ปรารถนาสุดท้าย
ปกติชินอ้ายมิได้ชื่นชอบการออกกำลังกายนัก
ทว่าครานี้กลับวิ่งเร็วราวกับติดปีกจนกระทั่งหยุดเท้าลงเบื้องหน้าทางเข้าสวนเล็กที่นางมักจะแวะเวียนมาเป็นประจำ
ดรุณีน้อยยืนนิ่งอยู่เนิ่นนาน
สูดหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อให้ก้อนเนื้อในอกที่เต้นแรงอยู่พลันสงบลง
เรื่องที่นางอยากเล่าให้พี่สาวฟังมีอยู่มากมายเหลือเกิน
แต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มเล่าเรื่องใดก่อนจึงจะดี
ร่างเล็กในชุดสีส้มเรียบเรียงคำพูดไว้ในใจ
ครั้นสาวเท้าไปยังด้านใน
ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือเทพธิดาผู้ในชุดสีขาวบริสุทธิ์ซึ่งกำลังหันหน้ามองมายังตน
รอยยิ้มบนใบหน้าอันไร้ที่ติส่งผลให้ชินอ้ายคลี่ยิ้มกว้าง
หลายปีมานี้ผู้มีพระคุณเติบโตกลายเป็นโฉมสะคราญที่งดงามปานล่มเมือง
ใบหน้าที่เคยเด่นชัดตั้งแต่เยาว์วัยอ่อนหวานละมุนยิ่งกว่าเดิม
รวมถึงความสนิทสนมที่มีให้นางนั้นมากขึ้นจนน่าตกใจ
โดยเฉพาะช่วงสี่ปีให้หลังมานี้ยิ่งใกล้ชิดกันเป็นพิเศษ
แม้อาภรณ์ที่สวมจะเป็นผ้าทิ้งชาย
ทว่ามันก็มิอาจปกปิดเอวคอดกิ่วและทรวงอกที่เด่นสวยไปได้ นอกจากนี้นางยังมีวรยุทธ์ที่แกร่งกล้าจนน่าเลื่อมใส
ใต้หล้าแห่งนี้จะหาได้มีสตรีใดเทียบพี่สาวของนางได้สักคนไม่
‘พี่สาวของนางมิใช่บุรุษหมวกขาวผู้นั้น...พวกเขาเป็นคนละคนกัน’
โลกทั้งใบพลันสว่างสดใสขึ้นมาทันตาเห็น
จนนางลืมเลือนสิ่งที่ตั้งใจจะพูดกับอีกฝ่ายขึ้นมาชั่วขณะ
“พี่สาว...ท่านมาเยี่ยมข้าแล้ว”
ลมหายใจของชินอ้ายสะดุดลง นางได้กล่าวประโยคสิ้นคิดที่สุดออกไปเสียแล้ว...
ผู้ฟังมองสีหน้าเคลิ้มฝันของดรุณีน้อยก็คลี่ยิ้มอย่างเอ็นดู
แขนเรียวยาวเพียงยื่นออกไปก็สามารถเรียกให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาหา
ครั้นชินอ้ายเข้าไปใกล้จึงเห็นว่ามืออีกข้างหนึ่งของพี่สาวถือเผยตลับทองเหลืองขนาดเล็กอยู่
“ให้เจ้า”
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่สาว”
ชินอ้ายรับของมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น ครั้นเปิดออกจึงเห็นว่าด้านในบรรจุชาดสีแดงสด
นับว่าเป็นเครื่องประทินโฉมที่หายากเนื่องจากต้องนำเข้าจากต่างแคว้น
นางได้ยินว่ามีเพียงสตรีสูงศักดิ์ในวังหลวงเท่านั้นจึงมีโอกาสได้ใช้
นางมองของในมือเสร็จก็ช้อนมองผู้มาเยือนตาไม่กะพริบ
คนเบื้องหน้านางคือผู้ที่คุ้นเคย...แต่แท้จริงแล้วชินอ้ายมิเคยรู้เรื่องอันใดเกี่ยวกับอีกฝ่าย... ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนาม แต่เรื่องนี้หาสำคัญสำหรับนางไม่
ในเมื่อพี่สาวคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนาง มิหนำซ้ำยังหาที่อยู่ให้ซุกหัวนอน
ชีวิตนี้นางพร้อมจะสงสัยผู้ใดก็ได้...แต่ต้องมิใช่กับพี่สาวผู้นี้
เจ้าของนัยน์เรียวหงส์เห็นอีกฝ่ายเก็บของขวัญเข้าอกเสื้อไปอย่างเงียบเชียบก็กล่าวอย่างอ่อนโยน
“เจ้าเติบโตเป็นสาวแล้วต้องรู้จักดูแลตัวเอง”
กล่าวพลางเอื้อมมือออกไปสัมผัสข้อมือเล็ก ใช้สายตามองมาที่นางอย่างสำรวจตรวจตรา
“อ้ายเอ๋อร์
ในช่วงที่ข้าไม่อยู่ มีผู้ใดกล้ารังแกเจ้าหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ
ท่านลุงลั่วและคนอื่นๆ ล้วนดีต่อข้ามาก” นางยกยิ้มพลางจ้องมองอีกฝ่ายตาไม่กระพริบ
สตรีในชุดสีขาวมองแววตาศรัทธาของชินอ้ายก็ปิดปากหัวเราะแผ่วเบา
สายตาเปล่งประกายลึกล้ำก่อนจะสังเกตเห็นวัตถุสีเงินสะดุดตาบนข้อมือของเด็กสาว
ด้วยความสนใจจึงยกแขนเพรียวบางเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น
“นี่คือ...”
พวงแก้มของผู้ถูกถามเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีลูกท้อ
“พี่สาว ท่านอาจจำไม่ได้ กำไลเงินวงนี้ท่านเคยให้ข้าไว้เมื่อปีก่อนโน้น
ข้าจำได้ว่าท่านดูรีบร้อนมาก
พอยื่นกำไลให้ข้าเสร็จแล้วก็เร่งรุดจากไปโดยไม่เอ่ยวาจา”
พี่สาวเผยสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“อ้อ...เรื่องคงผ่านมานานมากแล้ว”
นางเอ่ยพลางจูงมือชินอ้ายเดินชมสวนที่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลืองสลับน้ำตาล
คนผู้หนึ่งยิ้มกว้างมีความสุข ส่วนอีกคนกลับครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบ
เนิ่นนานนักกว่าบทสนทนาจะดำเนินต่อไปอีกครั้ง
“หวีหยกที่ข้ามอบให้เจ้าเมื่อปีก่อนเล่า
เจ้าใช้แล้วหรือยัง”
“ของที่พี่สาวมอบให้ล้วนเป็นของล้ำค่า
แม้อ้ายเอ๋อร์จะชอบมาก แต่ก็ไม่กล้าใช้เจ้าค่ะ”
“แต่เจ้ากลับใส่กำไลวงนี้”
หญิงสาวหรี่ตา เผยรอยยิ้มที่ร่างเล็กมองเจตนารมณ์ไม่ออก
เสียงหวานถามต้อนอย่างไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปโดยง่าย
“มันสำคัญเป็นพิเศษหรือ”
ชินอ้ายได้ฟังเช่นนั้นก็นิ่งคิดอยู่นานด้วยสีหน้าจริงจังจนน่าขัน
ความไร้เดียงสานี้นับเป็นสิ่งที่น่าทะนุถนอมประหนึ่งผ้าขาว
ทว่าสิ่งที่น่ากังวลคือยิ่งมันบริสุทธิ์มากเท่าไหร่...ก็ยิ่งแปดเปื้อนได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น
ผู้มองครุ่นคิดในใจจนกระทั่งเด็กสาวเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
“กำไลเงินวงนี้เป็นของขวัญชิ้นแรกที่อ้ายเอ๋อร์ได้รับจากพี่สาว ทั้งยังไม่ได้โดดเด่นสะดุดตาจนเกินไป
อ้ายเอ๋อร์ไม่มีวรยุทธ์ใดๆ ติดตัว...หากสวมปิ่นทองคำหรือต่างหูไข่มุกแล้วถูกโจรช่วงชิงไปคงแย่”
พี่สาวหันมามองนางด้วยสีหน้าพอใจเป็นอย่างยิ่ง
แม้ภายนอกตู้ชินอ้ายจะดูเป็นสตรีที่หัวอ่อน ทว่าความจริงก็มิใช่คนไร้หัวคิด
ไม่อ่อนไม่แข็งจนเกินไป
หากใช้นางล่ะก็...ไม่แน่ว่าบางทีอาจเป็นไปได้
“อ้ายเอ๋อร์
ไม่ได้พบกันนานแต่เจ้าก็ยังน่ารักไม่เปลี่ยน มิน่าเล่า...”หญิงสาวกล่าวถึงตรงนี้ก็ชะงักลงกลางคันจนชินอ้ายต้องเอียงคอมองอย่างสงสัย
“มิน่าเล่าทำไมหรือเจ้าคะ พี่สาว”
รอยยิ้มบนใบหน้างดงามดูลึกลับมากยิ่งขึ้น
มิหนำซ้ำยังโน้มกายลงมาหยิกปลายจมูกเล็กๆ ของดรุณีน้อยอย่างหยอกเย้า
“มิน่าเล่าเถ้าแก่ลั่วจึงได้กล่าวชมเจ้ามิขาดปาก อ้ายเอ๋อร์เอ๋ยอ้ายเอ๋อร์
อายุเจ้ายังน้อยแต่กลับน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ พี่สาวกลุ้มใจเหลือเกิน”
ร่างเล็กที่ฟังอย่างตั้งใจมีสีหน้าไม่เข้าใจมากยิ่งขึ้น
ที่ผ่านมานางเป็นเด็กดี คอยเชื่อฟังคำพูดของพี่สาวอย่างไม่บิดพลิ้วมาโดยตลอด
เหตุไฉนการชมว่านางน่ารักจึงกลายเป็นเรื่องกลุ้มใจสำหรับผู้มีพระคุณไปได้เล่า
โฉมสะคราญในชุดสีขาวทอดถอนหายใจ
“วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่พี่สาวจะมาพบเจ้า หลังจากนี้พี่สาวจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
เพียงแค่คำพูดเดียวของพี่สาวจะทำให้โลกทั้งใบของนางจืดชืดลงอย่างน่าใจหาย
“ทะ...ท่านจะไม่มาพบข้าอีกแล้ว?”
เสียงของดรุณีน้อยแผ่วเบาราวกับคนละเมอ
เรื่องที่ได้ฟังมันช่างเกินความคาดหมายของนางมากนัก
ยามนี้นางตกใจเสียจนภายในหัวขาวโพลน นับตั้งแต่นางถูกบิดามารดาทอดทิ้งก็มีเพียงพี่สาวเท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง
หากนางหายไปอีกคน...
ดวงหน้ารูปหัวใจดูเหม่อลอยเสียจนผู้มองรู้สึกไม่สบายใจ
แต่นางก็มีเหตุผลที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่นางมีสิทธิ์มาพบตู้ชินอ้าย
“อ้ายเอ๋อร์...เจ้าตั้งสติให้ดี
ฟังพี่สาวนะ” มือนุ่มเย็นสัมผัสลงบนไหล่บางของผู้ที่ยืนนิ่งราวกับท่อนไม้
ยามนี้นางมีเวลาไม่มาก นับแต่นี้เรื่องของ ‘คนผู้นั้น’ คงต้องไหว้วานให้เด็กสาวเป็นผู้ดูแลต่อจากตน
“พี่สาว...”
น้ำเสียงของชินอ้ายสั่นเครืออย่างน่าสงสาร “อ้ายเอ๋อร์ทำให้ท่านโกรธใช่หรือไม่
ต่อแต่นี้อ้ายเอ๋อร์จะไม่ทำตัวน่ารักให้ท่านต้องไม่สบายใจอีก แต่ท่าน...อย่าทอดทิ้งอ้ายเอ๋อร์จะได้หรือไม่”
นางไม่เหลือผู้ใดแล้ว
ต่อจากนี้ทุกปีนางไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเฝ้ารอการพบพี่สาวผู้มีพระคุณ นาง...
“เรื่องนี้ไม่ใช่เจ้าที่ไม่ดี แต่เป็นเพราะข้า”
ผู้กล่าวไม่รู้จะปลอบใจเด็กสาวเช่นไรดี
สุดท้ายจึงต้องดึงร่างอันสั่นเทาเข้ามากอดปลอบ
มือบางลูบไล้แผ่นหลังเล็กอย่างปลอบละโลม
ส่งผ่านไออุ่นเพื่อฉุดรั้งสติของชินอ้ายกลับมา
“อ้ายเอ๋อร์
พี่สาวมีเหตุจำเป็นที่ต้องจากไปในที่ๆ ไกลแสนไกล แต่มีเรื่องหนึ่งที่พี่สาวไม่อาจปล่อยวาง
ถือว่าเรื่องนี้เป็นคำขอสุดท้ายของข้า...เจ้าช่วยทำให้ปรารถนานี้เป็นจริงได้หรือไม่”
เด็กสาวรู้สึกถึงความชื้นที่ขอบตา
หากนางก็ไม่กล้าส่งเสียงสะอื้นด้วยเกรงว่าพี่สาวจะลำบากใจไปมากกว่านี้
นางอยากร้องบอกอีกฝ่ายแทบขาดใจว่าตนพร้อมจะติดตามพี่สาวไปทุกที
ไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟก็ไม่หวั่น
แต่อีกเสียงที่ร่ำร้องออกมาจากจิตใต้สำนึกก็ขัดจังหวะขึ้นมา
‘ตู้ชินอ้าย...ตลอดชีวิตนี้นางยังเรียกร้องจากพี่สาวไม่มากพออีกหรือ
เขาช่วยเหลือเจ้าทั้งที่เป็นคนแปลกหน้าโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
สิ่งที่เจ้าต้องทำยามนี้คือรับปากนาง
มิใช่รั้งนางไว้เพื่อตอบสนองความเห็นแก่ตัวของเจ้า’
ผู้ที่กำลังต่อสู้กับความต้องการและความถูกต้องภายในใจกัดริมฝีปากแน่น
นางจะทำเช่นไร จะตัดสินใจอย่างไร
ทว่าสุดท้าย...ความถูกต้องในใจของนางก็เป็นผู้ได้รับชัยชนะ
ชินอ้ายกลืนน้ำลายและก้อนสะอื้นลงคออย่างยากลำบากก่อนจะพยักหน้า
เชื่อฟังคำของพี่สาวอย่างว่าง่าย
“เจ้าค่ะ
อ้ายเอ๋อร์จะฟังคำของพี่สาว”
“ดีมาก
ดีมาก” เสียงหวานไพเราะที่ดังอยู่ข้างหูบ่งบอกถึงความสบายใจเป็นอย่างยิ่ง
“อ้ายเอ๋อร์...เจ้าเป็นเด็กที่ดีมาก พี่สาวภูมิใจในตัวเจ้า”
นางกล่าวจบก็คลายอ้อมกอดพร้อมกับใช้มือทั้งสองตรึงไหล่บางไว้อย่างหลวมๆ
ดวงตาทั้งสองคู่จ้องประสานกัน
“หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนจะมีคนมารับเจ้าที่โรงน้ำชาแห่งนี้
จุดมุ่งหมายคือเกาะดอกเหมย”
“เกาะดอกเหมย...”
ชินอ้ายพึมพำ นางเคยได้ยินชื่อเกาะแห่งนี้ผ่านหูมาบ้าง แม้ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ใด
คุ้นๆ ว่าลูกค้ากล่าวบอกกันว่ามันอยู่ไกล...ไกลมากๆ
โฉมสะคราญพยักหน้ายืนยัน
มือที่ตรึงไหล่บางกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยเพื่อส่งสัญญาณบอกร่างเล็กถึงความสำคัญของสิ่งที่ตนจะพูดต่อจากนี้
“ปรารถนาสุดท้ายของข้า
คือการให้เจ้าแต่งงานกับคนผู้หนึ่ง”
หัวใจของผู้ฟังแทบหยุดเต้น
สวรรค์!
นางอายุเพียงสิบสี่ทว่าอีกฝ่ายกลับปรารถนาให้นางเป็นเจ้าสาว!
“พี่สาว
ข้า...” นางเอ่ยปากหวังจะพูดบางสิ่ง
ทว่าหญิงสาวกลับแสร้งทำเป็นไม่เห็นดวงตาที่เบิกกว้างอย่างแตกตื่น
แล้วชิงพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นอย่างยิ่ง
“และว่าที่เจ้าบ่าวของเจ้าก็คือเผิงซือเยียน
จ้าวเกาะดอกเหมย”
ว่าที่เจ้าบ่าวของเจ้าคือเผิงซือเยียน...จ้าวเกาะดอกเหมย
เผิงซือเยียน...จ้าวเกาะดอกเหมย
จ้าวเกาะดอกเหมย...
ปัง!
เสียงประหนึ่งของหนักที่ชนเข้าอย่างแรงดังสนั่นหวั่นไหว
ผู้คนในโรงน้ำชา ไม่ว่าลูกจ้างหรือลูกค้าล้วนหันไปมองก่อนจะเบือนสายตากลับมาหากัน
ริมฝีปากอ้ากว้างสลับกับปิดสนิทประหนึ่งปลาขาดน้ำ อับจนด้วยคำพูดที่จะเอื้อนเอ่ย
ม่อลี่ซึ่งนั่งเท้าคางเฝ้าร้านแทนเถ้าแก่เนี้ยแทบหน้าคว่ำฟาดลงบนโต๊ะ
จำต้องขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีกเพื่อให้แน่ใจว่านางมิได้ตาฝาด
ประเสริฐยิ่งแล้ว! ตู้ชินอ้ายเลอะเลือนถึงขั้นเดินชนกำแพง!
“อาอ้าย
เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” ลั่วสื่อปราดเข้าไปหาผู้ที่ยืนลูบหน้าผากอยู่หน้ากำแพงแข็ง
ครั้นเห็นแววตาเหม่อลอยของชินอ้ายเบือนมามองที่ตนก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“เจ็บมากไหม ไหน...ให้ข้าดูหน่อย”
ดรุณีน้อยพยักหน้าให้เขาก่อนจะเอามือออก
บนหน้าผากกลับปรากฏรอยแดงซึ่งเกรงว่าอาจกลายเป็นรอยช้ำ
ความรู้สึกชาในทีแรกเริ่มถูกทดแทนด้วยความเจ็บปวดหนึบๆ
ราวกับถูกบางอย่างทุบตีหน้าผากอยู่ตลอดเวลา
“ท่านลุงลั่ว...ข้าเจ็บ”
ชินอ้ายน้ำตาคลอเบ้าอย่างน่าสงสาร
ชินอ้ายเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของ
‘เซียนดื่มชา’ ด้วยเหตุนี้เองม่อลี่จึงรู้สึกว่าเหล่าบรรดาคนเฒ่าทั้งหลายเริ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้
หวังจะเข้ามาดูอาการของเด็กสาว แต่ก่อนที่เค้าความวุ่นวายจะทันได้เกิดขึ้น
นางด็กระโดดลงจากเก้าอี้ พร้อมกับยื่นมือไปจับแขนเรียวบางของคนเจ็บ “ท่านลุง
ข้าจะพาชินอ้ายไปทำแผลเอง”
นางเห็นชินอ้ายเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อวานเย็นแล้ว
หลังจากที่พี่สาวผู้แสนประเสริฐจากไป สหายของนางก็เอาแต่นั่งเหม่อสลับกับยืนเหม่อ
ข้าวปลาอาหารก็แทบมิได้แตะต้อง
เดิมทีคิดว่าอาจจะเป็นเพราะชินอ้ายคะนึงถึงผู้มีพระคุณที่จะมาเยี่ยมเพียงปีละครั้งจึงไม่อยากพูดอะไร
ทว่าการที่เลยเถิดถึงขั้นเจ็บตัวก็ทำให้ม่อลี่มิอาจแสร้งนิ่งเฉยอีกต่อไป
เรื่องนี้เห็นทีว่าหากมิได้เค้นออกจากปาก
คืนนี้นางคงไม่อาจข่มตานอนหลับลงได้
ลั่วสื่อพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ได้ กล่องยาวางอยู่บนชั้นตำราในห้องนอนข้า เจ้าเข้าไปหยิบใช้ได้เลย”
โรงน้ำชาเป็นสถานที่พักผ่อน จะปล่อยให้เกิดเรื่องวุ่นวายก็คงไม่เหมาะสมนัก
“ดูแลอาอ้ายให้ดี หากนางเจ็บหนักก็รีบเรียกท่านหมอมาดูอาการ”
“ท่านลุง...”
ม่อสื่อลากเสียงยาวให้กับความเป็นห่วงเป็นใยจนเกินเหตุของผู้อาวุโส
แต่เมื่อต้องเผชิญกับสายตาหลายคู่ที่จ้องตรงมายังตนจึงมิอยากต่อความยาวสาวความยืด
ขืนชักช้ามีหวังพวกนางจะถูกกักตัวไว้ที่นี่ด้วยกลุ่มคนในโรงน้ำชาเข้าเสียก่อน
“ข้าทราบแล้ว
รับรองว่าจะดูแลนางเป็นอย่างดี” ครั้นตกปากรับคำเสร็จก็พาชินอ้ายกลับมายังเรือนนอน
กล่องยาที่ไปหยิบมาวางบนโต๊ะข้างเตียง
ม่อลี่ทรุดกายลงนั่งเคียงข้างดรุณีผู้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เตรียมจะทายาให้แผลที่เริ่มปูดบวมขึ้นมา
“เจ้าจะบอกข้าได้หรือยังว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ชินอ้ายเบือนสายตาจากมือซึ่งกุมอยู่บนตักไปยังสีหน้าห่วงใยของสหาย
คำว่าแต่งงานกับจ้าวเกาะดอกเหมยและชื่อเผิงซือเยียนวนเวียนอยู่ในหัวนางซ้ำไปซ้ำมา
จนนางไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี
“ขอเวลาให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่”
“ไม่ต้องมาทำเป็นขอเวลาเลย”
ม่อลี่ไม่เพียงพูดเปล่า นางยังแตะยาลงบนหน้าผากแดงช้ำจนคนเจ็บสะดุ้งสุดตัว
แต่ผู้ทำแผลก็หาได้เบามือลงไม่ “ตู้ชินอ้ายรึใจเจ้าคิดจะชนกำแพงจนพัง
รินน้ำชาใส่มือลูกค้าเข้าเสียก่อนถึงจะยอมปริปากพูด”
“เสี่ยวลี่
เบาๆ หน่อยสิ” คนเจ็บสะดุ้งแล้วสะดุ้งอีก จนกระทั่งทำแผลเสร็จจึงกล่าวอ้อมแอ้ม
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้ใจเจ้า...แต่หากข้าพูดไปแล้วเจ้าเอาไปบอกต่อมันจะเป็นเรื่องใหญ่”
ม่อลี่ใบหน้าดำคล้ำ
“เจ้าพูดเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากกำลังบอกว่าไม่ไว้ใจข้า!” นางโวยวายพลางจ้องเขม็งไปยังแผลปูนบนหน้าผากเพื่อนสาวพร้อมกับชี้นิ้วขึ้นมา
“ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม หากเจ้าไม่ยอมพูด...ข้าจะใช้นิ้วจิ้มแผลเจ้า!” น้ำเสียงนางข่มขู่อย่างเปิดเผย
ชินอ้ายตกใจ
รีบยกมือขึ้นร้องห้าม “พูด...ข้าพูดแล้ว เสี่ยวลี่ เจ้าช่างไม่ทะนุถนอมข้าเสียเลย”
“ช่างกล้าพูด”
นางย่นจมูก “ในโรงน้ำชาแห่งนี้...ไม่สิ
ตั้งแต่ในยันนอกโรงน้ำชาก็มีแต่คนโอ๋เจ้า ทะนุถนอมเจ้ากันทั้งนั้น
ขืนข้าตามใจเจ้าอีกคนมีหวังเจ้าได้กลายเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อกันพอดี”
ผู้กล่าวเก็บขวดยาเข้ากล่องไม้ก่อนจะยกมือเท้าสะเอว
สีหน้าจริงจังขึ้น “เอาล่ะ คายความกลุ้มใจของเจ้าออกมาเสียที
หากเจ้ามีปัญหาไม่สบายใจ จำไว้เสมอนะว่าสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว”
ผู้ฟังมองสตรีที่เติบโตมาด้วยกันอย่างซาบซึ้งใจ
แม้อีกฝ่ายจะดูเป็นคนโผงผาง
แต่นางย่อมรู้ดีว่าแท้จริงเสี่ยวลี่ปรารถนาดีต่อนางมากเพียงไร
ชินอ้ายสูดหายใจเข้าลึก
ชั่งใจอยู่นานแต่ก็ยอมปริปากไปในที่สุด “ข้ากำลังจะแต่งงาน”
นึกไม่ถึงว่าการตอบสนองที่ได้รับจะเป็นคิ้วดกดำของม่อลี่ที่กดลงจนแทบจะกลืนกลายเป็นเส้นเดียวกัน
“เมื่อครู่นี้หัวเจ้าคงโขกกำแพงแรงเกินไป
สมองเจ้ากระเทือนไม่น้อย นอนสักพักประเดี๋ยวน่าจะดีขึ้น” สาวน้อยพึมพำด้วยสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ถ้าไม่หายก็คงต้องเชิญท่านหมอมาดูอาการเจ้าเพิ่มเติมอย่างที่ท่านลุงบอกจริงๆ...”
“เสี่ยวลี่
ข้ามิได้เลอะเลือน...ข้าพูดจริงนะ” ดรุณีน้อยโอดครวญเมื่อม่อลี่ไม่ยอมเชื่อนางเสียอย่างนั้น
ครานี้อีกฝ่ายตบหน้าตนเองเบาๆ สองที
แย่ล่ะสิ...นางมิได้ฝันไป
นี่สหายของนางกำลังจะได้เป็นเจ้าสาวจริงๆ
รึ!
“ใครให้เจ้าแต่ง?”
เสียงแหลมสูงดังขึ้นอีกเท่าตัว
“พี่สาว...”
“ฮึ!”
นางเค้นเสียงทันควัน “พี่สาวเจ้านี่ช่างเหลือเกิน! เห็นเจ้าเป็นหุ่นไม้หรืออยากไรถึงได้เที่ยวยกเจ้าให้คนนู้นคนนี้โดยไม่ถามความเห็นเจ้าสักคำ”
“การแต่งงานนี้ถือเป็นปรารถนาสุดท้ายของพี่สาว
ข้ามิอาจปฏิเสธได้”
เหตุผลของชินอ้ายส่งผลให้ผู้ฟังถึงกับพ่นลมหายใจแรง
“เจ้าจะแต่งให้กับผู้ใด”
“ผู้ที่ข้าต้องแต่งด้วยคือท่านเจ้าเกาะดอกเหมย
เผิงซือเยียน”
ร่างของม่อลี่เด้งตัวลุกขึ้นทันควัน
มิหนำซ้ำยังเดินไปเปิดหีบผ้าของนางแล้วรื้อของออกมาเสียมากมาย
เล่นเอาชินอ้ายต้องขยับตัวหลบเสื้อผ้าที่โยนขึ้นมาบนเตียงแทบไม่ทัน
“เสี่ยวลี่
เจ้าทำอะไร” เด็กสาวเห็นท่าทีรีบร้อนของสหายก็พลอยตกใจไปด้วย
“ยังจะมาถามอีก
ข้าจะพาเจ้าหนีไปอย่างไรเล่า!”
สีหน้าแตกตื่นของชินอ้ายแปรเปลี่ยนเป็นมึนงง
“เหตุใดจึงต้องหนี”
ม่อลี่หยุดมือก่อนจะเบือนหน้ามามองร่างเล็กด้วยสีหน้าอึ้งทึ่ง
“สวรรค์...อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้เรื่องของท่านเจ้าเกาะดอกเหมย เผิงซือเยียน?”
“ข้าไม่รู้เลย”
นางส่ายหน้า “เจ้ารู้จักเขาด้วยหรือ”
“ตู้ชินอ้าย
เจ้าถามได้ถูกคนแล้ว” ท่าทีของหลานสาวของเถ้าแก่เนี้ยดูมั่นอกมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
“ในแคว้นเหลียวแห่งนี้ไม่มีสิ่งใดที่ผ่านหูผ่านตาข้าไปได้
ข้าผู้นี้จะช่วยแถลงไขคุณสมบัติของ ‘ว่าที่สามี’ ของเจ้าให้ฟังเอง” กล่าวพลางใช้สายตาปลอบใจสหายราวกับผู้ใหญ่ปลอบเด็กน้อย
“กิจการของตระกูลเผิง จ้าวเกาะดอกเหมยกว้างใหญ่ไพศาล
ที่ชัดเจนสุดคือสมุนไพร รองลงมาคือชา
อย่างโรงน้ำชาแห่งนี้ยังเป็นหนึ่งในกิจการของตระกูลเผิง”
“ช้าก่อนเสี่ยวลี่” เด็กสาวรีบยกมือห้าม
ดวงตาเบิกกว้างจนกระเทือนถึงแผลที่หน้าผาก
สุดท้ายใบหน้าน่ารักจึงนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวด หากปากก็ยังถามต่ออย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“จะ...เจ้ากำลังบอกว่าที่นี่คือกิจการของท่านเจ้าเกาะ?”
นางไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
หรือแท้จริงแล้วสาเหตุที่พี่สาวนำนางมาฝากไว้ที่โรงน้ำชาแห่งนี้
จะเป็นเพราะว่านางเองก็มีความสัมพันธ์กับตระกูลเผิงเช่นเดียวกัน
“ใช่
ท่านลุงลั่วเป็นเถ้าแก่ก็จริงอยู่
แต่เขาก็ยังเป็นเพียงลูกจ้างคนหนึ่งในเครือตระกูลเผิง”
ม่อลี่ผุดกายลุกขึ้นจากกองเสื้อผ้าขณะที่กวาดตาไปรอบข้าง เริ่มมองหาของใช้อื่นๆ
ที่สมควรพกติดตัวไปด้วย “ที่สำคัญคือท่านเจ้าเกาะยังมีนิสัยแปลกประหลาด
สวมใส่หน้ากากสีดำอยู่ตลอดเวลาจนไม่มีผู้ใดเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง
คาดว่าคงเกิดมาพร้อมกับใบหน้าอัปลักษณ์
ข้าได้ยินชาวบ้านเขาลือกันว่าความอันตรายของท่านเจ้าเกาะร้ายแรงถึงขั้นที่มิอาจปล่อยให้คนนอกเกาะเข้าไปค้างแรมเกินห้าวัน”
นางกล่าวจบก็เบือนสายตาไปยังเจ้าของห้อง
ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งก้มหน้าอยู่บนเตียงก็รีบเดินเข้าไปหา ถามด้วยสีหน้ากังวล
“ชินอ้าย เจ้าเป็นอะไรไป อ๋อ...เจ้ากลัวเขาใช่หรือไม่”
ผู้ถูกถามเงยหน้าขึ้น “มิใช่”
ดวงตาหวานสั่นระริกขณะที่เจ้าตัวส่ายหน้าน้อยๆ “ข้าสงสารเขาต่างหาก เพียงคิดว่า
หากข้าเป็นท่านเจ้าเกาะที่ต้องสวมใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลาคงอึดอัดแย่
เจ้าลองคิดดูสิ ไม่ว่าใบหน้าของเขาจะอัปลักษณ์หรือไม่ก็ช่าง...แต่คนเราไม่อาจมองเห็นหน้าตนเองได้
ที่ท่านเจ้าเกาะเลือกที่จะสวมหน้ากากก็เพื่อความสบายใจของผู้อื่น
เขาทำเพื่อผู้อื่น...มิใช่เพื่อตนเอง”
เด็กสาวอีกคนได้ฟังก็นิ่งไปพักใหญ่
ครั้นใคร่ครวญดูให้ดีแล้วก็พบว่าคำพูดของนางนับว่ามีเหตุผล
“จริงด้วย...ข้ามิเคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย”
ม่อลี่มีสีหน้ารู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด
“ดังนั้นข้าจึงเชื่อว่าท่านเจ้าเกาะย่อมไม่ใช่คนอันตรายอย่างที่ผู้คนพากันครหา
หากเราไปพบเขาแล้วเป็นอย่างที่เจ้าพูดก็ถือว่าข้าคิดผิด
แต่หากเราเชื่อในสิ่งที่ผู้อื่นตัดสินโดยไม่เห็นกับตาก็จะกลายเป็นว่าเราตีค่าคนผิด
นับว่าเลวร้ายกว่ามาก” ดวงหน้ารูปหัวใจคลี่ยิ้มบางเบา
บรรยากาศรอบกายช่างละมุนละไมยิ่งนัก
นางรับปากพี่สาวไปแล้ว...ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจคืนคำ
ความคิดเห็น |
---|