7

ตอนที่ 7


เพลง ชู้ ศิลปิน หลงลาย [3]

บทที่ 7

                หากครอบครัวของทรงพิทักษ์กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันเมื่อไหร่ เวียงดาวรู้ตัวดีว่าต้องไป แต่ตอนนี้เธอยังไปไหนไม่ได้ เพราะเป็นห่วงปลายรุ้งและสงสารชยาตาเหลือเกิน

                และวันนี้ก็ยังเหมือนทุกวัน… หญิงสาวมาดักรอพบปลายรุ้งที่ร้านกาแฟเจ้าประจำหลังจากที่ตัวเองเลิกเรียน ระหว่างรอเวียงดาวก็ทำงานไปด้วย รับงานวาดภาพไว้ก็มากจนเรียกได้กว่าไม่ขาดมือ อีกทั้งออกแบบตัวการ์ตูนเพื่อขายในแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่เป็นลิขสิทธิ์ของตัวเองและทำโฆษณาให้ลูกค้า สร้างรายได้ให้เธอเป็นกอบเป็นกำอยู่เหมือนกัน

                เวียงดาวทำงานไปก็ชะเง้อคอหาปลายรุ้งไปจนเริ่มไม่มีสมาธิจะวาดรูป สุดท้ายก็วางเม้าท์ปากาลงแล้วเลิกทำงาน  ตั้งหน้าตั้งตากวดสายตาไปรอบๆ ร้านก็ยังไม่เห็นคนที่เธอรอ นี่ก็ค่ำมากแล้วแต่เด็กสาวยังไม่มานั่งรอพ่อเหมือนเดิม หรือว่าเย็นนี้ปลายรุ้งไม่ได้มาเรียนพิเศษตั้งแต่แรก สงสัยเธอจะรอไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบของเด็กน้อยเก้อแล้วกระมัง

                กริ๊ง… กริ๊ง… กริ๊ง…

                เสียงโทรศัพท์ดังระรัวดึงเวียงดาวกลับมาจากห่วงความคิด เห็นเบอร์โทรศัพท์หน้าจอก็แปลใจ เพราะร้อยวันพันปีพ่อน้องชายคนดีไม่ค่อยจะโทรหา อย่างดีที่สุดก็แค่ส่งข้อความมา แล้ววันนี้นึกครึมอะไรขึ้นมาถึงกดเบอร์พี่สาวได้

                “มีอะไร!” เวียงดาวรับสายอย่างไม่ค่อยจะไว้ใจ “ทำไมโทรมาได้ หรือว่าเป็นอะไร”

                “มาหาหน่อยสิ”

                “หา!” พี่สาวเสียงหลง “ที่ไหน! โรงพยาบาลเหรอ เป็นอะไรหรือเปล่า”

                “ไม่ได้เป็นอะไร” นักศึกษาแพทย์ตอบเสียงเย็นกึ่งจะระอา “พี่นี่ชอบคิดมากจริงๆ เลย”

                “ใครจะไปรู้ นานๆ เห็นโทรมาหาที”

                “ก็ญาติๆ ฝั่งคุณยายโทรหา” ดรัณย์หมายถึงเหล่าลูกพี่ลูกน้องที่บัดนี้ย้ายไปตั้งรกรากกันที่เมืองนนท์ “แม่ไปบอกเขาว่าพี่อยู่กรุงเทพฯ ก็เลยโทรหาผมด้วย บอกจะนัดเลี้ยงข้าวเรา มากินด้วยกันสิ”

                “ที่ไหน”

                “เอกมัย”

                “อะไร?” เวียงดาวขมวดคิ้วมุ่น “กินข้าวแถวเอกมัย คงไม่ได้พาไปเที่ยวผับหรอกนะ”

                “แล้วข้าวผับกินไม่ได้หรือไงป้า”

                “อย่ามาเรียกฉันว่าป้า!” เวียงดาวเอ็ดน้องจนหน้ายุ่ง “ฉันยังไม่แก่ขนาดนั้นเสียหน่อย เพิ่งจะสี่สิบหกเองนะ”

                “ก็ถ้าผมมีลูก ก็ต้องเรียกพี่ว่าป้าไหมล่ะ” น้องชายตัวดีย้อนเสียงเย็น “ออกมาเถอะน่า หรือต้องเอาราชรถไปเกยให้ลงจากสำนักยายชี”

                “ฉันไปเองได้ย่ะ!”

                ยายชีดุเสียงดังผ่านโทรศัพท์แล้วกดวางสาย จากนั้นไม่นานดรัณย์ก็ส่งแผนที่ร้านมาให้ทางกล่องข้อความที่สนทนากันเป็นประจำ ให้ได้รู้ว่าคืนนี้เธอคงได้ออกจากถ้ำไปเป็นผีเสื้อราตรี

 

                แต่เวียงดาวไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นผีเสื้อราตีได้จริงๆ หรือเปล่า เพราะหลังจากก้มมองตัวแล้ว ก็เห็นเสื้อผ้าที่สวมมาช่างแตกต่างกับที่สาวๆ คนอื่นเหลือเกิน

                ใครจะสวมเสื้อผ้าแบบไหนมาอวดหุ่นทรงองค์เอว เวียงดาวก็ไม่นึกขวางหูขวางตา ขอแค่อย่ามามองเธอด้วยสายตาเหยียดหยามอย่างที่ทำกันอยู่ตอนนี้ก็พอ คนแค่สวมเสื้อคอบัวแขนตุ๊กตาสีโอลด์โรสกับกระโปรงยาวคลุมเข่าสีครีมนี่ มันประหลาดนักหรือ แต่ถ้าจะให้เปลี่ยนเวียงดาวก็ไม่ยอม เธอชอบของเธออย่างนี้ และมั่นใจว่าไม่เดือดร้อนใครด้วย

                “อ้าวป้า ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้”

                ดรัณย์ก็ยังซ้อมเรียกเธอว่าป้าทั้งที่ตัวเองยังไม่มีลูกมีเมียเสียด้วยซ้ำ แต่เดินเข้ามาทักก็ดี จะได้รู้สึกว่าเธอไม่ได้มายืนให้คนอื่นมองอยู่ตรงนี้คนเดียว

                “กำลังว่าจะออกมาโทรตามอยู่เชียว นึกว่าหลงทางเสียอีก” ได้ยินอย่างนี้ก็รู้แล้วว่าน้องชายคนดียังห่วงกัน “เข้าไปข้างในกันเถอะ ญาติรออยู่เพียบ”

                เวียงไม่ต่อปากต่อคำอะไรกับน้องชายอีก แล้วเดินตามดรัณย์เข้าร้านไป ซึ่งบรรยากาศก็ครึกครื้นดีแม้จะเพิ่งสองทุ่มกว่าแล้ว เห็นผู้คนมาดื่มกินสังสรรค์กันอย่างครื้นเครง ตัวร้านแบ่งออกมาสองส่วนคือลานตรงกลางร้านไว้บริการเครื่องดื่มและอาหาร มีดนตรีสดขับกล่อม แต่ดรัณย์ไม่พาเธอแวะตรงนี้ เพราะเปิดห้องคาราโอเกะกันไว้เป็นการส่วนตัว

                “เวียงดาว!”

                เปิดประตูห้องร้องคาราโอเกะเข้าไปได้ พี่สาวผู้เป็นญาติฝ่ายแม่ก็ร้องเรียกเธอเสียงใส เวียงดาวก็ยิ้มให้ทันทีเพราะไม่ได้พบกันมานานแล้ว แม้จะอยู่ใกล้ๆ เพียงแค่กรุงเทพฯ-เมืองนนท์ แต่งานการมากมายก็ทำให้ทั้งคู่ไม่ได้พบกัน นัดร่วมญาติอย่างนี้ถึงจะได้พบที

                “เป็นยังไงบ้าง ไม่เจอตั้งนาน”

                พี่ส้มถามพลางดึงแขนให้เดินเข้าไปนั่งกลางวงล้อมของญาติๆ อีกสามสี่คนในห้องร้องคาราโอเกะ

                “แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่”

                “เช่าอะพาร์ตเม้นต์ แล้วเรียนด้านกราฟิกอยู่ในกรุงเทพฯ นี่แหละคะ” เวียงดาวตอบพลางยิ้มให้ทุกคน “แล้วทุกคนสบายดีกันไหม”

                “ก็เรื่อยๆ นะ แต่ไว้ว่างๆ นัดไปกินข้าวบ้านคุณตากันดีไหม ท่านคงคิดถึงหลาน”

                “ถ้าเวียงดาวว่างแล้วจะเข้าไปเยี่ยมนะคะ”

                หลานสาวตอบอย่างไม่เต็มเสียงนักเพราะรู้สึกผิดที่ชีวิตวุ่นวายไปกับการทำงานของเธอแทบจะทำให้ไม่ได้คิดถึงปู่ย่าตายายเลย แม้จะไม่ได้ลืมไปเสียทีเดียว แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการลืมคิดถึงนี้แปลว่าไม่ใส่ใจหรือเปล่า

                “เอาๆ มาร้องเพลงกันดีกว่า” พี่ท็อปญาติผู้พี่อีกคนปลุกให้น้องๆ กลับมาร่างเริงแล้วส่งไมค์ให้เธอ “เวียงดาวเอาสักเพลงไหม”

                “พวกพี่ร้องก่อนเลยค่ะ” เวียงดาวปฏิเสธยิ้มๆ “ขอกินก่อนแล้วกัน ยังไม่มีแรง”

                ว่าแล้วเวียงดาวก็เดินขยับเข้าไปหากับแกล้มที่ญาติสั่งไว้ หยิบไวน์คูลเลอร์ขวดเล็กขึ้นดื่มอย่างไม่กระมิดกระเมี้ยน เพราะรู้ตัวว่าดื่มได้มากแค่ไหนและควรหยุดดื่มเมื่อไหร่ แล้วนั่งมองพี่ส้มคว้าไมค์ไป อีกสักพักคงร้องเพลง แต่ ‘สายกินกับแกล้ม’ อย่างเธอ ขอสนใจแต่อาหารตรงหน้าก็แล้วกัน

                “ไม่รู้เป็นไร ไม่ทราบว่ามาไงอาการรักเธอ ก็รู้มีคนจองยังบ้าไปยืนมองตกเย็นก็เพ้อ”[1]

                เสียงเพลงของพี่ส้มทำเอาคนกำลังกินถั่วทอดแทบสำลัก แต่ญาติผู้พี่ยังร้องเพลงต่อแบบไม่ได้มองใคร และคงไม่รู้เลยว่าเนื้อเพลงกำลังทำเอาเธอเจ็บหัวใจจี๊ด

                “เป็นคนมาทีหลังก็ต้องเศร้าต่อไป แต่อดใจไม่ไหวเมื่อได้ใกล้กับเธอ จะจุกตาอยู่แล้วนะ ถ้ารักนี้ไม่ได้บอกเธอ”

                “พี่ส้ม! พี่ส้มคะ เปลี่ยนเพลงเถอะ” เวียงดาวร้องขออย่างอึดอัดใจเพราะเนื้อเพลงมันจี้ใจดำเธอมากเกินไป ฟังแล้วร้อนตัวอย่างไรก็ไม่รู้ “กดข้ามเพลงนี้ไปเลยค่ะ”

                “อ้าว ไม่ชอบสตริงใสๆ ยุค 90 เหรอ” พี่ส้มยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่แล้วมองเธออย่างพยายามเอาใจ “อ้อ! สาวนิยมวินเทจอย่างเวียงดาว เดี๋ยวพี่จัดเพลงเก่ากว่านั้นให้”

                ‘เพลงอะไรก็ร้องมาเถอะค่ะ’

                แม้สาวนิยมวินเทจจะไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ แต่สีหน้าของเธอก็บอกอย่างนั้น แล้วปล่อยให้พี่ส้มกดเลื่อนไปเพลงถัดไป ทำนองดนตรีที่เธอไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าจะเพลงอะไร ก็คงดีกว่าเพลงเมื่อกี้นั่นแล้วกัน

เอื้ออาทรฉันที คนจะมีรักไยกางกั้น จะทำฉันใด เมื่อใจรักกันสองเรา หากเธอเป็นของใคร ดังถูกไฟเผาใจเป็นเถ้า แอบรักผัวชาวบ้านเขา เมามัว”[2]

เวียงดาวถึงกับสำลักถั่ว ไอโคลกๆ แต่ปวดใจจี๊ด!

ทำไมพี่ส้มต้องร้องเพลงนี้ด้วย หรือรู้อย่างไรว่าเธอไปหลงรักผัวชาวบ้านอยู่ แต่ไม่ได้เป็นอย่างเนื้อเพลงเสียหน่อย เธอยังมีสติ ไม่คิดแย่งสามีชยาตาแน่ ที่ยังไปมาหาสู่ก็เพราะอยากช่วยเพื่อนของตัวเองเท่านั้น เจตนาบริสุทธิ์ล้วนๆ ไม่ได้คิดทำผิดศีลธรรมเลย

“อ้าวเวียงดาว เป็นอะไร” เห็นเธอสำลักถั่วพี่ส้มก็ถึงกับหยุดร้องเพลง “อะไรติดคอเหรอ”

“สงสัยเสียงแกจะไม่เข้าหูเวียงดาวล่ะมั้ง” พี่ท็อปแหย่เล่นแต่ทำหน้าตาย “เอามานี่ ฉันร้องเอง”

พี่ท็อปที่เทวดามาโปรดของเธอจริงๆ

เวียงดาวถึงถอนหายใจโล่งเมื่อพี่ชายแย่งไมไปแล้วกดหาเพลงที่ร้อง แต่มั่นใจว่าคงไม่ร้องเพลงแบบที่ส้มร้องแน่ แต่ร้องอะไรก็ร้องไป เดี๋ยวจะจิบไวน์ฟังเพลงของพี่ท็อปก็แล้วกัน

“ทั้งๆ ที่รู้เธอมีเจ้าของ แต่หัวใจมันเรียกร้องฉันจึงจำต้องยอมทน เหมือนเวรกรรมเก่าไม่อาจหลุดพ้น ไม่คิดไม่แคร์ผู้คนที่เขานิทาว่าร้าย”

เพลงอะไรของพี่ท็อป!

เวียงดาวกับตาเหลือแล้วสำลักไวน์ ฟังเพลงทำนองเพื่อชีวิตของพี่ชายอย่างวัวสันหลังหวะ แต่หัวใจมันสั่นไปกับเสียงเพลง มือไม้อ่อนไปหมด

“ถึงรักครั้งนี้จะถูกประณาม จากคนทั้งโลกก็ตาม แต่คงจะห้ามไม่ไหว ถึงแม้จะรู้ เป็นได้แค่ชู้ทางใจก็ช่างหัวมันปะไรในเมื่อหัวใจต้องการ”

เสียงเพลงของพี่ท็อปทำให้สมองขอเวียงดาวอื้ออึงไปหมด ตกใจจนคิดอะไรไม่ออก ได้แต่นั่งนิ่งแล้วกลั้นหายใจ ปล่อยให้เนื้อเพลงนั้นผ่านเข้ามาในหูอย่างสุดจะทน

 “อยากให้โลกรู้รักคนมีคู่มันทรมาน แต่มันก็สุดทัดทาน ถึงใครจะว่าฉันเลว”[3]

เวียงดาวทนไม่ไหวอีกแล้ว หญิงสาวถึงกับลุกพรวกแล้วเดินจ้ำๆ ออกจากห้องคาราโอเกะนั้น เนื้อเพลงพวกนั้นมันบาดหูมากเกินไป แม้ไม่คิดจะทำอย่างที่ว่าเลยสักนิด แต่ฟังแล้วก็จี้ใจดำกันเกินกว่ารับได้ และเธอต้องรีบออกมา ก่อนที่เพลงนั้นจะกล่อมให้หลงมัวเมา

เป็นชู้กับสามีชาวบ้าน มันไม่มีอะไรดี!

 

เวียงดาวรู้ดีว่าความรักเป็นเรื่องของหัวใจ แต่ในบางครั้งก็ต้องใช้สมองควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะคนที่อยู่ในสภาวะอย่างเธอ ยิ่งต้องมีสติคอยห้ามใจเข้าใหญ่

ครั้นจะให้เธอถอดตัวออกไม่ช่วยก็สงสารชยาตาเหลือทน หนีตายหัวซุกหัวซุนยังไม่พอ แล้วยังต้องมานั่งลุ้นอยู่ทุกวันว่าพ่อกับลูกจะแตกหักกันหรือเปล่า และปลายรุ้งเป็นอีกคนทำให้เธอรู้สึกว่าถอยไม่ได้ เพราะห่วงว่าหากปล่อยให้เด็กสาวทะเลาะกับพ่อรุนแรงขึ้นทุกวันอย่างที่ต่างคนไม่ยอมเข้าใจกัน เด็กอาจจะเลือดร้อนไปตามประสาวัยรุ่น แล้วทำเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมาก็ได้

แต่ตอนนี้เธอตั้งสติให้หัวใจตัวเองก่อนก็แล้วกัน เตือนตัวเองหนักๆ ว่าทรงพิทักษ์ไม่ใช่รุ่นพี่ที่เธอจะแอบรักได้อีกต่อไป ได้สติแล้วเวียงดาวก็สูดหายใจลึกแล้วมองรอบตัวอีกที และพบว่าเมื่อครู่ตัวเองก็เป็นเอามากเหมือนกัน วิ่งหนีออกจากห้องงร้องคาราโอเกะอย่างนี้ พวกญาติๆ คงทั้งงงทั้งเป็นห่วงกันแย่

“โอ๊ย!”

ไม่ทันที่เวียงดาวจะหันหลังเดินกลับห้องคาราโอเกะ ผู้หญิงสวมชุดเกาะอกดูรัดรูปสีขาวคาดำก็เดินชนเธอเข้าเต็มๆ เงยหน้ามองกันแล้วยิ่งหน้าบูดหน้าบึ้งอย่างคนไม่พอใจ แต่ก็หน้าอ่อนจนอดประหลาดใจไม่ได้ นึกอยากรู้ว่าผู้หญิงที่เดินชนเธอนี่ไปเบ้บี้เฟรชที่ไหนมา เหตุใดดูอ่อนเยาว์อย่างกับเด็กมัธยม

“มายืนเกะกะอะไรตรงนี้”

สาวหน้าอ่อนนั่นแหวใส่จนเวียงดาวทำหน้าไม่ถูก ก็เธอยืนอยู่ของเธอดีๆ ผู้หญิงคนนี้ก็เดินเข้ามาชน ขอโทษสักคำยังไม่มี

“อ้าวหลบไปสิ!” คนที่น่าจะเด็กกว่าเธอตะคอกใส่ “จะยืนแก่ๆ ขวางทาอีกนานไหม ถอยไป!”

มารยาททรามจนรับไม่ได้! เวียงดาวถึงกับชักสีหน้าใส่ นึกอยากอบรมบ่มนิสัยคนแปลกหน้าแต่ไม่ก็ทัน เพราะยายหน้าอ่อนชุดเกาะอกนั่นเดินฉับๆ จากไป ปล่อยให้เธอได้แต่มองตาม

ทว่าเพียงปราดเดียวที่มองไป เวียงดาวก็ถึงกับอ้าปากค้าง ผู้หญิงหน้าอ่อนในชุดเกาะอกนั่นเดินเข้าไปหากลุ่มเพื่อนๆ ที่นั่งดื่มกินกันอยู่ เธอไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดปีเข้ามาในสถานเริงรมย์แห่งนี้ได้อย่างไร แต่ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ช่างที่เด็กๆ ใช้ลักลอบเข้ามา ที่นี่ก็ไม่ควรมีปลายรุ้ง!

“จะไปไหน เวียงดาว!”

ไม่ทันที่เธอจะได้เข้าหาไปปลายรุ้ง ข้อมือของหญิงสาวก็ถูกคว้าหมับ กำไว้แน่น แล้วพ่อน้องชายคนดีก็มองกันอย่างกับจะจ้องจับผิด

“แล้วเมื่อกี้เป็นอะไรทำไมต้องวิ่งออกมาห้องร้องคาราโอเกะด้วย”

“ปล่อยก่อนน่าดรัณย์ พี่มีธุระต้องจัดการ”

“ธุระในผับเนี่ยนะ!” ดรัณย์ร้องอย่างไม่เข้าใจ “ธุระอะไรของพี่ แล้วกำลังจะไหน”

“ลูกสาวเพื่อนพี่หนีมาเที่ยวผับ” เธอชี้ให้น้องชายมองไปยังกลุ่มเด็กๆ ที่นั่งดื่มกินกันอยู่ “พี่จะไปเอาตัวกลับบ้าน”

“เฮ้ย! นั่นลูกเพื่อน ไม่ใช่ลูกพี่” ดรัณย์ยิ่งทำหน้าตกใจเข้าใจแต่ดูมีสติกว่าเธอมาก “ให้เพื่อนพี่มาจัดการสิ จะเข้าไปจุ้นทำไม”

“แต่ว่า…”

“ไม่มีแต่เวียงดาว ปล่อยให้เป็นเรื่องในครอบครัวของเขาไป โทรตามพ่อแม่เด็กมาจัดการเสีย”

ดูจากท่าทางของดรัณย์แล้วคงไม่มีทางยอมให้เธอเข้าไปหาปลายรุ้งแน่ มือของน้องชายยิ่งกำแขนเธอไว้อย่างเป็นห่วง ก็ยิ่งเพิ่มความหนักใจให้เวียงดาว อยากไปเอาตัวปลายรุ้งออกจากเด็กไม่มีมารยาทคนนั้นก็อยาก แต่ดูเหมือนจะไปไม่ได้

หรือเธอต้องทำตามที่น้องชายสั่งจริงๆ

 

                จริงๆ แล้วเขาก็อยากรีบกลับบ้าน แต่เพราะการผ่าตัดคนไข้ยืดยื้อกว่าที่คิด กว่าคณะแพทย์จะทำงานสำเร็จก็เกือบสามทุ่ม และเขาเองก็หมดแรง

                ทรงพิทักษ์ออกมาจากห้องผ่าตัดแล้วทิ้งร่างลงใส่พนักเก้าอี้นวมตัวใหญ่ในห้องพักของตัวเองและเพื่อนร่วมงาน หลังจากใช้แรงที่จะเหลืออยู่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า กลับมาสวมเสื้อเชิร์ตกับกางเกงแสลคตัวเดิม แต่พอคิดว่าจะกลับบ้าน อาการปวดขาเพราะยืนมานานก็ดึงให้เขานั่งพักก่อน จากนั้นเพียงไม่นานท้องก็ร้องโครก จนต้องนั่งกินพักแล้วหักช็อกโกแลตแท่งหอมหวานมากิน 

                ระหว่างนั่งพัก ชายหนุ่มก็ว่าจะโทรถามลูกว่าอยู่บ้านคนเดียวเป็นอย่างไรบ้าง แต่โทรไปสองสายกว่าปลายรุ้งจะยอมกดรับ บอกว่ากำลังจะเข้านอนแล้ว ไม่ต้องห่วง ให้ทำงานต่อได้เลย

ลูกคงเข้าใจว่าคืนนี้เขาเข้าเวรดึกเหมือนทุกทีกระมัง แต่ยังไม่ทันได้อธิบายว่าจริงๆ หมดเวลางานตั้งเย็นแต่ติดผ่านตัดคนไข้อยู่ ปลายรุ้งก็วางสายไปเสียแล้ว คงง่วงมากอย่างที่บอก ดีไม่ดีตอนเขากลับถึงบ้าน ลูกคงหลับปุ๋ยไปแล้ว

                พอกดวางสายจากลูกสาว ทรงพิทักษ์ก็ยังคิดถึงอยู่ ร่วมทั้งคิดถึงเรื่องที่ชยาตาบอกว่าจะขออนุญาตให้ปลายรุ้งไปเรียนร้องเพลงด้วย แต่คราวนี้เขาไม่ตามใจเพราะคิดว่าหมดเวลาเล่นสนุกเสียที ปลายรุ้งควรเอาจริงเอาจังกับชีวิตมากขึ้น จะได้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ อย่างน้อยก็ให้ลูกได้ดีเหมือนเขา

                “คอนนะโคะโตะอิอินะ เดะคิตะระอิอินะ อันนะยูเมะคอนนะยูเมะ”

                กำลังคิดวางแผนอนาคตให้ลูกอยู่ดีๆ ทรงพิทักษ์ก็ถึงกับขมวดคิ้วมุ่นเพราะเพื่อนร่วมงานเข้ามาหา ร้องเพลงอะไรก็ไม่รู้ ฟังไม่รู้เรื่องสักนิด แต่ดูอารมณ์ดี

“ร้องเพลงอะไรของแกวะ ฟังไม่เห็นจะรู้เรื่อง”

ทรงพิทักษ์ถามจนคิ้วขมวดด้วยความไม่เข้าใจ แต่เพื่อนยังทำหน้าตาย ก่อนจะลากเก้าอี้เข้ามานั่งใกล้ๆ แล้วยิ้มทะเล้นใส่กัน

“เพลงโดเรม่อนไง” บรมวุฒิทำหน้าเป็นใส่ “ซ้อมไว้จะกลับไปร้องให้ลูกฟังก่อนนอน”

“ร้องเพลงการ์ตูนให้ลูกฟังเนี่ยนะ”

“เอ้า! ก็ลูกฉันเพิ่งจะสามขวบ” พ่อลูกอ่อนร่างท้วมหน้าตี๋เถียงต่ออย่างอารมณ์ดี “ไม่ใช่ลูกแกนี่ จะได้ร้องเพลงเกาหลีให้ฟัง”

                “ฉันไม่เคยร้อง!” ทรงพิทักษ์สวนจนตาเหลือก “เพลงอะไรฟังยังไม่รู้เรื่อง จะไปร้องได้ยังไง”

                “โอ๊ย! อย่ามาทำเป็นพูดดี ตั้งแต่รู้จักกันมา อย่าว่าแต่ร้องเพลงเลย แค่ฟังเพลงฉันยังไม่เคยแกตั้งใจฟังสักที จะไปรู้เรื่องอะไร”

            ‘ไม่เคยฟังเพลงจะไปรู้เรื่องอะไร’

                นี่เป็นคนที่สามแล้วที่พูดกับเขาอย่างนี้ ทั้งลูกสาว เวียงดาว และบรมวุฒิที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนจนจับผลัดจับผลูมาทำงานที่นี่มาด้วยกัน… ทำไมทุกคนพูดตรงกันว่าเขาไม่รู้ว่าการฟังเพลงมันดีอย่างไร หรือว่าต้องลองดูสักทีให้รู้กันไป

                “เฮ้ย! ทำอะไร!”

บรมวุฒิทำหน้าตื่นตอนที่เขาเปิดเพลงในอินเทอร์เนตจากสมาร์ตโฟน แล้วพอเห็นฟังเพลงอะไรอยู่ ก็อ้าปาหวอไปเลย

“ฟังเพลงเกาหลีเนี่ยนะ!” บรมวุฒิยังไม่เลิกทำหน้างงแล้วมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา “แกเข้าถึงเพลงพวกนี้ด้วยเหรอวะ”

“ไม่ล่ะ” หลังจากฟังเพลงไปสักพักเขาก็ตอบตามตรง “เพลงอะไรก็ไม่รู้ ฟังไม่เห็นจะรู้เรื่อง”

“แล้วจะฟังไปทำ”

“ก็… ฉันอยากเข้าใจลูก” คราวนี้เขาก็ยอมรับตามตรงเหมือนกัน “ปลายรุ้งบอกว่าฉันไม่เคยฟังเพลง จะไปรู้เรื่องอะไร… เรื่องที่เขาทำน่ะ”

“แกก็เลยมาฟังเพลงแบบที่ลูกฟัง”

เพื่อนถามอย่างนั้นเขาก็พยักหน้าให้เป็นอันว่าเข้าใจกัน แต่บรมวุฒิถึงกับส่ายหน้าใส่ เหมือนเขาทำอะไรผิดสักอย่างที่ไม่เข้าตาเอาเสียเลย

“ฉันว่าแกฟังให้ตายก็ไม่มีทางรู้เรื่องหรอก”

“ทำไมวะ”

“เพราะแกไม่เปิดใจไง เอาแค่หูฟัง ต่อให้เป็นเพลงอะไร แกก็ฟังไม่รู้เรื่อง… เหมือนสีซอให้ควายฟังนั่นแหละ”

“ไอ้วุฒิ!”

“ฉันว่าแกผิดจุดไปหน่อยวะ” บรมวุฒิยังพูดต่อแบบไม่สนใจเลยว่าเมื่อครู่เขาโกรธที่ถูกต่อว่า “ที่ปลายรุ้งบอกว่าแกไม่เคยฟังเพลงแล้วจะไปรู้เรื่องอะไรน่ะ ลูกแกหมายถึงดนตรีทั่วๆ ไปนี่แหละ ไม่ใช่เพลงแบบที่ลูกแกฟังอย่างเดียว แต่เป็นเพลงอะไรก็ได้ ขอให้มีดนตรีในหัวใจต่างหาก”

“แล้วมีดนตรีในหัวใจมันดียังไง”

“ฮุย!” พอเขาถามอย่างนั้นบรมวุฒิก็ขึ้นเสียงตาม “งานวิจัยมีเป็นแสนเป็นล้านแล้วมั้ง หามาอ่านซะบ้าง ไม่ใช่คนป่วยมาเอะอะก็จะผ่าๆ อย่างเดียว”

ทรงพิทักษ์อยากเถียงให้ตัวเองชนะเพื่อนแต่เขาหาเหตุผลมาแย้งไม่ได้ ซ้ำยังเหมือนตั้งหลักไม่อยู่เสียเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมคำพูดพวกนั้นถึงกดทับเขาได้เพียงนี้… หรือเป็นอย่างที่เพื่อนว่าจริงๆ

กริ๊ง… กริ๊ง… กริ๊ง…

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาขัดจังหวะความคิดเขา แต่พอมองหน้าจอทรงพิทักษ์ก็ขมวดคิ้วมุ่น จริงอยู่ที่เขารู้จักเบอร์นี้จากชยาตา ตัวเขาเองก็อยากโทรหาหลายหนทว่าไม่รู้จะพูดอะไรกับเธอดี ทว่าคราวนี้เวียงดาวโทรหาเอง หรือาจอยากคุยเรื่องปลายรุ้ง นึกอย่างนั้นชายหนุ่มก็อมยิ้มแล้วกดรับ คอยฟังหญิงสาวอย่างตั้งใจและตื่นเต้นไปพร้อมกัน

                “พี่แทน! อยู่แทนไหนคะ”

                “ที่ทำงานครับ” กดรับสายได้เวียงดาวก็เสียงตื่นก็ไปหมดแต่ชายหนุ่มยังพยายามคุมอารมณ์ตัวเองไม่ให้ตระหนกตาม “มีอะไรหรือเปล่า”

                “พี่รู้ไหมว่าตอนนี้ปลายรุ้งมาเที่ยวผับ”

                “ผับไหน!”



[1] เพลง หลงรักคนมีเจ้าของ ศิลปิน วงไอน้ำ

[2] เพลง ฉันรักผัวเขา ประพันธ์เนื้อร้องโดย จำรัส เศวตาภรณ์

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น