6

บทที่ 6


 

ผู้เฒ่าจันทรา

...มีผู้คนกล่าวไว้ว่าดวงตาสื่อสารความนึกคิด

...มีผู้คนกล่าวไว้ว่าดวงตาสะท้อนความรู้สึก

ทว่าสวรรค์เบื้องบน...ตู้ชินอ้ายช่างโง่งมนัก สิ่งเดียวที่นางเห็นคือความงดงามประหนึ่งดวงดาวบนฟากฟ้าแห่งคืนเดือนมืดในดวงเนตรของเผิงซือเยียน

ท่านเจ้าเกาะเคลื่อนสายตาจากดรุณีน้อยอย่างเชื่องช้า จวบกระทั่งหยุดลงที่มือเล็กซึ่งตรึงแขนตนไว้แน่นราวกับสิ่งล้ำค่าที่มิอาจปล่อยให้หลุดมือไป

ว่ากันว่าเฒ่าจันทราเป็นผู้ชักนำคู่วาสนามาพานพบ หากจะสานต่อหรือไม่นั้นเป็นทางเลือกของมนุษย์

“เจ้า...จะไม่คืนคำใช่หรือไม่”

“ไม่คืนคำเจ้าค่ะ” เสียงของเด็กสาวแม้ไม่เด่นชัดจนกึกก้อง ทว่าความหนักแน่นในน้ำเสียงกลับกินใจเสียยิ่งกว่าถ้อยคำสวยหรูที่เขาเคยได้ยินมาตลอดชีวิต

หลายปีผ่านพ้น แต่นางก็ยังคงเป็นนาง เป็นอ้ายเอ๋อร์ที่เหมือนเดิมมิเคยเปลี่ยน

“เจ้ารับปาก?”

“ข้ารับปากเจ้าค่ะ” นางกล่าวจบก็เพิ่งรู้ตัวว่าการแตะเนื้อต้องตัวผู้อาวุโสกว่าโดยไม่ขออนุญาตถือว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง แต่ทันทีที่ปล่อยมือกลับกลายเป็นว่ามือเล็กถูกรวบเข้าไปอยู่ในมือใหญ่ ความเย็นจากมือของเขามิอาจบรรเทาอาการประหม่าของนางให้ลดลง ในทางตรงกันข้าม มันรังแต่จะเพิ่มมากขึ้นจนนางรู้สึกว่ามีคนลั่นกลองอยู่ภายใน

ใบหน้าของเด็กสาวถูกอาบย้อมด้วยสีผลอิงเถา[1] นางก้มหน้าลง ไม่ยอมสบสายตาผู้สวมหน้ากากสีดำ

ผู้ที่จับมือย่อมสัมผัสได้ว่านางเขินอายมากเพียงไร จึงกระชับมือเล็กอย่างอ่อนโยนแต่หนักแน่นในเวลาเดียวกัน ก่อนหน้าเพราะความใจร้อนเขาจึงได้เร่งเร้า ยามนี้ถึงได้รู้ว่ามันเทียบไม่ได้เลยกับความสุขเล็กๆ ที่ได้จากมือเล็กอันแสนอบอุ่นนี้ ต่อให้ภายหลังนางเกิดเปลี่ยนใจ เขาก็จะไม่ยอมปล่อยมือนี้ไปอีกแล้ว

เผิงซือเยียนย้ำเตือนกับตนเองอยู่ในใจ ก่อนจะกล่าวกับผู้ที่นั่งก้มหน้าด้วยน้ำเสียงเชิญชวนดูอยู่ในที

“พรุ่งนี้ข้าอยากจะพาเจ้าไปยังสถานที่หนึ่ง เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่”

“ไปที่ใดหรือเจ้าคะ” ชินอ้ายถามกลับอย่างใคร่รู้

“เมื่อไปถึง... เจ้าก็จะรู้เอง”

 

ล่วงเลยเข้าสู่วันที่สี่ ม่อลี่กลับตัวร้อนเป็นไข้สูง เด็กสาวแต่นอนซมอยู่บนเตียงอย่างน่าสงสาร

ชินอ้ายเช็ดตัวให้นางไป มองหน้าแดงๆ ของสหายไปด้วย สภาพอากาศบนเกาะดอกเหมยทั้งหนาวทั้งชื้นไม่เหมือนกับเมืองหลวง ม่อลี่คงปรับร่างกายไม่ทันเนื่องจากอ่อนเพลียจากการเมาเรือบนสำเภามาตั้งแต่ก่อนหน้านี้

“เสี่ยวลี่ วันนี้ข้าจะอยู่เฝ้าไข้เจ้าเอง” เด็กสาวเอ่ยพลางบิดน้ำร้อนออกจากผ้า ดูท่านัดหมายของนางกับท่านเจ้าเกาะคงต้องยกเลิกเสียแล้ว

ผู้ฟังปรือตาขึ้นมาอย่างอ่อนล้า ศีรษะจะหนักอึ้งอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับหนักสาหัส “เจ้ามีนัดมิใช่หรือ ข้า...ไม่อยากให้ท่านเจ้าเกาะโกรธข้าอีกแล้ว”

กลิ่นอายกดดันน่ากลัวเมื่อวานนี้ยังเด่นชัดอยู่ในความทรงจำไม่หาย ถึงแม้ชินอ้ายจะมาบอกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขุ่นข้องเรื่องนี้ แต่นางก็เลือกที่จะลดความเสี่ยงต่อการแหย่หนวดเสือเป็นคราที่สองอยู่ดี

“เจ้ามาที่เกาะดอกเหมยก็เพราะข้า จะให้ข้าทิ้งเจ้าไปได้อย่างไรกัน”

...หรือเจ้าจะให้ท่านซางเรียกคนมาหามข้าเดินตามพวกเจ้ากันเล่า” ม่อลี่เว้นจังหวะเพื่อไออยู่นาน จากนั้นก็หันกายตะแคงหนีไปอีกทาง “เจ้าอย่าอยู่เฝ้าไข้ข้าเลย หากเจ้าป่วยไปอีกคนจะยิ่งแย่ ประเดี๋ยวพี่ๆ สาวใช้คงมาดูแลข้าเอง”

“ก่อนหน้านี้เจ้าบ่นว่าอยากออกไปข้างนอก” แน่นอนว่าชินอ้ายลังเล นางไม่อยากปล่อยให้สหายที่เจ็บไข้อยู่อย่างโดดเดี่ยว

“ข้าออกไปแน่ แต่ต้องมิใช่ในสภาพนี้” นางยืนกราน“เจ้าควรจะสร้างความคุ้นชินกับว่าที่สามีของเจ้าให้มาก”

“แต่...”

“ไม่ต้องแต่แล้ว เจ้าออกไปเถิด ข้าจะพักผ่อน” คนป่วยกล่าวจบก็ปิดเปลือกตาลง เพียงไม่นานก็มีเสียงหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ จมเข้าสู่ห่วงนิทราอย่างรวดเร็ว

ชินอ้ายเห็นดังนั้นก็ลุกจากเก้าอี้ข้างเตียงแล้วดึงผ้านวมห่มให้สหายจนมิดคอ จัดท่านอนอีกฝ่ายให้สบายขึ้น เมื่อเรียบร้อยดีก็ก้าวออกมาจากห้องอย่างเงียบเชียบ

ม่อลี่ไล่ให้นางไปถึงเพียงนี้ หากนางไม่ไปคงถูกโกรธเอาแย่ นางเองก็ไม่อยากผิดสัญญากับท่านเจ้าเกาะที่ให้เกียรติเชิญชวนนาง ถ้ารีบไปรีบกลับคงเป็นการดี

ร่างเล็กคิดพลางหยิบเสื้อคลุมสีแดงตัวหนาขึ้นสวมทับอย่างระมัดระวัง เพ่งพินิจเงาสะท้อนบนบานกระจกทองเหลือง ครั้นเห็นว่ามีจุดที่เส้นผมยุ่งเหยิงอยู่เล็กน้อยก็รีบหยิบหวีหยกขึ้นมาหวีเรือนผมสีดำขลับของตน เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าอยากให้ตนเองดูดีกว่าที่เป็นอยู่

ชินอ้ายหันซ้ายหันขวา ยกมือเพื่อคลำกำไลข้อมือด้วยความเคยชินก่อนจะพบว่ามันว่างเปล่า คราวก่อนนางลืมทวงคืนของสำคัญจากเผิงซือเยียน ไว้วันนี้คงต้องหาโอกาสถามเขาเรื่องกำไลดอกเหมยให้จงได้

นางย้ำเตือนกับตนเองก็จริงอยู่ หากตลอดเวลาที่นาง ท่านเจ้าเกาะกับซางฉือออกเดินทางจากจวนริมผา เด็กสาวกลับถูกความตกใจพัดพาเอาความตั้งใจเตลิดไปไกลถึงไหนต่อไหน

นางยืนประจันหน้ากับอาชาไนยสีน้ำตาลเหอเถา[2] ด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้า คายไม่ออก ท่านเจ้าเกาะกล่าวว่าเส้นทางในวันนี้ค่อนข้างไกลและลำบากอยู่บ้าง หากจะเดินไปก็คงไม่สะดวกนัก

“ท่านเจ้าเกาะเจ้าคะข้า...” นางอยากบอกเขาเหลือเกินว่านางมีความทรงจำไม่ดีเกี่ยวกับม้า ครั้นวัยเด็กนางเกือบถูกม้าพยศทำร้ายหากไม่มีพี่สาวมาช่วยชีวิตเอาไว้ แต่ถ้าพูดออกไปก็มิเท่ากับว่านางกลายเป็นคนเรื่องมากในสายตาสองนายบ่าวหรอกหรือ

“ข้ารับรองว่าปลอดภัย”

ในเมื่อชายหนุ่มยืนยันเช่นนี้ ชินอ้ายจะมีข้อโต้แย้งใดๆ ได้อีกเล่า...

ตลอดสองข้างทางเงียบสงัดไร้บ้านเรือนหรือผู้คน ซางฉืออธิบายให้ฟังว่าในรัศมีแปดลี้จากจวนริมผาจะไม่อนุญาตให้ชาวบ้านผู้ใดปลูกเรือนอยู่ ส่วนการเก็บของป่าหรือสมุนไพรหายากก็จะมีการจัดตารางเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของหมู่บ้านต่างๆ

เด็กสาวหวังจะถามเพิ่มเติม แต่เกรงว่าคงไม่เหมาะสม ยามนี้นางเป็นเพียงคนต่างถิ่นจึงไม่ควรละลาบละล้วงมากจนเกินไปนัก

ดรุณีน้อยในชุดแดงนั่งเกร็งตัวอยู่บนหลังอาน ด้านหลังมีร่างสูงโปร่งนั่งซ้อนท้ายโดยยื่นมือออกมากุมบังเหียน วงแขนแข็งแกร่งที่โอบผ่านลำตัวคล้ายคลึงกับว่ากำลังกอดนาง ความเงรยบที่ไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าน่าอึดอัด แต่เด็กสาวก็ไม่อาจข่มใจให้สงบลงได้อยู่ดี

          ผู้เป็นบ่าวรับใช้บนอาชาอีกตัวมองหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเดินเคียงคู่กันอยู่เบื้องหน้า ครุ่นคิดไปถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าตรู่ในเรือนของท่านเจ้าเกาะ พูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อว่านายของเขาผลัดเปลี่ยนชุดถึงสามครั้งก่อนจะออกไปรับแม่นางตู้ ความพิถีพิถันของเผิงซือเยียน ซางฉือมิได้เห็นมานานแล้ว เช่นนั้นย่อมหมายความว่าการส่งตัวตู้ชินอ้ายเพื่อมาแต่งงานกับท่านเจ้าเกาะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เห็นทีต้องรีบรายงานให้ ‘ท่านผู้นั้นทราบ’

          ซางฉือครุ่นคิดในใจอย่างเงียบงันพลางกวาดสายตาไปยังย่ามบรรจุน้ำและอาหารว่างที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวม้า บนแผ่นหลังของเขาแบกร่มไว้อีกสองคัน อาชาสองตัวมุ่งไปยังทิศเหนือ แม้จะไร้วี่แววว่าหิมะจะโปรยปรายลงมา หากการเตรียมตัวไว้ก่อนถือเป็นเรื่องดี

          หลังจากเดินทางมาได้ครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็มาถึงบริเวณป่าเหมยแดงซึ่งออกดอกบานสะพรั่งละลานตา สีแดงสดโดดเด่นตัดกับผืนฟ้าสีทึมและหิมะเบื้องล่าง กลายเป็นสีสันที่ชวนให้ชินอ้ายหายเหน็ดเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เผิงซือเยียนจับถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของดรุณีน้อยจึงลงจากม้าและประคองนางลงมา

นางกล่าวขอบคุณขณะที่ก้าวเท้าช้ากว่าปกติ ในใจอยากดื่มด่ำกับทัศนียภาพทั้งหลายให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข้างกายเล็กยังคงมีร่างของท่านเจ้าเกาะจูงอาชาไนยเคียงคู่ไม่ยอมห่าง มิทันไรนางก็พลันสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงนี้

คราแรกนางมาถึงเกาะดอกเหมย นางจำได้ว่าชายหนุ่มเดินนำนางไปหลายก้าว แต่พอมาวันนี้เขากลับก้าวช้าและเล็กลงเพื่อให้นางเดินตามได้ทัน การเอาใจใส่ในรายละเอียดเรียกให้นางช้อนมองแผ่นหลังกว้างสีดำซึ่งตัดกับดอกเหมยสีสด เกิดความละมุนละไมขึ้นในใจ ยามนี้ทุกอย่างช่างสมบูรณ์แบบเสียจนอยากหยุดเวลาไว้ หากสบโอกาสนางก็อยากพาม่อลี่มาที่นี่บ้าง

ความงามแสนล้ำค่านี้มิต้องไปเยือนถึงแดนสวรรค์ ในเมื่อธรรมชาติได้สร้างมันไว้ในดินแดนมนุษย์แล้ว...

“เจ้าอยากเก็บกลับไปฝากนางหรือไม่” เขาถามราวกับอ่านใจนางได้ ชินอ้ายเผลอยกมือขึ้นมาคลำใบหน้าตนเองผู้มองประหลาดใจกับท่าทีดังกล่าว

“เป็นอะไรไป”

“ปะ...เปล่าเจ้าค่ะ” นางตอบอ้อมแอ้ม แต่เมื่อดวงตาสีเข้มจดจ้องนางไม่เลิกรา เด็กสาวจึงต้องรีบชิงอธิบายด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด “ข้าเพียงแค่สงสัยว่าตนเองเผลอเผยความรู้สึกผ่านทางสีหน้ามากเกินไปหรือไม่... ก็เท่านั้นเจ้าค่ะ”

ยามเช้าเผิงซือเยียนดูออกว่านางกลัวการขี่ม้า มายามสายยังรู้ว่านางคิดถึงเสี่ยวลี่ นางไม่อยากให้อารมณ์ส่วนตัวมาทำให้ท่านเจ้าเกาะต้องมาคอยสังเกตสีหน้าของนางอยู่บ่อยๆ เช่นนี้แล้วเขาจะเพลิดเพลินกับการเดินทางได้อย่างไร

“เปิดเผยก็ดี...ไม่เปิดเผยก็ดี” เสียงนุ่มทุ้มที่มิได้เรียบนิ่งดังเดิมส่งผลให้ชินอ้ายเอามือลง บนมุมแก้มเกิดรอยบุ๋มจากรอยยิ้มน่ารักอันไร้เดียงสา เป็นคราแรกที่นางยิ้มให้เขาโดยไม่มีสิ่งอื่นมาข้องเกี่ยว

“เหตุใดจึงยิ้ม”

เด็กสาวคลี่ยิ้มกว้างขึ้น “เพราะท่านเจ้าเกาะหัวเราะอย่างไรเล่าเจ้าคะ”

นางไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะของเขามาก่อน ท่านเจ้าเกาะสวมหน้ากากบดบังอยู่ตลอด ด้วยเหตุนี้นางจึงตั้งใจฟังทุกถ้อยคำและน้ำเสียงของเขาเป็นพิเศษ พอได้ยินเสียงนุ่มทุ้มหัวเราะเช่นนี้...ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเผิงซือเยียนกำลังเพลิดเพลินใจ การเดินทางครานี้ก็นับว่าคุ้มค่า

ไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องการแต่งงาน ขอเพียงแค่ได้เข้าใกล้...ได้เรียนรู้อีกฝ่ายมากขึ้นก็เพียงพอแล้ว

ใบหน้าเปื้อนยิ้มกวาดสายตามองไปรอบๆ “ท่านเจ้าเกาะ ข้าคิดว่าบุปผางามจะสวยที่สุดก็ต่อเมื่อมันอยู่บนต้นของมันเจ้าค่ะ” กล่าวจบก็สะดุ้งกายเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายโน้มกายเข้ามาใกล้ เรือนผมสีดำยาวของเขาวาดผ่านจมูกเล็ก กลิ่นหอมบางเบาคล้ายโมลี่ฮวาที่นางเคยชงดื่มกับชา

“เช่นนี้ก็งดงามไม่ต่างกัน” เผิงซือเยียนทัดดอกเหมยที่เด็ดติดมือมาบนเรือนผมดำขลับ เรียบร้อยแล้วจึงผละกายออกห่างเพื่อความเหมาะสม สีแดงสดของเหมยฮวารับกับอาภรณ์สีเดียวกันอย่างหมดจดงดงาม ชินอ้ายในยามนี้ราวกับเทพธิดาน้อยมาจุติ

แต่ดูท่าเทพธิดาดอกเหมยจะกลายร่างเป็นเทพธิดาลูกท้อเสียแล้ว เด็กสาวหน้าแดงก่ำด้วยคำหวาน...

หากมิทันไรบรรยากาศอันแสนนุ่มนวลก็ถูกทำลายลง

“ท่านเจ้าเกาะขอรับ ยามซื่อ[3]แล้ว” ซางฉือขยับเข้ามาใกล้

คนทั้งสองหลุดออกจากภวังค์ ร่างสูงโปร่งหันหน้าไปยังบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ไกลออกไปหลายก้าวพร้อมกับพยักหน้าแผ่วเบา

“ให้พักที่นี่สองเค่อ[4]

คนทั้งสามนั่งอยู่บนผ้าผืนหนาโดยเลือกเอาจุดที่แห้งที่สุด หลังจากเสร็จสิ้นอาหารว่าง สิ่งที่ชินอ้ายสังเกตมาตลอดคือมีแค่นางคนเดียวเท่านั้นที่ได้กิน...

มิใช่เพราะว่านางตะกละ แต่เผิงซือเยียนสวมหน้ากากไว้ตลอดเวลา ขณะที่ซางฉือผู้เป็นบ่าวเห็นนายไม่กินจึงไม่ยอมกิน และนางก็ไม่อยากปล่อยทิ้งไว้จนเสียน้ำใจบ่าวรับใช้หนุ่มที่อุตส่าห์ตระเตรียมมันมา ทันทีที่ดื่มน้ำเปล่าเสร็จก็วางลงบนจานรอง

“แม่นางตู้ ที่นี่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับคู่รักคู่หนึ่งที่ได้รับการชักพาจากผู้เฒ่าจันทรา[5] ท่านอยากฟังหรือไม่” ซางฉือทำลายความเงียบขึ้นมา

สีหน้าของเด็กสาวกระตือรือร้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ผู้เฒ่าจันทรา?”

“เกาะดอกเหมยมีความเชื่ออย่างหนึ่ง นอกจากคู่ครองจะขึ้นอยู่กับบุพเพสันนิวาสแล้ว ผู้เฒ่าจันทรายังเป็นผู้ดูแลให้มนุษย์ทุกคนได้ครองคู่กับผู้ที่มีบุญวาสนาร่วมกันขอรับ” น้ำเสียงของผู้เล่ายังคงสุภาพเช่นเคย ทว่าสีหน้าของเขาดูสนุกกับการเล่าเรื่องไม่น้อย

เผิงซือเยียนนั่งชันเข่ามองอยู่อีกมุมหนึ่ง แม้ทวงท่าจะไม่เรียบร้อยหากกลับงามสง่าชวนมอง ครั้นเห็นว่าร่างเล็กแสดงท่าทีสนใจจึงปล่อยให้ข้ารับใช้เล่าตามใจชอบ

“ท่านซางรีบเล่าเถิด ข้าอยากฟังเจ้าค่ะ”

“ว่ากันว่าหลายร้อยปีก่อนมีองค์หญิงพระนางหนึ่งจากอาณาจักรอันไกลโพ้นเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อตามหาบุรุษที่ทรงมิเคยพบมาก่อนนอกเสียจากในพระสุบิน ครั้นจะสำเภาแล่นผ่านเกาะดอกเหมยก็พบเจอกับคลื่นพายุโหกระหน่ำจนอับปาง องค์หญิงทรงฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าพระนางถูกพัดพามายังเกาะแห่งนี้ ทรงเสียพระทัยและกรรแสง ที่สำคัญยังทรงทอดพระเนตรเห็นด้ายสีแดงพันอยู่รอบพระกนิษฐา[6] จะดึงก็ดึงไม่ออก จะตัดก็ติดมิได้ สุดท้ายพระนางจึงเสด็จไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดพักที่ป่าดอกเหมยแดงแห่งนี้”

ชินอ้ายปรับท่านั่งของตนเองให้สบายขึ้น ตั้งใจฟังเรื่องเล่าอย่างใจจดใจ

“หลังจากที่องค์หญิงทรงทอดพระเนตรเห็นความงดงามของป่าดอกเหมย พระนางก็ทรงลืมความขุ่นข้องหมองพระทัยเกี่ยวกับด้ายแดงที่แก้ไม่ออกจนหมดสิ้น องค์หญิงทรงร่ายรำอย่างสุขสำราญจนกระทั่งผู้เฒ่าจันทราปรากฏกายขึ้นต่อหน้าพร้อมกับชมเชยเรื่องการร่ายรำอันแสนวิเศษ เทพพ่อสื่อจึงอาสาจะส่งตัวองค์หญิงกลับบ้านแต่ต้องแลกด้วยการตัดด้ายแดงแห่งวาสนา ตลอดชีวิตองค์หญิงจะไม่มีโอกาสได้พานพบคู่ครอง”

“เหตุใดเฒ่าจันทราจึงได้ใจร้ายนัก...” เด็กสาวนึกสงสารองค์หญิงขึ้นมาจับใจ พระนางเสด็จข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อออกตามหาคู่ครอง แต่การกลับบ้านกลับต้องสูญเสียคู่วาสนา แล้วนางจะเลือกสิ่งใดกันเล่า 

“ใจเย็นก่อนแม่นางตู้” ซางฉือกล่าวจบก็เล่าต่ออย่างใจเย็น “แต่เดิมองค์หญิงทรงมิรู้ว่าด้ายแดงนี้หมายคือด้ายแดงแห่งวาสนา ครั้นได้รู้จึงทรงปฏิเสธการตัดมันทิ้งและยืนยันกับผู้เฒ่าจันทราว่านางจะหาหนทางกลับบ้านเองโดยจะไม่ยอมเสียคู่ครองไป ผู้เฒ่าจันทราพยักหน้าก่อนจะคลายมนต์ออก ด้ายดอกบนพระกนิษฐาขององค์หญิงลากยาวลึกเข้าไปในป่าดอกเหมย

“ตามด้ายแดงไปเสีย คู่ครองของเจ้ารออยู่”

เทพพ่อสื่อกล่าวเพียงเท่านั้นก็หายตัวไป องค์หญิงจึงรีบมุ่งหน้าตามเส้นด้ายแดงไปอย่างไม่รอช้า ก่อนจะพบว่ามันชักนำนางไปยังองครักษ์คนสนิทซึ่งแล่นเรือสำเภาไล่ตามมา องค์หญิงจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วคู่ครองของพระนางกลับอยู่ใกล้ตัวมาโดยตลอด บุรุษที่พระนางทรงเห็นในสุบินย่อมไม่อาจเทียบได้กับผู้ที่รักและเทิดทูนพระนางอย่างสุดหัวใจ และคนทั้งสองก็ได้ครองรักอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป”

“ขอบคุณท่านซาง ช่างเป็นเรื่องเล่าที่ดีเหลือเกิน” นางกล่าวพลางคลี่ยิ้ม “หากองค์หญิงทรงมิได้ผู้เฒ่าจันทราชี้แนะก็คงมิอาจพานพบคู่วาสนาที่แท้จริงได้”

 “ใช่ขอรับ พวกเราชาวเกาะดอกเหมยล้วนเห็นตรงเป็นเช่นนั้น นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าองค์หญิงกับองครักษ์ผู้นั้นคือบรรพบุรุษของตระกูลเผิง ทุกวันชีซี[7] ที่ป่าเหมยแดงแห่งนี้จึงจะมีจัดเทศกาล ‘ถักทอด้ายแดง’ เพื่อขอบคุณผู้เฒ่าจันทรา ว่ากันว่าหากคู่รักคู่ใดสารภาพรักที่นี่ในวันนั้นจะได้ครองคู่กันไปตลอดกาลดังองค์หญิงกับองค์รักษ์ผู้นั้น”

“เป็นเพราะท่านซางแท้ๆ วันนี้ชินอ้ายจึงได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”

ชินอ้ายขอบคุณอีกฝ่ายจากใจจริง วันนี้นับว่านางได้เรียนรู้เกี่ยวกับเกาะดอกเหมยมากยิ่งขึ้น สิ่งที่คนภายนอกมองว่าผู้คนที่นี่แสนเย็นชา แท้จริงแล้วพวกเขากลับมีประเพณีและความเชื่ออันลึกซึ้งอ่อนหวาน ช่างน่าเสียดายแทนชาวเมืองแคว้นเหลียวเหลือเกินที่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสความงดงามนี้

นึกแล้วก็เบือนสายตาไปยังบุรุษที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา แม้ภายนอกท่านเจ้าเกาะเป็นคนพูดน้อยและยังสวมหน้ากากสีดำน่ากลัวอยู่ตลอด ทว่าความช่างสังเกตและความอ่อนโยนที่นางได้สัมผัสต่างหากจึงเรียกว่าเป็นเนื้อแท้

 

ครั้นพูดคุยพักผ่อนกันพอสมควรแล้ว คนทั้งสามจึงมุ่งหน้าเดินทางต่อ ล่วงเลยไปหนึ่งชั่วยามจึงไปถึงที่หมาย

การขี่ม้าขึ้นเนินเขาที่ราบสูงประกอบกับเส้นทางอันคดเคี้ยว ส่งผลให้เด็กสาวผู้เติบโตมาในเมืองหลวงรู้สึกวิงเวียนศีรษะอยู่บ้าง โชคดียิ่งนักที่บริเวณฝั่งเหนือไม่มีหิมะตกมาหลายวันแล้ว พื้นดินจึงค่อนข้างแห้ง ไม่เป็นอันตรายจนเกินไปนัก

เผิงซือเยียนยื่นมือเพื่อช่วยชินอ้ายลงจากอานม้า ทันทีที่เท้าเล็กบางสัมผัสลงบนพื้น นางจ้องมองภาพเบื้องหน้า สถานที่ซึ่งชายหนุ่มพามาช่างเหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิง

“ที่นี่คือ...”

“เจ้าปรารถนาจะเข้าใกล้ข้ามากขึ้นมิใช่หรือ” ผู้ตอบเอ่ยพลางเบือนสายตาไปยังแผ่นป้ายขนาดเล็กที่อยู่เบื้องหน้า บนนั้นมีอักษรเขียนตวัดอย่างสละสลวยว่า ‘หมู่บ้านใบชา’ “ชาที่เจ้าชงให้ข้าเมื่อวานรสชาติดี วันนี้ข้ามีกิจธุระ ณ หมู่บ้านแห่งนี้ คิดว่าหากเจ้ามาด้วยกันคงดีไม่น้อย”

          ร่างสูงโปร่งกล่าวจบก็สาวเท้าออกไปเบื้องหน้า ทันทีที่ร่างผ่านพ้นทางเข้าใหญ่ก็มีชาวบ้านมากมายออกมาต้อนรับ พวกเขาทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีขาวบริสุทธิ์ แต่ผ้าคาดเอวเป็นสีน้ำตาลแก่ ท่าทีและคำพูดล้วนสุภาพนอบน้อม บรรยากาศที่นางสัมผัสได้คล้ายคลึงกับครอบครัวใหญ่มากกว่าฐานะเจ้าเกาะกับชาวบ้าน เพียงมองดูห่างๆ กลับอิ่มเอมใจเหนือคำบรรยายใดๆ

          “ท่านเจ้าเกาะ ปัญหาเรื่องเชื้อราที่ข้าน้อยแจ้งไว้เมื่อวันก่อน...” หัวหน้าหมู่บ้านซึ่งเป็นชายวัยกลางคนผายมือเชื้อเชิญเข้าไปยังด้านในหมู่บ้าน บุรุษในหน้ากากพยักหน้าทีหนึ่ง ครั้นหันมามองเด็กสาวแล้วเห็นว่ามีซางฉือคอยดูแล เขาจึงเดินตามผู้อาวุโสไปอย่างไม่รอช้า

          “ท่านซาง ท่านเจ้าเกาะมักจะงานยุ่งเช่นนี้เสมอหรือ” ชินอ้ายเอ่ยถามชายหนุ่มผู้ยืนเว้นระยะห่างออกไปเล็กน้อย

          “ขอรับ หากเป็นช่วงตงเทียนแล้วท่านเจ้าเกาะมักจะแวะมาที่นี่บ่อยๆ ” ซางฉือเบือนสายตาไปยังแผ่นหลังผู้เป็นนายที่เดินจากไป แท้จริงแล้วเผิงซือเยียนคงมีจุดประสงค์ให้ตู้ชินอ้ายได้เห็นแง่มุมของเขาในฐานะ ‘ท่านเจ้าเกาะ’ เพื่อให้นางเตรียมพร้อมกับการเป็น ‘ภรรยาท่านเจ้าเกาะ’ ในเร็ววัน

          “หมู่บ้านแห่งนี้เพาะปลูกชาหรือเจ้าคะ”

          “หมู่บ้านใบชาคือหนึ่งในห้าเครือข่ายการค้าของตระกูลเผิงขอรับ ชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้มีอาชีพหลักคือการปลูกชา คัดเลือก ตากแห้ง บ่ม หมักชาแต่ละประเภทตามกระบวนการต่างๆ ชาคุณภาพดีที่สุดจะถูกส่งไปยังจวนริมผาเป็นแห่งแรก ที่เหลือจะถูกส่งขึ้นสำเภาไปยังโรงน้ำชาที่อยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลเผิงในแว่นแคว้นต่างๆ ชาคุณภาพต่ำลงมาจะถูกขายต่อให้โรงน้ำชาและพ่อค้าคนกลาง”

          ชินอ้ายคิดตามก่อนจะเริ่มตั้งข้อสงสัยขึ้นมา นางคลุกคลีอยู่กับโรงน้ำชามาเก้าปี ย่อมต้องมีความรู้ติดตัวอยู่บ้างไม่มากก็น้อย “ชาแต่ละชนิดมักจะต้องอาศัยดินและอากาศที่แตกต่างกัน เหตุใดจึงสามารถปลูกชาได้หลายชนิดหรือเจ้าคะ”

          ซางฉือพยักหน้า ที่อีกฝ่ายกล่าวมานั้นถูกต้อง

“อย่างที่ข้าน้อยเคยเรียนแม่นางตู้ไปแล้วคราหนึ่ง บนเกาะดอกเหมยเพียบพร้อมไปด้วยแร่ธาตุและสมุนไพรล้ำค่า สาเหตุนั้นมาจากดินที่มีคุณภาพและหลากหลาย ก่อนหน้านี้ท่านเจ้าเกาะยังมีการซื้อดินมาจากแคว้นหยาง ขณะที่ช่วงตงเทียนจะมีหิมะตกทั่วเกาะดอกเหมย บนริมสุดเขตทิศตะวันตกกลับไม่ค่อยมีและหนาวน้อยกว่า แถบนั้นจึงเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านพฤกษาและหมู่บ้านต้นข้าว หลังจากทำการค้นคว้าก็ได้ปรับเนื้อที่ส่วนหนึ่งของเกาะให้มีความคล้ายคลึงกับแคว้นหยางมากที่สุด ทั้งนี้ยังมีการขุดร่องระบายน้ำขังจึงสามารถทำให้ดอกโมลี่ฮวาผลิบานได้”

          “วิเศษเหลือเกิน...” ชินอ้ายพิมพำ ความประหลาดใจในน้ำเสียงยากนักที่จะปิดกั้น นึกไม่ถึงว่าเผิงซือเยียนจะสามารถปลูกต้นโมลี่บนเกาะแห่งนี้ได้ นางไม่เคยมีโอกาสพบเห็นต้นจริงๆ มาก่อนด้วยซ้ำ

          แท้จริงแล้วท่านเจ้าเกาะยังมีอีกหลายแง่มุมที่นางไม่เคยรู้ หากมิใช่เพราะเขาพามาที่นี่...นางคงไม่มีโอกาสได้รู้

          “หากแม่นางตู้อยากชมต้นโมลี่ ท่านสามารถเอ่ยปากเรื่องนี้กับท่านเจ้าเกาะได้นะขอรับ”

          เสียงของซางฉือส่งผลให้คู่สนทนายกยิ้มบางเบา ดวงหน้ารูปหัวใจส่ายช้าๆ

          “ท่านซางเจ้าคะ หากเทียบกับงานของท่านเจ้าเกาะแล้ว ปรารถนาของข้าถือเป็นเรื่องเล็กน้อยนัก”



[1]ผลอิงเถา (樱桃) หมายถึง ผลเชอร์รี่

[2]เหอเถา (核桃) หมายถึง วอลนัท

[3]ยามซื่อ หมายถึง เวลา 09.00 – 10.59 น.

[4] 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที

[5]ผู้เฒ่าจันทรา (月下老人) หมายถึง เทพพ่อสื่อ

[6]พระกนิษฐา หมายถึง นิ้วก้อย
 
วันชีซี (七夕)แปลตรงตัวว่า ราตรีแห่งเลขเจ็ด ตรงกับวันที่ 7 เดือน 7 ตามจันทรคติ ตามตำนานรักเจ็ดนางฟ้า คือวันที่นกกระเรียนมาเรียงตัวกันด้วยความสงสาร กลายเป็นสะพานสะพานช้างเผือก ให้หนุ่มเลี้ยงวัว กับ สาวทอผ้า คู่รักที่ถูกพัดพรากให้ข้ามมาพบกันปีละครั้ง วันนี้จึงถือเป็นวันแห่งความรักในวัฒนธรรมจีน [7]

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น