บุปผาน้อยผลิบานในชิวเทียน
เก้าปีต่อมา...
เซี่ยะเทียน[1] สิ้นสุดย่างเข้าชิวเทียน[2] ก้านหลิวริมน้ำโบกพลิ้วลู่ลมเริ่มผลัดใบโปรยลงสู่พื้น ท้องถนนแห่งเมืองหลวงที่ทอดยาวราวกับถูกปูทับด้วยผืนพรหมสีเขียวสลับน้ำตาล
แม้อากาศจะเริ่มเย็นลง หากการค้ายังคงครึกครื้น ตามร้านค้ามีคนยืนกวาดใบไม้แห้งออกไปอย่างขยันขันแข็ง กลิ่นหอมของอาหารและชารสเลิศลอยโชยมากับสายลม ผู้คนที่ได้กลิ่นเผยสีหน้าหิวกระหาย มิทันไรก็ต้องแวะพักตามโรงเตี๊ยมและโรงน้ำชา พูดคุยพักผ่อนกันตามอัธยาศัย
สุดมุมถนนสายหลักของเมืองคือร้าน ‘เซียนดื่มชา’โรงน้ำชาอันดับหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงไปหลายพันลี้ ผู้คนที่แวะเยือนแคว้นเหลียวจำต้องมายังโรงน้ำชาแห่งนี้เพื่อดื่มชาดูสักครั้ง เรียกได้ว่า
“หากมาแคว้นเหลียวแล้วไม่แวะร้าน‘เซียนดื่มชา’ ก็เหมือนยังมาไม่ถึงแคว้นเหลียว”
ภายในโรงน้ำชาชื่อดังโอ่อ่ากว้างขวาง ลูกค้ามากหน้าหลายตาแต่ก็ไม่เสียงดังวุ่นวาย ในทางตรงกันข้าม...มันกลับแสนสงบและอบอุ่น ลูกค้าที่ก้าวพ้นธรณีเข้ามาต่างรู้สึกเหมือนตนได้กลับบ้าน
หลังจากตู้ชินอ้ายถูกพี่สาวนำมาฝากไว้กับ ลั่วสื่อ เถ้าแก่ร้านเซียนดื่มชา กาลเวลาที่ผ่านพ้นก็เปลี่ยนเด็กน้อยในวันวานให้กลายเป็นดรุณีน้อยวัยแรกแย้ม แม้นางมิใช่โฉมสะคราญแต่ก็น่ารักสดใส ยามที่เจ้าของดวงหน้ารูปหัวใจคลี่ยิ้มเผยให้เห็นรอยบุ๋มบนสองข้างแก้ม กลายเป็นภาพที่ตราตรึงอยู่ในใจผู้ที่พบเห็นจนยากนักจะลืมเลือน ไม่ว่านางจะพบปะผู้ใดก็มักจะได้รับความรักและความเอ็นดูจากแขกเรือซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุอยู่เสมอ
เช้าวันนี้ชินอ้ายสวมใส่ชุดสีส้มเพื่อต้อนรับฤดูกาลใหม่ สองมือถือถาดไม้ซึ่งบรรจุปั้นชาและถ้วยน้ำชาออกมาจากโรงครัวทางด้านใน ระหว่างเดินไปยังโต๊ะที่หมายก็มีเสียงเอ่ยทักอย่างไม่ขาดสาย
“อาอ้าย วันนี้เจ้าแต่งกายน่ารักมาก”
“...อาอ้ายเจ้าเปลี่ยนทรงผมแล้วหรือ”
“อาอ้าย วันนี้ข้าพาหลานชายมาด้วย อยากจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก...”
ดรุณีน้อยได้ฟังดังนั้นก็ผงกศีรษะทักทายคนทั้งหลาย “อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ นายท่านฉิน เจ้าค่ะฮูหยิน ทรงผมนี้สหายข้าเป็นคนทำให้...ใต้เท้าข่ง น้ำชาของท่านใกล้หมดแล้ว ข้าจะให้คนเปลี่ยนปั้นชามาให้ใหม่นะเจ้าคะ”
แม้ใต้เท้าข่งจะมีท่าทีอยากให้นางสนิทสนมกับหลานชาย ทว่าชินอ้ายก็มีไหวพริบพอที่จะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วปลีกตัวออกมาด้วยรอยยิ้ม ในที่สุดก็ยกชามาถึงที่หมาย
“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะใต้เท้าถัง วันนี้ฮูหยินมิได้มาด้วยหรือเจ้าคะ” นางกล่าวกับผู้อาวุโสพร้อมกับรินชาให้อย่างนอบน้อม กลิ่มหอมที่ต่างไปจากเคยส่งผลให้อีกฝ่ายเพ่งมองถ้วยชาดินเผา
“อาอ้าย เหตุใดวันนี้จึงมิใช่ชาจู๋ร์ฮวา[3] เล่า” ใต้เถ้าทังเอ่ยถามดรุณีน้อยที่คุ้นหน้าคุ้นตากันมานานกว่าสามเดือนอย่างเป็นมิตร ความเอ็นดูที่มีให้นางมิต่างจากบุตรหลาน
“เรียนใต้เท้าถัง ยามนี้ใกล้เข้าชิวเทียนแล้ว หากท่านดื่มชาจู๋ร์ฮวาที่เป็นธาตุเย็นจะไม่ดีต่อสุขภาพ ข้าจึงนำชาเถี่ยกวนอิม[4]เข้มซึ่งเป็นชาประเภทอู่หลง[5] มาให้แทนเจ้าค่ะ”
การดื่มชาบ่งบอกสถานะทางสังคม การเข้าโรงน้ำชาจึงค่อนข้างแพร่หลายในหมู่คนชนชั้นสูง การรู้เรื่องชาจึงกล่าวได้ว่าผู้รู้ย่อมมีอารยธรรมและเข้าใจวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง
ผู้อาวุโสพยักหน้าด้วยความชื่นชม ยื่นมือออกไปยกถ้วยชาขึ้นมาสูดดมกลิ่นเป็นอันดับแรก กลิ่นของมันคล้ายคลึงกับกล้วยไม้ป่าในยามฝนโปรยปราย ครั้นจดริมฝีปากเพื่อจิบก็พบกับความกลมกล่อมจนสมองปลอดโปร่งโล่งสบาย แม้จะกลืนลงคอไปแล้ว แต่ยังคงความละมุนไว้ที่ปลายลิ้น
“ชานี้ดีมาก! อาอ้าย...หากเจ้าไม่นำมาให้ มีหวังคนแก่อย่างข้าคงไม่มีโอกาสได้ลิ้มลองชารสเลิศนี้เป็นแน่” ใต้เท้าถังหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ
“ใต้เท้า ข้าเองก็ชอบชานี้มากเช่นกันเจ้าค่ะ รสชาติของชาเถี่ยกวนอิมยังมีผู้คนสรรเสริญ แต่งกลอนไว้ว่า ‘เจ็ดปั้นชงชาเถี่ยกวนอิมกลิ่นหอมรสหวานชื่นฉ่ำใจอันซีเมืองน้อยชาเลิศล้ำทั่วแดนใต้ฟ้าหาไหนเทียมได้’[6]” ชินอ้ายกล่าวเสริม
“ดี...เถ้าแก่ลั่ว เจ้ามีอาอ้ายที่เชี่ยวชาญเรื่องชาอย่างลึกซึ้งคอยช่วยเหลือ มิน่าหลายปีมานี้การค้าจึงได้เจริญก้าวหน้าถึงเพียงนี้”
คำกล่าวชมส่งผลให้ชินอ้ายหันไปยังด้านหลัง พบว่าบุรุษร่างผอมวัยกลางคนมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไรก็มิอาจทราบได้
“ท่านลุงลั่ว...”
ลั่วสื่อคลี่ยิ้มพลางพยักหน้าให้กับชินอ้าย เด็กสาวจึงหันหน้ากลับไปยังใต้เท้าถังอีกครั้ง
“เรียนใต้เท้า ความรู้ของข้าหากเทียบกับท่านลุงลั่วแล้ว ข้าคงมีแค่หางอึ่งเท่านั้น”
คำถ่อมตนส่งผลเถ้าแก่และผู้อาวุโสส่งเสียงหัวเราะ ลั่วสื่อวางมือลงบนไหล่บางที่เขาดูแลมาตั้งแต่เล็กด้วยสีหน้าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง “ใต้เท้าถัง อ้ายเอ๋อร์มิใช่เพียงรู้เรื่องชา แต่นางยังเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรกับบุปผสอีกด้วย”
“จริงหรืออาอ้าย” ผู้อาวุโสหันไปยังชินอ้ายด้วยสีหน้าสนใจ
“ข้าเพียงศึกษาเล่นเพื่อฆ่าเวลาในยามว่างเจ้าค่ะใต้เท้า”
“เจ้าอายุยังน้อยแต่กลับขยันศึกษาหาความรู้ นับว่ามีความเพียร” ใต้เท้าถังยกชาขึ้นจิบก่อนจะวางถ้วยชาลงเมื่อนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ “จริงสิ ข้าพอมีคนรู้จักอยู่ในวังอยู่บ้าง ด้วยความสามารถของอาอ้าย...ถ้าสามารถสอบเข้าวังหลวงไปทำงานที่ห้องเครื่อง ไม่แน่ว่าหากรสชาติถูกปากเบื้องบนอาจจะก้าวหน้า กลายเป็นผู้มียศถาบรรดาศักดิ์เชียวนา”
ชินอ้ายเบิกตากว้างขึ้นอย่างคาดไม่ถึง นางไม่เคยคิดว่าตนเองจะมีความสามารถถึงขั้นจะเข้าวังหลวงได้ อีกอย่าง...นางมาทำงานที่โรงน้ำชาแห่งนี้ก็ด้วยคำสั่งของพี่สาว หากจะให้ลืมบุญคุณของผู้มีพระคุณแล้วเข้าวังไปเพื่อความสุขสบายส่วนตนเช่นนั้น นางทำไม่ลง
ครั้นร่างเล็กตัดสินใจแล้วก็เตรียมจะเอ่ยปากปฏิเสธใต้เท้าผู้หวังดี ทว่าลั่วสื่อกลับบีบไหล่ของนางเบาๆ ชินอ้ายจึงปิดปากเงียบ ปล่อยให้ท่านลุงที่ตนเคารพเป็นผู้จัดการ
“ใต้เท้าถัง ข้าขอขอบคุณความหวังดีของท่านแทนอ้ายเอ๋อร์ ทว่าน่าเสียดายเหลือเกินที่นาง...มีผู้จองตัวไว้ก่อนแล้ว” ชายวัยกลางคนโค้งศีรษะ ดรุณีน้อยจึงทำตามโดยมีคำถามหนึ่งผุดขึ้นในใจ
เหตุใดนางจึงไม่เคยรู้เรื่องการจองตัวที่ว่านั่นมาก่อน หรือว่าพี่สาวจะบอกบางอย่างกับท่านลุงลั่วโดยไม่บอกให้นางรู้?
ชินอ้ายเก็บงำความสงสัยไว้ภายใต้รอยยิ้ม ไม่ว่าอย่างไรก็เชื่อมั่นว่าในโลกใบนี้ พี่สาวกับท่านลุงลั่วย่อมหวังดีกับนางที่สุด
ฝ่ายผู้อาวุโสย่อมเข้าใจในเจตนาที่เถ้าแก่ลั่วต้องการจะสื่อ เขาจึงเบือนสายตาไปยังปั้นชา ลอบถอนหายใจแผ่วเบา “นับว่าเสียดายจริงๆ ”
ใต้เท้าขบคิดอยู่ในใจ เขามีความรู้สึกว่าตู้ชินอ้ายเหมาะที่จะเป็น ‘บางสิ่ง’ ที่มากกว่าแค่การชงชาอยู่ในโรงน้ำชาแห่งนี้ แล้วในภายภาคหน้า บุปผางามพิสุทธิ์ดอกนี้จะเติบโตเป็นเช่นไรกันนะ...
ชินอ้ายอยู่ช่วยงานที่โรงน้ำชาจนกระทั่งเวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามอู่[7] ลั่วสื่อจึงบอกให้นางกลับมาพักผ่อนที่เรือนเล็กทางด้านหลัง
ทว่าทันทีที่ร่างเล็กเปิดประตูเข้าไปก็พบว่ามีคนผู้หนึ่งนั่งรอนางอยู่ก่อนแล้ว
“วังหลวงเชียวนะชินอ้าย! เจ้าปล่อยให้โอกาสดีๆ หลุดลอยไปได้อย่างไรกัน!”
เสียงร้องแหลมของสหายส่งผลให้ผู้ฟังส่ายหน้า ข่าวสารของอีกฝ่ายยังคงรวดเร็วทันใจเช่นเคย
ดรุณีวัยเดียวกันซึ่งนั่งรอนางอยู่ในห้องมีนามว่า ‘ม่อลี่’ เป็นหลานสาวแท้ๆ ของเถ้าแก่เนี้ย นางเติบโตมากับโรงน้ำชาแห่งนี้แต่กลับเอาดีทางด้านข่าวสารแทนที่จะเป็นกิจการของตระกูล เถ้าแก่เนี้ยพยายามสั่งสอนเรื่อง ‘กุลสตรีมิควรสอดรู้สอดเห็น’ ให้กับม่อลี่ตั้งหลายคราจนเบื่อหน่ายที่จะพูด สุดท้ายจึงปล่อยให้หลานสาวทำตามใจชอบเพราะพูดเท่าไรนางก็ไม่ยอมฟัง
แม้ม่อลี่จะไม่ใช่สตรีปากสว่าง...แต่อย่าคิดจะปริปากถามนางเชียว มิเช่นนั้นมีหวังได้ฟังนางพูดจนลิงหลับก็ไม่ยอมเลิกราแน่
ม่อลี่เห็นผู้มาใหม่เงียบไปก็จิกตาจ้องมองนางโดยทันที “ชินอ้าย นี่เจ้ากำลังนินทาว่าข้าในใจใช่หรือไม่”
ผู้ถูกจับได้แสร้งทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียน “ข้ามิได้อยากเข้าวังเสียหน่อย” เอ่ยพลางเดินตรงไปทรุดกายนั่งฝั่งตรงข้ามกับม่อลี่ ชาร้อนถูกรินใส่ถ้วยส่งกลุ่มควันให้ลอยคลุ้ง หากยังไม่ทันจะเอื้อมมือไปยกถ้วยชาก็ถูกคู่สนทนาช่วงชิงไปเสียก่อน
“ชินอ้าย เจ้ากับข้าอายุสิบสี่ปีแล้ว ต่อให้เจ้าไม่อยากเข้าวัง...อย่างน้อยเจ้าย่อมต้องมีความปรารถนาอื่น มากกว่าการทำงานที่ ‘เซียนดื่มชา’ อยู่เช่นนี้”
แม้อายุสิบสี่ปีจะไม่อาจเรียกได้ว่าเติบโตเป็นสาวเต็มตัว ทว่าก็มีสตรีไม่น้อยที่พออายุครบสิบสามก็ถูกส่งตัวเข้าวังหลวง เดิมทีสตรีในเรือนย่อมต้องเชื่อฟังคำชี้นำของบุพการีและผู้อบรมเลี้ยงดูมาจนใหญ่ ไม่มีสิทธิ์มีเสียงเป็นของตนเอง ด้วยเหตุนี้พวกนางจึงถือว่าโชคดีกว่าสตรีอื่นๆ
เดิมทีชินอ้ายไม่คิดจะตอบเรื่องนี้ แต่เมื่อดวงตาหวานสบเข้ากับสีหน้าห่วงใจและแววตาจริงใจของสหาย นางจึงได้วางมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะพร้อมกับนั่งหลังตรง สีหน้าจริงจังขึ้นหลายส่วน “แล้วความปรารถนาของเจ้าคืออะไรเล่า เสี่ยวลี่”
ม่อลี่ยกชาขึ้นดื่มจนหมด ผู้ใดบ้างที่ไม่มีความฝัน “แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องการออกไปจากโรงน้ำชาแห่งนี้!” น้ำเสียงดูภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
“แล้วอย่างไรต่อ”
“อย่างไรอะไร? ” นางมีสีหน้างงงวย
“หากออกไปจากโรงน้ำชาแล้วจะทำอย่างไรต่อหรือ”
“ก็...ก็ต้องจากไปให้ไกล” ผู้ที่ถูกคาดคั้นเริ่มอ้ำอึ้ง ดวงตากรอกไปมาอย่างลุกลี้ลุกลนจนน่าขัน
“เสี่ยวลี่ หากมีเพียงความปรารถนาแต่ไร้ซึ่งการวางแผน เจ้าก็ทำแค่เพียงฝันแต่ไม่มีวันได้ลงมือทำนะ” ชินอ้ายกล่าวจบก็หยิบถ้วยดินเผาใบใหม่ขึ้นมารินชาใส่ ยกขึ้นสูดดมกลิ่นหอมของมันอย่างไม่รีบร้อนขณะที่สีหน้าคนมองแปรเปลี่ยนเป็นงอง้ำ
“เจ้ารังแกข้านี่นา!” หลานสาวเถ้าแก่เนี้ยฟุบใบหน้าลงบนโต๊ะ โอดครวญอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
“ข้าไม่ได้รังแกเจ้านะเสี่ยวลี่ แต่ที่ข้าเตือนก็เพราะข้าหวังดี ลองคิดดูนะ...เจ้าอยู่ที่นี่มีข้าวให้กินสามมื้อ ที่อยู่ที่นอนก็แสนสบาย ลูกจ้างทั้งหลายเดินผ่านเจ้าก็มีแต่จะเคารพยำเกรง หากเจ้าไปจากที่นี่ แล้วเจ้าจะอยู่อย่างไรเล่า”
ม่อลี่ได้ยินดังขึ้นก็เด้งหน้าขึ้นมาจับจ้องชินอ้ายตาเขม็ง “พูดเช่นนี้หมายความว่าเจ้ามีแผนการ?”
ดรุณีน้อยยกมุมปากเผยลักยิ้มอันแสนมีเสน่ห์ “เหตุใดข้าจึงต้องคิดแผนการด้วยเล่า ในเมื่อพี่สาว...”
ผู้ฟังกรอกตาขึ้นมองเพดาน “พอๆ ๆ เจ้ากำลังจะพล่ามเรื่องนี้ให้ฟังอีกแล้ว ข้าฟังมาเก้าปีจนแทบจะละเมอออกมาเป็นคำว่า ‘พี่สาว’ อยู่รอมร่อ ขืนฟังเจ้าพูดขึ้นมาอีกมีหวังข้าคงได้เห็นภาพหลอนกันพอดี”
“เจ้ากล้าว่านางเป็นภาพหลอนได้อย่างไรกัน พี่สาวของข้าน่ะเป็นเทพธิดานะ มิใช่ภูตผี เจ้าไม่เคยเห็นนางมาก่อนด้วยซ้ำ...”
เด็กสาววัยเดียวกันอ้าปากเตรียมจะเถียง แต่มิทันไรก็ต้องปิดปากเงียบด้วยสีหน้าขัดใจเป็นอย่างยิ่ง
ใครบอกว่านางไม่เคยพบพี่สาวของชินอ้ายมาก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงไม่สามารถพูดออกไปได้ ผู้ที่คันปากอยากพูดจึงจำต้องกล้ำกลืนฝืนทนอย่างสุดความสามารถ เรื่องนี้นับว่ายากยิ่งกว่านั่งฟังผู้เป็นป้าบ่นเสียอีก
“เจ้าค่ะแม่นางตู้ พี่สาวของเจ้างดงามปานเทพธิดาบินร่อนลงมาจากสรวงสวรรค์ ความงามเลิศล้ำสยบเทพสยบมาร แถมยังเสกคนบางคนให้กลายเป็นเต่าเป็นลาได้ด้วย”
“เสี่ยวลี่! ” ชินอ้ายถลึงตา แต่ผู้ล้อเลียนกลับเด้งตัวลุกขึ้นก่อนจะส่ายก้นยั่วเย้า
“มาได้แล้วเจ้าลาน้อย วันนี้เจ้ารับปากข้าว่าจะไปที่วัดเอ้อร์เหยียนกับข้านะ” มิทันไรร่างของม่อลี่ก็วิ่งออกไปจากห้องเพราะเกรงว่าจะถูกคนลัทธิบูชาพี่สาวจับตัวนางมาลงโทษ
เจ้าของดวงหน้าหมดจดมองร่างที่วิ่งจากไปด้วยสีหน้าที่หลากหลาย ทั้งโกรธเคืองแต่ก็อยากหัวเราะไปในคราเดียวกัน การมีม่อลี่เป็นสหายได้สร้างสีสันให้ชีวิตของนางไม่น้อย
ความจริงวัดเอ้อร์เหยียนมิใช่วัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากเท่ากับวัดอื่นๆ ในเมืองหลวง ทว่าสาเหตุที่ดึงดูดให้หลานสาวแห่งโรงน้ำชาชอบมาที่นี่ก็เพราะคิดถึงเกี๊ยวน้ำที่แสนโปรดปราน
ระหว่างการเดินทางถนนสายหลักของเมืองถูกปิดกั้นให้ขุนพลและนายกองทั้งหลายสัญจรมุ่งหน้าไปยังประตูวังหลวง สีหน้าทุกคนล้วนเคร่งเครียดจริงจังจนผู้สบมองพากันใจไม่ดีตามไปด้วย
“เห็นว่าแคว้นอู๋กับแคว้นฝูประกาศตนเป็นพันธิมิตรกันอย่างเป็นทางการ...” ม่อลี่เว้นจังหวะเพื่อเป่าลมใส่เกี๊ยวน้ำที่ส่งควันร้อนฉุย พอส่งมันเข้าปากก็เคี้ยวตุ้ยๆ เสียพูนแก้ม “แคว้นเหลียวกับแคว้นอู๋ตั้งแง่มึนตึงใส่กันมานาน ต่อให้ไม่เคยมีสงครามกระทบกระทั่งกัน แต่เรื่องนี้คงทำให้ฮ่องเต้ทรงหวั่นพระทัยไม่น้อย”
“ข้าไม่ชอบสงครามเลย” ชินอ้ายไม่ชื่นชอบการรบราฆ่าฟัน พอได้ยินสหายกล่าวเช่นนี้จึงเผยสีหน้าเคร่งเครียด ตะเกียบในมือคีบเกี๊ยวน้ำขึ้นมาจ้องมองอย่างเหม่อลอย
อีกฝ่ายกลับซดน้ำแกงด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ชินอ้าย เราจะห้ามไม่ให้มันเกิดขึ้นก็คงทำไม่ได้หรอก เรื่องจะรบหรือไม่รบอยู่ที่เบื้องบนตัดสินใจ”
ผู้ฟังได้ยินก็ทอดถอนหายใจ ครั้นความอร่อยถูกส่งเข้าปากนางก็เบือนสายตาจากม่อลี่ไปยังทิวทัศน์รอบข้าง นางยังคงจดจำการมาเมืองหลวงครั้งแรกได้อย่างชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
เถ้าแก่เฉินถูกทางการจับตัวไปแล้ว ป่านนี้ยังคงชดใช้ความผิดเรื่องการซื้อขายทาสอย่างผิดกฎหมายอยู่ในคุกหลวง...
เด็กสาวครุ่นคิดก่อนที่สายตาจะสะดุดเข้ากับร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งในชุดสีขาวบริสุทธิ์ที่เดินตรงเข้ามาที่ร้านเกี๊ยว เรือนผมสีดำของเขาทอดยาวเลยแผ่นหลัง ใบหน้าถูกปกปิดด้วยหมวกผ้าโปร่งสีขาวเผยให้เห็นเพียงโครงหน้ารูปไข่ ทวงท่าของเขาช่างงามสง่าเสียจนนางนึกถึงใครบางคนขึ้นมา
‘พี่สาว...’
แม้ในใจจะร้องบอกว่ารูปร่างของอีกฝ่ายเป็นบุรุษ แต่ความคล้ายคลึงกันอย่างประหลาดส่งผลให้นางมองตามเขาอย่างไม่ละสายตา ราวกับเขารู้ตัวว่าถูกมองอยู่จึงผินหน้ามาหา หากเพียงครู่เดียวก็ละความสนใจ ร่างสีขาวผู้นั้นเดินตรงเข้าไปซื้อเกี๊ยวน้ำจากท่านยายถู ครั้นจ่ายเงินเสร็จแล้วก็หายลับไปกับฝูงชน
“อ้าย...ชินอ้าย! ”
เจ้าของชื่อได้สติรีบหันหน้ากลับมา ก่อนจะพบว่าม่อลี่กินเกี๊ยวน้ำจนหมดเกลี้ยงแล้ว
“ใจลอยอันใดอยู่หรือ?” อีกฝ่ายเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่ชินอ้ายยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ ด้วยเหตุนี้ม่อลี่จึงหยิบเงินส่วนหนึ่งออกมาจากถุงเงินแล้ววางลงบนโต๊ะ
“นี่ค่าเกี๊ยวในส่วนของข้า ไว้ข้าจะไปซื้อเป็ดย่างไปฝากท่านป้าก่อน รีบๆ ตามมาล่ะ”
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะแอบไปซื้อซาลาเปา” ผู้เป็นสหายเอ่ยดักอย่างรู้ทัน
“ก็มันยังไม่อิ่มท้องนี่นา เจ้าห้ามข้าไม่ได้หรอก” นางกล่าวจบก็รีบเดินลัดเลาะจากไป ปล่อยให้เด็กสาวจัดการกับเกี๊ยวในชามของตนก่อนจะเดินไปจ่ายเงินกับท่านยายถู
“ท่านยาย ค่าเกี๊ยวน้ำสองชาม”
หญิงชราเงยหน้าขึ้นมาจากหม้อน้ำ โบกมือไปมาอย่างกระฉับกระเฉง “ไม่ต้องหรอกยายหนู มีคนจ่ายให้พวกเจ้าแล้ว”
“จ่ายให้?” ชินอ้ายมีสีหน้าฉงนสงสัย “ผู้ใดกันหรือท่านยาย”
เรื่องมากินเกี๊ยวที่นี่นางมิได้แจ้งท่านลุงลั่วหรือเถ้าแก่เนี้ย แล้วผู้ใดกันที่จะจ่ายให้กับพวกนาง
ผู้ถูกถามลงมือลวกเกี๊ยวต่อขณะที่ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ก็คุณชายหมวกขาวเมื่อครู่นี้อย่างไรเล่า”
ชินอ้ายกลับมาถึงห้องในยามสาย เรื่องที่มีคนแปลกหน้าจ่ายค่าเกี๊ยวน้ำให้นางกับสหายยังคงคาใจ ผิดกับม่อลี่ที่เก็บเงินอีแปะเข้าถุงผ้าอย่างชื่นมื่นและแยกย้ายไปพักผ่อน
‘คุณชายหมวกขาว...’
ดรุณีน้อยคิดพลางส่ายหน้าน้อยๆ จากนั้นก็สาวเท้าไปที่เตียงแล้วก้มลงหยิบกล่องไม้ขนาดกลางออกมาอย่างทะนุถนอม แม้มันจะถูกเก็บเอาไว้ใต้เตียงแต่ก็ได้รับการดูแลทำความสะอาดอย่างดีจึงไม่เปื้อนฝุ่น ร่างเล็กทรุดกายนั่งบนเตียงก่อนจะเปิดฝากล่องออกมา ด้านในเผยให้เห็นของทั้งหมดห้าสิ่ง
ดวงตาหวานกวาดตามองดูอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างไม่ชำรุดเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นหวีหยก ปิ่นทองคำ ต่างหูไข่มุกหรือสร้อยลูกปัด นางยกยิ้มอย่างพึงพอใจที่ของเหล่านั้นล้วนไม่สึกหรอ จนกระทั่งสายตาสะดุดเข้ากับกำไลเงินที่ห้อยด้วยจี้รูปดอกเหมยเล็กๆ จดจำได้ว่าตนรับของขวัญชิ้นนี้เมื่ออายุสิบขวบ แม้จะชอบแต่ก็ไม่เคยแตะต้องด้วยขนาดของมันยังใหญ่เกินไป
มือเรียวเล็กเคลื่อนไปหยิบกำไลเงินวงนั้นขึ้นมา บรรจงสวมมันเข้าที่มือข้างซ้าย พบว่าขนาดของมันพอดีกับข้อมือและเรียวแขนของตนไม่เหมือนกับที่ผ่านมา
สรรพสิ่งที่อย่างยังคงเคลื่อนไหว หากเวลาเดียวกันกลับหยุดนิ่ง...
เด็กสาวหลับตาลงอย่างเชื่องช้า ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ที่ผ่านมานับว่าโชคดีเหลือเกินที่นางได้รับความเมตตาและโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ นางรำลึกสิ่งนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน หากสักวันได้ตอบแทนคุณคงจะดีไม่น้อย
“อ้ายเอ๋อร์”
เสียงแหบทุ้มอันคุ้นเคยส่งผลให้ผู้ที่กำลังจมอยู่ในห้วงคำนึงเด้งลุกจากเตียง นางเร่งปิดฝากล่องไม้แล้วดันมันเข้าใต้เตียงอย่างรีบร้อนอย่างผิดวิสัย ครั้นร่างของลั่วสื่อปรากฏขึ้นที่หน้าห้องนางก็รีบไพล่มือข้างซ้ายไปยังด้านหลัง ซ่อนของขวัญสำคัญมิให้ท่านลุงได้เห็น
ไม่ใช่เพราะว่าการมีสิ่งของล้ำค่าเหล่านี้ถือเป็นความผิด แล้วก็ไม่ใช่ว่านางกลัวของจะถูกขโมยไป
แต่เป็นเพราะนางคงรู้สึกเคอะเขินหากต้องบอกกล่าวเรื่องของขวัญเหล่านี้กับผู้อาวุโสต่างหาก...
“ทะ...ท่านลุงลั่วเรียกข้าหรือเจ้าคะ”
เถ้าแก่แห่งโรงน้ำชามองท่าทีแปลกๆ ของผู้ที่ตนรับเลี้ยงดูมาหลายปีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ผู้มองเริ่มใจเสีย ทว่าจังหวะต่อมาเขากลับคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “อ้ายเอ๋อร์ ‘นาง’ มาแล้ว”
เพียงได้ยินคำว่า ‘นาง’ ออกมาจากปากของลั่วสื่อ ชินอ้ายสาวเท้าเข้ามาหาชายวัยกลางคนอย่างรวดเร็วประหนึ่งนกน้อยโผบิน เกาะแขนของเขาเขย่าเบาๆ อย่างตื่นเต้น
“จริงหรือท่านลุงลั่ว ท่านไม่ได้หลอกข้าใช่ไหมเจ้าคะ”
“เรื่องเช่นนี้ใครจะกล้าหลอกเจ้ากันเล่า” ผู้อาวุโสกลั้นหัวเราะ มองเด็กสาวอย่างขบขันระคนเอ็นดู
“ขอบคุณท่านลุงเจ้าค่ะ” ชินอ้ายคลี่ยิ้มกว้างจนเห็นไรฟันสีขาวสะอาด พี่สาวมักจะมาเยี่ยมนางที่โรงน้ำชาปีละครั้ง แม้การพบเจอจะมีการพูดคุยกันไม่กี่ชั่วยามหากมันก็เป็นช่วงเวลาที่นางเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อมากที่สุดในรอบปี แต่ดีใจได้ไม่นานกลับหุบยิ้มพร้อมกับปล่อยแขนของอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า
“เจ้าไม่ดีใจหรอกหรือ” ครานี้เป็นทีของลั่วสื่อบ้างที่ประหลาดใจกับสีหน้าดังกล่าว
ปกติตู้ชินอ้ายมักจะมีสีหน้าสดใส ยิ่งเมื่อกล่าวถึงพี่สาวก็จะยิ่งมีชีวิตชีวามากกว่ายามปกติเป็นสิบเท่ายี่สิบเท่า เห็นเช่นนี้แล้วเขาก็พลอยรู้สึกไม่สบายใจไปด้วย
“ดีใจเจ้าค่ะ เพียงแต่...” ชินอ้ายเผยสีหน้าลังเลออกมาหลายส่วน “ปกติพี่สาวมักจะมาพบข้าช่วงต้นตงเทียน แต่หนนี้นางกลับมาหาข้าช่วงต้นชิวเทียน ข้าจึงรู้สึกแปลกใจ”
ชายวัยกลางคนมองใบหน้าเป็นกังวลของนางก็ยื่นมือออกมาลูบศีรษะเล็กอย่างอ่อนโยน “ในเมื่อเจ้าสงสัย ก็ออกไปถามเจ้าตัวเองไม่ดีกว่าหรือ”
ชินอ้ายเงยหน้าขึ้นสบตาเขา สีหน้าผ่อนคลายลง “ท่านลุงลั่ว พี่สาวอยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ”
“นางรอเจ้าอยู่ที่สวน รีบไปเถิด”
“เจ้าค่ะ”
ลั่วสื่อยืนมองร่างเล็กๆ ที่เร่งรุดจากไปอย่างกระตือรือร้นก่อนจะยกมือทั้งสองขึ้นมาไพล่หลัง
‘อ้ายเอ๋อร์ เจ้าช่างมีวาสนานัก...’
ชายวัยกลางคนครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบขณะที่สายตาเคลื่อนไปจับจ้องกลุ่มเมฆาที่จับตัวเป็นก้อนอยู่บนผืนฟ้า ล่องลอยไปมาอย่างเอื่อยเฉื่อยหากกลับอยู่ไกลแสนไกล สุดจะเอื้อมมือไขว่ขว้า
มารุตร้อนปะทะเข้ากับอากาศหนาวเย็นชวนให้รู้สึกไม่สบายตัว ฤดูกาลเช่นนี้...เอาแน่เอานอนไม่ได้
[1]เซี่ยะเทียน (夏天) หมายถึง ฤดูร้อน
[2]ชิวเทียน (秋天) หมายถึง ฤดูใบไม้ร่วง
[3]จู๋ร์ฮวา (菊花) หมายถึง ดอกเบจญมาศ หรือ ดอกเก๊กฮวย
[4]ชาเถี่ยกวนอิม (铁观音茶)
[5]ชาอู่หลง (乌龙茶) คือชาประเภทกึ่งหมักซึ่งอยู่ระหว่างชาเขียวกับชาดำ ไม่ใช่ธาตุร้อนหรือธาตุเย็น มีสรรพคุณช่วยขจัดความร้อนที่ค้างอยู่ในร่างกายจากฤดูร้อนที่ผ่านมา ทั้งยังสามารถสร้างสมดุลน้ำให้ร่างกาย ซึ่งคำว่า ‘อู่หลง’ (乌龙) แปลตรงตัวว่า มังกรดำ
[6]คำแปลจากกลอน 七泡余香溪月露满心喜乐岭云涛
[7]ยามอู่ คือ เวลาตั้งแต่ 11.00 – 12.59 น.
ความคิดเห็น |
---|