2

บทที่ 2


ปรารถนาสุดท้าย

 

          ปกติชินอ้ายมิได้ชื่นชอบการออกกำลังกายนัก ทว่าครานี้กลับวิ่งเร็วราวกับติดปีกจนกระทั่งหยุดเท้าลงเบื้องหน้าทางเข้าสวนเล็กที่นางมักจะแวะเวียนมาเป็นประจำ

          ดรุณีน้อยยืนนิ่งอยู่เนิ่นนาน สูดหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อให้ก้อนเนื้อในอกที่เต้นแรงอยู่พลันสงบลง

          เรื่องที่นางอยากเล่าให้พี่สาวฟังมีอยู่มากมายเหลือเกิน แต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มเล่าเรื่องใดก่อนจึงจะดี

          ร่างเล็กในชุดสีส้มเรียบเรียงคำพูดไว้ในใจ ครั้นสาวเท้าไปยังด้านใน ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือเทพธิดาผู้ในชุดสีขาวบริสุทธิ์ซึ่งกำลังหันหน้ามองมายังตน รอยยิ้มบนใบหน้าอันไร้ที่ติส่งผลให้ชินอ้ายคลี่ยิ้มกว้าง

          หลายปีมานี้ผู้มีพระคุณเติบโตกลายเป็นโฉมสะคราญที่งดงามปานล่มเมือง ใบหน้าที่เคยเด่นชัดตั้งแต่เยาว์วัยอ่อนหวานละมุนยิ่งกว่าเดิม รวมถึงความสนิทสนมที่มีให้นางนั้นมากขึ้นจนน่าตกใจ โดยเฉพาะช่วงสี่ปีให้หลังมานี้ยิ่งใกล้ชิดกันเป็นพิเศษ

แม้อาภรณ์ที่สวมจะเป็นผ้าทิ้งชาย ทว่ามันก็มิอาจปกปิดเอวคอดกิ่วและทรวงอกที่เด่นสวยไปได้ นอกจากนี้นางยังมีวรยุทธ์ที่แกร่งกล้าจนน่าเลื่อมใส ใต้หล้าแห่งนี้จะหาได้มีสตรีใดเทียบพี่สาวของนางได้สักคนไม่

พี่สาวของนางมิใช่บุรุษหมวกขาวผู้นั้น...พวกเขาเป็นคนละคนกัน

โลกทั้งใบพลันสว่างสดใสขึ้นมาทันตาเห็น จนนางลืมเลือนสิ่งที่ตั้งใจจะพูดกับอีกฝ่ายขึ้นมาชั่วขณะ

          “พี่สาว...ท่านมาเยี่ยมข้าแล้ว” ลมหายใจของชินอ้ายสะดุดลง นางได้กล่าวประโยคสิ้นคิดที่สุดออกไปเสียแล้ว...

ผู้ฟังมองสีหน้าเคลิ้มฝันของดรุณีน้อยก็คลี่ยิ้มอย่างเอ็นดู แขนเรียวยาวเพียงยื่นออกไปก็สามารถเรียกให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาหา ครั้นชินอ้ายเข้าไปใกล้จึงเห็นว่ามืออีกข้างหนึ่งของพี่สาวถือเผยตลับทองเหลืองขนาดเล็กอยู่

“ให้เจ้า”

“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่สาว” ชินอ้ายรับของมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น ครั้นเปิดออกจึงเห็นว่าด้านในบรรจุชาดสีแดงสด นับว่าเป็นเครื่องประทินโฉมที่หายากเนื่องจากต้องนำเข้าจากต่างแคว้น นางได้ยินว่ามีเพียงสตรีสูงศักดิ์ในวังหลวงเท่านั้นจึงมีโอกาสได้ใช้

นางมองของในมือเสร็จก็ช้อนมองผู้มาเยือนตาไม่กะพริบ คนเบื้องหน้านางคือผู้ที่คุ้นเคย...แต่แท้จริงแล้วชินอ้ายมิเคยรู้เรื่องอันใดเกี่ยวกับอีกฝ่าย... ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนาม แต่เรื่องนี้หาสำคัญสำหรับนางไม่ ในเมื่อพี่สาวคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนาง มิหนำซ้ำยังหาที่อยู่ให้ซุกหัวนอน ชีวิตนี้นางพร้อมจะสงสัยผู้ใดก็ได้...แต่ต้องมิใช่กับพี่สาวผู้นี้

เจ้าของนัยน์เรียวหงส์เห็นอีกฝ่ายเก็บของขวัญเข้าอกเสื้อไปอย่างเงียบเชียบก็กล่าวอย่างอ่อนโยน “เจ้าเติบโตเป็นสาวแล้วต้องรู้จักดูแลตัวเอง” กล่าวพลางเอื้อมมือออกไปสัมผัสข้อมือเล็ก ใช้สายตามองมาที่นางอย่างสำรวจตรวจตรา

“อ้ายเอ๋อร์ ในช่วงที่ข้าไม่อยู่ มีผู้ใดกล้ารังแกเจ้าหรือไม่”

“ไม่มีเจ้าค่ะ ท่านลุงลั่วและคนอื่นๆ ล้วนดีต่อข้ามาก” นางยกยิ้มพลางจ้องมองอีกฝ่ายตาไม่กระพริบ

          สตรีในชุดสีขาวมองแววตาศรัทธาของชินอ้ายก็ปิดปากหัวเราะแผ่วเบา สายตาเปล่งประกายลึกล้ำก่อนจะสังเกตเห็นวัตถุสีเงินสะดุดตาบนข้อมือของเด็กสาว ด้วยความสนใจจึงยกแขนเพรียวบางเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น

          “นี่คือ...

          พวงแก้มของผู้ถูกถามเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีลูกท้อ “พี่สาว ท่านอาจจำไม่ได้ กำไลเงินวงนี้ท่านเคยให้ข้าไว้เมื่อปีก่อนโน้น ข้าจำได้ว่าท่านดูรีบร้อนมาก พอยื่นกำไลให้ข้าเสร็จแล้วก็เร่งรุดจากไปโดยไม่เอ่ยวาจา”

พี่สาวเผยสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อ้อ...เรื่องคงผ่านมานานมากแล้ว” นางเอ่ยพลางจูงมือชินอ้ายเดินชมสวนที่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลืองสลับน้ำตาล คนผู้หนึ่งยิ้มกว้างมีความสุข ส่วนอีกคนกลับครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบ เนิ่นนานนักกว่าบทสนทนาจะดำเนินต่อไปอีกครั้ง 

          “หวีหยกที่ข้ามอบให้เจ้าเมื่อปีก่อนเล่า เจ้าใช้แล้วหรือยัง”

          “ของที่พี่สาวมอบให้ล้วนเป็นของล้ำค่า แม้อ้ายเอ๋อร์จะชอบมาก แต่ก็ไม่กล้าใช้เจ้าค่ะ”

          “แต่เจ้ากลับใส่กำไลวงนี้” หญิงสาวหรี่ตา เผยรอยยิ้มที่ร่างเล็กมองเจตนารมณ์ไม่ออก เสียงหวานถามต้อนอย่างไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปโดยง่าย “มันสำคัญเป็นพิเศษหรือ”

          ชินอ้ายได้ฟังเช่นนั้นก็นิ่งคิดอยู่นานด้วยสีหน้าจริงจังจนน่าขัน ความไร้เดียงสานี้นับเป็นสิ่งที่น่าทะนุถนอมประหนึ่งผ้าขาว

ทว่าสิ่งที่น่ากังวลคือยิ่งมันบริสุทธิ์มากเท่าไหร่...ก็ยิ่งแปดเปื้อนได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น

          ผู้มองครุ่นคิดในใจจนกระทั่งเด็กสาวเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา “กำไลเงินวงนี้เป็นของขวัญชิ้นแรกที่อ้ายเอ๋อร์ได้รับจากพี่สาว ทั้งยังไม่ได้โดดเด่นสะดุดตาจนเกินไป อ้ายเอ๋อร์ไม่มีวรยุทธ์ใดๆ ติดตัว...หากสวมปิ่นทองคำหรือต่างหูไข่มุกแล้วถูกโจรช่วงชิงไปคงแย่”

           พี่สาวหันมามองนางด้วยสีหน้าพอใจเป็นอย่างยิ่ง แม้ภายนอกตู้ชินอ้ายจะดูเป็นสตรีที่หัวอ่อน ทว่าความจริงก็มิใช่คนไร้หัวคิด ไม่อ่อนไม่แข็งจนเกินไป

          หากใช้นางล่ะก็...ไม่แน่ว่าบางทีอาจเป็นไปได้

“อ้ายเอ๋อร์ ไม่ได้พบกันนานแต่เจ้าก็ยังน่ารักไม่เปลี่ยน มิน่าเล่า...”หญิงสาวกล่าวถึงตรงนี้ก็ชะงักลงกลางคันจนชินอ้ายต้องเอียงคอมองอย่างสงสัย

          “มิน่าเล่าทำไมหรือเจ้าคะ พี่สาว”

          รอยยิ้มบนใบหน้างดงามดูลึกลับมากยิ่งขึ้น มิหนำซ้ำยังโน้มกายลงมาหยิกปลายจมูกเล็กๆ ของดรุณีน้อยอย่างหยอกเย้า “มิน่าเล่าเถ้าแก่ลั่วจึงได้กล่าวชมเจ้ามิขาดปาก อ้ายเอ๋อร์เอ๋ยอ้ายเอ๋อร์ อายุเจ้ายังน้อยแต่กลับน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ พี่สาวกลุ้มใจเหลือเกิน”

          ร่างเล็กที่ฟังอย่างตั้งใจมีสีหน้าไม่เข้าใจมากยิ่งขึ้น ที่ผ่านมานางเป็นเด็กดี คอยเชื่อฟังคำพูดของพี่สาวอย่างไม่บิดพลิ้วมาโดยตลอด เหตุไฉนการชมว่านางน่ารักจึงกลายเป็นเรื่องกลุ้มใจสำหรับผู้มีพระคุณไปได้เล่า

          โฉมสะคราญในชุดสีขาวทอดถอนหายใจ “วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่พี่สาวจะมาพบเจ้า หลังจากนี้พี่สาวจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”

          เพียงแค่คำพูดเดียวของพี่สาวจะทำให้โลกทั้งใบของนางจืดชืดลงอย่างน่าใจหาย

          “ทะ...ท่านจะไม่มาพบข้าอีกแล้ว?” เสียงของดรุณีน้อยแผ่วเบาราวกับคนละเมอ เรื่องที่ได้ฟังมันช่างเกินความคาดหมายของนางมากนัก ยามนี้นางตกใจเสียจนภายในหัวขาวโพลน นับตั้งแต่นางถูกบิดามารดาทอดทิ้งก็มีเพียงพี่สาวเท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง หากนางหายไปอีกคน...

          ดวงหน้ารูปหัวใจดูเหม่อลอยเสียจนผู้มองรู้สึกไม่สบายใจ แต่นางก็มีเหตุผลที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่นางมีสิทธิ์มาพบตู้ชินอ้าย

          “อ้ายเอ๋อร์...เจ้าตั้งสติให้ดี ฟังพี่สาวนะ” มือนุ่มเย็นสัมผัสลงบนไหล่บางของผู้ที่ยืนนิ่งราวกับท่อนไม้ ยามนี้นางมีเวลาไม่มาก นับแต่นี้เรื่องของ คนผู้นั้น คงต้องไหว้วานให้เด็กสาวเป็นผู้ดูแลต่อจากตน

          “พี่สาว...” น้ำเสียงของชินอ้ายสั่นเครืออย่างน่าสงสาร “อ้ายเอ๋อร์ทำให้ท่านโกรธใช่หรือไม่ ต่อแต่นี้อ้ายเอ๋อร์จะไม่ทำตัวน่ารักให้ท่านต้องไม่สบายใจอีก แต่ท่าน...อย่าทอดทิ้งอ้ายเอ๋อร์จะได้หรือไม่”

          นางไม่เหลือผู้ใดแล้ว ต่อจากนี้ทุกปีนางไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเฝ้ารอการพบพี่สาวผู้มีพระคุณ นาง...

          “เรื่องนี้ไม่ใช่เจ้าที่ไม่ดี แต่เป็นเพราะข้า” ผู้กล่าวไม่รู้จะปลอบใจเด็กสาวเช่นไรดี สุดท้ายจึงต้องดึงร่างอันสั่นเทาเข้ามากอดปลอบ มือบางลูบไล้แผ่นหลังเล็กอย่างปลอบละโลม ส่งผ่านไออุ่นเพื่อฉุดรั้งสติของชินอ้ายกลับมา

          “อ้ายเอ๋อร์ พี่สาวมีเหตุจำเป็นที่ต้องจากไปในที่ๆ ไกลแสนไกล แต่มีเรื่องหนึ่งที่พี่สาวไม่อาจปล่อยวาง ถือว่าเรื่องนี้เป็นคำขอสุดท้ายของข้า...เจ้าช่วยทำให้ปรารถนานี้เป็นจริงได้หรือไม่”

          เด็กสาวรู้สึกถึงความชื้นที่ขอบตา หากนางก็ไม่กล้าส่งเสียงสะอื้นด้วยเกรงว่าพี่สาวจะลำบากใจไปมากกว่านี้

          นางอยากร้องบอกอีกฝ่ายแทบขาดใจว่าตนพร้อมจะติดตามพี่สาวไปทุกที ไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟก็ไม่หวั่น แต่อีกเสียงที่ร่ำร้องออกมาจากจิตใต้สำนึกก็ขัดจังหวะขึ้นมา

          ตู้ชินอ้าย...ตลอดชีวิตนี้นางยังเรียกร้องจากพี่สาวไม่มากพออีกหรือ เขาช่วยเหลือเจ้าทั้งที่เป็นคนแปลกหน้าโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน สิ่งที่เจ้าต้องทำยามนี้คือรับปากนาง มิใช่รั้งนางไว้เพื่อตอบสนองความเห็นแก่ตัวของเจ้า

ผู้ที่กำลังต่อสู้กับความต้องการและความถูกต้องภายในใจกัดริมฝีปากแน่น นางจะทำเช่นไร จะตัดสินใจอย่างไร

ทว่าสุดท้าย...ความถูกต้องในใจของนางก็เป็นผู้ได้รับชัยชนะ

ชินอ้ายกลืนน้ำลายและก้อนสะอื้นลงคออย่างยากลำบากก่อนจะพยักหน้า เชื่อฟังคำของพี่สาวอย่างว่าง่าย

“เจ้าค่ะ อ้ายเอ๋อร์จะฟังคำของพี่สาว”

“ดีมาก ดีมาก” เสียงหวานไพเราะที่ดังอยู่ข้างหูบ่งบอกถึงความสบายใจเป็นอย่างยิ่ง “อ้ายเอ๋อร์...เจ้าเป็นเด็กที่ดีมาก พี่สาวภูมิใจในตัวเจ้า” นางกล่าวจบก็คลายอ้อมกอดพร้อมกับใช้มือทั้งสองตรึงไหล่บางไว้อย่างหลวมๆ ดวงตาทั้งสองคู่จ้องประสานกัน

“หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนจะมีคนมารับเจ้าที่โรงน้ำชาแห่งนี้ จุดมุ่งหมายคือเกาะดอกเหมย”

“เกาะดอกเหมย...” ชินอ้ายพึมพำ นางเคยได้ยินชื่อเกาะแห่งนี้ผ่านหูมาบ้าง แม้ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ใด คุ้นๆ ว่าลูกค้ากล่าวบอกกันว่ามันอยู่ไกล...ไกลมากๆ

โฉมสะคราญพยักหน้ายืนยัน มือที่ตรึงไหล่บางกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยเพื่อส่งสัญญาณบอกร่างเล็กถึงความสำคัญของสิ่งที่ตนจะพูดต่อจากนี้

“ปรารถนาสุดท้ายของข้า คือการให้เจ้าแต่งงานกับคนผู้หนึ่ง”

หัวใจของผู้ฟังแทบหยุดเต้น สวรรค์! นางอายุเพียงสิบสี่ทว่าอีกฝ่ายกลับปรารถนาให้นางเป็นเจ้าสาว!

“พี่สาว ข้า...” นางเอ่ยปากหวังจะพูดบางสิ่ง ทว่าหญิงสาวกลับแสร้งทำเป็นไม่เห็นดวงตาที่เบิกกว้างอย่างแตกตื่น แล้วชิงพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นอย่างยิ่ง

“และว่าที่เจ้าบ่าวของเจ้าก็คือเผิงซือเยียน จ้าวเกาะดอกเหมย”

 

ว่าที่เจ้าบ่าวของเจ้าคือเผิงซือเยียน...จ้าวเกาะดอกเหมย

เผิงซือเยียน...จ้าวเกาะดอกเหมย

จ้าวเกาะดอกเหมย...

ปัง!

เสียงประหนึ่งของหนักที่ชนเข้าอย่างแรงดังสนั่นหวั่นไหว ผู้คนในโรงน้ำชา ไม่ว่าลูกจ้างหรือลูกค้าล้วนหันไปมองก่อนจะเบือนสายตากลับมาหากัน ริมฝีปากอ้ากว้างสลับกับปิดสนิทประหนึ่งปลาขาดน้ำ อับจนด้วยคำพูดที่จะเอื้อนเอ่ย

ม่อลี่ซึ่งนั่งเท้าคางเฝ้าร้านแทนเถ้าแก่เนี้ยแทบหน้าคว่ำฟาดลงบนโต๊ะ จำต้องขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีกเพื่อให้แน่ใจว่านางมิได้ตาฝาด

ประเสริฐยิ่งแล้ว! ตู้ชินอ้ายเลอะเลือนถึงขั้นเดินชนกำแพง!

“อาอ้าย เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” ลั่วสื่อปราดเข้าไปหาผู้ที่ยืนลูบหน้าผากอยู่หน้ากำแพงแข็ง ครั้นเห็นแววตาเหม่อลอยของชินอ้ายเบือนมามองที่ตนก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “เจ็บมากไหม ไหน...ให้ข้าดูหน่อย”

ดรุณีน้อยพยักหน้าให้เขาก่อนจะเอามือออก บนหน้าผากกลับปรากฏรอยแดงซึ่งเกรงว่าอาจกลายเป็นรอยช้ำ ความรู้สึกชาในทีแรกเริ่มถูกทดแทนด้วยความเจ็บปวดหนึบๆ ราวกับถูกบางอย่างทุบตีหน้าผากอยู่ตลอดเวลา

“ท่านลุงลั่ว...ข้าเจ็บ” ชินอ้ายน้ำตาคลอเบ้าอย่างน่าสงสาร

ชินอ้ายเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของ เซียนดื่มชา ด้วยเหตุนี้เองม่อลี่จึงรู้สึกว่าเหล่าบรรดาคนเฒ่าทั้งหลายเริ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ หวังจะเข้ามาดูอาการของเด็กสาว แต่ก่อนที่เค้าความวุ่นวายจะทันได้เกิดขึ้น นางด็กระโดดลงจากเก้าอี้ พร้อมกับยื่นมือไปจับแขนเรียวบางของคนเจ็บ “ท่านลุง ข้าจะพาชินอ้ายไปทำแผลเอง”

นางเห็นชินอ้ายเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อวานเย็นแล้ว หลังจากที่พี่สาวผู้แสนประเสริฐจากไป สหายของนางก็เอาแต่นั่งเหม่อสลับกับยืนเหม่อ ข้าวปลาอาหารก็แทบมิได้แตะต้อง

เดิมทีคิดว่าอาจจะเป็นเพราะชินอ้ายคะนึงถึงผู้มีพระคุณที่จะมาเยี่ยมเพียงปีละครั้งจึงไม่อยากพูดอะไร ทว่าการที่เลยเถิดถึงขั้นเจ็บตัวก็ทำให้ม่อลี่มิอาจแสร้งนิ่งเฉยอีกต่อไป

เรื่องนี้เห็นทีว่าหากมิได้เค้นออกจากปาก คืนนี้นางคงไม่อาจข่มตานอนหลับลงได้

ลั่วสื่อพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ได้ กล่องยาวางอยู่บนชั้นตำราในห้องนอนข้า เจ้าเข้าไปหยิบใช้ได้เลย” โรงน้ำชาเป็นสถานที่พักผ่อน จะปล่อยให้เกิดเรื่องวุ่นวายก็คงไม่เหมาะสมนัก “ดูแลอาอ้ายให้ดี หากนางเจ็บหนักก็รีบเรียกท่านหมอมาดูอาการ”

“ท่านลุง...” ม่อสื่อลากเสียงยาวให้กับความเป็นห่วงเป็นใยจนเกินเหตุของผู้อาวุโส แต่เมื่อต้องเผชิญกับสายตาหลายคู่ที่จ้องตรงมายังตนจึงมิอยากต่อความยาวสาวความยืด ขืนชักช้ามีหวังพวกนางจะถูกกักตัวไว้ที่นี่ด้วยกลุ่มคนในโรงน้ำชาเข้าเสียก่อน

“ข้าทราบแล้ว รับรองว่าจะดูแลนางเป็นอย่างดี” ครั้นตกปากรับคำเสร็จก็พาชินอ้ายกลับมายังเรือนนอน กล่องยาที่ไปหยิบมาวางบนโต๊ะข้างเตียง ม่อลี่ทรุดกายลงนั่งเคียงข้างดรุณีผู้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เตรียมจะทายาให้แผลที่เริ่มปูดบวมขึ้นมา

“เจ้าจะบอกข้าได้หรือยังว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ชินอ้ายเบือนสายตาจากมือซึ่งกุมอยู่บนตักไปยังสีหน้าห่วงใยของสหาย คำว่าแต่งงานกับจ้าวเกาะดอกเหมยและชื่อเผิงซือเยียนวนเวียนอยู่ในหัวนางซ้ำไปซ้ำมา จนนางไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี

“ขอเวลาให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่”

“ไม่ต้องมาทำเป็นขอเวลาเลย” ม่อลี่ไม่เพียงพูดเปล่า นางยังแตะยาลงบนหน้าผากแดงช้ำจนคนเจ็บสะดุ้งสุดตัว แต่ผู้ทำแผลก็หาได้เบามือลงไม่ “ตู้ชินอ้ายรึใจเจ้าคิดจะชนกำแพงจนพัง รินน้ำชาใส่มือลูกค้าเข้าเสียก่อนถึงจะยอมปริปากพูด”

“เสี่ยวลี่ เบาๆ หน่อยสิ” คนเจ็บสะดุ้งแล้วสะดุ้งอีก จนกระทั่งทำแผลเสร็จจึงกล่าวอ้อมแอ้ม “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้ใจเจ้า...แต่หากข้าพูดไปแล้วเจ้าเอาไปบอกต่อมันจะเป็นเรื่องใหญ่”

ม่อลี่ใบหน้าดำคล้ำ “เจ้าพูดเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากกำลังบอกว่าไม่ไว้ใจข้า!” นางโวยวายพลางจ้องเขม็งไปยังแผลปูนบนหน้าผากเพื่อนสาวพร้อมกับชี้นิ้วขึ้นมา “ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม หากเจ้าไม่ยอมพูด...ข้าจะใช้นิ้วจิ้มแผลเจ้า!” น้ำเสียงนางข่มขู่อย่างเปิดเผย

ชินอ้ายตกใจ รีบยกมือขึ้นร้องห้าม “พูด...ข้าพูดแล้ว เสี่ยวลี่ เจ้าช่างไม่ทะนุถนอมข้าเสียเลย”

“ช่างกล้าพูด” นางย่นจมูก “ในโรงน้ำชาแห่งนี้...ไม่สิ ตั้งแต่ในยันนอกโรงน้ำชาก็มีแต่คนโอ๋เจ้า ทะนุถนอมเจ้ากันทั้งนั้น ขืนข้าตามใจเจ้าอีกคนมีหวังเจ้าได้กลายเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อกันพอดี”

ผู้กล่าวเก็บขวดยาเข้ากล่องไม้ก่อนจะยกมือเท้าสะเอว สีหน้าจริงจังขึ้น “เอาล่ะ คายความกลุ้มใจของเจ้าออกมาเสียที หากเจ้ามีปัญหาไม่สบายใจ จำไว้เสมอนะว่าสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว”

ผู้ฟังมองสตรีที่เติบโตมาด้วยกันอย่างซาบซึ้งใจ แม้อีกฝ่ายจะดูเป็นคนโผงผาง แต่นางย่อมรู้ดีว่าแท้จริงเสี่ยวลี่ปรารถนาดีต่อนางมากเพียงไร

ชินอ้ายสูดหายใจเข้าลึก ชั่งใจอยู่นานแต่ก็ยอมปริปากไปในที่สุด “ข้ากำลังจะแต่งงาน”

นึกไม่ถึงว่าการตอบสนองที่ได้รับจะเป็นคิ้วดกดำของม่อลี่ที่กดลงจนแทบจะกลืนกลายเป็นเส้นเดียวกัน

“เมื่อครู่นี้หัวเจ้าคงโขกกำแพงแรงเกินไป สมองเจ้ากระเทือนไม่น้อย นอนสักพักประเดี๋ยวน่าจะดีขึ้น” สาวน้อยพึมพำด้วยสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด “ถ้าไม่หายก็คงต้องเชิญท่านหมอมาดูอาการเจ้าเพิ่มเติมอย่างที่ท่านลุงบอกจริงๆ...

“เสี่ยวลี่ ข้ามิได้เลอะเลือน...ข้าพูดจริงนะ” ดรุณีน้อยโอดครวญเมื่อม่อลี่ไม่ยอมเชื่อนางเสียอย่างนั้น

          ครานี้อีกฝ่ายตบหน้าตนเองเบาๆ สองที แย่ล่ะสิ...นางมิได้ฝันไป

          นี่สหายของนางกำลังจะได้เป็นเจ้าสาวจริงๆ รึ!

“ใครให้เจ้าแต่ง?” เสียงแหลมสูงดังขึ้นอีกเท่าตัว

“พี่สาว...

“ฮึ!” นางเค้นเสียงทันควัน “พี่สาวเจ้านี่ช่างเหลือเกิน! เห็นเจ้าเป็นหุ่นไม้หรืออยากไรถึงได้เที่ยวยกเจ้าให้คนนู้นคนนี้โดยไม่ถามความเห็นเจ้าสักคำ”

 “การแต่งงานนี้ถือเป็นปรารถนาสุดท้ายของพี่สาว ข้ามิอาจปฏิเสธได้”

เหตุผลของชินอ้ายส่งผลให้ผู้ฟังถึงกับพ่นลมหายใจแรง “เจ้าจะแต่งให้กับผู้ใด”

“ผู้ที่ข้าต้องแต่งด้วยคือท่านเจ้าเกาะดอกเหมย เผิงซือเยียน”

ร่างของม่อลี่เด้งตัวลุกขึ้นทันควัน มิหนำซ้ำยังเดินไปเปิดหีบผ้าของนางแล้วรื้อของออกมาเสียมากมาย เล่นเอาชินอ้ายต้องขยับตัวหลบเสื้อผ้าที่โยนขึ้นมาบนเตียงแทบไม่ทัน

“เสี่ยวลี่ เจ้าทำอะไร” เด็กสาวเห็นท่าทีรีบร้อนของสหายก็พลอยตกใจไปด้วย

“ยังจะมาถามอีก ข้าจะพาเจ้าหนีไปอย่างไรเล่า!

สีหน้าแตกตื่นของชินอ้ายแปรเปลี่ยนเป็นมึนงง “เหตุใดจึงต้องหนี”

          ม่อลี่หยุดมือก่อนจะเบือนหน้ามามองร่างเล็กด้วยสีหน้าอึ้งทึ่ง “สวรรค์...อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้เรื่องของท่านเจ้าเกาะดอกเหมย เผิงซือเยียน?”

“ข้าไม่รู้เลย” นางส่ายหน้า “เจ้ารู้จักเขาด้วยหรือ”

“ตู้ชินอ้าย เจ้าถามได้ถูกคนแล้ว” ท่าทีของหลานสาวของเถ้าแก่เนี้ยดูมั่นอกมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง “ในแคว้นเหลียวแห่งนี้ไม่มีสิ่งใดที่ผ่านหูผ่านตาข้าไปได้ ข้าผู้นี้จะช่วยแถลงไขคุณสมบัติของ ว่าที่สามี ของเจ้าให้ฟังเอง” กล่าวพลางใช้สายตาปลอบใจสหายราวกับผู้ใหญ่ปลอบเด็กน้อย

          “กิจการของตระกูลเผิง จ้าวเกาะดอกเหมยกว้างใหญ่ไพศาล ที่ชัดเจนสุดคือสมุนไพร รองลงมาคือชา อย่างโรงน้ำชาแห่งนี้ยังเป็นหนึ่งในกิจการของตระกูลเผิง”

          “ช้าก่อนเสี่ยวลี่” เด็กสาวรีบยกมือห้าม ดวงตาเบิกกว้างจนกระเทือนถึงแผลที่หน้าผาก สุดท้ายใบหน้าน่ารักจึงนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวด หากปากก็ยังถามต่ออย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “จะ...เจ้ากำลังบอกว่าที่นี่คือกิจการของท่านเจ้าเกาะ?”

          นางไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย หรือแท้จริงแล้วสาเหตุที่พี่สาวนำนางมาฝากไว้ที่โรงน้ำชาแห่งนี้ จะเป็นเพราะว่านางเองก็มีความสัมพันธ์กับตระกูลเผิงเช่นเดียวกัน

“ใช่ ท่านลุงลั่วเป็นเถ้าแก่ก็จริงอยู่ แต่เขาก็ยังเป็นเพียงลูกจ้างคนหนึ่งในเครือตระกูลเผิง” ม่อลี่ผุดกายลุกขึ้นจากกองเสื้อผ้าขณะที่กวาดตาไปรอบข้าง เริ่มมองหาของใช้อื่นๆ ที่สมควรพกติดตัวไปด้วย “ที่สำคัญคือท่านเจ้าเกาะยังมีนิสัยแปลกประหลาด สวมใส่หน้ากากสีดำอยู่ตลอดเวลาจนไม่มีผู้ใดเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง คาดว่าคงเกิดมาพร้อมกับใบหน้าอัปลักษณ์ ข้าได้ยินชาวบ้านเขาลือกันว่าความอันตรายของท่านเจ้าเกาะร้ายแรงถึงขั้นที่มิอาจปล่อยให้คนนอกเกาะเข้าไปค้างแรมเกินห้าวัน”

นางกล่าวจบก็เบือนสายตาไปยังเจ้าของห้อง ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งก้มหน้าอยู่บนเตียงก็รีบเดินเข้าไปหา ถามด้วยสีหน้ากังวล “ชินอ้าย เจ้าเป็นอะไรไป อ๋อ...เจ้ากลัวเขาใช่หรือไม่”

          ผู้ถูกถามเงยหน้าขึ้น “มิใช่” ดวงตาหวานสั่นระริกขณะที่เจ้าตัวส่ายหน้าน้อยๆ “ข้าสงสารเขาต่างหาก เพียงคิดว่า หากข้าเป็นท่านเจ้าเกาะที่ต้องสวมใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลาคงอึดอัดแย่ เจ้าลองคิดดูสิ ไม่ว่าใบหน้าของเขาจะอัปลักษณ์หรือไม่ก็ช่าง...แต่คนเราไม่อาจมองเห็นหน้าตนเองได้ ที่ท่านเจ้าเกาะเลือกที่จะสวมหน้ากากก็เพื่อความสบายใจของผู้อื่น เขาทำเพื่อผู้อื่น...มิใช่เพื่อตนเอง”

          เด็กสาวอีกคนได้ฟังก็นิ่งไปพักใหญ่ ครั้นใคร่ครวญดูให้ดีแล้วก็พบว่าคำพูดของนางนับว่ามีเหตุผล

“จริงด้วย...ข้ามิเคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย” ม่อลี่มีสีหน้ารู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด

“ดังนั้นข้าจึงเชื่อว่าท่านเจ้าเกาะย่อมไม่ใช่คนอันตรายอย่างที่ผู้คนพากันครหา หากเราไปพบเขาแล้วเป็นอย่างที่เจ้าพูดก็ถือว่าข้าคิดผิด แต่หากเราเชื่อในสิ่งที่ผู้อื่นตัดสินโดยไม่เห็นกับตาก็จะกลายเป็นว่าเราตีค่าคนผิด นับว่าเลวร้ายกว่ามาก” ดวงหน้ารูปหัวใจคลี่ยิ้มบางเบา บรรยากาศรอบกายช่างละมุนละไมยิ่งนัก

นางรับปากพี่สาวไปแล้ว...ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจคืนคำ

“เสี่ยวลี่ เจ้าไม่ต้องจัดของ ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะเดินทางไปยังเกาะดอกเหมย” 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น