9

บทที่ 9


 

วาโยเคลื่อนคล้อย ท้องฟ้าเปลี่ยนสี

ก๊อก...ก๊อก

เสียงเคาะประตูจากด้านนอกแผ่วเบานัก แต่มันก็ดังพอสำหรับผู้ที่ฝึกฝนวรยุทธ์มาในระดับหนึ่ง ผู้ที่เพิ่งเสร็จสิ้นจากการเขียนบันทึกหลังทำงานเงยหน้าขึ้นจากสมุดเบื้องหน้า ครั้นแลเห็นเทียนไขที่หลอมละลายไปมากกว่าแปดส่วนก็เกิดความสงสัยขึ้นในใจ

ดึกดื่นป่านนี้ซางฉือน่าจะไปพักผ่อนแล้ว โอกาสที่ท่านแม่หรือสาวใช้อื่นๆ จะมาก็ต่ำยิ่งกว่า

“ท่านเจ้าเกาะเจ้าคะ...” เสียงเล็กๆ ซึ่งแฝงไปด้วยความไม่มั่นใจลอดผ่านเข้ามา หากมันกลับมีอิทธิภพกับผู้เป็นเจ้าเรือนอย่างมหาศาล

เผิงซือเยียนเหยียดกายลุกขึ้น เดินลัดเลอะออกจากส่วนของห้องทำงานมายังโถงใหญ่ จากนั้นจึงเปิดประตูเพื่อต้อนรับแขกผู้มาเยือนในยามค่ำ ทันทีที่เห็นเจ้าของดวงหน้ารูปหัวใจก็เอ่ยทัก “เป็นเจ้าเองหรือ”

“ข้าขออภัยด้วยที่มารบกวนท่านในยามวิกาล” เดิมทีนางมาเพื่อดูให้แน่ใจว่าเขานอนแล้วหรือไม่ แต่เพราะเห็นว่ามีแสงเทียนวูบไหวผ่านบานหน้าต่างจึงได้เคาะประตู “ข้าตั้งใจมาขออภัยท่านที่เสียมารยาทกับท่านเรื่องฮูหยินเจ้าค่ะ”

บุรุษผู้ยังคงสวมใส่หน้ากากพยักหน้าพร้อมกับผายมือมายังเชื้อเชิญ “เข้ามาก่อนสิ”

เด็กสาวในชุดเสื้อคลุมสีแดงสดสาวเท้าเข้ามาด้านในช้าๆ ร่างกายของนางผ่านการตากลมหนาวมาระยะหนึ่ง ครั้นเข้ามาด้านในแล้วจึงรู้สึกอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย ยามที่ทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ก็ได้รับเตาเล็กมาถือไว้ พักหนึ่งผิวพรรณก็เริ่มดูมีเลือดฝาด ท่าทีนิ่งสงบของท่านเจ้าเกาะส่งผลให้สาวน้อยใจชื้นขึ้นมาก

“ข้าทบทวนไตร่ตรองดีแล้ว ในฐานะที่ข้าเพิ่งรู้จักท่านเพียงไม่กี่วันก็ไม่ควรจะพูดจาเช่นนั้นกับมารดาที่เลี้ยงดูท่านมา ค่ำคืนนี้ข้าเห็นว่าดึกมากแล้วจึงมาพบท่านก่อน พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปขอขมาฮูหยินด้วยตนเองเจ้าค่ะ”

ร่างสูงโปร่งทรุดกายลงบนเก้าอี้ตัวถัดไป “เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้นกับท่านแม่”

ชินอ้ายไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ตัดสินใจบอกเขาไปตามตรง “วัยเด็ก...ข้าถูกท่านพ่อและท่านแม่แท้ๆ นำมาขายเป็นทาสในเมืองหลวงเจ้าค่ะ” ดวงตาหวานก้มลงมองของอุ่นร้อนที่กุมอยู่บนตัก สีหน้าเผยความรู้สึกผิด “บางทีอาจเป็นเพราะความเสียใจและน้อยใจต่อบุพการีจึงทำให้ข้าเผลอใช้อารมณ์ส่วนตัวตอบโต้กับฮูหยินไปเช่นนั้น”

ดวงตาของเผิงซือเยียนทอดมองนางอย่างอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น เหตุการณ์ที่ผ่านมานับว่าตู้ชินอ้ายใจร้อนเกินไป แต่นางก็มีเจตนาดีและคิดได้ หากจะว่าไปแล้วมิใช่เพียงแค่นางที่ใจร้อน ตัวเขาในยามนั้นก็เผลอหลงลืมความสุขุมไปครู่หนึ่งเช่นกัน

นึกย้อนไปก็น่าขัน...

“เจ้าได้พบพวกเขาบ้างหรือไม่”

ดวงตาของผู้ถูกถามเริ่มสั่นไหว “ไม่เจ้าค่ะแต่เสี่ยวลี่บอกข้าว่าพวกเขามีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคน”

หลังจากนั้นนางถึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการมาตลอดไม่ใช่บุตรสาว...แต่เป็นบุตรชายที่สามารถสืบทอดวงศ์ตระกูลต่อไปได้ต่างหาก

เผิงซือเยียนหลุบตาลง เห็นใบหน้าเศร้าสลดของเด็กสาวก็รีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ “ท่านแม่ประหลาดใจกับท่าทีของเจ้าไม่น้อย แต่ท่านก็อนุญาตให้เจ้ากับสหายพำนักอยู่ที่นี่ต่อ”

เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมา สิ่งที่ได้ยินถือว่าเกินความหมายเหลือเกิน “เป็นความจริงหรือเจ้าคะ”

ชินอ้ายพยายามกลั้นยิ้ม ในทีแรกพอซางฉือมารายงานว่านางสามารถอยู่บนเกาะดอกเหมยต่อไปได้ นางคิดว่าเป็นคำสั่งของท่านเจ้าเกาะเสียอีก แท้จริงแล้วฮูหยินเป็นผู้อนุญาตด้วยตนเอง เช่นนี้จะไม่ให้นางดีใจได้อย่างไร

“แต่ถึงอย่างไร การไปขอขมาก็ถือเป็นเรื่องที่สมควรทำ”

“เจ้าค่ะ” ร่างเล็กหุบยิ้มก่อนจะก้มหน้าลงตามเดิม แม้จะตั้งใจไว้เช่นนั้นแต่ก็หวั่นใจ ความเข้มงวดเด็ดขาดและท่าทีที่แสดงออกว่าไม่ชอบนางยังคงเด่นชัดอยู่ในความทรงจำ

“ข้าควรจะไปกับเจ้าด้วย”

“มิเป็นไรเจ้าค่ะ” นางปฏิเสธก่อนจะเบนสายตาหลบหลีกความไม่พอใจจากแววตาของเผิงซือเยียน รีบกล่าวขยายความ “สะ...เสี่ยวลี่จะไปกับข้าด้วย”

ผู้ฟังเงียบไปพักหนึ่ง คิ้วที่ซุกซ่อนอยู่ใต้หน้ากากขมวดเข้าหากัน การที่ม่อลี่ไปด้วยกลับดูน่าเป็นห่วงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“เช่นนั้นก็ให้ซางฉือนำทางไปยังเรือนของท่านแม่”

น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาประหนึ่งโอสถล้ำค่าที่ปัดเป่าความทุกข์ของผู้ฟังให้หายไปได้ในพริบตา ชินอ้ายคลี่ยิ้มกว้าง ในใจเบาหวิวโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งถ้อยคำปลอบละโลมใดๆ “ท่านเจ้าเกาะใจดีเหลือเกินเจ้าค่ะ”

คำชมที่คาดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะได้รับดั่งน้ำร้อนที่สาดประโคมใส่เขาเข้าอย่างจัง ใบหูที่มิได้ถูกปกปิดร้อนผ่าวจนย้อมกลายเป็นสีแดง บางครั้งเด็กสาวก็ช่างตรงไปตรงมาจนมิเกรงใจเขาบ้างเสียเลย

ผู้คิดพยายามปรับอารมณ์ให้สงบนิ่งตามเดิม ก่อนจะลอบหัวเราะเสียงแผ่วอย่างนึกขัน ก็มิใช่เพราะความซื่อตรงของนางหรอกหรือที่ทำให้นางน่าเอ็นดู

“ท่านหัวเราะอีกแล้ว...” พอคนหนึ่งหัวเราะ อีกคนก็หัวเราะตามอย่างช่วยไม่ได้

บรรยากาศระหว่างพวกเขานับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ ความสนิทสนมเยี่ยงนี้ถือว่าเป็นความก้าวหน้าที่ดี

“มีอยากขออนุญาตถามไถ่ท่านสักเรื่องหนึ่งได้ไหมเจ้าคะ”

“เรื่องอันใดหรือ”

“ท่านมีพี่สาวหรือน้องสาวบ้างหรือไม่เจ้าคะ”

“มีน้องสาว” ดวงตาของบุรุษผู้สวมหน้ากากลึกล้ำมิอาจคาดเดา ความใกล้ชิดดูเปิดใจเมื่อครู่เปลี่ยนไปอีกครั้ง

“แล้วน้องสาวของท่าน...” ความตื่นเต้นเอ่อท้นล้วนเผยออกมาทางสีหน้าและแววตาของชินอ้ายจนหมดสิ้น แน่นอนว่านางมิทันได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงของชายหนุ่ม “เป็นผู้ที่ส่งข้ามาที่นี่ใช่ไหมเจ้าคะ”

“ข้าเองก็ไม่มั่นใจ...” เผิงซือเยียนมีเจตนาเอ่ยปัดอย่างเห็นได้ชัด ร่างในชุดดำผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ “ดึกมาแล้ว เจ้าเองก็รีบเข้านอนเถิด”

ดรุณีน้อยปรับตัวกับท่าทีของเขาแทบไม่ทัน สีหน้างงงวยสับสน “อา...”

นางเคยลั่นวาจาไว้แล้วว่าอยากเข้าใกล้เขามากขึ้น ที่ผ่านมานางได้เรียนรู้แง่มุมต่างๆ ของเขา ทว่าวันนี้กลับมิอาจเข้าใจได้เลยว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่

‘เหตุใดจึงเลือกตอบอย่างกำกวมเล่าเจ้าคะ...’

นางอยากจะถามออกไปเช่นนั้น ทว่าแววตาของอีกฝ่ายบ่งบอกชัดเจนว่าเขาไม่ต้องการพูดเรื่องนี้ แล้วนางจะกล่าวอันใดได้อีก

“เจ้าค่ะ” ร่างเล็กในชุดสีแดงลุกยืน วางเตาเล็กลงพลางก้มหน้า “เช่นนั้นข้าขอลาเจ้าค่ะ” กล่าวจบก็ก้าวเดินเร็วกว่าปกติจนกระทั่งลับสายตา

ทันทีที่เด็กสาวจากไป ร่างสูงโปร่งที่เคยยืนตรงก็พลันอ่อนแรงขึ้นมา เขาเดินไปทรุดกายลงบนเก้าอี้นอนตัวโปรดเรือนผมดำยาวร่วงปรกพื้นเย็น ภายในเรือนใหญ่เงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมหายใจของตนเอง

หน้ากากหนาซึ่งวาดอักษรด้วยหมึกทองถูกปลดออกอย่างเชื่องช้า ก่อนที่ใบหน้าของเขาจะถูกปิดทับด้วยสองมือใหญ่ของเจ้าตัว ไม่แปลกที่ตู้ชินอ้ายจะอยากรู้ว่า ‘พี่สาว’ เป็นใคร ผู้ที่แปลกคือตัวเขาเองต่างหาก

ชายหนุ่มครุ่นคิดพลางถอนหายใจอย่างอ่อนล้า ใจจริงไม่อยากตัดรอนนางเช่นนั้น แต่ความรู้สึกคันยุบยิบก็สร้างความหงุดหงิดอย่างมิอาจหักห้าม ความขุ่นเคืองในเรื่องไม่เป็นเรื่องนี้ช่างน่าขายหน้าเสียจริง

เผิงซือเยียนตั้งใจจะนอนพักสักงีบแล้วค่อยตื่นมาสะสางงานต่อ ทว่าบางสิ่งก็เข้ามาสั่นคลอนความตั้งใจเดิมจนไม่เหลือชิ้นดี โสตประสาทของเขายังคงสัมผัสได้ถึงตัวตนของนางได้อย่างชัดเจน

ตู้ชินอ้ายยังคงอยู่ที่หน้าเรือน...นางยังไม่จากไปไหน

เขาลุกยืนพลางเดินก้าวไปยืนอยู่หน้าประตูอย่างเงียบเชียบ มือใหญ่เอื้อมออกไปสัมผัสบานประตูที่ปิดสนิท น่าแปลกที่เขารับรู้ถึงความอบอุ่นที่แผ่เข้ามาได้อย่างชัดเจน

 

ด้านหน้าเรือนใหญ่ซึ่งปราศจากบ่าวไพร่ดูโล่งกว้างมีร่างเล็กบางในเสื้อคลุมผืนหนายืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว นางทาบฝ่ามือลงบนบานประตูอย่างเชื่องช้า ความเย็นเฉียบลามเข้าสู่ฝ่ามือพร้อมกับความหนักอึ้งในอก

นางยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่นางตั้งใจมากล่าวกับเขา แต่ยามนี้กลับไม่มีโอกาสเสียแล้ว

เพราะความน้อยใจที่ไม่ควรเกิดขึ้นเป็นดั่งอารมณ์เพียงชั่ววูบ ทำให้นางพลาดสิ่งที่ควรบอกเขามาตั้งแต่ต้น

“ขอบคุณท่านเจ้าเกาะที่ยืนกรานปกป้องข้ากับม่อลี่” นางสูดหายใจเข้าลึก “มันมีความหมายต่อข้ามากเหลือเกิน...ราตรีสวัสดิ์เจ้าคะ”

คำพูดของเด็กสาวแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบของวาตะในยามวิกาล นอกจากจะหนาวเย็นแล้วยังนำพาความหงอยเหงามาด้วย...

ชินอ้ายหันหลังกลับ เตรียมจะมุ่งหน้าไปยังที่พักของตน แต่แล้วจู่ๆ บานประตูที่ปิดอยู่กลับถูกกระชากจนเปิดออก สายลมวูบใหญ่วาดผ่านแผ่นหลังบางจนกระทั่งเด็กสาวรับรู้ถึงบางสิ่งที่ฝังลงบนเรือนผมตน ด้วยความตกใจจึงคิดจะหันกลับไปมอง ทว่าเสียงนุ่มทุ้มที่อู้อี้อยู่ตรงศีรษะของนางกลับร้องห้ามขึ้นมาเสียก่อน

“อย่าหันมา”

ผู้ฟังร่างแข็งทื่อหากอีกฝ่ายเปิดประตูออกมาทันทีเช่นนี้ย่อมหมายความว่าเขาได้ยินสิ่งที่นางพูดออกไปแล้วใช่หรือไม่!

“ทะ...ท่านเจ้าเกาะ” ความอบอุ่นที่ลามจากร่างสูงโปร่งที่ยืนชิดใกล้อยู่ด้านทางหลังส่งผลให้เสียงของนางสั่น ทั้งๆ ที่มั่นใจว่าไม่ส่วนใดที่สัมผัสกันนอกเหนือจากเรือนผม แต่ขาทั้งสองกลับก้าวไม่ออก ราวกับว่าร่างได้ถูกตรึงเอาไว้ด้วยมนต์สะกดยากจะต้านทาน

เผิงซือเยียนแนบใบหน้าซึ่งปราศจากหน้ากากบดบังลงบนเรือนผมยาวสลวย เท้าสองคู่ถูกกั้นไว้ด้วยธรณีประตูเพียงเท่านั้น

ใจหนึ่งก็อยากบอก แต่อีกใจหนึ่งกลับนึกกลัวขึ้นมาอย่างขลาดเขลา...

“เรื่องที่เจ้าพูดว่าเต็มใจไปจากเกาะดอกเหมย...เจ้าหมายความเช่นนั้นจริงหรือ” น้ำเสียงของเขาช่างอ่อนแรงนัก

“ข้า...” ชินอ้ายไม่อาจห้ามเสียงที่สั่นระริก คำตอบยังคงซื่อตรงมิเปลี่ยนแปลง “ข้าไม่อยากเป็นเหตุที่ทำให้ท่านผิดใจกับฮูหยินเจ้าค่ะ”

“เจ้าตอบไม่ตรงคำถาม” ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดบนศีรษะเล็กอย่างหนักหน่วง หัวใจของนางเต้นแรงขึ้นและดังขึ้นเรื่อยๆ “เช่นนั้นหมายความว่าหายกันใช่หรือไม่”

เขาหมายถึงการที่เขาเจตนาตอบเรื่องน้องสาวอย่างกำกวม...

ชินอ้ายนิ่งไปครู่หนึ่ง บางทีเมื่อครู่นี้อาจเป็นนางเองที่ล้ำเส้นมากเกินไป

“เจ้าค่ะ” นางตอบเสียงค่อย หากมิทันไรก็ต้องกลั้นใจอีกครั้งเมื่อเสียงนุ่มทุ้มน่าหลงใหลกระซิบถามต่อ

“ไม่โกรธหรือเคืองใจข้า?”

“มะ...ไม่โกรธหรือเคืองใจเจ้าค่ะ” ครานี้มิใช่แค่เสียงที่สั่น แต่ร่างทั้งร่างของนางแทบกลายเป็นลูกเต๋าที่ถูกเขย่าไปมา

ท่าทีอันไร้เดียงสาให้มือใหญ่เริ่มขยับอย่างเผลอไผล แต่ก่อนที่มันจะรวบดรุณีน้อยเข้ามาสู่อ้อมกอดได้ดังใจหวัง ชายหนุ่มก็ตัดสินใจหยุดมือและดึงแขนทั้งสองลงมาแนบลำตัวตามเดิม

...อยากกอดนาง อยากสัมผัสนางให้มากกว่านี้ แต่สุดท้ายจำต้องข่มความปรารถนาไว้ให้ลึกที่สุด...ด้วยเกรงว่าหากเข้าอย่างฉับพลันจะทำให้กระต่ายน้อยตื่นหนีไป

“แล้วเรื่องการเป็นเจ้าสาวของข้าเล่า...” เรื่องนี้แน่นอนว่าจะรีบร้อนไม่ได้ ทว่าเขาก็ยังอยากที่จะรู้

“ข้าไม่ทราบเจ้าค่ะ” สีผิวของร่างเล็กเกิดการเปลี่ยนแปลงจนกลมกลืนไปกับสีผ้าคลุมที่สวมใส่

“เจ้าไม่รู้จริงๆ น่ะหรือ” เขาเว้นจังหวะ เอ็นดูผู้ที่กำลังเขินอายอย่างเต็มที่ “ตู้ชินอ้าย”

แม้ต่างฝ่ายต่างมิได้บอกความรู้สึกถึงกันก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่พวกเขาต่างมั่นใจว่าความสัมพันธ์นี้ยังคงมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกันก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

“เจ้าคะ” นางส่งเสียงตอบรับตามสัญชาตญาณ ปกติมิอาจสังเกตสีหน้ายังไม่พอ ยามนี้ช่างลำบากยิ่งกว่าเมื่อไม่อาจเห็นแม้กระทั่งสายตาของอีกฝ่าย

ดรุณีน้อยไม่มีทางรู้เลยว่าบัดนี้เผิงซือเยียนหาได้สวมใส่หน้ากากอยู่ไม่...

“รีบโตเร็วๆ เข้าเถิด”

ความอุ่นร้อนที่อังอยู่ใกล้แผ่นหลังจางหายไปพร้อมกับคำพูดสุดท้ายของเขา เสียงปิดประตูแผ่วเบาบ่งบอกว่าการสนทนาในครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว

 

ท้องฟ้าตงเทียนมักจะมีสีเทาหม่น น่าประหลาดใจนักที่วันนี้กลับเป็นสีครามสด บรรยากาศแจ่มใสเช่นนี้นับว่าหาได้ยาก แม้กระทั่งหิมะหรือธารน้ำแข็งยังแลดูอบอุ่นอย่างน่าอัศจรรย์หมู่เมฆเบาบางฟุ้งกระจัดกระจายราวกับช่วงเซี่ยะเทียนก็มิปาน

ชินอ้ายรู้สึกว่ามันแสดงถึงนิมิตรหมายอันดี มั่นใจว่าเรื่องการขอขมานายหญิงแห่งเกาะดอกเหมยย่อมต้องผ่านพ้นไปด้วยดีอย่างแน่นอน

          ม่อลี่ตื่นมาพร้อมกับสภาพร่างกายที่ดีขึ้น แต่เพื่อเป็นการปกป้องการกระทบกระทั่งที่อาจเกิดขึ้นโดยมิยั้งคิด เด็กสาวจึงตัดสินใจโยนหน้าที่การพูดคุยทั้งหมดให้กับชินอ้าย ส่วนนางจะคอยทำตามเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

          เรื่องนี้ซางฉือก็เห็นดีเห็นงามด้วย แม้ตู้ชินอ้ายเป็นคนซื่อตรงแต่ก็รู้จักมารยาท ผิดกับสหายอีกคนที่ขวานผ่าซาก เขาที่คงอกสั่นขวัญแขวนหากนางรับหน้าที่ขอขมานายหญิง หลังจากตระเตรียมน้ำชาสำหรับขอขมาเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามก็มุ่งหน้าไปยังเรือนเคียงวารีทันทีที่ฟ้าสางเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ

          แม้มีคนถึงสามหากกลับไม่มีผู้ใดเอ่ยปาก ม่อลี่วันนี้ดูสงบเสงี่ยมเจียมตัวแถมยังเดินรั้งท้าย ฝ่ายชินอ้ายก็ครุ่นคิดไปถึงคำพูดที่ท่านเจ้าเกาะกล่าวทิ้งท้ายไว้เมื่อคืนก่อน

          หมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าให้นางโต ในสายตาของท่านเจ้าเกาะนางดูเด็กเพียงนั้นเชียวหรือ? เป็นไปได้ว่านางคงถูกเขากลั่นแกล้งเหมือนคราก่อนที่บอกให้นางยั่วยวนเข้าให้อีกแล้ว

ครั้นรู้ตัวว่าถูกแกล้ง แก้มเล็กๆ ก็พองลมขึ้น เผิงซือเยียนช่างไม่ปรานีนางเอาเสียเลย

          “ท่านซางเจ้าคะ” นางเอ่ยเรียกผู้นำทางระหว่างที่เดินลัดเลี้ยวไปตามระเบียงใหญ่

          “ขอรับ แม่นางตู้”

          “ข้าได้ยินมาว่าท่านเจ้าเกาะมีน้องสาว...”

          เท้าที่กำลังก้าวเดินของซางฉือเสียจังหวะไปเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็แสร้งเป็นกลบเกลื่อนเดินต่ออย่างแนบเนียน “ใช่ขอรับ”

          “แล้ว...” เด็กสาวเว้นช่วงพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ นางย่อมอยากรู้ว่าผู้มีพระคุณของตนเองเป็นใคร แต่ดูถ้าหากถามไปตรงๆ ดั่งที่ถามท่านเจ้าเกาะคงมิแคล้วถูกบ่ายเบี่ยง ด้วยเหตุนี้จึงเปลี่ยนคำถามเสียใหม่ “ยามนี้นางอยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ ข้ามาอยู่ที่นี่ก็หลายวันแล้ว ตามความเหมาะสมควรขอเข้าพบนางเช่นเดียวกัน”

          “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” ชายหนุ่มพยักหน้า แววตาหม่นหมองลงเล็กน้อย “น่าเสียดายเหลือเกินที่คุณหนูซือซือออกเรือนไปแล้วขอรับ”

          “ออกเรือน? ”

          “ขอรับ คุณหนูแต่งงานกับคนนอกเกาะเพื่อผูกสัมพันธ์ให้การค้าของตระกูลเผิงมั่นคงขึ้น” เขาเลือกตอบออกมาตามตรง ชินอ้ายได้ฟังแล้วก็รู้สึกสะเทือนใจยิ่งนัก

          สตรีผู้เกิดมาในตระกูลใหญ่ หากคิดทำสิ่งใดย่อมต้องให้ประโยชน์แก่วงศ์ตระกูล ไม่ว่าสิ่งนั้นจะต้องแลกมาด้วยความสุขชั่วชีวิตก็ตาม

          เดิมที...นางก็เดินทางมายังเกาะดอกเหมยก็เพื่อตอบแทนพระคุณเช่นกันมิใช่หรือ?

          หัวคิ้วบนใบหน้าเล็กๆ เริ่มขมวดเข้าหากัน แรกเริ่มเป็นเช่นนั้นก็จริงอยู่ ทว่ายามนี้เล่า...เหตุผลที่นางมุ่งมั่นจะอยู่ต่อยังคงเหมือนเดิมอยู่หรือไม่

          ความสงสัยของดรุณีน้อยก็ต้องหยุดลงเมื่อมาถึงที่หมาย สาวใช้ผู้เฝ้าอยู่หน้าเรือนเบนสายตามองมาที่นางกับม่อลี่อย่างเอื่อยเฉื่อย ครั้นได้รับรายงานจากซางฉือเรื่องขอเข้าพบก็หายเข้าไปด้านใน ฝีเท้าช่างเบาจนไม่ได้ยินเสียงย่ำเดิน

          ชินอ้ายหันไปยังม่อลี่ อีกฝ่ายเองก็สบตานางเช่นเดียวกัน แสงแดดสาดส่องลงมาอย่างอ่อนโยน หลานสาวเจ้าของโรงน้ำชายกนิ้วชี้ขึ้นมาทาบบนริมฝีปากเป็นการยืนยันว่านางจะไม่พูด ท่าทีจริงจังแลดูน่าขันไม่น้อย

          เพียงไม่นานสาวใช้คนเดิมก็ออกมาจากตัวเรือน เด็กสาวทั้งสองจึงหันหน้ากลับไป

          “นายหญิงว่าอย่างไรบ้าง” บ่าวรับใช้หนุ่มเอ่ยถาม

          สาวใช้ดังกล่าวเบือนสายตาไปยังดรุณีทั้งสอง เอ่ยตอบนิ่งๆ “นายหญิงรู้สึกไม่ค่อยสบาย ไม่สะดวกให้เข้าพบ”

          ครานี้ท่าทีสงบเสงี่ยมเยือกเย็นดุจน้ำแข็งก้อนใหญ่ของม่อลี่ราวกับถูกเปลวเพลิงขนาดใหญ่หลอมละลายไปในบัดดล “หมายความว่าอย่างไรที่ว่าไม่สะดวก”

“ไม่สะดวกก็คือไม่สะดวก พวกเจ้ากลับไปเถิด นายหญิงต้องการพักผ่อน”

เด็กสาวสาวเท้าเข้าไปใกล้สาวใช้ผู้นั้นด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างที่สุด ทั้งสีหน้าและท่าทางของอีกฝ่ายช่างยั่วยวนโทสะเสียเหลือเกิน “แต่พวกเรา...”

ชินอ้ายที่เพิ่งได้สติรีบรั้งตัวสหายไว้ ชิงพูดกับอีกฝ่ายเสียเอง “เข้าใจแล้ว ฝากท่านเรียนฮูหยินด้วยว่าข้ากับม่อลี่จะมาใหม่อีกครั้ง”

ดรุณีอีกคนส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่สบอารมณ์ จนกระทั่งเลยเที่ยงวัน ซางฉือก็พาพวกนางมายังเรือนเคียงวารีอีกครา

ทว่าคำตอบที่ได้รับจากสาวใช้ดูไม่ต่างจากเดิมเท่าไรนัก...

“นายหญิงเพิ่งดื่มโอสถไปเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน ยามนี้นอนหลับไปแล้ว”

“ขอบคุณท่านมาก พวกเราจะมาใหม่เจ้าค่ะ” ชินอ้ายลูบแผ่นหลังของผู้ที่ใกล้จะกลายสภาพเป็นภูเขาไฟลูกใหญ่ก่อนจะพากันกลับเรือน

“ท่านซาง ขอบคุณท่านมาก ข้ากับเสี่ยวลี่จำทางได้แล้ว ไว้ข้ากับนางจะไปที่เรือนเคียงวารีนี้เองเจ้าค่ะ” ชินอ้ายรู้สึกเกรงใจบ่าวหนุ่มอยู่ไม่น้อย

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกแม่นางตู้ เรื่องนี้เป็นคำสั่งของท่านเจ้าเกาะ” ซางฉือมีสีหน้าหนักใจ เขาเป็นตัวแทนท่านเจ้าเกาะไปขอเข้าพบพร้อมกับพวกนางแท้ๆ แต่นายหญิงกลับไม่ให้หน้าบุตรชายเลยแม้แต่น้อย หากหลังจากนี้ตู้ชินอ้ายกับม่อลี่ไปเองแล้วไซร้ ก็ยากจะคาดเดาว่าผลที่ออกมาจะเป็นเช่นไร

“ท่านซาง” นางส่ายหน้าน้อยๆ “ไม่เป็นไรจริงๆ เจ้าค่ะ”

เขามองสีหน้ารู้สึกผิดของชินอ้ายและสีหน้าหงุดหงิดของม่อลี่สลับกันไปมา ก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างสุภาพอ่อนน้อมดังเคย “ไว้พรุ่งนี้เช้า ข้าน้อยจะมาใหม่ขอรับ”

หลังมื้อเย็น ร่างเล็กก็ตั้งใจจะไปขอขมาชางเลี่ยงหงอีกหนหนึ่ง ผิดกับสหายผู้มีใบหน้าหงิกงอที่ไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย

“ชินอ้าย ดูก็รู้ว่าชางเลี่ยงหงไม่อยากพบพวกเรา เหตุใดจึงต้องดื้อด้านขอเข้าพบให้เสียศักดิ์ศรีด้วยเล่า” ผู้ที่นอนขุดคู้บนเตียงบ่นอู้อี้ มิหนำซ้ำยังซ่อนตนเองอยู่ใต้ผ้านวมเป็นการประท้วง

“เสี่ยวลี่ เจ้าอย่างอแงสิ” ชินอ้ายทรุดกายลงนั่งข้างๆ ดักแด้ใหญ่ “หากเราพยายามไปเรื่อยๆ เขาย่อมต้องเห็นความจริงใจของเราแน่นอน”

ผู้ฟังถึงกับพ่นลมหายใจ เสียงแหลมสูงขึ้นกว่าเดิม “เจ้าคิดเช่นนั้นรึ!”

“คนเราต้องมีความหวังเสมอ”

“แล้วถ้านางไม่ยอมอีกเล่า”

“ก็ถือเสียว่าได้ไปเดินเล่น” นางคลี่ยิ้มละมุนละไม ในที่สุดม่อลี่ก็ยอมใจอ่อน

“ข้าไปด้วยก็ได้...เห็นแก่เจ้าหรอกนะ”

ชินอ้ายกล่อมสหายให้ไปด้วยกันได้สำเร็จ ทว่าดูท่าวันนี้โชคคงไม่เข้าข้างนาง

“พวกเจ้ามาเสียเที่ยวแล้ว นายหญิงได้รับเทียบเชิญจากหมู่บ้านทอผ้าให้ไปร่วมเปิดโรงเลี้ยงใหม่แห่งใหม่ จากไปเมื่อชั่วยามก่อนนี้เอง”
 
นี่เป็นคำพูดของสาวใช้อีกคนซึ่งเปลี่ยนเวรยามเฝ้าในช่วงเย็น และหลังจากนั้นดรุณีทั้งสองก็ได้ฟังคำพูดที่เชิงทำนองเดียวในติดต่อกันไปกว่าสามวันสามคืน 
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น