11

บทที่ 11


 ขุนเขามั่นคง ต้นหญ้ามิหวั่นไหว

สองวันต่อมา ชินอ้ายถูกชางเลี่ยงหงเรียกไปพบที่เรือนเคียงวารี ผ่านพ้นไปประมาณสองชั่วยามจึงได้กลับมายังเรือนพักของตนพร้อมกับสมุดและตำรามากมายซึ่งต้องมีซางฉือช่วยถือด้วยอีกแรง

“นี่มันอะไรกัน” เด็กสาวที่นอนเอนกินถั่วคั่วดีดกายขึ้นมามองผู้มาใหม่อย่างตกใจ

“ฮูหยินให้ข้าศึกษาและช่วยทำบัญชี” ร่างเล็กตอบพลางเดินนำบ่าวหนุ่มไปยังโต๊ะทำงานขนาดกลางที่นางไม่เคยใช้งานมาก่อน

ม่อลี่เคี้ยวกรุบกรับขณะที่เดินตามมา กวาดสายตามองตำราทั้งหลายแล้วก็ขนลุกชัน “เจ้าไม่เคยทำบัญชีมาก่อนมิใช่หรือ”

“แค่แยกแยะรายรับรายจ่าย” ชินอ้ายตอบเสียงอ่อย สีหน้าดูหนักใจไม่น้อยเช่นกัน

“แค่แยกแยะต้องใช้ตำรามากมายเพียงนี้เชียวรึ” สีหน้าของหลานสาวเถ้าแก่โรงน้ำชาบ่งบอกว่าไม่เชื่อ และนางก็ได้คำตอบเมื่อฉวยหยิบสมุดและตำราบางเล่มขึ้นมาเปิดอ่าน ใบหน้าซีดลงก่อนจะเริ่มกลายเป็นสีแดง “รายรับรายจ่ายของโรงเลี้ยงไหม!”

ชินอ้ายก้มหน้างุดก่อนจะเบือนสายตาไปยังลูกคิดไม้ นางไม่เคยเห็นโรงเลี้ยงไหมมาก่อนด้วยซ้ำ ไฉนเลยจะมีความรู้มาแยกแยะรายรับรายจ่าย มิหนำซ้ำสิ่งที่ชาวหมู่บ้านทอผ้าบันทึกมายังเป็นเพียงหน่วยสิ่งของนั้นๆ นางจะต้องนำมาเปรียบเทียบและคำนวนทุกสิ่งเป็นจำนวนเงินเอาเอง

“นางให้เวลาข้าตั้งสิบวันนะเสี่ยวลี่”

“แต่รายรับรายจ่ายเหล่านี้บันทึกมาเป็นเดือน!”

ซางฉือมองเด็กสาวทั้งสองอย่างเห็นใจ โดยเฉพาะตู้ชินอ้าย “แม่นางตู้จะให้ข้าน้อยช่วยหรือไม่ขอรับ”

“ท่านซางมีความรู้เรื่องบัญชีหรือการเลี้ยงไหมหรือเจ้าคะ” เจ้าของดวงหน้ารูปหัวใจหันไปมองเขาอย่างมีความหวัง

“เอ่อ...” สีหน้าลำบากใจของชายหนุ่มเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่าเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน

ชินอ้ายยิ้มเศร้าๆ “ขอบคุณน้ำใจของท่านซางมาก แต่ท่านคงไม่ว่าอันใดหากข้าจะลองเรียนรู้ด้วยตนเองก่อน ได้ไหมเจ้าคะ”

“ขอรับ” ร่างในชุดสีขาวทำความเคารพก่อนจะขอตัวกลับไป ปล่อยให้สหายทั้งสองได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันตามลำพัง ม่อลี่หน้าบูดพร้อมกับเดินสะบัดไปหยิบเอาถ้วยใส่ของกินเล่นมาวางลงบนโต๊ะ ยืนเท้ามือประจันหน้ากับชินอ้ายที่นั่งลงแล้วเริ่มลงมือเปิดตำราอ่าน

“เจ้ายอมให้นางใช้งานและรังแกเจ้าได้อย่างไร” เสียงแหลมๆ ของเด็กสาวรังแต่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ นางไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดอีกฝ่ายต้องยอมทนทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าชางเลี่ยงหงไม่ชอบขี้หน้าและจงใจกลั่นแกล้ง

“แต่ความรู้ที่ได้ก็จะติดตัวข้าไปตลอดชีวิต งานนี้ถือว่าข้าได้กำไรนะ”

“ชินอ้าย...” เรียกเสียงยานคางพร้อมเดินมาทิ้งตัวพิงร่างเล็ก “เดิมข้าคิดว่าใต้หล้านี้เจ้าคงจะยอมโอนอ่อนเชื่อฟังเพียงคำพูดของพี่สาวคนเดียวเสียอีก ไฉนกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว”

ดรุณีน้อยปิดตารำในมือลงก่อนจะเทน้ำหนักลงบนแผ่นหลังของอีกฝ่ายบ้าง ยอมรับว่าหนักใจอยู่มากทีเดียว “ข้าเพียงรู้สึกว่า...หากข้าตัดสินใจทิ้งปัญหาและไม่ยอมเผชิญหน้ากับมันครานี้ ข้าก็คงกลายเป็นคนที่พบอุปสรรคเพียงเล็กน้อยก็จะยอมแพ้ หากเจออีกก็คนจะไปตลอดชีวิต”

ชินอ้ายกล่าวจบก็ได้ยินเสียงถอนหายใจยาว ไม่ทันไรก็ถูกแขนเล็กกอดไว้หลวมๆ ความรู้สึกอุ่นใจส่งผลให้นางคลี่ยิ้ม แก้มทั้งสองบุ๋มลงกลายเป็นลักยิ้มแสนน่ารักอันเป็นเสน่ห์ของเจ้าตัว หากมาที่นี่เพียงคนเดียวคงเหงาและหมดกำลังใจ ถอดใจกลับเมืองหลวงไปนานแล้ว

“ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างและเข้าใจข้าเสมอนะ เสี่ยวลี่” น้ำเสียงที่เจือความซาบซึ้งใจส่งผลให้ม่อลี่ขวยเขินอย่างบอกไม่ถูก

“ฮึ! หากรู้ว่านางจะทรมานเจ้าอย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ ข้าควรจะหาวิธีให้เจ้าไปยั่วยวนท่านเจ้าเกาะยังง่ายเสียกว่า” นางผละอ้อมกอดออกก่อนจะบุ้ยปาก “แล้วข้าจะช่วยอะไรเจ้าได้บ้าง”

          “ข้าต้องทำเองทั้งหมดเลย” เอ่ยพลางคลี่สมุดบันทึกและสมุดเปล่าขึ้นมา “เรื่องที่ฮูหยินเป็นห่วงท่านเจ้าเกาะข้าพอเข้าใจสาเหตุอยู่บ้าง แต่ดูจากท่าทีแล้วนางไม่ได้กีดกั้นข้าเพราะหมายตาผู้อื่นไว้เป็นสะใภ้อยู่ก่อนแล้ว”

“อย่างไรต่อ”

“เมื่อเช้าท่านเรียกข้าไปสอนเรื่องหน้าที่ต่างๆ ของนายหญิงแห่งเกาะดอกเหมย ข้าก็มองออกว่าท่านแม่ต้องการที่จะข่มข้า แต่ที่ข้าไม่เข้าใจคือเพราะเหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้น” สีหน้าของชินอ้ายดูราวกับพบเจอปริศนาอันแสนยากที่ไม่อาจพบคำตอบ

“ชินอ้ายเอ๋ยชินอ้าย เจ้านี่ช่างใสซื่อเสียจริงๆ ” ม่อลี่ส่ายหน้าน้อยๆ “ฟังข้านะ ตระกูลเผิงเป็นตระกูลพ่อค้าที่แสนร่ำรวยและมั่งคั่ง เจ้าคิดว่าผู้ใดกันเล่าที่คอยดูแลความเรียบร้อยภายในจวนอันใหญ่โตแห่งนี้”

“ย่อมต้องเป็นฮูหยิน”

“ใช่!” ใบหน้าของอีกฝ่ายดูพอใจมากขึ้น “ยามนี้เผิงซือเยียนเป็นผู้นำตระกูล หากเจ้าแต่งงานกับท่านเจ้าเกาะก็มีศักดิ์เป็นนายหญิง เป็นสตรีที่มีอำนาจสั่งการได้อย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เจ้าคิดว่า...นางที่มีสิทธิ์ตัดสินทุกอย่างภายในจวนตระกูลเผิงมานานกว่ายี่สิบปีจะยอมให้เด็กเมื่อวานซืนเช่นเจ้าแย่งไปง่ายๆ รึ!”

          “ข้าว่าไม่ใช่ ท่านน่าจะมีอคติเพราะข้าเป็นคนต่างถิ่น...ข้าคงคิดมากไปเอง” ชินอ้ายเริ่มฝนแท่งหมึกบนถาดอย่างช้าๆ นับว่าเป็นโชคดีของนางที่พี่สาวกำชับให้ท่านลุงลั่วจ้างอาจารย์มาสอนหนังสือให้พร้อมกับม่อลี่ มิเช่นนั้นบุตรสาวคนยากไร้ซึ่งถูกนำมาขายเป็นทาสเช่นนางคงมิมีโอกาสได้ร่ำเรียนเขียนอักษร

          “ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ” ม่อลี่ย้ำก่อนจะตัดสินใจปล่อยให้เด็กสาวลองลงมือทำงานที่ว่าดูสักครั้ง ส่วนนางรู้สึกอ่อนเพลียจึงขอไปงีบในส่วนของห้องนอน

ผ่านพ้นไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ผู้ที่ไปพักก็ตื่นนอนพร้อมกับแวะมาดูที่โต๊ะทำงานตัวเดิม พบว่าชินอ้ายยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้เช่นเดิม หากสิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือแผ่นกระดาษที่ถูกฉีกและขยำทิ้งวางกองอยู่บนโต๊ะแทรกกับตำราทั้งหลาย จำนวนของมันมากเสียจนเบียดกันกลิ้งตกลงบนพื้น

ร่างเล็กบัดนี้อยู่ท่ามกลางกองงานมากมายแสนยุ่งเหยิง ดวงตาหวานกวาดไล่อักษรที่เขียน มือหนึ่งถือพู่กันเพื่อลงบันทึก อีกมือหนึ่งถือตำราที่เปิดข้างไว้อย่างทุลักทุเล

“ไม่ให้ข้าช่วยแน่นะ” เสียงตะโกนถามเจือความง่วงงุนอยู่ในที

“เสี่ยวลี่เจ้าง่วงเช่นนี้ก็ไปนอนต่อเถิด” ผู้ที่กำลังจมอยู่กับงานตรงหน้าตอบโดยไม่เคยหน้าขึ้นมามอง ม่อลี่อ้าปากหาวพร้อมกับสาวเท้าเข้ามาใกล้

          “ถ้าข้าไม่บอก เจ้าไม่บอกนางก็ไม่รู้หรอกว่าข้าแอบช่วย” นางพยายามต่อรอง

          “ลายมือของเจ้ากับข้าไม่เหมือนกัน และต่อให้ปลอมแปลงจนดูไม่ออก ข้าก็ไม่สบายใจอยู่ดี” ชินอ้ายหยุดมือเพื่อหันไปดีดลูกคิด ตาเริ่มลายจนมองเห็นตัวอักษรลอยไปมา

          “เช่นนี้ดีแล้วจริงๆ น่ะหรือ”

          “หากเจ้ามีความรู้ทางด้านบัญชี ข้าคงให้เจ้าช่วยแล้ว หากเจ้ามาปวดหัวด้วยอีกคนจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่”

          ผู้เป็นสหายส่ายหน้า “ไม่ใช่ ข้าหมายถึงเรื่องที่เจ้าตั้งใจจะเป็นเจ้าสาวของเผิงซือเยียนต่างหาก”

          “ข้า...”

          “หืม” คิ้วของม่อลี่เลิกสูงขึ้น ประหลาดใจกับท่าทีดังกล่าว “ก่อนหน้านี้เห็นเจ้ายืนยันหนักแน่นว่าจะทำให้ปรารถนาของพี่สาวเป็นจริง หรือว่าเกิดเปลี่ยนใจเสียแล้ว”

          ชินอ้ายหยิบถั่วคั่วขึ้นมาใส่ปากเพิ่ม เริ่มเคี้ยวและใคร่ครวญไปพร้อมๆ กันก่อนจะกลืนมันลงไป “มิใช่ว่าข้าเปลี่ยนใจ แต่ข้ารู้สึกว่าอยากจะเรียนรู้และเข้าใจท่านเจ้าเกาะให้มากกว่านี้ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกของข้าที่สำคัญ แต่ความรู้สึกของท่านเจ้าเกาะเองก็สำคัญเช่นเดียวกัน”

          “เหตุใดจึงฟังดูซับซ้อนนัก ข้าไม่เห็นจะเข้าใจเลย” คู่สนทนาขมวดคิ้วพร้อมกับบ่นพึมพำ

          “เอาเป็นว่าข้ายังยืนยันว่าอยากอยู่ที่เกาะดอกเหมยต่อไป ส่วนเรื่องการแต่งงาน...ก็ให้ท่านเจ้าเกาะตัดสินใจเถิด”

          “เจ้าบ่ายเบี่ยง ข้าถามเพียงแค่ว่าเจ้าอยากแต่งงานหรือไม่เท่านั้นเอง”

          “พี่สาวบอกให้ข้าแต่ง”

          “หากพี่สาวไม่ได้บอกเล่า” น้ำเสียงของนางคาดคั้นเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังจริงจังมากเพียงไร “เจ้ายังอยากแต่งงานกับเผิงซือเยียนอยู่หรือไม่”

          ชินอ้ายสบตาม่อลี่นิ่งนาน ความสับสนไม่แน่ใจในแววตาวาดผ่านเพียงชั่วครู่ก็จางหายไป เด็กสาวหลุบตาลง ผิวแก้มร้อนกลายเป็นสีของผลลูกท้อ ตอบแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ “ข้ายังไม่แน่ใจ”

          ม่อลี่ได้ฟังดังนั้นก็ไม่คิดจะคาดคั้นอีก เรื่องความรู้สึกคงไม่ต่างจากการปลูกต้นไม้ กว่าจะบ่มเพาะงอกงามย่อมต้องใช้เวลา มิหนำซ้ำผู้ที่ผจญกับมันโดยตรงย่อมรู้สึกไม่ชัดเจนเท่าคนนอก ด้วยเหตุนี้นางจึงเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศดังกล่าว

          “เอาล่ะ ข้าไปนอนต่อก็ได้ แต่พอข้าตื่นขึ้นมาเมื่อไรเจ้าต้องหยุดงานมากินข้าวกับข้า ตกลงหรือไม่”

          คำถามที่ดูเหมือนจะเป็นการบังคับอยู่กลายๆ เรียกเสียงหัวเราะแผ่วเบาจากดรุณีน้อยได้เป็นอย่างดี

“ตกลง”

พอนางรับปากแล้วอีกฝ่ายก็ยอมไปนอนต่อแต่โดยดี ผ่านไปครู่หนึ่งชินอ้ายก็แขวนพู่กันเพื่อหยุดพัก กวาดตามองความยุ่งเหยิงตรงหน้าด้วยความเหน็ดเหนื่อย จากนั้นก็ก้าวเดินอย่างเงียบเชียบไปยังส่วนที่กั้นไว้เป็นห้องนอน เสียงกรนเบาๆ ของม่อลี่เป็นสิ่งยืนยันว่าอีกฝ่ายกำลังหลับสนิท

คนเดินปรับฝีเท้าให้เบาลง เบือนสายตาไปยังถุงผ้าสีน้ำตาลซึ่งวางพิงไว้ตรงหัวเตียง หยิบมันขึ้นมาอย่างทะนุถนอม ก่อนจะสาวเท้ากลับมายังด้านนอก บรรจงวางมันลงบนกองตำราหนึ่งที่กองสูงจนกระทั่งมันอยู่ในระดับสายตาเวลาที่นางทำงาน

ไม่ได้พบเขามาห้าวันแล้ว แต่การทำงานที่ได้รับมอบหมายจากฮูหยินกลับทำให้นางรู้สึกว่าตนเองเข้าใกล้เผิงซือเยียนมากยิ่งขึ้น

ดอกเหมยแดงซึ่งอยู่ด้านในคงเหี่ยวเฉาไปแล้ว แต่สิ่งที่ยังสดใหม่คือความอิ่มเอมอุ่นใจ ความรู้สึกนี้นางยังหาคำตอบไม่ได้ รู้เพียงแค่อยากเข้าใกล้และเข้าใจเขามากขึ้นเรื่อยๆ

          เหนื่อยได้แต่ท้อไม่ได้ พักได้แต่หยุดไม่ได้...

นางตัดสินใจได้ดังนั้นก็เริ่มนวดนิ้วมือเล็กๆ ของตนเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้า จากนั้นก็ก้มหน้าทำงานต่อด้วยจิตใจที่ฮึกเหิมมากยิ่งขึ้น

         

          นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เด็กสาวก็เอาแต่จมอยู่กับกองงานจนไม่ออกมานอกห้อง ยามที่นางพักผ่อนคือช่วงเวลาที่ต้องกินข้าวพร้อมกับม่อลี่ อาบน้ำและเข้านอนเท่านั้น

          ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีดำก้าวผ่านธรณีประตูอย่างเชื่องช้า สาวใช้สองนางซึ่งยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าโค้งคำนับกันอย่างตกใจก่อนจะถูกสั่งให้ถอยออกไปยืนรออยู่ด้านนอก บรรยากาศยามเย็นในเรือนรับแขกดูวังเวงไร้ผู้คน แต่ผู้สวมหน้ากากกลับเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของใครบางคนได้อย่างชัดเจน       

          เผิงซือเยียนสาวเท้าไปยังจุดดังกล่าว พบว่าบนโต๊ะขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กถูกปกคลุมด้วยแผ่นกระดาษ สมุดและตำราจนมองไม่เห็นผิวไม้ ทว่าสายตาประหลาดใจก็พลันอ่อนละมุนลงเมื่อสังเกตเห็นร่างเล็กๆ กำลังนอนฟุบหน้าลงบนกองงานเหล่านั้น

          มือใหญ่เอื้อมออกไปทัดเรือนผมที่ปรกหน้ากับที่ใบหูเล็กอย่างนิ่มนวล ดวงหน้ารูปหัวใจที่เคยซ่อนเร้นมีเค้าความเหนื่อยล้า โดยเฉพาะขอบตาที่ดำช้ำดูอิดโรยนั้นแสนเด่นชัด เขานึกไม่ถึงเลยว่าสตรีผู้อ่อนน้อมจะเอาจริงเอาจังกับการทำงานถึงเพียงนี้ นางมักจะทำอะไรเหนือความคาดหมายของเขาเสมอ

เพราะทนกับความทรมานไม่ไหว ทนนั่งฟังรายงานจากซางฉือเพียงอย่างเดียวมันไม่พอ เขากระหายมากกว่านั้น ทั้งอยากเห็น อยากสัมผัสและใกล้ชิด หรือคนอย่างเขาจะโดนพิษรักเล่นงานเข้าให้แล้ว

ชายหนุ่มจับจ้องผู้ที่นอนหลับอยู่เนิ่นนาน ไม่ส่งเสียงรบกวนเพราะอยากให้นางได้พักผ่อน กระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นถุงผ้าสีน้ำตาลถูกมือเล็กกำไว้หลวมๆ ด้วยความสงสัยจึงยื่นมือออกไป หากปลายนิ้วยังมิทันสัมผัสก็ต้องหยุดชะงักเมื่อรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวอันแผ่วเบา

เปลือกตาของชินอ้ายขยับอย่างเชื่องช้า การฟุบหลับส่งผลให้ร่างกายปวดเมื่อยไม่น้อย แววตาสะลึมสะลือก่อนจะกระพริบตาถี่เมื่อสังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมบนโต๊ะทำงาน มั่นใจว่ามือใหญ่ขาวสะอาดดุจหิมะนี้หาใช่ของสหายคนสนิทไม่

หรือว่าจะเป็น...

ข้อสันนิษฐานหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ นางตาสว่าง หยัดตัวนั่งหลังตรง ตวัดสายตาไปยังบุรุษสวมหน้ากากที่กำลังส่งเสียงหัวเราะอย่างขบขัน

 “ท่าน...เหตุใดมาจึงไม่ส่งเสียงเล่าเจ้าคะ” นางแก้มร้อนผ่าว ยกมือขึ้นคลำแถวริมฝีปาก ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าก่อนหน้านี้มิได้นอนน้ำลายไหล

“ทำงานเป็นเช่นไร” จ้างให้ เผิงซือเยียนก็ไม่ยอมพูดออกไปหรอกว่าท่าทีกระต่ายตื่นตูมของนางน่าเอ็นดูมากเพียงไร

          “อา...” ความหนักใจฉายชัดขึ้นมาในดวงตาอันอ่อนล้า การโหมทำงานมาหลายวันติดกันส่งผลให้การตอบโต้ของนางเชื่องช้ากว่าปกติ ดูท่าท่านเจ้าเกาะคงทราบเรื่องมาจากซางฉืออีกทอดหนึ่ง “ก็เรื่อยๆ เจ้าค่ะ” นางกล่าวเสียงอ้อมแอ้ม

          ชายหนุ่มไม่คิดซักไซ้ต่อให้มากความ ดูจากนิสัยของนางแล้วต่อให้ต้องเหน็ดเหนื่อยหรือเดือดร้อนมากเพียงใดก็คงไม่ปริปากพูด ไม่รู้ควรเรียกว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสีย

          เด็กสาวเบือนหน้าหลบดวงตาสีเข้มที่ดูเหมือนจะมองทุกสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่ง พยายามเรียกหาสหายที่ป่านนี้ไม่รู้ว่าหายไปอยู่ที่ใด “เสี่ยวลี่...”

          “นางอยากชมพระอาทิตย์ตก ซางฉือจึงพานางไปยังเขาซีซาน” บุรุษในชุดดำผู้ยืนอยู่ข้างโต๊ะเป็นผู้ตอบ

          “เจ้าค่ะ” ชินอ้ายก้มหน้าก่อนจะพบว่าในมือมีถือถุงผ้าซึ่งบรรจุดอกเหมยแดงไว้ ความเขินอายที่กำเริบขึ้นมาส่งผลให้ร่างกายร้อนผ่าว นางรีบเก็บมันเข้าอกเสื้ออย่างรีบร้อน หากท่านเจ้าเกาะรู้เข้าว่านางเอาดอกไม้มาเก็บไว้จะถูกมองว่าประหลาดหรือเปล่าก็มิอาจทราบได้

          เผิงซือเยียนจับจ้องการกระทำดังกล่าวโดยไม่เอ่ยวาจา สายตาเคลื่อนกลับมายังสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างเป็นธรรมชาติ กวาดมองดูสมุดบันทึกที่ดรุณีน้อยหนุนนอนเมื่อครู่เป็นอันดับแรก

“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่”

“บัญชีเจ้าค่ะ”

“เจ้าเคยทำบัญชีมาก่อนหรือไม่”

          ชินอ้ายส่ายหน้าเชื่องช้า “ไม่เคยเจ้าค่ะ”

          ร่างสูงโปร่งทอดมองเด็กสาวอย่างสงสาร ผู้เป็นมารดาคงสืบสาวรู้มาว่าตู้ชินอ้ายเติบโตขึ้นมาในโรงน้ำชา จึงเจตนามอบงานที่ไม่เกี่ยวข้องกันเพื่อให้เด็กสาวต้องลำบาก ดูท่าแล้วคงหมายจะบีบบังคับให้ดรุณีน้อยเกิดท้อและถอดใจ สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ไปเอง

“เจ้าเขียนเรียงตามวันที่นั้นถูกต้องแล้ว แต่โรงเลี้ยงไหมมีทั้งหมดห้าแห่ง เจ้าควรจะเลือกทำทีละแห่งเริ่มจากหนึ่งถึงห้า ครั้นได้ตัวเลขของแต่ละแห่งแล้วค่อยมารวมกันจะดูง่ายกว่า อีกทั้งผู้ที่ดูบัญชีนี้จะสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าโรงเลี้ยงไหมแห่งใดมีความผิดปกติหรือมีปัญหา”

นางก้มหน้าต่ำกว่าเดิม “เจ้าค่ะ”

“การจัดประเภทและหมวดหมู่ยังดูยุ่งเหยิง ดูตรงนี้...เจ้าเขียนว่าซื้อไหมแต่จริงๆ แล้วเราต้องเรียกว่าพันธุ์ไหมหรือไม่ก็ไข่ไหม และตรงนี้เจ้าคำนวณราคาของแกลบเผาจากหมู่บ้านต้นข้าวผิดไป”

“เจ้าค่ะ”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าใช้แกลบเผาไปทำอะไร”

ร่างเล็กส่ายหน้าอีกครั้ง ขอบตาเริ่มแสบร้อน รู้สึกว่าความพยายามที่ผ่านมาช่างสูญเปล่าสิ้นดี นางมิได้เรียนรู้อะไรเลย

“แกลบเผาช่วยลดความชื้นของสภาพที่อยู่ของหนอนไหมได้”

น้ำเสียงของเขายังคงนุ่มทุ้มเช่นเคย ทว่าเด็กสาวกลับรู้สึกว่าถูกตอกย้ำความล้มเหลวมากยิ่งขึ้น ไหล่เล็กบางพลันรู้สึกหนักอึ้ง ดีเพียงไรที่ยามนี้มีเก้าอี้ช่วยพยุงร่างเอาไว้

สิ่งที่ชางเลี่ยงหงกล่าวนั้นถูกต้อง ท่านเจ้าเกาะเพียบพร้อมทุกอย่างดั่งยอดเขาสูงใหญ่เทียมฟ้า ขณะที่นางไม่ต่างจากต้นหญ้าตีนเขาแสนสามัญ

          “อยากเรียนรู้หรือไม่”

คำถามนี้เปรียบเสมือนหยาดน้ำทิพย์ที่หยดลงบนจิตใจอันแห้งแล้ง ดวงตาอันเศร้าซึมเปล่งประกายมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันควัน แน่นอนว่านางอยากเข้มแข็งขึ้น อยากเรียนรู้ให้มากขึ้น แม้ดวงตาจะเริ่มแดงแต่นางก็เงยขึ้นมา ท่าทีกระตือรือร้นยิ่งนัก “อยากเจ้าค่ะ”

          ชินอ้ายไม่มีทางรู้เลยว่าคำตอบนี้ส่งผลให้ชายหนุ่มรู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอก โล่งใจที่เด็กสาวไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือจากเขา

แต่แล้วน้ำเสียงของผู้ที่เริ่มพอใจก็แปรเปลี่ยน “หากข้าไม่มาหา...เจ้าก็ไม่คิดจะไปพบข้า?”

          ดรุณีน้อยที่เพิ่งฟื้นคืนจากความหม่นหมองเอียงคออย่างไม่เข้าใจนัก “ท่านเจ้าเกาะหมายถึง...” เขากำลังหมายถึงเรื่องงานที่ได้รับมอบหมายจากฮูหยิน หรือกำลังหมายถึงสิ่งอื่นกันแน่

          ใบหน้าของนางช่างไร้เดียงสา ผิดกับคู่สนทนาที่มีอารมณ์ต่างกันโดยสิ้นเชิง

          ที่ผ่านมามีเพียงเขาที่คะนึงหานางอยู่ฝ่ายเดียวหรอกหรือ

เขารู้ดีว่าที่นางตั้งใจทำงานด้วยเหตุผลใด แต่ในใจลึกๆ มันก็อดที่จะรู้สึกน้อยใจไม่ได้อยู่ดี

ชินอ้ายพยายามคาดเดาความคิดของอีกฝ่าย สีหน้าที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในหน้ากากเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง หากมันก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้นางละเลยความรู้สึกของเขา ในเมื่อ...

เขาคือคนสำคัญ

“คนเราชินกับความเหนื่อยได้ ชินกับความลำบากได้...แต่จะชินกับความเหงามิได้นะเจ้าคะ”

“ไม่เหงาแล้ว...”

 

บทสนทนาระหว่างนางกับเขาผุดขึ้นมาในความทรงจำ ชินอ้ายเผลอกำมือแน่นขึ้น หยัดกายลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ท่านเจ้าเกาะ...จะช่วยสอนข้าได้หรือไม่เจ้าคะ” น้ำเสียงแววตาสั่นไหวคล้ายระลอกคลื่น

สายลมแห่งฤดูหนาวพัดผ่านเข้าสู่เรือนใหญ่ เรือนผมหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีพลิ้วไหวคล้ายก้านหลิวลิ่วตามลม ทว่าน่าแปลกนักที่ชายหนุ่มกลับได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของต้นหญ้าในฤดูใบไม้ผลิ

“กำหนดส่งเมื่อไร”

          ความหวังผุดขึ้นมาในดวงตาของผู้ฟัง นิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มนับนิ้วตนเอง “อีกห้าวันเจ้าค่ะ” พอบอกจำนวนวันไปแล้วก็ใจแป้ว อดหวั่นใจไม่ได้ว่าจะสามารถเสร็จทันกำหนดการที่นายหญิงแห่งเกาะดอกเหมยมอบหมายให้หรือไม่

          ชายหนุ่มพยักหน้า  น้ำเสียงอ่อนละมุนกว่าที่เคย “ข้าจะสอนเจ้าเอง”

          “แต่งานของท่านเจ้าเกาะเองก็มากอยู่แล้วนะเจ้าคะ” สีหน้าของนางเป็นกังวล นางเป็นคนรับปากฮูหยินเองว่าจะพัฒนาเพื่อท่านเจ้าเกาะ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นทำให้เขามาลำบากเพิ่มขึ้น เช่นนี้จะไม่ให้เกรงใจได้อย่างไร

          “มิได้สอนเจ้าเปล่าๆ ”

          “หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ”

          “ย่อมต้องมีค่าตอบแทน” เผิงซือเยียนขยายความให้ชัดเจนขึ้น

          “ตอบแทนอย่างไรหรือเจ้าคะ” ชินอ้ายมีสีหน้าสงสัย นางอยู่บนเกาะดอกเหมยมีแต่ต้องพึ่งพาเขาทุกเรื่อง แล้วจะตอบแทนเขาได้อย่างไรกันเล่า

          ร่างสูงโปร่งสาวเท้าเข้ามาใกล้ ดรุณีน้อยแหงนหน้ามองหน้ากากสีดำ รอฟังเงื่อนไขอย่างตั้งใจ

“ต่อแต่นี้ทุกวัน ยามอิ่ว ให้เจ้านำงานทั้งหมดไปทำที่เรือนหนิงจิ้ง ร่วมมื้อเย็นด้วยกันแล้วค่อยเรียน” เขากล่าว

          การเน้นย้ำเป็นพิเศษส่งผลให้เด็กสาวนึกย้อนไปยังคราวที่นางพักแรมอยู่ที่หมู่บ้านใบชา รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปากอย่างเผลอไผล เกิดความรู้สึกอุ่นวาบขึ้นในใจ

อย่างน้อยขุนเขาก็ไม่ต้องกินข้าวอย่างเดียวดายอีกต่อไปแล้ว...

 
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น