3

บทที่ 3


 

ผู้มาสีแดง ผู้อยู่สีขาว ผู้ครองสีดำ

 

          ท้องฟ้ากว้างใหญ่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหนาสีเทาหม่น หลังจากพี่สาวจากไปครบหนึ่งเดือน...หน้าโรงน้ำชาชื่อดังแห่งเมืองหลวงก็มีรถม้าผูกธงสีขาวของตระกูลเผิงจอดรอตั้งแต่เช้าตรู่

          น่าแปลกที่ผู้มาเยือนไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ ลั่วสื่อก็เข้าใจได้ในทันที

          การจากลาเป็นไปอย่างเรียบง่าย ทว่าการที่มีคนมากหน้าหลายตามาส่งนางก็สร้างความซาบซึ้งใจจนชินอ้ายถึงกับหลั่งน้ำตา

          นางเติบโตมาใต้ปีกของท่านลุงลั่วและฮูหยินมานานกว่าเก้าปี แม้มิใช่ความผูกพันทางสายเลือดแต่ก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากญาติมิตร ไหนจะผู้อาวุโสในโรงน้ำชาที่คอยสั่งสอนให้นางเรียนรู้เรื่องชา แล้วยังมีใต้เท้าและฮูหยินทั้งหลายที่คอยเอ็นดูนางอยู่เสมอ

          แรกพบถือเป็นเรื่องง่าย...หากยามจากลานั้นแสนยากเย็นนัก

          ความจริงดรุณีน้อยอาจต้องยืนร่ำลาอยู่นานแสนนานหากไม่ติดว่าม่อลี่เอ่ยเร่งเข้าเสียก่อน การที่สหายของนางร่วมเดินทางมาด้วยได้ช่วยให้นางอุ่นใจขึ้นอีกหลายส่วน

          สายลมของชิวเทียนผ่านพ้นทดแทนด้วยอากาศที่หนาวเย็นของตงเทียน[1] การเดินทางจากเมืองหลวงไปยังชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือใช้เวลาเดือนกว่า เมื่อต่อด้วยเรือสำเภาก็ต้องใช้เวลาอีกครึ่งเดือนกว่าจะเดินทางถึงเกาะดอกเหมย

นึกไม่ถึงว่าทันทีที่ทั้งสองถึงที่หมาย หิมะสีขาวสะอาดก็โปรยปรายลงมาเสียแล้ว...

“เสี่ยวลี่ รีบกางร่มเร็วเข้า” ชินอ้ายในเสือคลุมสีแดงกล่าวกับสตรีข้างกายที่ร่างโงนเงนราวกับจะหลับเสียให้ได้

การกินนอนบนเรือสำเภาไม่ได้สุขสบายนัก สำหรับนางถือว่าโชคดีที่มิได้เมาคลื่น ผิดกับม่อลี่ที่อาเจียนไปหลายครั้ง ใบหน้าซีดเซียวอิดโรย ควรรีบไปนอนพักเป็นอย่างยิ่ง

“กางร่ม...” เสียงเล็กพึมพำขณะที่กางร่มสีเดียวกับชุดของนางอย่างเอื่อยเฉื่อย กว่าจะทันได้กันก็ถูกหิมะร่วงใส่ตัวจนเปียกชื้น

ชินอ้ายมีสีหน้าไม่สบายใจ พี่สาวบนเรือบอกว่าให้พวกนางรออยู่ที่ท่าจนกว่าจะมีคนมารับ ปกติเกาะดอกเหมยไม่ค่อยได้ต้อนรับคนต่างถิ่น หากเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปอาจถูกเข้าใจผิดจนกลายเป็นเรื่องใหญ่เอาได้

          แต่นางก็ไม่อยากให้เพื่อนต้องมายืนตากอากาศเย็นๆ ในสภาพนี้ หากป่วยขึ้นมาจะยิ่งแย่

          ผู้คิดคลำมือไปยังกำไลเงินที่สวมใส่อยู่อย่างเผลอไผล นางมาที่นี่เพราะคำสั่งของพี่สาวที่นางเคารพรัก แต่ยามนี้นางกลับคะนึงถึงกองไฟอุ่นๆ ที่โรงน้ำชา...

          ชินอ้ายส่ายหน้าเพื่อขับไล่ความคิดเหล่านั้นออกไป ไม่ได้ๆ จะถอดใจตั้งแต่ตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด นางจะปล่อยให้พี่สาวกับท่านลุงลั่วรู้สึกผิดหวังในตัวนางไม่ได้

          ทันใดนั้นเองสายตาก็เหลือบไปเห็นเงาบางอย่างเคลื่อนไหวท่ามกลางความขาวโพลนที่โปรยปราย แววตาเผยความโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพบว่าเขาคงเป็นผู้ที่พวกนางเฝ้าคอย

“ยินดีต้อนรับแม่นางตู้และสหายขอรับ ขออภัยด้วยที่มาช้า ข้าน้อยมีนามว่าซางฉือ ได้รับคำสั่งให้พาท่านไปยังเรือนพักผ่อนขอรับ” บุรุษร่างผอมสูงอายุประมาณสิบเจ็ดปีแต่งกายด้วยชุดสีขาวโค้งศีรษะให้นางกับม่อลี่อย่างนอบน้อม ก่อนจะยื่นเตาร้อนใบเล็กให้พวกนางคนละใบ ความอบอุ่นที่ซึมผ่านจากปลายนิ้วช่วยเหลือได้มากทีเดียว

          “ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านซาง” ชินอ้ายยิ้มให้ผู้สูงวัยกว่าก่อนจะโค้งศีรษะอย่างสุภาพไม่แพ้กัน การแต่งกายของเขาคล้ายคลึงกับพี่สาวมาก เสียแต่ว่าบุรุษผู้นี้รวบผมเกล้าเป็นมวยสูง “ท่านซาง ที่นี่มีข้ากับม่อลี่ยืนอยู่ ไฉนท่านจึงทราบได้ว่าข้าคือตู้ชินอ้าย”

          เรื่องนี้ชินอ้ายไตร่ตรองดูแล้ว หากถามไปก็คงไม่เป็นการเสียมารยาท ในเมื่อนางกับม่อลี่แต่งกายเหมือนกัน อายุใกล้เคียงกัน เหตุใดชายหนุ่มผู้นี้กลับสามารถชี้ตัวได้อย่างถูกต้องกันเล่า

          ซางฉือปิดปากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยความระมัดระวังยิ่ง “ข้าน้อย...เคยเห็นรูปวาดของท่าน”

ชินอ้านมึนงงสับสน รูปวาดของนาง? อีกฝ่ายเคยเห็นรูปวาดของนางจากที่ใดกัน

หากความสงสัยของนางยังไม่ทันได้รับการแถลงไข เสียงหนึ่งก็เอ่ยแทรกขึ้นมากลางป้อง

“ท่านซางฉือ ข้ามีนามว่าม่อลี่” ใบหน้าของม่อลี่เริ่มมีเลือดฝาด อาการอ่อนเพลียเริ่มทุเลาลงเพราะมีเตาร้อนคอยช่วย

          “แม่นางม่อ” เขาพยักหน้าอย่างสุภาพ ก่อนจะตรงเข้าไปหยิบสัมภาระซึ่งเป็นเพียงห่อผ้าเล็กๆ ขึ้นสะพายหลัง ผายมือให้สตรีทั้งสองอย่างเชื้อเชิญ “แม่นางทั้งสอง เชิญ”

          ในที่สุดหิมะก็หยุดโปรยลงมาเมื่อคนทั้งสามเดินทางไปได้ครึ่งทาง ชินอ้ายกับม่อลี่จึงพากันหุบร่ม เมื่อสามารถมองเห็นทัศนียภาพรอบกายได้อย่างเต็มตาก็เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง

          สองข้างทางคือต้นไม้ใหญ่ซึ่งกินอาณาบริเวณออกไปอย่างกว้างขวางไม่ต่างจากผืนป่า กิ่งก้านทั้งหลายปราศจากใบสีเขียวสด แต่กลับชูช่อผลิดอกท้าความหนาวเย็นของหิมะอย่างไม่ย่อท้อ แลดูงดงามเกิดบรรยายราวกับภาพมายา     

“ชินอ้าย! เจ้าดูดอกไม้เหล่านี้สิ แม้ก่อนหน้านี้หิมะจะโปรยปรายลงมาอย่างหนัก หากพวกมันยังคงออกดอกสีขาวพิสุทธิ์ บานสะพรั่งยาวไปสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว” ม่อลี่กล่าวอย่างตื่นเต้น ร่มสีแดงที่นางถือขยับไปมา ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก

          ผู้ฟังอมยิ้ม “เสี่ยวลี่...ต้นไม้ที่เจ้าเห็นเหล่านี้คือต้นเหมย”

          “ต้นเหมย?” นางทวนเสียงสูงพลางหันซ้ายหัวขวา สีหน้าดูมึนงงไม่น้อย “มิใช่ว่าต้นเหมยจะออกดอกสีแดงหรอกหรือ”

          “เข้าใจผิดแล้ว” เด็กน้อนผู้ใช้เวลาย่ามว่างศึกษาสมุนไพรและบุปผาช้อนดวงตาหวานมองต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุด “เหมยฮวา[2] คือหนึ่งในสามสหายแห่งตงเทียนร่วมกับต้นหลิวและไผ่ ขึ้นชื่อว่าเป็นปัญญาชนแห่งฤดูหนาวเพราะมันสามารถดอกบานสะพรั่งอย่างอดทน ไม่ย่อท้อต่ออากาศเย็นที่เลวร้ายที่สุดของปี ดอกเหมยที่มีสีขาวแกมเขียวที่เจ้าเห็นเหล่านี้มีสรรพคุณทางยามากกว่าดอกเหมยสีแดง”

ซางฉือมองร่างเล็กในชุดสีแดงสดโดดเด่น ตัดกับสีของดอกเหมยและหิมะขาวด้วยสีหน้าพอใจ “แม่นางตู้นับว่ามีความรู้อยู่บ้าง”

          “ข้ารู้เพียงผิวเผินเท่านั้น” เด็กสาวยิ้มรับขณะที่คนทั้งหมดออกเดินทางต่อ

          “ป่าเหมยขาวที่พวกเรากำลังเดินผ่านอยู่เป็นหนึ่งในสี่ผืนป่าบนเกาะแห่งนี้ ป่าเหมยขาวอยู่ทางทิศใต้ ป่าเหมยชมพูอยู่ทางทิศตะวันออก ส่วนป่าเหมยแดงอยู่ทางทิศเหนือ” น้ำเสียงของเขาในคราแรกที่ฟังดูห่างเหินเป็นมิตรมากขึ้น ยามนี้เขาเริ่มเปิดใจเล่ารายละเอียดบางอย่างให้พวกนางฟังบ้างแล้ว

          “แล้วทางทิศตะวันตกเล่า” ม่อลี่ถามต่ออย่างสนใจ

          “ทิศตะวันตกคือป่าเหมยดำ เป็นเขตหวงห้าม” เขากล่าวจบก็เปลี่ยนเรื่องราวกับคำพูดเมื่อครู่หาได้สลักสำคัญไม่

“บนเกาะแห่งนี้ นอกจากป่าดอกเหมยแล้วยังมีสมุนไพรล้ำค่ามากมาย แร่ธาตุหยินหยางล้วนบริสุทธิ์สมดุล เพาะปลูกได้ผลดี ขณะเดียวกันก็มีจุดที่อันตรายมากมาย ทางที่ดีแม่นางทั้งสองไม่ควรไปไหนตามลำพังโดยไม่มีคนบนเกาะคอยนำทาง” เขาเหลือบสายตามายังม่อลี่ที่กวาดตามองทิวทัศน์อย่างเอ้อระเหย คาดว่าคงไม่ได้ฟังคำอธิบายของเขามาตั้งแต่เมื่อครู่

          “แม่นางม่อ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากพูดกับท่านให้เข้าใจ”

เจ้าของชื่อสะดุ้งเบาๆ ก่อนจะรีบเบือนสายตามายังผู้เรียก “...อ๋อ ว่าอย่างไรท่านซาง”

ซางฉือขมวดคิ้ว “ปกติแล้วเกาะดอยเหมยไม่ต้อนรับให้คนนอกพักแรมอยู่นานเกินห้าวัน แต่เนื่องจากท่านเป็นสหายของแม่นางตู้ เราจึงอนุญาตให้ท่านพำนักอยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงวันแต่งงาน”

“อ้าวท่านซาง! แล้วหลังจากนั้นข้าจะทำอย่างไรเล่า!” ม่อลี่ร้องถาม

“เราจะส่งท่านขึ้นเรือกลับไปยังแคว้นเหลียว พร้อมกับเตรียมรถม้าพาท่านส่งถึงโรงน้ำชา”

“ตะ...แต่ข้า...” เสียงของเด็กสาวปวดร้าวยิ่งนัก เรื่องจะกลับไปใช้ชีวิตอันน่าเบื่อที่โรงน้ำชาก็เรื่องหนึ่ง ทว่าเพียงแค่คิดว่าต้องนั่งเรือสำเภาเป็นเดือนๆ อีกรอบ ม่อลี่ก็พลันรู้สึกเวียนหัวขึ้นมา

การเมาเรือมันช่างทรมานยิ่งนัก...คนบนเกาะดอกเหมยช่างแล้งน้ำใจ!

แต่ดูท่าการกรนด่าในใจจะสื่อไปถึงชายหนุ่มที่มองอยู่ ซางฉือจึงแถลงไขให้อีกฝ่ายเข้าใจถึงความสำคัญของคำพูดตนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

“แม่นางม่อ นับตั้งแต่ท่านย่างเท้าลงบนเกาะดอกเหมยก็เท่ากับต้องทำตามกฎของเกาะดอกเหมย เรื่องนี้เป็นคำสั่งของท่านเจ้าเกาะโดยตรง และข้าน้อยก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะไม่ทำให้แม่นางตู้ต้องลำบากใจไปด้วย”

ชายหนุ่มกล่าวพลางเคลื่อนสายตาไปหาดรุณีน้อยอีกคน ทว่าผลที่ได้กลับเป็นใบหน้าของเขาที่ซีดเผือดลงเรื่อยๆ หลานสาวแห่งโรงน้ำชาอันดับหนึ่งในเมืองหลวงเห็นดังนั้นก็มองตามด้วยความใคร่รู้ หากก็ตกใจจนแทบร้องลั่นเมื่อไม่พบสหายของตนแม้แต่เงา

ตู้ชินอ้ายหายไปไหน!

 

ร่างในเสื้อคลุมสีสดย่ำเท้าด้วยสีหน้าวิตกกังวล ทว่าทีท่าการเดินของนางช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก...

ชินอ้ายเดินก้มๆ เงยๆ มองดูไกลๆ คล้ายกระต่ายสีแดงที่กำลังกระโดดเล่นบนหิมะอันเย็นเฉียบ

“หาไม่เจอเลย...หล่นอยู่ที่ใดกันนะ”

นางพึมพำขณะที่เหลือบสายตามองข้อมือข้างซ้ายที่เปลือยเปล่า ใจรู้สึกเบาโหวงจนไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ ทันทีที่รู้สึกตัวว่ากำไลเงินหล่นหายไปจึงเดินย้อนกลับมายังเส้นทางเดิม นับว่าดียิ่งนักที่หิมะหยุดตกแล้ว ร่องรอยซึ่งเกิดจากเดินของพวกนางจึงยังเหลือให้เห็นอยู่บ้าง

ก่อนหน้านี้นางเผลอทำเตาร้อนตกพื้น ใช้การต่อไม่ได้ เดิมทีคิดว่าวกกลับมาหาก็คงหาพบโดยเร็ว ทว่าผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่เจอสิ่งที่ตามหาเสียที...

          ร่างเล็กเริ่มมีเหงื่อไหลซึมออกมาจากฝ่ามือ แม้อากาศจะเย็นจัดแต่กายกลับร้อนเนื่องจากเดินอย่างไม่หยุดพัก

          หรือนางควรจะวกกลับไปบอกเรื่องนี้กับซางฉือ?

เสียงหนึ่งดังขึ้นในใจ ก่อนที่อีกเสียงหนึ่งจะแย้งขึ้นมา

นางเป็นคนต่างถิ่นที่เพิ่งมาถึง ถ้าทำเช่นนั้นจะมิใช่เป็นการสร้างความลำบากให้บ่าวหนุ่มโดยไม่จำเป็นหรอกหรือ?

ร่างเล็กเหม่อมองออกไปยังความเปล่าของทะเลสีคราม ความรู้สึกเคว้งคว้างทอดยาว ดูกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา หลายเดือนมานี้นางได้คิดทบทวนมานับครั้งไม่ถ้วน นางรับปากพี่สาวโดยใช้ความสุขทั้งชีวิตของตนมาแลก แม้ใจจริงมิได้อยากมานั่งเสียใจภายหลัง แต่นางก็รู้สึกว่ามันช่างกะทันหันเหลือเกิน

ยามนี้ของสำคัญที่อีกฝ่ายให้ไว้กลับมาหล่นหาย ครั้นนึกถึงใบหน้างดงามของผู้มีพระคุณก็เรียกให้ความชื้นแฉะเริ่มเอ่อท้นออกมาจากดวงตา

ในเมื่อบุรุษผู้นี้เป็นคนที่พี่สาวเลือก... นางต้องเชื่อมั่นว่าเขาย่อมเป็นคนที่ดีพอ

ชินอ้ายคิดพลางหลับตาลงพร้อมกับอธิษฐานในใจอย่างเงียบงัน หากท่านเจ้าเกาะเมตตานางเพียงแค่หนึ่งในสิบส่วนของพี่สาวก็คงจะดีไม่น้อย

คลื่นลมแรงสาดกระทบฝั่งเกิดเป็นเสียงดังอื้ออึงอยู่ข้างหู สายลมพัดโกรกผ่านกายบางจนสั่นสะท้าน เรือนผมดำขลับปลิวสยายจนพังกันยุ่งเหยิง

หากชั่วอึดใจต่อมา...ลมแรงนั้นกลับหายไปเสียเฉยๆ

นางลืมตาขึ้นมาด้วยความมึนงง ก่อนที่ร่างจะผงะถอยหลังเมื่อเบื้องหน้ากลับมีกำแพงมนุษย์ยืนขวางทางลมเอาไว้

นะ...น่าอายนัก!

นางรีบยกมือปาดความชื้นที่ขอบตาอย่างรีบร้อนก่อนจะก้มหน้าลงต่ำ อับอายเกินกว่าที่จะเงยหน้ามองผู้ที่มีน้ำใจช่วยเหลือตน ชุดสีดำสนิทของเขาตัดกับเสื้อคลุมสีแดงของนางและพื้นหิมะเบื้องล่าง แม้จะไม่ได้เห็นหน้า แต่จากการแต่งกายก็ทำให้ดูออกว่าอีกฝ่ายย่อมเป็นบุรุษเพศ

“ขอบพระคุณคุณชายมากเจ้าค่ะ”

อีกฝ่ายยืนเงียบไม่ตอบสนองคำพูดของนางจนเด็กสาวเริ่มใจเสีย จึงเข้าใจว่าตนเองมารบกวนเวลาส่วนตัวของเขา ทางที่ดีนางควรจะขอตัวเพื่อไปตามหากำไลต่อ

“ข้า...ขอตัวนะเจ้าคะ”

นึกไม่ถึงว่าแขนเสื้อสีทึมจะมีความเคลื่อนไหวขึ้นมาขวางนางไว้พอดี ก่อนที่มือใหญ่สีขาวสะอาดจะผายออกมาเบื้องหน้าชินอ้ายพร้อมกับของสิ่งหนึ่ง

“ใช่ของเจ้าหรือไม่” เสียงนุ่มทุ้มแทบจะดึงดูดให้ผู้ฟังตกอยู่ในห้วงภวังค์ หากสิ่งที่ยื้อนางให้อยู่ในโลกของความเป็นจริงคือกำไลเงินซึ่งห้อยด้วยจี้รูปดอกเหมยโดดเด่นในอุ้งมือใหญ่ ชินอ้ายคลี่ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ รอยบุ๋มที่ข้างแก้มทั้งสองกดลึกลงไปจนผู้ที่มองอยู่รู้สึกว่าร่างของตนนิ่งค้างไปชั่วขณะ มืออีกข้างที่ทิ้งอยู่ข้างตัวสั่นเล็กน้อยก่อนจะกำแน่นเข้าหากัน

“เจ้าค่ะ! กำไลเงินวงนี้สำคัญกับข้ามาก”ดรุณีน้อยเงยหน้าหวังกล่าวคำขอบคุณจากใจจริง หากเมื่อดวงตาหวานสบเข้ากับดวงตาสีเข้มก็พูดอะไรไม่ออกขึ้นมาชั่วขณะ อดไม่ได้ที่จะเผยความตกใจออกมา

บุรุษผู้นี้รูปร่างสูงโปร่งจนนางอยู่เพียงระดับอกของเขา แม้การแต่งกายจะดูดุดันน่าเกรงขามทว่าทวงท่ากลับสง่างามน่าเลื่อมใส

และที่สำคัญกว่านั้นคือใบหน้าของเขาถูกอำพรางภายใต้หน้ากากสีดำ ตั้งแต่หน้าผากกระทั่งถึงแก้มข้างขวาถูกวาดด้วยอักษรหมึกทองตัวใหญ่ว่า ‘เผิง[3]

ชินอ้ายเบิกตากว้างมากขึ้นเรื่อยๆ เขาสวมใส่หน้ากากและแต่งกายในชุดสีดำ แผ่กลิ่นอายไม่ธรรมดาทว่าเสียงที่กล่าวก็บ่งบอกได้ว่ายังหนุ่มแน่น

...หรือว่าคนผู้นี้คือเผิงซือเยียน จ้าวเกาะดอกเหมย!

ผู้คิดกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ยามนี้ไม่อาจมั่นใจได้ว่าเขาใช่บุรุษที่นางต้องแต่งงานด้วยหรือไม่ ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือการหยิบเอากำไลคืนมาจากเขา

นางกลั้นใจพร้อมกับยื่นมือที่สั่นเล็กน้อยออกไปเบื้องหน้า หวังจะหยิบของสำคัญกลับคืนมาจากมือใหญ่ของบุรุษชุดดำด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ทันทีที่คว้ากำไลเงินมาได้ก็ชักมือกลับ  แต่เด็กสาวก็แทบจะส่งเสียงร้องออกมาเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายกลับพลิกแขนมาอยู่ด้านบน ใช้มือใหญ่รัดเข้าที่ข้อมือเล็กจนนางไม่อาจถอยหนีไปได้!

หน้ากากที่ชายหนุ่มใส่รึก็แสนจะน่าสะพรึงกลัว ทว่าความอุ่นจากฝ่ามือใหญ่ที่ซึมผ่านเข้าสู่ผิวเนื้อบางกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ชินอ้ายไม่คุ้นชินกับการถูกตัวกับบุรุษจึงมีอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ที่น่าประหลาดใจคือนางไม่อาจรับรู้ถึงความคุกคามจากบุรุษที่ตรึงข้อมือของตนแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ...ก้อนเนื้อในอกยังเต้นรวนราวกับลั่นกองศึกอย่างไม่น่าให้อภัย!

“เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่” น้ำเสียงราบเรียบ ยากต่อการคาดเดาเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังไพเราะน่าฟังยิ่ง

          ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเขากำลังตำหนินางอยู่หรือไม่

          หากนางตอบเขาไปว่า ‘ข้ามาเพื่อแต่งงานกับท่านเจ้าเกาะ’ จะดูน่าเกลียดไหมนะ?

          และถ้านางแย้งถามเขาว่า ‘ท่านใช่เผิงซือเยียนหรือไม่’ ก็อาจกลายเป็นเรื่องไร้มารยาทจนเกินไป

          “ข้า...” ชินอ้ายสูดหายใจเข้าลึก เคลื่อนสายตากลับไปยังมือใหญ่ที่ยังพันธนาการอยู่ที่ข้อมือตน หวังจะให้อีกฝ่ายปล่อยแขนนางเสีย แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้ามเมื่อมันถูกบีบแน่นกว่าเดิมราวกับเกรงว่านางจะวิ่งหนีไป

“ผู้ใดมอบกำไลนั้นแก่เจ้า”

          “พะ...พี่สาวคนสำคัญเป็นผู้มอบให้ข้าเจ้าค่ะ” นางตอบอย่างว่าง่ายแม้สีหน้าจะเผยความมึนงงอยู่บ้างก็ตาม

“พี่สาว?” เสียงนุ่มทุ้มของเขาแฝงแววเคลือบแคลงสงสัย ทว่าใบหน้าที่ถูกปกปิดด้วยหน้ากากก็ส่งผลให้ผู้มองมิอาจคาดเดาอารมณ์ของอีกฝ่ายได้

“เอ่อ...คุณชายช่วยปล่อยข้าได้ไหมเจ้าคะ ข้าเจ็บ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนจนน่าสงสาร และทันทีที่ชายหนุ่มปริศนายอมปล่อยมือ เสียงของคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้นมาพอดี

“คารวะท่านเจ้าเกาะ”

ชินอ้ายหันหน้าไปยังทิศทางของผู้มาใหม่ ครั้นเห็นว่าเป็นซางฉือและสหายก็เผยสีหน้าโล่งใจออกมา หากประเดี๋ยวเดียวก็ต้องหันกลับไปยังบุรุษเบื้องหน้าอีกครั้ง

เขาคือท่านเจ้าเกาะอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ

ร่างเล็กในชุดสีแดงสดเริ่มกระสับกระส่าย เมื่อการพบกันเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน นางไม่มีเวลาเตรียมตัวและเตรียมใจ หากเลือกได้คงไม่มีสตรีใดไม่อยากจะสร้างความประทับใจให้ ‘ว่าที่เจ้าบ่าว’ ของตนเองกันบ้างเล่า

ฝ่ายม่อลี่เห็นชายในชุดดำซึ่งสวมหน้ากากน่าสะพรึงกลัวก็ตกใจก็ผงะถอยหลัง รีบเดินไปยืนหลบอยู่ข้างหลังบุรุษในชุดขาวขณะที่ส่งสายตามายังดรุณีน้อยอย่างหวาดๆ

“เหตุใดพวกนางจึงมาอยู่ที่นี่ได้” เผิงซือเยียนหันหน้าไปยังบ่าวรับใช้แห่งจวนริมผา สถานที่ซึ่งเป็นที่พำนักของตระกูลเผิง...ผู้ปกครองเกาะดอกเหมยแห่งนี้

“เรียนท่านเจ้าเกาะ แม่นางตู้เดินทางมาที่นี่เพื่อแต่งงานกับท่าน”

“แต่งงาน?” จากน้ำเสียงของชายนุ่มบ่งบอกว่าเขาเองก็ไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน เล่นเอาหัวใจที่พองโตของชินอ้ายหดเล็กลงอย่างน่าใจหาย

หรือว่าเผิงซือเยียน...ไม่ประสงค์จะแต่งงานกับนาง?


 

[1]ตงเทียน (冬天) หมายถึง ฤดูหนาว

[2]เหมยฮวา (梅花) หมายถึง ดอกบ๊วย
 
蓬 (เผิง) ในที่นี้หมายถึงแซ่ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจหมายถึง ความยุ่งเหยิง หรือความอ่อนละมุน ก็ได้ [3]
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น