6

ตอนที่ 6


และไม่มีสิทธิ์จะรู้สึกกับสามีคนอื่นอย่าที่เธอรู้เคยสึกกับพี่แทนเลย… 

เวียงดาวพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคนเป็นแม่ถึงห่วงลูกนัก ก็แค่เธอไปเยี่ยมที่บ้านไม่ถึงยี่สิบนาที สองพ่อลูกก็ทะเลาะกันให้ดู แค่ยี่สิบนาทียังขนาดนี้ ถ้าอยู่ด้วยกันทั้งวัน ทุกวัน พ่อลูกคู่นี้จะเป็นอย่างไร

                แค่คิดก็สยองแล้ว…

หญิงสาวถึงกับห่อไล่หดแล้วพยายามลบภาพในจินตนาการทุกอย่างทิ้ง ปลอบตัวเองว่าอะไรๆ มันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่เธอคิดก็ได้ แต่จะเป็นแค่ปลอบหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะวันที่พาปลายรุ้งออกมาเรียนพิเศษนั่น เด็กสาวยังหน้ามุ่ยหน้าบูด ซ้ำพอไปเล่าให้ชยาตาฟัง คนเป็นแม่ก็ยังถอนหายใจแรง แต่ชยาตาทำได้เพียงบ่นว่าเมื่อไหร่เพื่อนที่เป็นตำรวจจะช่วยหาหลักฐานมาจับตัวคนร้ายได้เสียที ไม่อย่างนั้นคงออกจากที่ซ่อนไม่ได้ สองพ่อลูกจะเป็นอย่างไรต่อก็ไม่รู้

หากมองในมุมของเธอ ปลายรุ้งในตอนนี้ต้องการที่ปรึกษา ไม่ใช่ต้องการคนมาบอกว่าให้ทำอะไรบ้าง เด็กกำลังมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ทรงพิทักษ์สั่งเอาๆ อย่างนั้น ก็ไม่รู้เลยว่าจะทะเลาะกันจนแตกหักวันไหน เกิดขัดใจกันมากเข้า อาจเป็นปัญหาตามมาภายหลัง แล้วยิ่งมาคิดว่าแม่ตาย เด็กสาวก็อาจรู้สึกว่าไร้ที่พึงพิงจนหนีเตลิดไปเลยก็ได้

แต่เธอจะไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นแน่ เพราะหากเกิดขึ้นจริงก็น่าสงสารชยาตาแย่ ไหนจะถูกตามฆ่า ไหนจะสามีกับลูกทะเลาะกันจนเรื่องบานปลาย คนที่ทำเพียงหลบซ่อนจากฆาตกรคงอกแตกตายไปก่อน เธอจะต้องช่วยเหลือให้สุดกำลัง ได้ช่วยเพื่อนอย่างนี้ มันก็เป็นความรู้สึกที่ดีสำหรับเธอ

“เวียงดาวจ๋า”

หญิงสาวดึงตัวเองกลับมาจากความคิดมากมายในสมอง แล้วมองคนที่นั่งกินข้าวเช้าอยู่ด้วยกันในยามสายของวันหยุดสุดสัปดาห์ ชยาตาอยากได้อะไรเธอก็อาสาซื้อมาให้เพราะต้องลงไปซื้ออาหารของตัวเองอยู่แล้ว และตั้งวันแรกที่สาวสวยเข้ามาขอความช่วยเหลือ หัวเดียวกระเทียมลีบจากต่างจังหวัดอย่างเธอก็มีเพื่อน แม้จะออกไปไหนด้วยกันไม่ได้ แต่ยามอยู่ในห้องพัก ชยาตาก็เป็นเพื่อนที่น่ารักของเธอเหมือนเดิม

“ช่วยอะไรพี่หน่อยสิ”

“หืม?” เผลอนึกชมอยู่ไม่เท่าไหร่เวียงดาวก็เริ่มเสียวสันหลังขึ้นมาแปลกๆ เพราะรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความหวังนั่น “อะไรคะพี่ติ๋ว”

“ฝากเงินไปให้ปลายรุ้งเรียนร้องเพลงหน่อยนะ”

“อ้าว ทำไมพี่ไม่โอนเข้าบัญชีลูกสาวพี่ไปเลยล่ะคะ” ถึงจะรู้ว่าชยาตาอยากจัดการเรื่องที่เธอเล่าให้ฟังเมื่อคืนวานแต่หญิงสาวถามอย่างไม่เข้าใจ “หรือปลายรุ้งยังไม่มีบัตรเอทีเอ็ม”

“มีแล้วจ๊ะ แต่โอนไม่ได้หรอก ขืนปลายรุ้งเห็นคนโอนเงินให้ ได้สงสัยหมดกันพอดี ลูกสาวพี่แกฉลาดนะ”

“แล้วพ่อเขาจะไม่ว่าเหรอคะ” เวียงดาวยังอดถามไม่ได้ “วันนั้นก็ยังพูดอยู่เลยว่าไม่ยอมให้ปลายรุ้งไปเรียนร้องเพลง”

“ก็เพราะไม่ยอมนี่แหละ พี่ถึงต้องรบกวนเวียงดาว” คนเป็นแม่บ่นหน้ายุ่ง “พอรู้ข่าวพี่ก็โทรไปคุยกับเขาแล้วนะ แต่พูดยังไงก็ไม่ยอมให้เรียน”

“แล้วทำอย่างนี้พี่แทนจะไม่โกรธแย่เหรอคะ”

“เขาไม่รู้หรอกว่าปลายรุ้งจะไปเรียนอะไรบ้าง งานยุ่งจะตายไป วันๆ อยู่โรงพยาบาลมากกว่าอยู่ที่บ้านเสียอีก”

เวียงดาวถอนหายใจปลงๆ แต่ไม่เข้าใจเลยว่าคนอะไรจะงานยุ่งปานนั่น ขนาดลูกหายไปไหน ทำอะไร จะไม่รู้เชียวหรือ แต่พอคิดไปคิดมา ทรงพิทักษ์ไม่ใช่แค่แพทย์ธรรมดาของที่นั่น แต่เป็นลูกเขยเจ้าของโรงพยาบาลด้วย งานไม่ยุ่งสิถึงจะแปลก

ลูกเขยเจ้าของโรงพยาบาล

คำนี้เหมือนลูกศรปักลงกลางอกจนเวียงดาวทั้งเจ็บทั้งจุก มองหน้าชยาตาอีกรอบด้วยความอิจฉาที่กรุ่นขึ้นมาในใจ อยากรู้ว่าทำไมเธอถึงไม่โชคดีอย่างนี้บ้าง ได้รักกับคนที่ตัวเองรัก คงสุขหัวใจเหลือเกิน

แต่สุดท้ายหญิงสาวก็พยายามตัดความรู้สึกนั้นออกจากหัวใจ เพราะมันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ตอนนี้คงทำได้ดีที่สุดแค่ช่วยเขาดูแลลูกสาวไปเรื่อยๆ จนกว่าครอบครัวของทรงพิทักษ์จะกลับมาพร้อมหน้า ให้มีความสุขกับลูกและภรรยาเพราะนั้นก็คงเป็นความสุขของเธอเหมือนกัน

ถึงจะไขว้คว้ามากอดไว้ไม่ได้ แค่เห็นเขายิ้มก็เป็นสุขใจแล้ว ส่วนความรู้สึกที่เธอมี มันก็ต้องเป็นความลับต่อไป แต่จะเลือนหายไปจากหัวใจหรือไม่ เวียงดาวก็ยังไม่รู้เลย

 

เวียงดาวไม่รู้ว่าในห้องของคนที่ซ่อนตัวอยู่มีเงินสดมาอยู่มาแค่ไหน แต่เท่าที่เห็นใส่มือเธอฝากเป็นค่าเรียนร้องเพลงของลูกสาวก็มากพอดู โดยให้อ้างว่าเพื่อนคุณแม่ให้ยืมเงิน

เธอมาดักรอปลายรุ้งที่ร้านกาแฟเจ้าประจำของเด็กสาวตอนบ่ายแก่ๆ ในวันอาทิพย์… เวียงดาวก็พอจะคุ้นๆ กับร้านนี้เพราะตั้งแต่เธอมาอยู่กรุงเทพฯ ก็ใช้ที่นี่นัดคุยงานกับลูกค้าบ่อยๆ เพราะมันอยู่ในย่างชุมชนเป็นที่รู้จักของหลายๆ คน และถึงจะมาเรียนเพิ่มทักษะแต่นักวาดภาพประกอบคนนี้ก็ทำงานไปด้วย เงินจะได้ไม่ขาดมือ และถึงเธอจะเหนื่อยกับงานแต่ไม่เคยเหนื่อยใจเพราะมันเป็นงานที่รัก และงานล่าสุดที่ได้มา ก็ทำให้เธอได้รางวัลพิเศษให้ตัวเองอีกด้วย

“น้าเวียงดาว!”

ไม่ทันจะได้แกะกล่องรางวัลของตัวเอง เวียงดาวก็ถึงกับทำหน้าเหลอหลาเพราะได้ยินเด็กสาวร้องทัก แล้วยังยิ้มให้เธอพร้อมเดินเข้ามาหาอีกต่างหาก แต่ถึงเธอจะยิ้มให้หญิงสาวก็ยังเจ็บใจตัวเอง ทั้งที่มาดักรอเจอปลายรุ้งแท้ๆ แต่มัวเห่อของเล่นจนเกือบไม่ได้ทำธุระให้ชยาตา

“ทำอะไรอยู่เหอรคะ” ปลายรุ้งเดินเข้ามาหา “หรือนัดลูกร้านที่ร้านนี้”

“มาดื่มกาแฟเฉยๆ จ้ะ”

เวียงดาวตอบอย่างเป็นกันเอง เพราะหลังจากที่พาปลายรุ้งออกมาเรียนพิเศษเมื่อวาน ก็ได้แนะนำตัวบ้างแล้วว่าเป็นใคร ทำอะไร และสนิทกับแม่ของเด็กสาวมากแค่ไหน และโชคดีที่ปลายรุ้งถูกชะตากับเธอ ไม่อย่างนั้นคงเข้ามาช่วยเหลือดูแลกันลำบาก

“ว่าแต่ปลายรุ้งเลิกเรียนแล้วเหรอ”

“เลิกแล้วค่ะ รอคุณพ่อมารับน่ะ” พูดถึงพ่อแล้วปลายรุ้งก็หน้าบูดพิกล “จะมาตอนไหนก็ไม่รู้ เมื่อกี้โทรหาก็บอกว่าอยู่ที่ทำงานอยู่เลย นี่จะถ้าช้ามีหวังไม่ทันนัดแน่ๆ”

“ทำงานหนักเหรอจ๊ะ”

เวียงดาวหลุดปากถามแต่ก็เพิ่งคิดได้ว่าชยาตาเคยบอกว่าสามีบ้างานจนแทบไม่มีเวลาให้ลูก หญิงสาวก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ออกไปแก้เก้อ

“หนักมั้งคะ ไม่รู้ แต่ปลายรุ้งก็ชินแล้วแหละ”

เด็กสาวทำปากยื่นแล้ววางแก้วชาเขียวชมสดลงบนโต๊ะเป็นอันว่าจะนั่งกับเธอ แต่เวียงดาวก็ไม่เกี่ยงเพราะนี่เป็นสิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว แต่ว่าจะเกริ่นเข้าธุระอย่างไร ลูกสาวของชยาตาจึงจะรับเงินที่แม่ฝากเธอมาให้อย่างไม่สงสัยหรือตะขิดตะขวงใจ

“ว้าว! น้าเวียงดาว” ไม่ทันที่เวียงดาวจะคิดอะไรออก เด็กสาวก็ร้องทักแล้วมองของในมือเธออย่างอัศจรรย์ใจ “นี่มันกล่องโมลเดลของ ‘ซากุระ มือปราบไพ่ทาโร่’ นี่คะ”

“อ๋อ จ้ะ” เวียงดาวก้มมองของในมือตัวเองแล้วยิ้มเขินๆ กับของเล่นที่เพิ่งซื้อมา “น้าสะสมอยู่น่ะ”

“ชอบตัวนี้เหรอคะ หรือว่าเล่นหลายตัว”

“จริงๆ การ์ตูนญี่ปุ่นก็ชอบหลายตัวนะ” หญิงสาวคุยกับปลายรุ้งอย่างถูกคอ “แต่ชอบตัวนี้ที่สุด สงสัยอยากไปปราบเหล่าร้ายกับซากุระล่ะมั้ง”

“สวยแล้วยังใจดีอีกนะคะ”

ปลายรุ้งหัวเราะร่วนจนเธอยิ้มตามได้ไม่ยาก มองลูกสาวของชยาตาแล้วก็รู้สึกว่าสองแม่ลูกช่างหน้าตาเหมือนกันเหลือเกิน หากปลายรุ้งโตเป็นสาวสะพรั่นคงสวยไม่แพ้แม่ นี่ให้เข้าวงการไปเป็นดาราได้ชั้นนางเอกหรือไม่ก็นางร้ายตัวเด่น… เสียอย่างเดียวคือพ่อหวง สงสัยจะอดเข้าวงการแน่นอนถ้าทรงพิทักษ์ไม่เปลี่ยนใจ

“ปลายรุ้ง น้าถามอะไรหน่อยสิ”

นึกถึงพ่อของปลายรุ้ง หญิงสาวก็นึกถึงธุระที่ตัวเองตั้งใจมาในวันนี้ แต่คงพูดอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้ จึงต้องหาทางเกริ่นก่อน

“เรื่องเรียนร้องเพลง คุณพ่อว่ายังไงบ้างจ๊ะ เปลี่ยนใจหรือยัง”

“ยังเลยค่ะ” ปลายรุ้งถึงกับเบ้ปาก “แต่ยังไงปลายรุ้งก็จะเรียนอยู่ดี”

“หืม? แล้วจะเอาเงินค่าเรียนมาไหน”

เวียงดาวถามอย่างสงสัย แต่พอคิดไปคิดมา นี่มันก็เข้าทางเธอแล้วนี่น่า รีบเสนอเลยจะดีกว่า

“เอาอย่างนี้ไหมจ๊ะปลายรุ้ง พอดีน้าเพิ่งได้เงินค่าวาดรูปมา ยืมน้าก่อนไหม ช่วงนี้น้าพอจะมีเงินอยู่ ไว้ปลายรุ้งค่อยๆ เก็บเงินมาคืนน้าก็ได้ ไม่มีดอกเบี้ย ไม่ต้องทำสัญญาอะไร ดีไหมจ๊ะ”

“ขอบคุณนะคะ” ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่ปลายรุ้งกับดูไม่ดีใจ ซ้ำยังมองหน้าแบบสงสัยอีกต่างหาก “แต่ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวปลายรุ้งไปขอคุณยายเอาก็ได้”

“เอ่อ…”

เวียงดาวนึกจะแย้งแต่ก็พูดไม่ออก เพราะหากเธอจะทำธุระให้ชยาตาได้สำเร็จก็ต้องเอาเงินก้อนในกระเป๋าสะพานของตัวเองส่งให้ถึงมือปลายรุ้ง แต่พอเด็กสาวบอกว่าจะไปขอจากยาย เวียงดาวก็ไปต่อไปเป็น นี่เธอควรจะยัดเหยียดเอาเงินให้ต่ออีกไหม หรือจะทำตามที่ปลายรุ้งวางแผนไว้ เพราะอย่างไรเสียนั่นก็ยายกับหลาน จะต่างจากแม่ให้ลูกสักเท่าไหร่กันเชียว

“คุณพ่อ!”

เวียงดาวยังไม่มีเวลาหาคำตอบ หญิงสาวก็แทบจะลืมหายใจไปชั่วขณะเมื่อเห็นคนที่เธอไม่ค่อยจะกล้าเผชิญหน้าเสียเท่าไหร่เดินเข้ามาหา ก็ไหนปลายรุ้งบอกว่าอาจจะต้องรอพ่อนานอย่างไรเล่า ทำไมทรงพิทักษ์จึงมาที่ร้านเร็วนัก แล้วนี่เธอควรจะอยู่ต่อไหม

                ถ้าคิดหนี แล้วใจคอจะให้ลุกพรวดแล้วเดินสวนออกไปเลยหรือไร ทำอย่างนั้นยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่ ทรงพิทักษ์จะได้คิดน่ะสิว่าเธอสติไม่ดี เป็นพวกผีเข้าผีออก หรือไม่ก็ไร้มารยาท คนเดินเข้ามาหาแท้ๆ ก็เดินหนี แบบนี้เขาจะไว้ในให้อยู่ใกล้ลูกสาวได้อย่างไร

แต่ครั้นจะไม่ไป เวียงดาวก็ยิ่งตกประหม่า รู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นสาวน้อยวัยสิบสามคนนั่นเลย แอบรักแอบชอบเขาอยู่ข้างเดียว ไม่กล้าแม้กระทั่งจะสบตา

แต่ที่กลัวมากกว่าคือทรงพิทักษ์จะจำได้เธอไหม

ไม่รู้ว่าทำไมต้องกลัว หรือเพราะกลัวว่าเขาจะรู้ เรื่องที่เธอเคยแอบรักเขา แต่จะปล่อยให้เขาไม่ได้เป็นอันขาด และเธอก็ควรเลิกรู้สึกอย่างนี้เสียที ผู้ชายคนนี้มีลูกมีเมียแล้ว

“ไหนคุณพ่อว่าอยู่โรงพยาบาลไงคะ”

ปลายรุ้งทักขึ้นมาท่ามกลางอาการแอบเหนื่อยตกของเธอ เมื่อพ่อของเด็กสาวถือวิสาสะเข้ามานั่งด้วย ตอนนี้เวียงดาวรู้สึกเหมือนตัวเองทำผิดอะไรไว้ก็ไม่รู้ ไม่กล้าเงยหน้าไปสบตาใครเลย

“พ่อบอกว่าอยู่โรงพยาบาลจริงๆ แต่ยังพูดไม่จบว่ากำลังจะออกมา หนูก็วางสายเสียก่อน ทำไมไม่ฟังให้จบล่ะ” ทรงพิทักษ์อบรมลูกกลางร้านกาแฟให้เธอฟัง “คราวหลังพูดกันให้จบก่อน อย่าตัดสายพ่อทิ้งอย่างนี้”

“ก็ทุกทีเห็นคุณพ่อทำงานยุ่งจะตาย”

“แต่วันนี้ไม่ยุ่ง” คุณหมอหนุ่มบอกเสียงเย็น “แล้วต่อไปนี้ก็จะพยายามมารับหนูให้ได้ทุกเย็นด้วย”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ถ้ามีงานก็ทำไปเถอะ ปลายรุ้งชินแล้วแหละ”

คำตอบด้วยน้ำเสียงแสนเย็นชาของเด็กสาวทำเอาคนเป็นพ่อหน้าม่านไป อย่าว่าแต่ทรงพิทักษ์เลยเพราะเธอก็อึ้งเหมือนกัน ที่ปลายรุ้งตอบอย่างนั้นเพราะ ‘เคยชิน’ หรือ ‘ชินชา’ กันแน่… สองคำที่ฟังดูคล้ายๆ กันนี้ มันช่างให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันเหลือเกิน

“พ่อจะทำทุกอย่างให้เหมือนที่แม่ทำก็แล้วกัน”

ทรงพิทักษ์เองก็เหมือนใจเย็นลงไปมากและไม่มีท่าทีจะต่อว่าลูกสาวอีก ทว่าเป็นความใจเย็นที่เหมือนทำให้อุณหภูมิรอบตัวของเวียงดาววูบลงจนเธอเผลอห่อตัวหด ได้แต่มองสองพ่อลูกสลับกัน ซ้ายที ขวาที แต่ก็ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสายตาแสนว่างเปล่าของทั้งคู่ เดาไม่ออกเลยว่าในใจคิดอะไรอยู่

 รู้แต่ว่าถ้าอยู่อย่างนี้คงมีแต่จะแย่ลง หรือเธอต้องหาทางช่วยกระชับความสัมพันธ์ให้จะดีไหม

“เอ่อ… เย็นนี้ไปกินข้าวด้วยกันไหมคะ”

เวียงดาวเสี่ยงถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ในความเย็นชาของสองพ่อลูก แต่ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองทำลังตัวหดเล็กลงทุกทีๆ เพราะไม่มีใครยอมตอบเธอเลย นี่ตกลงจะช่วยให้ทรงพิทักษ์กับปลายรุ้งคุยกันได้ไหม อีกใจก็อยากรู้เสียจริงว่าชยาตาจัดการอย่างไรถ้าต้องเจอสถานการณ์แบบนี้

                “เย็นนี้คงไม่ได้หรอก ปลายรุ้งต้องไปกินข้าวที่บ้านคุณยายของเขาน่ะ”

                “คุณพ่อจำได้เหรอคะ!” ไม่ทันที่เธอจะได้ถามปลายรุ้งก็แทรกขึ้นมาเสียคิ้วขมวด “ทุกทีก็ไม่ค่อยไป บอกแต่ว่าติดงานๆ จนปลายรุ้งนึกว่าลืมไปแล้วเสียอีก”

                “พ่อ…” คนที่บอกว่าติดงานดูอ้ำอึ้งไป สายตากมองไปรอบๆ ช้าๆ คล้ายจะพยายามหาคำตอบดีๆ มาให้ลูกสาว “เอาเป็นว่าต่อไปนี้จะพยายามทำทุกอย่างให้เหมือนตอนที่แม่อยู่ด้วยนะ”

                “ถ้าลำบาก ไม่ต้องก็ได้ค่ะ ปลายรุ้งชินแล้ว”

                ชินอีกแล้ว

เวียงดาวยิ่งฟังยิ่งหดหู่แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเห็นใจใครมากกว่ากัน หรือมากที่สุดก็คงเห็นใจตัวเองนี่แหละ เพราะดูเหมือนจะจนปัญญาเหลือเกิน ไม่รู้ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยให้ความสัมพันธ์ของทรงพิทักษ์กับปลายรุ้งดูอบอุ่นมากกว่านี้ สักนิดก็ยังดี

                “เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะเวียงดาว” ทรงพิทักษ์ดูจะถอนใจจากการพยายามเอาใจลูกแล้วหันมาหาเธอแทน “พรุ่งนี้ว่างไหมล่ะ พี่จะเลี้ยงข้าว”

                “ถ้าคุณพ่อยังไม่รู้ว่าจะมีคนไข้ด่วนเข้ามาหรือเปล่าก็อย่าไปนัดใครเลยค่ะ เดี๋ยวน้าเวียงดาวจะรอเก้อเสียเปล่าๆ” เด็กสาวขัดขึ้นมาแต่ทำหน้าตาย “ขนาดบางทีนัดคุณแม่ไว้ คุณพ่อยังต้องยกเลิกเลย”

                “ปลายรุ้ง!”

                พ่อเรียกลูกสาวเสียงดังต่อหน้าจนเธอยังนึกกลัวแทน เวียงดาวรู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาทันทีเพราะทรงพิทักษ์จ้องลูกตาเขม่น แต่ปลายรุ้งกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ กอดอกขึ้นแล้วหันไปมองหน้าอื่นแล้วยังทำหน้าตาย

เห็นอย่างนั้นแล้วเวียงดาวก็อยากยกมือขึ้นหัวตบขมับตัวเองแก้ปวดหัวนัก และในขณะเดียวก็เข้าใจแล้วว่าทำไมชยาตาต้องเป็นกังวลเรื่องครอบครัวจนต้องขอร้องให้เธอมาช่วยสอดส่องลูกสาวให้

“ลาน้าเวียงดาวเสียปลายรุ้ง จะได้ไปบ้านคุณยาย”

ในที่สุดคนเป็นพ่อก็พูดขึ้นมาก่อน ทว่าน้ำเสียงเต็มไปด้วยการสกัดกลั้นอารมณ์ และปลายรุ้งก็ยังทำเมินเชยเหมือนไม่ได้ยินอะไรเลย

“ปลายรุ้ง ที่พ่อบอกน่ะ ได้ยินไหม”

                “ลาค่ะ น้าเวียงดาว”

                คนโดนสั่งบอกห้วนๆ แล้วยกมือไหว้เธอส่งๆ ทำเอาเวียงดาวรับไหว้แทบไม่ทันเพราะตกใจในพฤติกรรมของเด็กสาว แปลกใจเสียด้วยซ้ำว่าคนร่าเริงและรักศิลปะของเธอ ยามอยู่กับพ่อเหตุใดได้มีอาการประชดประชันนัก… เหมือนคนอยากได้อะไรแต่ไม่พูด รู้สึกอะไรแต่ไม่บอก หรือว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ

                แต่เวียงดาวยังหาคำตอบในดวงตาของเด็กสาวไม่เจอ คนที่ลาเธอประชดพ่อก็เดินจ้ำๆ ออกจากร้านไปแล้ว ทิ้งให้ผู้ใหญ่สองคนยืนมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำอะไรให้ได้ดีกว่านี้อีก

                “ขอโทษแทนปลายรุ้งด้วยนะ แกโดนทั้งแม่ทั้งยายตามใจมาจนชินน่ะ อย่าถือสาเลย” ทรงพิทักษ์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ไว้พี่จะตักเตือนแกให้แล้วกัน… ฝากบอกแม่เขาด้วยว่าไม่ต้องห่วงจนต้องรบกวนเวียงดาวบ่อยๆ อย่างนี้หรอก”

                “คะ?!?”

ได้ยินอย่างนั้นเวียงดาวก็มองเขาอย่างงุนงงปนตกใจ แต่ครู่เดียวก็ตั้งสติได้ว่าชยาตาเคยบอกว่ายังติดต่อกับสามีทางโทรศัพท์อยู่บ้างแต่นานๆ ที

ตอนแรกก็หลงตื่นเต้นนึกว่าชยาไม่ได้บอกเพราะอยากให้เธอเป็นสายลับ แต่นี่เธอลืมนึกไปได้อย่างไร ว่าทรงพิทักษ์รู้หมดแล้วว่าเธอเป็นใคร แล้วเข้ามาหาปลายรุ้งเพื่ออะไร ก็คงจะใช่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมเปิดประตูให้เธอเข้าบ้านง่ายๆ หรอก

“คุณ… รู้เรื่องหมดแล้วเหรอคะ” เวียงดาวถามซ้ำเพื่อย้ำว่าตัวเองเข้าใจไม่ผิด “แล้วพี่ติ๋วบอกอะไรคุณบ้าง”

“ก็เหมือนที่บอกเวียงดาวนั่นแหละ แต่อย่าให้ลูกสาวพี่รู้ล่ะ”

“ค่ะ” คนโดนสั่งตอบรับเบาๆ แต่รู้สึกเหมือนตัวเองทำผิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้จนนึกอยากทำอะไรๆ ไถ่โทษบ้าง “แล้วคุณจะฝากอะไรไปบอกทางนั้นไหมคะ”

“ไม่ล่ะ”

สามีของของคนทางนั้นบอกเสียงเย็นแล้วจ้องหน้าเธอนิ่งกว่าเดิมจนเวียงดาวรู้สึกว่าตัวลีบเล็กลงทุกทีๆ และรอฟังเขาอย่างตั้งใจ

“แล้วคราวหลัง เรียกพี่ว่าพี่แทนเหมือนเดิมก็ได้”

เวียงดาวอ้าปากค้างแล้วพูดอะไรไม่ออกอีกเลย

เธอได้แต่มองคนตรงหน้าอย่างกริ่งเกรง กลัวว่าที่เขาสั่งอยากนั่นเพราะทรงพิทักษ์จำเธอได้ แล้วถ้าแย่กว่านั้นคือมารู้ว่าเธอคิดไม่ซื่ออยู่ล่ะ เขารังเกียจไหม จะยอมรับฟังหรือเปล่าเธออยากเข้ามาช่วยชยาตากับปลายรุ้งอย่างบริสุทธิ์ใจ และถึงจะรู้สึกดีกับเขามาเท่าไหร่ ก็จะไม่วันยอมทำผิดศีลเป็นอันขาด เธอแย่งสามีใครไม่ลง

“ก็ถ้าเรียกคุณติ๋วว่าพี่ ก็เรียกพี่ว่าพี่ด้วยก็ได้นี่”

เหตุผลที่ทรงพิทักษ์บอกทำให้หญิงสาวกลับมาหายใจโล่งอีกครั้ง เหมือนความรู้สึกที่กดทับหัวใจอยู่เมื่อสักครู่มันหายไป อาจจะเพราะที่ทรงพิทักษ์บอกให้เธอเรียก ‘พี่แทน’ นั้นคือให้เรียกตามภรรยา ไม่ใช่เพราะว่าเขาจำน้องเล็กในสายรหัสเมื่อสิบห้าปีก่อนได้

และเช่นกัน ความรู้สึกในอดีตพวกนั้น เวียงดาวก็กดมันลงไปให้ลึกสุดใจ หรือไม่ก็ต้องฉีกทิ้งไปเหมือนรูปถ่ายของชายหนุ่มที่เธอเคยฉีกมาแล้ว

“พี่กลับก่อนนะ” ทรงพิทักษ์บอกลาแต่เหมือนดึงเธอให้กลับมายังปัจจุบัน “แต่เอาไว้คราวหน้าถ้าเวียงดาวว่าง ก็มาเยี่ยมปลายรุ้งอีกละ”

“ค่ะ”

“ขอบคุณที่ช่วยพี่กับคุณติ๋วนะ เวียงดาว”

พอเขาบอกอย่างนั้น เวียงดาวก็ถึงกับพูดไม่ออก เพราะเธอเห็นแววตาแสนอิ่มเอมของทรงพิทักษ์ยามพูดถึงภรรยา ดูไม่มีแม้แต่ความเจ็บปวดหรือโกรธเคืองอะไรเลย

ทั้งๆ ที่เขารู้ว่าชยาตานอกใจไปมีคนอื่นจนต้องหนีตายหัวซุกหัวซุน แต่ทรงพิทักษ์ก็ยังช่วยหาที่ซ่อนให้ จัดฉากงานศพอย่างแนบเนียน และยังติดต่อกันอยู่ จนบางทีเธอก็อยากรู้ว่าสองคนนั้นคุยอะไรกันบ้าง แล้วคนที่รู้อยู่เต็มออกว่าภรรยามีชู้เคืองขุ่นบ้างไหม

ทำไมยังดูมีความสุขยามพูดถึงชยาตา

หรือว่าจะปรับความเข้าใจกันได้แล้ว รอแต่เพียงเวลาที่เหมาะสมให้ได้กลับมาอยู่เป็นครอบครัวด้วยกัน รักเหมือนเดิม แล้วถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ เธอจะไปยืนตรงไหน เป็นอะไรของครอบครัวนี้ก็ไม่อาจรู้ได้ หรือหากต้องตอบจริงๆ เวียงดาวก็รู้แล้วว่าเธอคงเป็นอะไรไม่ได้นอกจาก ‘คนอื่น’  

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น