8

บทที่ 8

 

เมฆหมอกคลุมเครือ

 

เริ่มแรกตู้ชินอ้ายเป็นเพียงเด็กน้อยผู้ถูกบุพการีทอดทิ้งที่เมืองหลวง นางเติบโตโดยใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและเชื่อฟังคำสั่งของผู้มีประคุณมาโดยตลอด ไฉนเลยจะคาดคิดว่าความใกล้ชิดกับเผิงซือเยียนกลับทำให้คนผู้หนึ่งกระวนกระวาย จิตใจมิอาจหาความสงบ

เด็กสาวเผลอจ้องร่างของคนเบื้องหน้าพลางครุ่นคิดถึงพี่สาวอยู่นาน ครั้นพอรู้สึกตัวอีกทีก็ต้องเผชิญหน้ากับสายตาอันไม่เป็นมิตรของนายหญิงแห่งเกาะดอกเหมยเข้าเสียแล้ว

ชินอ้ายไม่เคยถูกจ้องมองด้วยสายตาเช่นนี้มาก่อน ดวงตาที่คล้ายคลึงกับผู้มีพระคุณมันยิ่งทำให้รู้สึกย่ำแย่ แต่ถ้านางหลบสายตาก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่านางทำผิดในเรื่องนี้นางเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ ดังนั้นจะก้มหน้าไม่ได้เป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้นางสบตาอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม ทว่าดูทีท่าแล้วมันคงไม่ได้ผลเท่าที่ควรเมื่อชางเลี่ยงหงตวัดใบหน้าไปยังบุตรชาย

“ซือเยียน เจ้าสั่งให้ข้ารับใช้ทั้งหมดหยุดมือหมายความว่าเรื่องที่เขาร่ำลือว่าเจ้าอนุญาตให้พวกนางพำนักที่เกาะดอกเหมยมากกว่าห้าวันเป็นเรื่องจริงเช่นนั้นรึ?”

คำถามนี้ส่งผลให้เด็กสาวเบือนใบหน้าไปยังร่างสูงโปร่ง คาดเดาจากอายุและการเรียกชื่ออันสนิทสนม นางคงไม่พ้นเป็นผู้ใหญ่ของท่านเจ้าเกาะ หากน่าเสียดายยิ่งนักที่ดวงตาของเขาไม่สบมองนางแม้เพียงเศษเสี้ยว ชินอ้ายจึงมิได้รับคำตอบที่เฝ้ารอ

“พวกเจ้าทั้งหมดออกไปก่อน” สีหน้าของเผิงซือเยียนถูกซุกซ่อนอยู่หลังหน้ากาก ทว่าบรรยากาศขุ่นมัวซึ่งโอบล้อมอยู่รอบกายก็ส่งผลให้บ่าวไพร่ทั้งหลายต่างพากันเดินเรียงแถวออกจากเรือนอย่างเร่งรีบ ม่อลี่กับซางฉือต่อหลังสาวใช้ออกมา ชินอ้ายเห็นดังนั้นจึงเตรียมจะถอยออกมาบ้าง...

“เจ้าอยู่ก่อน”

เสียงทุ้มราบเรียบเล่นเอาผู้ที่ยกเท้าไปด้านหลังรีบลากเท้ากลับมาแทบไม่ทัน ม่อลี่ซึ่งอยู่ไกลออกไปพยายามกวักมือเรียกด้วยไม่รู้ความ หากชินอ้ายก็ส่ายหน้าปฏิเสธ ต่อให้นางรู้สึกอึดอัดใจกับการอยู่จุดนี้มากเพียงไร แต่นางก็เชื่อว่าชายหนุ่มย่อมมีเหตุผลที่รั้งนางไว้ หากสามารถเป็นกำลังและช่วยเหลือเขาได้บ้างนางก็ยินดี

ผู้เป็นสหายมองสีหน้ามุ่งมั่นของเด็กสาวก็หยุดฝีเท้าลงครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจแล้วจากไปอย่างเงียบเชียบ ต่อให้นางเป็นห่วง แต่ถ้ามีท่านเจ้าเกาะอยู่ด้วยก็คงไม่เป็นไร

“ซือเยียน เจ้าเป็นผู้ตั้งกฎ เรื่องนี้บ่าวไพร่ทั้งหลายต่างรู้เห็น...เจ้าจะตระบัดสัตย์ไม่ได้” ครั้นปราศจากบ่าวไพร่ทั้งหลาย การวางตัวดังนางพญาผู้สูงส่งของชางเลี่ยงหงก็เบาบางลง น้ำเสียงยามเอื้อนเอ่ยกับบุตรชายแตกต่างจากเมื่อครู่นี้โดยสิ้นเชิง  

“พวกนางทั้งสองมิใช่คนนอก”

“ซือเยียน” สตรีวัยกลางคนส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “ปกติเจ้าไม่ใช่คนไร้เหตุผล”

“ท่านแม่ ข้าเองก็กำลังใช้เหตุผลพูดคุยกับท่าน”

“จะไม่ใช่คนนอกได้อย่างไร ข้าไม่ได้เลี้ยงดูให้เจ้าเป็นคนพูดจาเหลวไหล อายุเจ้าก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว”

การโต้เถียงด้วยน้ำเสียงตึงเครียดระหว่างคนในอาภรณ์สีดำส่งผลให้ชินอ้ายเข้าใจในที่สุด แท้จริงแล้วนางคือมารดาของท่านเจ้าเกาะ หากมิทันไรผู้ที่กำลังยืนก้มหน้าฟังเงียบๆ ก็สะดุ้งตัวเมื่อชื่อของนางกลับปรากฏขึ้นในบทสนทนาดังกล่าว

“ตู้ชินอ้ายคือเจ้าสาวของข้า”

แต่เดิมที่เป็นเพียงการพูดคุยกันอย่างอะลุ่มอล่วยพลันเดือดพล่าน สีหน้าของผู้เป็นมารดาดำทะมึนขึ้นจนน่ากลัว ทั้งตกใจและโมโหในคราเดียวกัน

เรื่องนี้อย่าว่าแต่ชางเลี่ยงหงเลยที่ตกใจ แม้กระทั่งชินอ้ายเองยังแหงนมองร่างสูงโปร่ง ใบหน้าเล็กร้อนวูบอย่างไม่อาจควบคุม นึกไม่ถึงว่าเผิงซือเยียนจะกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าบุพการี

เจ้าของร่างเล็กนิ่งค้างเมื่อชายหนุ่มเบือนสายตากลับมาที่ตน แม้สิ่งที่กล่าวออกมาจะกะทันหันแต่แววตาอันพร่างพรายสว่างไสวของเขากลับมั่นคงจริงจัง ผู้มองสบร่างสั่นสะท้าน ความร้อนผ่าวที่ขอบตาหลั่งความชื้นระรื่นออกมาอย่างไม่อาจควบคุม

ความรู้สึกตื้นตันเหล่านี้คืออะไรกันนะ...เหตุใดนางจึงรู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอกอย่างแสนสาหัส ขณะเดียวกันกลับสุขล้นจนมิอาจบรรยายเป็นคำพูด

มันเป็นเพราะนางรู้สึกสมหวังที่กำลังจะทำให้ปรารถนาของพี่สาวเป็นจริง หรือเป็นเพราะความยินดีด้วยสาเหตุอื่นกันแน่

“ข้าไม่อนุญาต! ” การยืนกรานอันหนักแน่นปลุกคนทั้งสองให้หลุดออกจากห้วงภวังค์ ระดับความรู้สึกของชินอ้ายที่เคยล่องลอยอยู่บนกลีบเมฆดำดิ่งลงอย่างรวดเร็ว นางเจ็บจนชาไปทั่วร่างจนกระทั่งประโยคถัดมาส่งผลให้ท่าทีของเด็กสาวเริ่มแปรเปลี่ยน

“เจ้าไม่เคยเห็นใบหน้าค่าตาของบุตรชายข้าเลยสักครั้งแล้วจะมาพูดถึงเรื่องการแต่งงาน เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเจ้ารึ” นายหญิงแห่งเกาะดอกเหมยยกมือกอดอก ความไม่ถูกชะตาในทีแรกมีส่วนมาจากสหายของเด็กสาวผู้นี้ก็จริงอยู่ ทว่าพอบุตรชายกล่าวว่าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้นี้จะเป็นเจ้าสาวของเขา ความอคติก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ

“หากภายภาคหน้าเจ้าเห็นหน้าของซือเยียนแล้วตกใจเตลิดหนีไป เรื่องนี้ไม่เท่ากับว่าข้าบกพร่องในการเป็นมารดา ชักนำให้ซือเยียนต้องเจ็บช้ำแล้วยังต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน กลายเป็นที่อับอายต่อผู้คนหรอกหรือ!” วาจาเสียดสีทิ่มแทงมากขึ้นอย่างไม่ยั้งมิตรไว้ไมตรี

ไม่รู้ว่านางรู้วิชาไสยศาสตร์มนดำหรืออย่างไรจึงทำให้เผิงซือเยียนกล่าวคำพูดเช่นนั้นออกมาได้ แม้หน้าตาจะใสซื่อ หากก็ไม่ได้หมายความว่าจิตใจของนางจะเหมือนกัน หากนางเป็นดั่งงูพิษเล่า...สตรีเยี่ยงนี้นับว่าอันตรายยิ่ง!

“เหตุใด...” ชินอ้ายกล่าวได้เพียงเท่านั้นก่อนที่ริมฝีปากจะปิดสนิท

“เงียบอยู่ทำไม ไม่มีสิ่งใดจะพูดรึ!”บนใบหน้าของสตรีวัยกลางคนปรากฏรอยยิ้มแห่งชัยชนะ คาดคิดว่าอีกฝ่ายคงเกรงกลัวตนจนมีสภาพน้ำท่วมปาก ชางเลี่ยงหงได้ทีขี่แพะไล่ “หรือที่เจ้าพูดไม่ออกก็เพราะยอมรับว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง”

“ข้า...” คำพูดที่เหลือถูกกลืนลงคอเมื่อเห็นว่านางไม่ควรกล่าวสิ่งที่คิดไปเมื่อครู่ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วนางอยากจะถามเหลือเกินว่าเหตุใดมารดาของท่านเจ้าเกาะจึงได้ตีค่าบุตรชายของตนต่ำถึงเพียงนั้น

“ใช่เจ้าค่ะ...ข้าอาจจะไม่รู้จักท่านเจ้าเกาะดีพอ” ชินอ้ายเลียริมฝีปากเพื่อลดความประหม่า ตัดสินใจเรียบเรียงคำพูดใหม่ในใจ “ใบหน้าที่แท้จริงก็ไม่เคยมีโอกาสได้เห็น แต่...” นางสูดหายใจเข้าลึก รวบรวมความกล้าทั้งหมด สิ่งที่พูดนั้นมิใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อบุรุษข้างกายซึ่งตั้งใจทำงาน ช่วยเหลือชาวบ้านอย่างสุดความสามารถที่นางได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองต่างหาก

“แต่ข้าอยากเรียนฮูหยิน ไม่ว่าจะเป็นสตรีใดก็ตาม...หากพวกเขาได้ใช้เวลาอยู่กับท่านเจ้าเกาะเพียงเวลาไม่กี่วันย่อมต้องรู้ว่าท่านเจ้าเกาะเป็นคนจิตใจดี อ่อนโยน ขยันขันแข็งและเป็นที่รักของชาวเกาะดอกเหมยมากเพียงไร”

คำพูดอันซื่อตรงส่งผลให้ผู้ที่กำลังเดือดดาลชะงักอย่างคาดไม่ถึงเด็กผู้นี้ไม่เพียงไม่หวั่นไหวต่อคำข่มขู่ หากยังชื่นชมปกป้องอย่างตรงไปตรงมาจนนางไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะทำสิ่งใดกันแน่

รับมือยาก...รับมือยากยิ่งแล้ว

ชางเลี่ยงหงเว้นจังหวะเพื่อขบคิด มิทันไรก็ตั้งสติได้

“หึ...คำพูดของเจ้าช่างสวยหรูน่าสรรเสริญ บิดามารดาช่างสั่งสอนมาดี...”

มือบางของร่างเล็กเผลอกำแน่นขึ้นอย่างลืมตัว มิทันรอฟังอีกฝ่ายกล่าวจบประโยคก็ค้อมศีรษะลงต่ำมากยิ่งขึ้น ไม่แยแสเรือนผมยาวที่เปรอะเปื้อนละอองฝุ่นจากพื้นเบื้องล่าง น้ำเสียงหนักแน่นไร้ความสั่นไหว

“เพราะฉะนั้น...ฮูหยินเจ้าคะ ข้าขอร้อง ท่านได้โปรดอย่ากล่าวคำที่จะทำร้ายจิตใจของท่านเจ้าเกาะไปมากกว่านี้เลยเจ้าค่ะ”

ถ้าจะถามว่านางสะเทือนใจกับคำพูดประชดประชันของอีกฝ่ายหรือไม่ นางคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไม่รู้สึก แต่สิ่งที่นางตระหนักได้มากกว่า คือการที่ไม่อยากให้สองแม่ลูกผู้มีโอกาสได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาสร้างรอยบาดแผลให้กันและกันไปมากกว่านี้

แม้นายหญิงแห่งเกาะดอกเหมยไม่กล่าวสิ่งใดอีก นางก็ยังไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมา “หากข้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฮูหยินและท่านเจ้าเกาะผิดใจกัน ข้ากับสหายก็เต็มใจที่จะกลับเมืองหลวงเจ้าค่ะ”

“ไม่ให้กลับ!” ระดับเสียงที่เข้มขึ้นจนแทบจะเรียกได้ว่าตะโกนส่งผลให้ร่างเล็กสะดุ้งเป็นคราที่สอง กลิ่นอายรอบตัวชายหนุ่มน่ากลัวกว่าคราที่ม่อลี่ตะโกนบอกว่าจะพานางออกจากเกาะเสียอีก

ฝ่ายสตรีผู้สูงศักดิ์เองก็ตกใจที่บุตรชายเป็นเช่นนี้ เผิงซือเยียนมักจะกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มอยู่เสมอจนนางแทบจำไม่ได้ว่าเขาโกรธเคืองเช่นนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไร

ภาพความทรงจำบางอย่างผุดขึ้นมาในความทรงจำ ความเจ็บปวดในวันนี้บาดจิตใจของผู้เป็นแม่จนร้าวราน ท้ายที่สุดนางจึงเลือกที่จะสลัดมันออกไป พยายามจะไม่หวนนึกถึงมันขึ้นมาอีก

“ท่านแม่ เราไปคุยกันที่อื่นเถิด” เสียงของบุรุษผู้สวมหน้ากากกลับมาเป็นเช่นเดิมยามเมื่อเอ่ยกับมารดา

“ได้ เรื่องนี้ข้าเองย่อมมิอาจปล่อยปละไปโดยง่าย จำต้องคุยกับเจ้าให้รู้เรื่อง” ร่างระหงกล่าวจบก็สาวเท้าเดินนำไปเป็นคนแรก ชินอ้ายยังคงก้มหน้านิ่งเพื่อรอฟังเสียงฝีเท้าของคนข้างกายเดินจากไป

แต่เท้าของเขากลับยังไม่เคลื่อนไหว...

สัมผัสที่วางลงบนไหล่บางเต็มไปด้วยความอ่อนโยนดังเช่นที่ผ่านมา หากในเวลาเดียวกันมันกลับดูบอบบางแตกต่างจากที่เคย เด็กสาวเกร็งตัวเล็กน้อยเมื่อรับรู้ได้ว่าชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงมาใกล้พร้อมกับกระซิบลงข้างใบหูเล็ก

“เจ้ากับม่อลี่รออยู่ที่นี่ จนกว่าซางฉือจะมาพบก็ห้ามออกไปไหนทั้งนั้น...เข้าใจหรือไม่”

ลมหายใจร้อนผ่าววนเวียนอยู่ข้างใบหูและแก้มนุ่ม ผู้ที่ไม่คุ้นชินครุ่นคิดสิ่งใดไม่ออกนอกจากตอบรับอย่างว่าง่าย

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”

คามอุ่นร้อนจากมือใหญ่แทรกซึมผ่านผ้าผืนหนามายังผิวกายบาง ตราตรึงอยู่เช่นนั้นแม้ว่าร่างของเขาได้จากไปพร้อมกับนายหญิงแห่งเกาะดอกเหมย

ครั้นเห็นว่านายทั้งสองออกจากเรือนไปแล้ว ซางฉือกับสาวใช้คนอื่นๆ จึงแยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของตน จะมีก็เพียงม่อลี่ซึ่งมีเสื้อคลุมห่มทับอีกชั้นที่รีบสาวเท้ากลับเข้ามาด้านใน อากาศหนาวเย็นทำให้กายของนางเริ่มสั่นระริก หากพอได้เห็นใบหน้าของสหายที่ยืนเหม่ออยู่หน้าเรือนก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

“ชินอ้าย นางรังแกเจ้าหรือไม่ แล้วท่านเจ้าเกาะปกป้องเจ้าบ้างไหม”

ดรุณีน้อยได้สติก็รีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ฮูหยินมิได้รังแกข้าหรอก”

“โกหก! หน้าเจ้าแดงถึงเพียงนี้...คงเป็นเพราะโมโหไม่ต่างจากข้าก่อนหน้านี้ แค่กๆ ”

อาการที่ดูท่าจะทรุดหนักลงส่งผลให้ชินอ้ายประคองร่างของม่อลี่เข้าไปในเรือน ทันทีที่ร่างอันปวกเปียกถูกส่งถึงเตียงนอนก็เอื้อมมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของตนเอง พบว่ามันยังคงร้อนผ่าวอยู่เช่นนั้น

ท่านเจ้าเกาะยืนกรานจะให้นางอยู่ที่นี่ต่อ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว...

ร่างเล็กในชุดสีแดงเคลื่อนมือทาบลงบนอก ปลายนิ้วที่สัมผัสโดนบางสิ่งซึ่งซุกซ่อนอยู่ด้านในส่งผลให้เจ้าตัวสอดมือเข้าไปด้านใน เมื่อดึงมือออกมาก็เผยให้เห็นถุงผ้าสีน้ำตาลขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ เมื่อตรวจสอบของด้านในแล้วพบว่ามันมิได้สึกหรอก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เป็นเพราะนางเกรงว่าดอกเหมยแดงที่ท่านเจ้าเกาะมอบให้จะหล่นหาย ฮูหยินเกาจึงมอบถุงผ้านี้เพื่อให้เก็บรักษาของดังกล่าว

ชินอ้ายตรงไปยังเตียงนอนของตนซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้ววางถุงผ้าไว้ข้างหมอน ก่อนจะรีบหันหน้าไปยังอีกฟากหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงแหลมอันแหบพร่า

“ชินอ้าย...อย่าติดไข้ข้าเชียวนะ มัน...ทรมานมาก” ม่อลี่เอ่ยอย่างงัวเงียคล้ายคนละเมอ ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปอีกครา

ผู้ที่หลับใหลไปด้วยพิษไข้คงไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้เลยว่า สาเหตุที่ใบหน้าของนางเป็นเช่นนี้หาได้เกิดจากอารมณ์ฉุนเฉียวหรือการป่วยเป็นไข้ไม่...

ผู้คิดล้มตัวลงนอนบนเตียงบ้าง เมื่อวานนางทั้งเดินทางและสำรวจหมู่บ้านใบชาแทบตลอดทั้งวัน ด้วยไม่คุ้นชินกับการใช้กำลังเป็นเวลานานจึงปวดเมื่อยไปตามตัว แม้เมื่อคืนจะนอนหลับแต่หัวค่ำหากก็ยังหลงเหลือความเหนื่อยล้าอยู่ไม่น้อย

‘พี่สาวมีความสัมพันธ์อันใดกับฮูหยินหรือไม่กันนะ...’

ร่างเล็กครุ่นคิดอย่างสงสัย ก่อนจะผลอยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

 

ภายในเรือนของท่านเจ้าเกาะบัดนี้มีเพียงเผิงซือเยียนกับชางเลี่ยงหง บ่าวไพร่ได้รับคำสั่งให้ออกไปรออยู่ด้านนอก คาดว่าการพูดคุยระหว่างนายทั้งสองคงใช้เวลานานพอสมควร

ผู้เป็นมารดากวาดตามองห้องทำงานกว้างที่เต็มไปด้วยตำราและเอกสารอยู่ครู่หนึ่ง สังเกตเห็นว่าบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่มีม้วนกระดาษและหนังสือสัญญามากมายซึ่งเหลือทิ้งค้างไว้ ก่อนที่เผิงซือเยียนจะผายมือให้มารดานั่งลงบนตั้งสำหรับรับแขก โต๊ะเตี้ยที่วางกั้นเตรียมชาไว้พร้อมแล้ว

“ท่านแม่ เชิญดื่มชา”

สตรีวัยกลางคนใจเย็นลงบ้างแล้ว ขณะที่วางถ้วยชาลงบนโต๊ะก็ทอดมองไปยังหน้ากากอันแสนน่ากลัว ในดวงตาเกิดประกายสั่นไหว

“แม้กระทั่งยามที่เราอยู่กันตามลำพังสองแม่ลูก เจ้าก็ยังไม่คิดจะถอดหน้ากากนั่นออก”

“ข้ายังไม่พร้อม” บุตรชายตอบเพียงเท่านั้น

“ซือเยียน...เจ้าคิดว่าจิตใจของคนเป็นแม่ที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตาลูกมาสี่ปีจะรู้สึกเช่นไร” น้ำเสียงของจางเลี่ยงหงเจือความโศกเศร้าอย่างแสนสาหัส “หรือเจ้ายังเคืองใจแม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น?”

          ร่างสูงโปร่งยังคงนิ่งเฉยไม่ขยับเขยื้อน ใบหน้าที่ถูกปิดกั้นเอาไว้ยากเย็นหยั่งถึง

“เรื่องมันผ่านไปนานมากแล้ว แต่ถึงอย่างไรแม่ก็อยากให้เจ้ารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่ทำลงไปก็เพื่อ...”

“ท่านแม่ เราไม่ได้มาเพื่อคุยเรื่องนี้” ชายหนุ่มหยิบกาน้ำชาขึ้นมารินใส่ถ้วยของอีกฝ่ายเพิ่ม “ข้าให้เกียรติโดยไม่เอ่ยแย้งกับท่านต่อหน้าบ่าวไพร่ ตู้ชินอ้ายเองก็ปล่อยให้ท่านว่ากล่าวเสียหายโดยมิตอบโต้ ท่านก็ควรจะให้เกียรติข้าในฐานะเจ้าเกาะ ให้เกียรติตู้ชินอ้ายในฐานะแขกของข้าบ้าง”

“ก็เพราะเจ้าเล่นประชดออกมาเช่นนั้น ข้าจึงได้โกรธ”

“ข้าไม่เคยเก็บเรื่องใดมาขุ่นเคืองในตัวท่าน ข้ารู้ดีว่าท่านหวังดีกับข้าเสมอ” เผิงซือเยียนวางกาน้ำชาลงบนถาดไม้ น้ำเสียงนุ่มลึกยิ่ง “แต่การที่ท่านตัดสินตู้ชินอ้ายโดยที่ยังไม่รู้จักนางดีพอ คงยากนักที่จะเรียกได้ว่ายุติธรรม”

สีหน้าของผู้ฟังที่เริ่มสงบลงแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง เผิงซือเยียนกล่าวเช่นนี้คงมิได้หมายความว่า...

“ซือเยียน...อย่าบอกนะว่าเจ้าจริงจังกับนาง?”

“ท่านน่าจะรู้ดีที่สุดว่าข้าเป็นคนเยี่ยงไร”

          ดวงตาเรียวหงส์สบตาบุตรชาย ดวงตาสีเข้มคู่นั้นงดงามคล้ายคลึงกับตน แต่ที่มากกว่าคือประกายมุ่งมั่นแน่วแน่ดังเช่นบิดาผู้ล่วงลับ พริบตาหนึ่งที่หญิงวัยกลางคนเผยความเจ็บปวดและแสนคะนึงหา การมองตาของซือเยียนหวนให้นึกถึงใครบางคนที่นางคงไม่มีโอกาสได้พบหน้าอีกแล้ว

          ผู้เป็นมารดาเก็บสายตากลับ นางเป็นผู้บอกอีกฝ่ายเองแท้ๆ ว่าให้ลืมเรื่องราวในอดีต สุดท้ายกลับเป็นตนเองต่างหากที่มิอาจปล่อยวาง ตำแหน่งของท่านเจ้าเกาะหรือนายหญิงของเกาะแห่งนี้...ใช่ว่านึกอยากจะเป็นก็เป็นได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถปล่อยปละละเลย เอาหูไปนาเอาตาไปไร่

“เจ้าหาว่าข้าไม่รู้จักนางดีพอ เจ้าเองก็เพิ่งจะได้พบนางแค่ห้าวัน! หรือเจ้าจะบอกว่าระยะเวลาอันแสนสั้นก็สามารถตัดสินได้แล้วรึว่านาง ‘คู่ควร’ ” สีหน้าผู้กล่าวเจือความดูแคลนอย่างเปิดเผย

“ข้ารู้จักนางมานาน...นานมากกว่าที่ท่านคิดไว้มากนัก” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเองก่อนจะพูดดังขึ้น “ท่านแม่ ผู้ที่จะแต่งงานกับนางเป็นข้า...มิใช่ท่าน”

“ถูกต้อง ผู้ที่จะแต่งงานกับนางเป็นเจ้า แต่ซือเยียน เจ้าอย่าลืมสิว่าเจ้าเป็นใคร มีฐานะเป็นถึงเจ้าเกาะดอกเหมย เรื่องของเจ้าไม่ใช่เพียงเรื่องส่วนตัว แต่เป็นของส่วนรวม” นางถอนหายใจด้วยความผิดหวัง

หลายปีมานี้นางไม่เคยยกเรื่องการแต่งงานกับบุตรชายด้วยเหตุผลที่เขาสวมหน้ากากน่ากลัวนี้อยู่ตลอดเวลา เผิงซือเยียนทำหน้าที่ของท่านเจ้าเกาะอย่างสมบูรณ์แบบมาโดยตลอด นึกไม่ถึงว่านางกับบุตรชายจะต้องมาโต้เถียงกันด้วยเรื่องนี้

ชายหนุ่มจริงจังกับนางถึงเพียงนี้ แล้วอีกฝ่ายเล่า...มีความรู้สึกให้บุตรชายนางถึงเศษเสี้ยวหนึ่งของเขาบ้างหรือไม่

“บนเกาะดอกเหมยมีสาวงามเพียบพร้อมมากมาย เหตุใดจึงต้องเลือกเด็กสาวต่างถิ่นผู้นั้น”

“เรื่องความรู้สึก...จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรือ”

“เจ้า...”

“สิ่งใดคือความงดงาม สิ่งใดคือความเพียบพร้อมท่านแม่...ความงาม สักวันก็ต้องร่วงโรย ความเพียบพร้อม สักวันย่อมมีวันพลาดพลั้ง”

สิ่งที่เขาต้องการมิใช่สตรีผู้วิเศษเลิศเลอ หากแต่เป็นสตรีที่ทำให้เขารู้สึกว่าอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับนาง ครองคู่จนผมเผ้าหงอกขาว เดินจูงมือชมดอกเหมยผลิบานในฤดูหนาว นั่งเคียงคู่ชมน้ำตกในฤดูใบไม้ผลิ ร่วมชมท้องทะเลในฤดูร้อน อิงแอบแนบชิดชมจันทราในฤดูใบไม้ร่วงก็เท่านั้น 

และผู้ที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนั้นได้คือดรุณีน้อยนาม ‘ตู้ชินอ้าย’

เพียงปรารถนาจะมีนางอยู่ข้างกาย...เหตุใดจึงยากเย็นนัก

นัยน์ตาคู่งามซึ่งทอประกายเริ่มหม่นหมอง เรื่องนี้ย่อมไม่รอดพ้นสายตาของชางเลี่ยงหงไปได้

“ยะ...อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ของเจ้า ข้าก็มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจว่าสตรีใดคู่ควรหรือไม่คู่ควร ปมหลังที่มาของเด็กคนนั้นก็ยังไม่กระจ่าง มิหนำซ้ำนางยังเป็นเพียงดรุณีน้อยที่ยังไม่ผ่านวัยปักปิ่น” นายหญิงแห่งเกาะดอกเหมยยืนขึ้น “แต่ในเมื่อเจ้าพูดแทนนางถึงเพียงนี้ คนแก่อย่างข้าจะพูดอันใดได้อีกเล่า”

“พวกนางได้รับสิทธิ์ให้อยู่ต่อไปได้ ข้ายอมถอยเพราะเห็นแก่เจ้า ดังนั้นเรื่องการแต่งงาน...ข้าสัญญาว่าจะไปไตร่ตรองดู” สีหน้าของผู้เป็นมารดาเผยความเหน็ดเหนื่อยอยู่หลายส่วน คงถึงเวลาที่ต้องกลับเรือนเพื่อพักผ่อนเสียที

“นางเป็นเด็กดี หากท่านแม่ให้โอกาสนางสักครั้ง ข้าเชื่อว่าท่านจะไม่ผิดหวัง” ท่านเจ้าเกาะลุกยืนเช่นเดียวกัน ซุกซ่อนความคิดบางอย่างในใจไว้อย่างเงียบงัน

ความห่วงใยระหว่างมารดาและบุตรเป็นเรื่องปกติ แต่ที่การอีกฝ่ายแสดงออกมาอย่างรุนแรงเช่นนี้คงเป็นเพราะต้องการเยียวยาสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยสูญเสียไป เรื่องนี้เขาเองก็รู้สึกผิดจึงไม่อยากขัดใจนางมากเกินไปนัก

“ฮึ...ย่อมได้ แต่เจ้าต้องรับปากว่าจะเคารพในการตัดสินใจของข้าเช่นกัน ตกลงหรือไม่”

“เรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของท่านแม่” อีกฝ่ายแบ่งรับแบ่งสู้

“ดี แล้วเจ้าจะได้รู้”

อาภรณ์สีรัตติกาลสะบัดพลิ้วเมื่อสตรีวัยกลางคนหมุนกายหันหลัง ชายหนุ่มตรงเข้าไปช่วยประคองแขนบาง แต่เพียงไม่นานชางเลี่ยงหงก็หยุดเดินเมื่อนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ “ไว้อีกประเดี๋ยวแม่จะสั่งให้สาวใช้นำน้ำขิงมาให้เจ้า รีบดื่มก่อนที่มันจะเย็น จะได้ช่วยอบอุ่นร่างกาย”

ความห่วงใยของนางส่งผลให้บรรยากาศรอบกายบุรุษผู้สวมหน้ากากผ่อนคลายลง “ขอรับ ท่านแม่ ข้าจะเดินไปส่งท่านที่เรือนเคียงวารี”

“ไม่ต้องหรอก สาวใช้รออยู่ด้านนอกตั้งมากมาย เจ้ามีงานต้องทำก็ไปทำเถิด”

“เช่นนั้นข้าขอส่งท่านที่หน้าเรือน”

นายหญิงแห่งเกาะดอกเหมยพยักหน้าอย่างว่าง่าย สองแม่ลูกเดินเคียงข้างกันโดยปราศจากบทสนทนาใดๆ เพิ่มเติม

ชางเลี่ยงหงรู้ดีว่า หากนางยังดึงดันที่จะส่งสตรีทั้งสองนางกลับไปคงไม่แคล้วได้สร้างความหมางใจกับบุตรชายเป็นแน่ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะยกเลิกความตั้งใจดังกล่าว
เผิงซือเยียนไม่ชมชอบการถูกบังคับจึงไม่อาจใช้ไม้แข็ง หนทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น ย่อมมีนับหมื่นพันวิธีการ... 
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น