นสองเท่า
ชายหนุ่มที่อารมณ์เสียเมื่อครู่หัวเราะออกเสียงเสียลั่นรถ ตาคมเป็นประกายระยับ ลืมเรื่องขุ่นเคืองหึงหวงหนุ่มน้อยหน้าตาดีคนนั้นเสียหมดสิ้น
“ไม่บ้าละครับ” อรรคถอนใจแบบพอใจ เขายอมหมดละ ให้เขาเป็นคนผิดคนง้อไปทั้งชาติก็ได้ แค่มีคนนี้อยู่ข้างๆ เชื่อมั่นกัน พร้อมที่จะผ่านปัญหาทุกอย่างไปด้วยกัน แค่นั้นเขาก็มีพลังพอจะทำได้ทุกอย่าง “พี่ขอโทษเรื่องที่พูดที่งาน พี่ไม่ได้ตั้งใจจะหมายความแบบนั้น” เสียงเปล่งหัวเราะ เมื่อครู่เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น “มันเป็นจิตใต้สำนึก...” คนตัวโตยอมรับตามความจริง “ไม่งอนพี่แล้วนะครับ”
ฝ่ายคนโดนง้อก็เชิดหน้าขึ้นนิดๆ ความน้อยใจที่เกิดขึ้นจากในงานลดลงฮวบ เพียงเพราะเขาไม่ท่ามาก ยอมเอ่ยคำขอโทษแต่โดยดี แต่ก็ยังไม่วายหาเรื่องป่วนเขา “ไม่ค่ะ เปอร์จะงอน เพราะคุณอรรคพาเปอร์กลับทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทานอะไร ต้องพาเปอร์ไปกินข้าวก่อนนะคะถึงจะหายโกรธ”
มีเหรอที่คนอย่างอรรคจะขัดใจพชรหทัย แค่อีกฝ่ายบอกหิว เขาก็แทบจะลนลานจอดรถหาอะไรให้อีกคน กินรองท้อง เพราะกว่าจะถึงร้านที่ตั้งใจจะพาเจ้าตัวไปคงใช้เวลาอีกพักใหญ่ แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าน้อยๆ บอกว่าอยากเก็บท้องรอกินอาหารทีเดียว
“หิวมากไหมครับ พี่ไม่ชอบเลยที่เป๊ปเปอร์ทานข้าวผิดเวลาแบบนี้ อนุญาตวันนี้วันเดียวนะครับ” อรรคมองคนตรงหน้าแบบคาดโทษ บ่นชุดใหญ่ใส่หญิงสาวหลังจากสั่งอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“แหม นี่มันเลยเที่ยงมาแค่สิบนาทีเองนะคะ” พชรหทัยก้มมองนาฬิกา ก่อนจะพบว่าไม่ได้ผิดเวลามากมาย
“ก็แล้วกว่าอาหารจะมา มันจะเลยไปอีกกี่นาทีล่ะครับ เลยเวลาแบบนี้เสียสุขภาพหมด” เสียงห้าวทอดอ่อนอย่างเอาใจใส่เจือดุเล็กน้อย
พชรหทัยได้ยินแบบนั้นก็อดค้อนชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามไม่ได้
“เปอร์คงไม่ตายลงไปเพราะทานข้าวช้าหรอกค่ะ” เสียงหวานสะบัดสะบิ้ง “นี่เปอร์ว่าเปอร์เยอะแล้ว แต่คุณอรรคนี่เรื่องเยอะเว่อร์ ใครอยู่ด้วยปวดหัวตาย จะเนี้ยบไปไหนคะ” หญิงสาวอดบ่นไม่ได้ โดยไม่ได้รู้เลยว่านิสัยของตัวเองกับชายหนุ่มวัยสามสิบนั้นเหมือนกันอย่างกับแกะ เรื่องมาก ละเอียดลออ ใส่ใจรายละเอียดไปเสียทุกเรื่อง จะมีก็แต่คนประเภทเดียวกันเท่านั้นละที่จะอยู่ด้วยกันได้
“เราก็อยู่กับพี่ได้นิ ไม่เห็นมีปัญหานิครับ เหมาะกันแล้ว” อรรคบอกยิ้มๆ เขาชินเสียแล้วกับคำกระแนะกระแหนว่าเขาเป็นคุณชายระเบียบ เคยคิดเล่นๆ สมัยยังไม่เจอพชรหทัยด้วยซ้ำว่าในโลกนี้คงไม่มีใครทนนิสัยของเขาได้ แฟนเก่าหลายคนที่เลิกกันไปก็เพราะทนความเจ้าระเบียบของเขาไม่ได้นี่ละ แต่พอมาเจอ สาวน้อยคนนี้ นอกจากหน้าตาที่สวยจนเขาถูกตา แล้วใครจะไปคิดว่า ลักษณะนิสัยของเจ้าตัวยังคล้ายเขาจน ชุดาเลขาฯ ออกปากแซ็ว
“‘ดีนะคะ มีคุณเป๊ปเปอร์มาช่วยรับความเยอะของคุณอรรคไป ชุดาสบายขึ้นเยอะ ไม่งั้นวันๆ งานไม่เสร็จสักอย่าง” ผู้ช่วยวัยมากกว่าสาธยายระหว่างเอาเอกสารเข้ามาให้ท่านประธานแห่งวิริยะทรัพย์เซ็น “นี่เด็กฝึกงานคุณชายก็ละเอียดเว่อร์พอกัน มิน่า ทำงานอะไรส่งคุณอรรคแทบไม่แก้ อยู่กันไปสองคนอย่ามายุ่งกับชุดาทั้งคู่อ้ะดีแล้วค่ะ ทนกันได้ก็อยู่กันไปนะคะ ชุดาไปละ”
พชรหทัยได้ยินแบบนั้นก็อดหัวเราะคิกคักไม่ได้ จริงอย่างเขาว่า ที่ไม่หงุดหงิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ดั่งใจก็คงเป็นเพราะเรื่องมากพอกัน
“ก็ดีแล้วไงคะ...ที่เราพอมีอะไรใกล้กันบ้าง ไม่ใช่ห่างกันไปหมด” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ บรรยากาศหวานๆ ของคู่รักหมาดๆ ก็เป็นอันต้องชะงักไป เพราะบุคคลที่สามเข้ามาทักทาย
“อรรคคะ วันเสาร์ยังต้องฝึกงานกันด้วยเหรอคะ”
เสียงไม่เบาจากอิงอรเล่นเอาหน้าสวยของพชรหทัย ที่ยิ้มแย้มอยู่เมื่อครู่จืดเจื่อนลง แต่ก็ยังยกมือทำความเคารพอาจารย์ของตน
“อ้าวอร”
หม่อมหลวงคนเล็กสุดของคุณชายพชรฉัตรเงยหน้ามองอรรคที่ทำหน้านิ่ง รับรู้ได้ว่าเขาไม่พอใจที่มีคนมาแทรก แต่จะให้ชักสีหน้าหรือออกปากไล่ก็คงไม่เหมาะ สุภาพบุรุษในสายเลือดเลยออกปากถามคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนตามมารยาท
“มากับใครครับ”
“อรมากับเพื่อนสมัยมัธยม พอดีมีคนจะแต่งงานเลยนัดมาเจอกัน แล้วอรรคล่ะคะ” ตาของผู้มาใหม่ปรายมองที่เด็กสาววัยสิบเจ็ดอีกครั้ง “มากับพชรหทัยสองคนเหรอ ไปไหนกันมาคะ” คำถามสอดรู้สอดเห็นดังขึ้นพร้อมแววตาไม่พอใจ
“ไปบ้านคุณป้าผมกันมาครับ”
คำตอบตรงๆ ของอรรคที่ต้องการให้อิงอรรับรู้สถานะพิเศษของพชรหทัยกลายๆ ยิ่งทำให้อาจารย์คนสวยเม้มปากแน่น หล่อนรู้จักกับอรรคมาเป็นสิบๆ ปี ไม่เคยสักครั้งที่จะได้เข้าใกล้เขา อย่าว่าแต่ญาติผู้ใหญ่เลย บ้านเขา คอนโดเขาทั้งที่ต่างประเทศและประเทศไทย หล่อนไม่เคยได้เห็นชายคาสักครั้ง แต่นี่หม่อมหลวงพชรหทัยมาแรงแซงทางโค้งตั้งแต่เมื่อไร ถึงได้รับสิทธิ์เข้าไปกราบท่านผู้หญิงอัญชนาในบ้านอัครนันท์แบบนั้น
“วันหลังไปอีกชวนอรด้วยสิคะ ไม่เคยกราบท่านผู้หญิงเลย รู้จักกับอรรคมาเป็นสิบปีแล้วแท้ๆ”
อรรคสูดหายใจลึกๆ รู้ดีว่าสิ่งที่อิงอรต้องการคืออะไร ตัดสินใจว่านี่น่าจะถือเป็นหนึ่งคนที่ควรบอกเพื่อให้เกียรติพชรหทัยตามที่ได้ตกลงกับหม่อมราชวงศ์พชรฉัตร บิดาของหญิงสาวไว้
“ไม่เหมาะหรอกครับ อรเองก็ทราบว่าผมไม่คุ้นเคยกับท่าน แต่ที่ไปเพราะเป็นวันเกิดท่าน”
“ก็ยิ่งเป็นวันเกิดยิ่งดีใหญ่ ปีหน้าอรขอไปด้วยนะคะ” คนที่ร้อนรุ่มไปหมดเพราะความอยากเป็นเจ้าของดันทุรังขอร้องแบบไม่เขินอายใดๆ ทั้งสิ้น แต่อีกฝ่ายก็ไม่นำพา
“ถ้าไม่จำเป็นผมยังไม่อยากจะเข้าไป นับประสาอะไรกับจะพาเพื่อนพาคนรู้จักไปแนะนำกับคุณป้า”
อิงอรยิ่งหน้าซีดเผือด ชาเห่อร้อนไปหมดเมื่อได้ยินสถานะที่เขาวางหล่อนไว้ชัดๆ แต่ยังทำใจดีสู้เสือ “แหม ก็ทีเด็กฝึกงานยังพาไปได้ แล้วนี่อรนะคะ”
เสียงของเพื่อนผู้หญิงที่สนิทที่สุดยังนิ่งเรียบ ถึงแม้แววตาจะสั่นระริกเพราะความรู้สึกที่หลากหลาย
“ผมไม่ได้พาเป๊ปเปอร์ไปในฐานะเด็กฝึกงานนะครับ ผมพาเขาไปเพราะผมกับเขาดูใจกันอยู่”
สิ้นประโยคนั้นพชรหทัยก็เบิกตากว้าง ไม่คิดว่าเขาจะพูดเรื่องแบบนี้ออกมาตรงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอาจารย์ของหล่อน ในขณะที่คนฟังก็ดูช็อกไปไม่ต่างกัน สำลักคำถาม แต่ก็ต้องถามให้จบประโยค
“อะ...อะ อะไรนะคะอรรค! ล้อกันเล่นหรือเปล่า”
“คุณได้ยินถูกแล้วอร ผมกับเป๊ปเปอร์ดูใจกันอยู่ ยังไงเชิญอรสนุกกับเพื่อนๆ เถอะครับ ผมไม่กวนแล้ว”
ประโยคไล่ทางอ้อมของชายหนุ่มทำเอาอิงอรพยักหน้าน้อยๆ ทั้งช็อก ทั้งหึง ทั้งอาย และหมั่นไส้พชรหทัยยิ่งนัก แต่คนที่มีวัยวุฒิ มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ดีกว่าจำต้องพยักหน้ารับ ทำเป็นเข้าอกเข้าใจทุกอย่าง ไม่ได้ยอมแพ้ ไม่ได้ยอมให้ แต่ขอ...ขอเวลาไปตั้งหลักก่อน ยิ้มมารยาทถูกคลี่ออกทั้งๆ ที่น้ำตาท่วมอก
“ดีใจกับอรรคด้วยนะคะ ไว้เราคุยกันใหม่ พชรหทัย” ท้ายประโยคอิงอรหันมาเรียกชื่อหญิงสาวเป็นการอำลา พยักหน้าให้สาวน้อยคนสวยที่หยิบชิ้นปลามันชิ้นที่หล่อนจ้องมาเป็นสิบๆ ปีไปครอง แววตาฉายชัดถึงความไม่พอใจ
พชรหทัยย่นคอหนี ก่อนจะกระซิบถามอรรคเบาๆ แบบที่พอได้ยินกันสองคน “คุณอรรคเป็นแค่เพื่อนกับอาจารย์อรจริงๆ เหรอคะ”
อรรคพยักหน้าทั้งๆ ที่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ใช่สิ เป็นแค่เพื่อน มีอะไรครับ”
“ก็สายตาที่อาจารย์มองเปอร์ มองเหมือนโดนแย่งแฟนไปยังไงยังงั้น นี่ไม่ใช่เขาแอบรักคุณอรรคอยู่ แล้วจะมาพานหึงจนทำเปอร์เรียนไม่จบนะคะ”
คำบ่นแบบไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของพชรหทัยทำเอาอรรคชะงัก ลืมคิดไปทันทีว่าคำพูดที่พูดเพราะอยากจะให้เกียรติหญิงสาว ไม่อยากปิดบังความสัมพันธ์นั้นอาจนำมาซึ่งปัญหาอะไรในอนาคตได้บ้าง
“ไม่หรอก อรเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว” ชายหนุ่มปฏิเสธ “เขาไม่คิดอะไรเด็กๆ แบบนั้นหรอก”
ประโยคที่พูดเพื่อให้หญิงสาวสบายใจกลับทำเอาพชรหทัยรู้สึกเหมือนกับว่าเขาปกป้องเพื่อนและดูถูกความคิดของหล่อน จึงพานรวนเขาขึ้นมาเสียดื้อๆ
“ค่ะ มีแต่เปอร์นี่แหละค่ะที่เป็นเด็ก คิดอะไรเด็กๆ”
เสียงกระเง้ากระงอดของพชรหทัยทำให้อรรครับรู้ได้ว่าหญิงสาวออกอาการกับเขาอีกแล้ว หน้าหล่อจับจ้องคนสวยตรงหน้าที่ตอนนี้ เสมองชมนกชมไม้ทางอื่น ไม่ยอมหันหน้ามาให้เขาชื่นชมเลยสักนิด
“ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย ทำไมวันนี้คนสวยของพี่ขี้งอนแบบนี้” อรรคส่ายหน้าน้อยๆ อย่างระอาความแสนงอน ของเจ้าตัว นึกเอ็นดูมากกว่ารำคาญ
“เปอร์ไม่ได้งอน เปอร์พูดตามความจริง” หญิงสาวตอบตาใส ยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ เริ่มตักอาหารที่เพิ่งมาเสิร์ฟร้อนๆ เข้าปาก “เราอายุห่างกันตั้งสิบสามปี บางทีเปอร์ก็อดคิดไม่ได้หรอกค่ะว่าวิธีคิดเราคงไม่เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งเราอาจจะเข้ากันไม่ได้ ถ้าวันไหนคุณอรรครับไม่ได้บอกกันนะคะ อย่ามาฝืน”
“ชอบพูดแบบนี้จัง คิดว่าพี่ไม่คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยตกลงคบกับเราเหรอ เอะอะก็คิดว่าจะไปกันไม่รอด คิดไหมครับว่าพี่จะรู้สึกอย่างไร” คนที่ทำใจเย็นมาตลอดเริ่มไม่พอใจบ้าง คิ้วเข้มขมวดมุ่นจนหัวคิ้วชนกัน เขาตระหนักดีเรื่องช่องว่างระหว่างเขากับพชรหทัย แต่ก็คิดไว้เสมอเช่นกันว่าความรักระหว่างคนสองคนจะพาพวกเขาทั้งคู่ก้าวผ่านอุปสรรคปัญหาได้
แต่หลายๆ ประโยคเมื่อครู่คนตรงหน้ากลับดูไม่มั่นใจและพร้อมจะปล่อยมือจากเขาตลอดเวลา ก็ทำเอาอารมณ์หวานของชายหนุ่มชะงัก สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เหมือนเวลาอยู่กับคนอื่น ไม่มีเค้าผู้ชายใจดีที่ชอบอ้อนชอบหยอดให้พชรหทัยหวั่นไหว
ฝ่ายหญิงสาวได้ยินชายหนุ่มพูดแบบนั้นก็อึ้งไป ไม่คิดว่าปมเล็กๆ ในใจหล่อนกับความตรงที่ทำให้พูดออกไปโดยไม่ทันคิดจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจได้ขนาดนี้ เลยได้แต่นั่งเงียบ ไม่พูดอะไรอีกตลอดมื้ออาหาร จากบรรยากาศที่ควรหวานกลับกลายเป็นขุ่นมัวไปในทันที
ความคิดเห็น |
---|