9

คำตอบจากคนสูงวัย 1

9

คำตอบจากคนสูงวัย 1

 

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาพิธานมาทำงานแต่เช้า เผื่อมีโอกาสเจอกับนักศึกษาสาว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พบกัน ตอนแรกพิธานสงสัยว่าจะเกี่ยวกับเรื่องวันนั้นหรือไม่ แต่พอบอดีการ์ดสองคนยังเอาอาหารมาส่งให้ทุกวันไม่ขาด ชายหนุ่มก็ตัดประเด็นนั้นออกไป แต่ไม่วายสงสัยว่า ทำไมสาวเจ้าถึงไม่เอาเสบียงมาส่งด้วยตัวเอง แต่เขาก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากรอถามกับตัวเธอเอง แต่จะได้คุยเมื่อไรนั้น คงต้องรอโอกาสดีๆ เสียก่อน

โอกาสที่ว่านั้นก็ไม่ปล่อยให้เขาต้องรอนานเมื่อพิศพราวเข้ามาเตือนว่าเขาต้องไปพบคนบ้านท่องวัจนะในเย็นวันนี้ ทำให้ชายหนุ่มคิดได้ว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องให้คำตอบแก่เธอ เพราะวันนี้คือวันสุดท้ายที่เธอสอบและจะก้าวสู่โลกของผู้ใหญ่ เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะหันไปหาเลขาฯ ที่ยืนสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ

“ฝากบอกคมให้เอารถออกด้วย เดี๋ยวผมลงไป ขอบคุณมาก คุณพิศ” เจ้านายหนุ่มว่าเสียงนุ่ม แม้เลขาฯ สาวจะได้ยินน้ำเสียงนี้บ่อยๆ แต่เมื่อมันมาพร้อมกับดวงเป็นประกายและมุมปากที่ยกขึ้น ก็ทำให้พิศพราวที่ทำงานมานานรู้สึกเขินจนร้อนไปทั้งตัว เธอตอบอ้อมแอ้มแล้วรีบออกจากห้องไปเพื่อสงบสติอารมณ์

 

“ไปมหา’ลัยนะ” นายออกปากสั่งทันทีที่ปิดประตูรถ คมกฤตพยักหน้ารับพลางซ่อนรอยยิ้ม เขารู้ดีว่าเจ้านายหนุ่มจะไปที่นั่นเพื่ออะไรและอดออกปากแซวไม่ได้

“นายจะไปหาอาจารย์ไพรจิตหรือครับ” คมกฤตพยายามซ่อนยิ้มขณะมองกระจกมองหลัง และเห็นรอยยิ้มของผู้เป็นนายที่จะหันมาตอบคำถามเขา 

แต่พอพิธานเห็นรอยยิ้มล้อเลียนนั้น ก็เปลี่ยนจากคำตอบเป็นคำคาดโทษ

“อยากโดนทำโทษหรือไง ฉันจะได้จัดให้” ชายหนุ่มว่าเสียงเข้ม แต่แววตาไม่ได้แข็งกร้าวตามน้ำเสียง ทำให้คมกฤตยิ้มชอบใจ เพราะแววตาของนายฉายให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอย่างไรก็ไม่โดน เพราะกำลังอารมณ์ดี

 

“พี่ผล พี่ปี กินไรยัง” หญิงสาวที่เพิ่งสอบเสร็จวิชาแรกรีบวิ่งลงจากอาคารสอบ ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นของโปรดอยู่ในมือผล

“โอ๊ย ข้าวเหนียวหมูปิ้งนมสด น่ารักที่สุด” หญิงสาวยิ้มหวานสดใส 

หน่วยอารักขา หรือเรียกอีกอย่างว่าหน่วยคุมประพฤติทราบดีว่า วันนี้เป็นวันที่นายน้อยของพวกเขาเครียดและเป็นกังวลที่สุดในตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเขามั่นใจว่าส่วนหนึ่งมาจากที่วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้าย เปรียบเสมือนวันชี้ชะตาเรื่องการเรียนของนายสาว แต่ความกังวลอีกหนึ่งส่วนซึ่งแสดงออกชัดเจนเวลาคุณหนูนั่งเหม่อลอยหลังจากปิดหนังสือ กลับเป็นความกังวลที่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่าคืออะไร ถามทีไรนายน้อยก็ส่ายหน้าปฏิเสธตลอด และเพื่อปลอบใจนายน้อยด้วยวิธีของเขา สองหนุ่มจึงใช้เวลาว่างที่นั่งรอหญิงสาวทำข้อสอบออกไปหาของโปรดแถวมหา’ลัยมาช่วยเพิ่มกำลังใจให้เมฆานรี

“แล้วตกลง กินไรกันยัง” หญิงสาวถามอีกครั้งหลังจากนั่งลงที่ม้าหินอ่อน ผลกับปีนั่งขนาบข้าง

“ยังเลยครับ พวกผมรอคุณหนูเข้าสอบช่วงบ่ายแล้วค่อยไป” ปีบอกพร้อมรอยยิ้มที่เอ็นดูนายสาวคนนี้ เพราะท่าทางการกินบวกกับอาการตกใจของเธอ

“อ้าว ทำไมไม่ซื้อมากินพร้อมกัน” หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปาก ก่อนจะพยายามเคี้ยวแล้วกลืนข้าวก้อนนี้ลงคอ

“ไม่เป็นไรครับ รอคุณหนูอิ่มก่อน พวกผมค่อยไป” ผลเอ่ยอย่างสุภาพ

“น่าเบื่อจัง อยู่นอกบ้านนะเนี่ย ไม่เห็นต้องถืออะไรขนาดนั้นเลย” หญิงสาวใช้น้ำเสียงสุดเซ็งก่อนส่งข้าวคำต่อไปเข้าปาก แล้วเบิกตาโพลงเหมือนนึกบางอย่างได้

“อื้ม สอบเสร็จเย็นนี้ เมฆจะไปกินข้าวกับเพื่อน พี่ผล พี่ปี จะไปกับเมฆ หรือจะกลับบ้านก่อนคะ” หญิงสาวว่า เธอใช้วิธีการถามคำถามเชิงตัวเลือกมากกว่าที่กล่าวออกไปเป็นคำสั่ง

“พวกผมไปด้วยดีกว่าครับ” ปีพูด ไม่ได้ไม่ไว้ใจอย่างแต่ก่อน เพียงแต่ต้องการไปดูแลนายน้อยเท่านั้น

“งั้นก็ย่อมได้ แต่ว่าพี่สองคนต้องกินข้าวกับเมฆและเพื่อนๆ นะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องไป” หญิงสาวออกคำสั่งทันที เมื่อรู้ว่าตัวเลือกที่ทั้งสองเลือกคืออะไร

“เอ่อ แต่ผมว่ามันจะไม่...” ผลเอ่ย

“ไม่ต้องเลย ก็รู้ว่าเมฆไม่ชอบให้พวกพี่ไปนั่งรอเมฆกินนี่ เมฆนั่งกินสบายใจ พวกพี่หิวตายอย่างตอนนี้ เมฆไม่เอาหรอก” หญิงสาวว่าจบก็ส่งข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก ก่อนจะยกขวดน้ำที่ผลเปิดให้ขึ้นมาดูด แล้ววางลงใกล้ๆ เธอแบมือขอฝาปิดขวดน้ำจากผลมาปิดขวดน้ำ ก่อนจะหย่อนลงกระเป๋าตัวเอง 

“เมฆอิ่มแล้ว เดี๋ยวจะไปอ่านหนังสือกับเพื่อนที่หน้าห้องสอบ ไม่ต้องห่วง บอกแล้วว่าไม่หนี ไปกินข้าวกันเถอะ ถือว่าเมฆขอ” หญิงสาวทำตาละห้อย แล้วมีหรือที่ทั้งสองจะปฏิเสธสายตานั้นของนายน้อยคนนี้ลง

“ได้ครับ แล้วคุณหนูจะสอบเสร็จกี่โมง ผมสองคนจะได้เตรียมรถถูก” พลขับปีเป็นคนถาม

“บ่ายสามน่าจะเสร็จแล้วค่ะ ไม่ต้องรีบ ยังไงก็ต้องรอพวกที่เฝ้าห้องสอบอยู่แล้ว” หญิงสาวว่าจบก็ลุกขึ้นยืนเตรียมจะหมุนตัวออกเพื่อมุ่งหน้าเข้าอาคารเรียน แต่ก็ต้องตกใจเมื่อชายหนุ่มสองคนเรียกเธอพร้อมกันเสียงดัง

“คุณเมฆครับ!” ปีกับผลลุกขึ้นยืน พอดีกับที่นายน้อยหันหน้าไปตามเสียงเรียก

“วิชาสุดท้าย...สู้ๆ นะครับ” วรรคแรกเป็นคำพูดของผล แต่วรรคที่สองเป็นเสียงของทั้งสองหนุ่มประสานกันจนดัง 

นี่ถ้าเธอไม่มัวดีใจยิ้มตาหยีที่มีคนหน้าตาดีมาให้กำลังใจก่อนเข้าห้องสอบ เธอคงยกมือถือถ่ายรูปสองหนุ่มนี่เก็บไว้แน่ๆ เพราะตอนที่พวกเขาบอกว่า ‘สู้ๆ นะครับ’ ปีกับผลไม่ได้เพียงแค่บอก เขายังกำมือและงอแขนขึ้นมาทั้งสองข้าง 

“สู้ๆ ค่ะ” หญิงสาวยิ้มหวานพร้อมกำมือชกไปข้างหน้า แล้วหมุนตัวกลับไปทางเดิมอย่างอารมณ์ดี

เมื่อปีกับผลมองส่งนายน้อยจนหายเข้าไปในตึกเรียบร้อยแล้ว พวกเขาพากันตรงไปที่รถเพื่อออกไปรับประทานอาหารกันสองคน ซึ่งทั้งสองใช้เวลารับประทานเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ก็กลับมานั่งรอคุณหนูของพวกเขาเช่นเดิม

 

สองชั่วโมงที่เมฆานรีนั่งทำข้อสอบผ่านไปอย่างรวดเร็วมากสำหรับเธอ ไม่ใช่อะไรหรอกนะ แต่ข้อสอบมันยากมากเลยต่างหาก จนเธอไม่สามารถบริหารเวลาได้ หญิงสาวเงยหน้าดูเวลาแล้วก็ก้มหน้าทำข้อสอบต่อ แต่ดูเหมือนข้อสอบที่มีอยู่ไม่กี่ข้อก็ไม่กระเตื้องไปไหนเลย 

วิชานี้เป็นวิชาสุดท้ายและเป็นวิชาสุดหินที่รุ่นพี่ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นวิชาปราบเซียน ใครที่ว่าแน่ตกม้าตายมากันหลายรายแล้ว ก่อนหน้านี้หญิงสาวไม่เคยเชื่อ เพราะตอนเรียนอาจารย์ก็ใจดี สอบกลางภาคก็อย่างชิล แต่ตอนนี้เธอเหมือนจะขาดใจตายเพราะข้อสอบที่ยากและเวลาที่จำกัด จนต้องมานั่งถอนหายใจและพยายามปั่นข้อสอบให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“นักศึกษาวางปากกา” อาจารย์คุมห้องสอบประกาศมาจากหน้าห้องเรียน ทำให้นักศึกษาทุกคนโอดครวญไปตามๆ กัน ส่วนเมฆานรีแม้จะไม่โอดครวญเสียงดัง แต่หญิงสาวก็ถึงกับเอาหัวโขกโต๊ะไปหลายทีเบาๆ จนรู้สึกเจ็บ

“โอ๊ย ฉันทำข้อสอบไม่เสร็จ!” เสียงเพื่อนชายหัวใจหญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ก่อนที่เสียงคนอื่นๆ จะตามมา

“ใช่ ฉันก็ด้วย/ใช่ฉันด้วย/โอ๊ย ฉันก็ด้วย!!!” 

“แกล่ะเมฆ ทำได้มั้ย” หญิงสาวคนหนึ่งถามขึ้น เธอตบบ่าเจ้าของชื่อที่เดินทำหน้าละห้อย คอตกอยู่ข้างๆ กัน

“ฉันทำไม่เสร็จ” เมฆานรีโอดครวญอย่างน่าสงสาร จนเพื่อนๆ ต้องเดินเข้ามาปลอบใจเธอ เช่นเดียวกับเธอที่ปลอบเพื่อนๆ ทุกคน

“โอ๊ย หยุดดรามา ทำดีที่สุดแล้ว ตอนนี้ ไปหาอะไรกินกัน ผู้สองคนรออยู่ไม่ใช่หรือ” เพื่อนชายหัวใจสาวเอ่ยขึ้นอย่างมีจริตจะก้าน

“เออใช่ ไปหาไรกินกัน อย่างน้อยก็แก้เครียด ฉลองสอบเสร็จ” เมฆานรีเอ่ยด้วยเสียงเศร้าๆ กลัวไม่ผ่านวิชานี้มาก แล้วความตั้งใจที่จะเรียนจบก่อนจะมีงานแต่งก็จะไม่เป็นจริง 

“ใช่ๆ ไปกันเถอะ” เพื่อนสาวอีกหนึ่งคนว่า สาวๆ กอดคอกันเดินออกไป อย่างน้อยก็แค่อยากให้เพื่อนที่กำลังทำหน้าเศร้าอารมณ์ดีขึ้น

 

เมื่อปีกับผลเห็นว่ามีนักศึกษาทยอยกันออกมา ก็ชะเง้อมองหานายน้อย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มี จึงทำได้เพียงนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อนอีกครั้ง จนกระทั่งได้ยินคำทักทายมาจากด้านหลัง

“ปีกับผลใช่มั้ย” เสียงเข้มแต่สุภาพดังขึ้น ปีหันไปมองก่อนเมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงเอื้อมมือไปสะกิดเพื่อน ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากโต๊ะหินเพื่อไปทำความเคารพคนที่มาใหม่

“สวัสดีครับ คุณพิธาน” ทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกัน หลังจากที่ยกมือไหว้ทักทายเจ้าของชื่อ

“มารอเมฆหรือ” ชายหนุ่มถามก่อนจะมองเลยไหล่ของทั้งสองคนไป

“ใช่ครับ คุณพิธานมาธุระที่นี่หรือครับ” ปีเป็นฝ่ายตอบคำถามอย่างอ่อนน้อม พลางสงสัยในท่าทีและคำถามของชายหนุ่มตรงหน้า 

“ใช่มาธุระ และนี่จะไปไหนกันต่อหรือเปล่า” พิธานถาม ก่อนจะย้ายสายตากลับมายังสองหนุ่มตรงหน้า

“เอ่อ...” ยังไม่ทันที่ปีหรือผลจะตอบ คมกฤตก็เอ่ยขึ้น

“คุณเมฆมาแล้วครับ” คมกฤตผายมือไปทางกลุ่มหญิงสาวที่กำลังเดินมา ที่หนึ่งในนั้นเป็นชายหนุ่ม และดูจะสนิทกับเมฆานรีที่สุดเพราะเดินกอดคอกันมา

สิ้นสุดเสียงของคมกฤต อีกสามคนก็หันไปทางมือที่ผายออก ไม่ผิดแล้ว เมฆานรีกำลังเดินมายังพวกเขา แต่ที่ดูจะผิดตาไปคงเป็นใบหน้าที่มักจะสดใสอยู่ตลอดเวลาหายไป

 

“แกดูนั่นดิ อย่างหล่ออะ” เสียงเพื่อนสาวที่อยู่ขวามือเอ่ยขึ้น ทำให้สาวๆ ที่เหลือมองตาม มีเพียงเมฆานรีเท่านั้นที่ยังคงคอตกอยู่

“อู๊ย เอาซะน้ำเดินเลยแก” เพื่อนชายใจสาวจีบปากจีบคอ จนเพื่อนอีกคนต้องตีแขนเตือน

“แกนี่ น่าเกลียด! เป็นสาวเป็นนาง” เธอพูดขึ้นก่อนจะตั้งคำถาม “แต่ฉันว่าผู้ชายคนนี้หน้าคุ้นๆ นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน” 

“ฉันว่าอย่างกับพระเอกแน่ะ แกว่าเขาจะอายุเท่าไหร่” หญิงสาวคนแรกเอ่ย

“ฉันว่าสามสิบกลางๆ นะ”

“ไม่ๆ ฉันว่าสามสิบปลายๆ นะ กำลังแซ่บเลยอะ!” 

แม้จะได้ยินเพื่อนๆ ถกเถียงกันเรื่องชายหนุ่มที่หล่ออย่างกับพระเอก เมฆานรีก็ไม่ได้ตื่นเต้นตาม แต่คำพูดต่อไปของเพื่อนต่างหากที่ทำให้หญิงสาวฉงนใจ

“เขารู้จักพี่ปีกับพี่ผลของแกด้วยเมฆ เขายืนอยู่ด้วยกัน แกดูสิ” เพื่อนชายใจสาวสะกิดให้เมฆานรีดู เธอจึงเงยหน้าขึ้น

หญิงสาวเห็นชายหนุ่มในชุดสูทสีเทามาดเนี้ยบ ไหล่หนา ใบหน้าเข้มๆ ของเขาดูจริงจังและดุอยู่ตลอดเวลา เพราะทรงผมที่ถูกจัดแต่งอย่างดูดีสมเป็นผู้บริหารกับท่าทางยืนล้วงกระเป๋ากางเกงข้างหนึ่ง อีกทั้งเพราะอยู่ท่ามกลางลูกน้องชายอีกสามคนราวกับหัวหน้ามาเฟียในละครหรือในนิยาย ความเท่ ความดูดี มีเสน่ห์ และความน่าหลงใหลของชายหนุ่มจึงเพิ่มเป็นอย่างมาก มิน่าเล่าเพื่อนๆ ของเธอถึงได้กรีดร้องกันซะหมดกับความเป็นกุลสตรีไทยกันเลยทีเดียว แต่เสน่ห์เหล่านั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งหนึ่งที่เขาส่งมาให้เธอ เมฆานรีรู้สึกว่าโลกของเธอตอนนี้สว่างสดใสขึ้นหลังจากที่เมื่อกี้เต็มไปด้วยความหม่นหมอง นั่นก็คือ รอยยิ้มที่แสนอบอุ่น

“แก เขายิ้มมาทางนี้ด้วย” เพื่อนชายใจสาวบอกก่อนหันมาสะดุดใจกับสีหน้ากระจ่างใสของเพื่อนสาวข้างกาย

“ฉันรู้ว่าเขาอายุเท่าไหร่” เมฆานรีพูดขึ้นทั้งที่ยังมองตรงไป ใบหน้าเปื้อนยิ้มของเธอสดใสขึ้น

“เท่าไหร่แก” เพื่อนคนอื่นๆ ถามพร้อมกัน

“สี่สิบสอง ฉันขอตัวเดี๋ยวนะ” เมฆานรีตอบคำถามเพื่อน ก่อนจะตรงดิ่งไปหาชายหนุ่มที่ตกเป็นประเด็น

“ฉันว่ามันมีกลิ่นแปลกๆ” เพื่อนชายใจสาวพูดขึ้นหลังจากที่ได้สติและรู้อายุชายหนุ่มคนนั้น รวมถึงเห็นท่าทีของเพื่อนที่มีต่อเขา

 

“สวัสดีค่ะ คุณพิธาน” เมฆานรียกมือไหว้พลางยิ้มหวานตาหยี ก่อนจะถามต่อ “มาธุระหรือคะ” 

“อืม มาธุระ” ชายหนุ่มให้คำตอบ ซึ่งหญิงสาวก็พยักหน้ารับ แต่ก็ไม่กล้าถามต่อว่าเขามาธุระอะไร ก็มันเรื่องส่วนตัวเขานี่ ถามออกไปก็คงน่าเกลียด

“จะไม่ถามหน่อยหรือ ว่ามาธุระอะไร” ชายหนุ่มถามขึ้นเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเงียบไป

“ไม่ถามดีกว่าค่ะ มันอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัว” หญิงสาวตอบไปตามความคิดก่อนจะต้องขมวดคิ้วกับสิ่งที่เขาบอก

“แต่ฉันอยากบอก” ชายหนุ่มเงียบไว้สักพัก ก่อนจะตอบเมื่อเพื่อนคนอื่นๆ ของเธอมาสมทบ “มารับเธอกลับบ้าน” 

“มารับหนู พี่ปี พี่ผล ก็อยู่นี่คะ คุณจะมารับหนู...” หญิงสาวกลืนคำว่าทำไมลงคอ เพราะเจอสีหน้าที่แสดงถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน ก่อนพูดไม่ค่อยเต็มเสียงเมื่อเจอแววตาดุๆ ของเขา

“เอ่อคือ พอดีหนูนัดเพื่อนๆ เอาไว้ว่าจะไปทานข้าวกันค่ะ พี่ผล พี่ปีด้วย ก็เลยเกรงว่าจะทำให้คุณเสียเวลา” 

“ไม่เป็นไรหรอกเมฆ เดี๋ยวค่อยนัดพวกเราใหม่กันก็ได้” เพื่อนชายใจสาวเอ่ยอย่างเข้าใจ คนอื่นๆ ก็พยักหน้ารับ

“แกไปทำธุระของแกเถอะ ให้ผู้ใหญ่มารอจะเสียเวลาเอา” เมื่อเพื่อนชายใจสาวพูดจบก็หันไปยิ้มให้ชายหนุ่มหน้าเข้มวัยสี่สิบสองปีที่ดูอย่างไรก็อายุไม่ถึง และได้รับรอยยิ้มชวนเคลิ้ม จนต้องก้มลงไปกระซิบข้างหูเพื่อน

“น่ากินขนาดนี้ จะไม่แนะนำหน่อยหรือไง” พูดจบ ก็ยืดตัวขึ้นมายิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง

“อ่อ ลืม” เมฆานรีหันไปตอบ ก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นทางการ

“คุณพิธานคะ นี่เพื่อนๆ ของหนูค่ะ และทุกคน นี่ คุณพิธาน เศรษฐเจริญพงศ์ เจ้าของโรงแรมพาราไดซ์ พรินซ์ นักธุรกิจหนุ่มพันล้านและพ่วงท้ายอีกหนึ่งตำแหน่ง...” หญิงสาวพักหายใจเพราะเธอหายใจไม่ทัน แต่ทุกคนที่รอฟังอย่างใจจดใจจ่อนั้น ลุ้นกันจนตัวโก่ง ไม่เว้นแม้แต่ปีและผล รวมทั้งคนที่ถูกแนะนำ

“รุ่นน้องคนสนิทของอาจารย์ไพรจิต อาจารย์ที่ปรึกษาพวกเรา” หญิงสาวพูดจบ ก็ต้องสงสัยว่าทำไมทุกคนต้องถอนหายใจด้วย

“มีอะไรกันหรือเปล่า” เมฆานรีถาม ทุกคนส่ายหน้า

“ใช่เลย นึกอยู่ตั้งนานว่าเคยเจอที่ไหน หนูเคยไปฝึกงานที่โรงแรมคุณค่ะ อาจารย์ไพรจิตส่งไป” เพื่อนคนหนึ่งที่บอกว่าคุ้นหน้าชายหนุ่มเอ่ยขึ้น

“อ๋อ ผมนึกออกแล้ว ที่อยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ใช่มั้ย” ชายหนุ่มถาม 

“ค่ะ”

“งั้นพวกเราไปกันก่อนดีกว่า ไว้ไลน์คุยกันนะเมฆ” เพื่อนชายใจสาวบอกหลังจากที่เกิดความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อนคนอื่นๆ ก็เห็นด้วย จึงพากันยกมือไหว้ลาผู้ใหญ่ทั้งสี่คนแล้วหันกลับมาโบกมือให้เพื่อนรัก เมฆานรีรู้สึกว่า สายตาของเจ้าพวกนั้นเหมือนกำลังจับผิดเธอหรือค้นหาความจริงบางอย่าง 

เมื่อคนอื่นๆ พากันไปหมดแล้ว บริเวณนั้นจึงเหลือเพียงผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น

“ไปขึ้นรถ คม นายไปกับปีและผลนะ” พิธานเอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกว่าเขาปล่อยให้ความเงียบอยู่นานเกินไป 

คมกฤตพยักหน้ารับคำสั่งอย่างนอบน้อม

“ขึ้นรถไปไหนคะ” เมฆานรีที่เพิ่งดึงสติกลับมาได้ถามกลับ

“ก็กลับบ้านไง ฉันมีธุระจะไปคุยกับคนที่บ้านเธอ” ชายหนุ่มว่าเสียงเข้มก่อนเตรียมตัวจะเดินนำไป แต่ก็โดนยายตัวเล็กขัดขึ้นเสียก่อน

“หนูกลับกับพี่ผลพี่ปีได้ค่ะ” หญิงสาวยังคงยืนกราน

ชายหนุ่มหันมาดุใส่

“ก็ไหนบอกว่าจะทำตามที่สั่งฉันไงล่ะ นี่ยังไม่ทันไรก็ดื้อเสียแล้ว” พิธานขมวดคิ้ว ไม่ชอบใจที่หญิงสาวเอาแต่ขัดใจเขาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว

“ก็ได้ค่ะ” หญิงสาวนึกถึงคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับเขา จึงไม่กล้าที่จะปฏิเสธอีก

“แต่ผมมีหน้าที่ต้องดูแลคุณหนู” ปีเป็นฝ่ายพูดขึ้น หลังจากที่ดูเหตุการณ์มานาน ตั้งแต่หญิงสาวเดินออกมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ แต่พอเห็นพิธานก็กลับยิ้มจนโลกสดใส แล้วยังรอยยิ้มที่ชายหนุ่มส่งไปให้นายน้อยของเขาอีก ไหนจะความหยอกล้อที่แสดงออกมาในคำพูด ที่สำคัญที่สุดคือ ท่าทีสนิทสนมของคนทั้งสอง นายน้อยเขาโดนบังคับก็จริง แต่ก็เหมือนจะเต็มใจ แล้วพิธานทราบได้อย่างไรว่า นายน้อยของเขาสอบเสร็จวันไหน กี่โมง ทุกอย่างดูน่าสงสัยไปหมด จนคนเป็นองครักษ์อย่างเขาแสดงชัดเจนว่าไม่ไว้ใจผู้ชายตรงหน้า

“งั้นฉันจะดูแลให้ จนกว่าจะถึงบ้าน ไม่ต้องห่วง ไม่ให้หนีได้หรอก” พิธานว่าเสียงเรียบ เพราะเข้าใจหน้าที่ของปี

“แต่ว่า...” ปีเตรียมจะพูด แต่นายน้อยขัดขึ้นก่อน

“พี่ปี ไม่เป็นไร เมฆไปกับคุณพิธานได้ ถ้าคุณแม่ถาม พี่ปีก็อ้างชื่อคุณพิธานได้เลย คุณแม่ไม่ว่าอะไรพี่หรอก” หญิงสาวรู้ดีว่าปีคิดอย่างไรกับคนตรงหน้า เพราะแววตาไม่ไว้ใจชัดเจนขนาดนั้น

“ครับคุณหนู” เมื่อได้รับคำยืนยันจากนายน้อย ปีและผลจึงรับคำโดยการโค้งตัวน้อยๆ แล้วนำคมไปที่รถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล

“เราก็ไปกันเถอะ” เมื่อประธานหนุ่มเห็นหญิงสาวมองส่งคนเป็นองครักษ์จนไปถึงรถ จึงหันมามองเธอบ้าง น้ำเสียงใช้เชิญชวนทำให้คนเป็นเด็กยินดีทำตามโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ 

“คุณไม่น่าลำบากมารับหนูเลย จากโรงแรมมาที่มหา’ลัยไกลจะตาย” หญิงสาวย่นจมูก หันไปบอกกับคนขับรถที่มองไปด้านหน้า

“ไม่ลำบากอะไรเลย มันเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับที่เธอต้องไปหาฉันเป็นเดือนๆ แบบนั้น” ชายหนุ่มว่าทั้งที่ยังคงจ้องอยู่ที่ถนน

“แต่คุณต้องเสียงาน เสียเวลา และหนูก็มั่นใจว่า คุณต้องใช้เวลาถึงสองชั่วโมง ในการเดินทาง ซึ่งตอนที่คุณมาถึงก็น่าจะ ราวๆ สามโมงครึ่ง คุณจะต้องออกจากโรงแรม ประมาณ บ่ายโมงครึ่ง ก็เท่ากับว่าคุณจะต้องลางานครึ่งวัน เห็นมั้ยคะ ว่ามันเสียงาน” หญิงสาวอธิบายโดยทำไม้ทำมือประกอบอย่างจริงจัง จนคนขับรถต้องอมยิ้มเอ็นดู

“หรืออย่างน้อยถ้าคุณตรงไปที่บ้านหนูก็ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงถึงสี่สิบห้านาที คุณก็ออกจากโรงแรมตอนเลิกงาน แล้วไปเจอกันที่นั่น เท่านี้ก็ไม่เสียเวลาแล้วละค่ะ” หญิงสาวพูดต่อ

คนขับรถฟังโดยไม่ตอบโต้อะไร น่าแปลก ทั้งๆ ที่เธอบ่นเขาอย่างจริงจัง แต่เขากลับสนุกที่ได้ฟัง แล้วชายหนุ่มก็หันมองเสี้ยวหน้าของเธอที่ดูจริงจังมาก พิธานอดยิ้มไม่ได้

“ว่าแต่ คุณจะไปทำอะไรที่บ้านหนูหรือคะ” จู่ๆ เธอก็หันมาถามหลังจากที่บ่นเขาเสียยืดยาวจนเขาปรับสีหน้าแทบไม่ทัน

“เธอคิดว่าฉันมีธุระอะไรที่บ้านเธอล่ะ” ชายหนุ่มเป็นแบบนี้เสมอ เขาเลือกที่จะให้คู่สนทนาตอบคำถามมากกว่าที่เขาจะเป็นคนตอบด้วยตัวเอง ซึ่งเมฆานรีเองก็เป็นประเภทที่ไม่ใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ เธอจึงหยุดคิดอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะทำตาโตแล้วตอบออกไป

“คำตอบเรื่องแต่งงานหรือคะ” ดวงตาหญิงสาวเป็นประกาย เธอประสานมือไว้ที่ปลายคางแล้วกะพริบตาปริบๆ เพื่อรอคำยืนยัน และเมื่อชายหนุ่มพยักหน้า เธอจึงถามอีกครั้งถึงคำตอบที่เธออยากรู้

“แล้วคุณจะเลือก...” หญิงสาวพูดออกไปก็ฉุกคิดได้ว่า เธอดีใจเกินเหตุทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะเลือกใคร แค่เขามารับเธอไม่ได้แปลว่าเขาเลือกเธอ

“ไว้ฉันพูดทีเดียวที่บ้านเธอ” พิธานตอบเมื่อเห็นหญิงสาวเงียบไป

“บอกหนูก่อนไม่ได้หรือคะ” เธอพูดออกไปโดยเก็บเอาอีกหนึ่งประโยคที่ว่า ‘เผื่อคุณเลือกพี่ฟ้า หนูจะได้หาทางหนีทีไล่ได้’ ไว้

“ไม่ได้ เอาไว้รู้พร้อมกันทีเดียว” คราวนี้ชายหนุ่มพูดเสียงเข้ม จนหญิงสาวทำได้เพียงพยักหน้ารับ

“เธออยากรู้อะไรอีกหรือเปล่า” พิธานถามเมื่อปล่อยให้เวลาผ่านไปเล็กน้อย

“เรื่องที่อยากรู้นอกจากนี้ ไม่มีหรอกค่ะ มีเรื่องเดียวที่หนูอยากรู้จากคุณ คือคำตอบเรื่องเจ้าสาวของคุณ” หญิงสาวว่า แม้จะไม่ได้หันไปหาเขา แต่เธอก็รู้ว่าเขามองมาที่เธอเพราะตอนนี้รถจอดนิ่งอยู่

“แต่ฉันอยากให้เธอถาม” พิธานพูดด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น จนเมฆานรีต้องหันไปหา

“ก็หนูไม่มีเรื่องอื่นที่อยากรู้จากคุณแล้วนี่คะ” เมฆานรีเอ่ยน้ำเสียงสุภาพที่สุด อ่อนน้อมที่สุด อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้เขาเสียงเข้มใส่เธอแบบนั้นอีก

“ก็เรื่องเจนนี่ไง ฉันรู้ว่าเธอเห็นฉันออกมาจากโรงแรมกับเจนนี่เมื่ออาทิตย์ก่อนที่เธอเอาเค้กไปส่ง แล้วหลังจากนั้นเธอก็ไม่มาอีก” ชายหนุ่มหยุดพูดเพื่อดูปฏิกิริยาของคนข้างๆ 

“ฉันเดาว่าเธออาจจะไม่มาหาฉันอีก เพราะโกรธเรื่องนั้น” พิธานพูดออกไปในที่สุด เขาไม่สบายใจที่หญิงสาวมาเห็นเหตุการณ์นั้น แม้วันนั้นเขายังไม่แน่ใจว่าจะเลือกเธอหรือไม่ แต่ก็ไม่ได้ปรารถนาจะให้เธอเห็นอะไรแบบนั้น

“อ๋อ เรื่องนี้ ไม่มีอะไรที่หนูอยากรู้หรอกค่ะ เพราะหนูรู้อยู่แล้วว่าเธอเป็นใครและคงไม่แปลกที่เธอจะมาอยู่กับคุณ” หญิงสาวว่าไปตามความจริง ก่อนจะอธิบายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น “อีกอย่างมันเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณค่ะ” 

“เธอจะบอกว่าเธอไม่สนใจว่าอย่างนั้น” ชายหนุ่มเอ่ย แล้วสิ่งที่หญิงสาวตอบก็ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ จนอธิบายไม่ได้ 

“คุณพิธานคะ ถ้าคุณเลือกดิฉันเป็นเจ้าสาวของคุณ คุณสบายใจได้เลยค่ะ ดิฉันจะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายในเรื่องส่วนตัวของคุณ ดิฉันจะไม่เข้าไปเปลี่ยนแปลงตัวตนหรือชีวิตของคุณ สิ่งเดียวที่ชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไป คือการที่คุณมีดิฉันเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของคุณ คุณอาจจะเห็นหน้าดิฉันจนเบื่อ แต่ดิฉันก็จะอยู่ เพื่อทำในสิ่งที่ภรรยาคนหนึ่งพึงกระทำ เรื่องหึงหวงคุณไม่ต้องกังวลหรอกนะคะ ดิฉันทราบค่ะว่าที่ของดิฉันอยู่ตรงไหนและควรวางตัวอย่างไร” เมฆานรีพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง เธอเพียงต้องการแสดงจุดยืนให้เขาทราบ เผื่อว่าจะเปลี่ยนแปลงความคิดเขาให้หันมาเลือกเธอได้บ้าง

“เธอคิดแบบนั้นจริงๆ หรือเมฆ” ชายหนุ่มแทบอยากจะจอดรถแล้วคุยกับเธอให้รู้เรื่อง ถ้าไม่ติดว่าวิ่งอยู่เลนขวาและรถก็เยอะมาก

“ค่ะ หนูคิดแบบนั้น เพราะถ้าสมมุติว่าคุณเลือกหนู คุณช่วยเหลือที่บ้าน และไม่ทำลายความรักของพี่ฟ้ากับพี่แสง แค่นี้ก็ถือว่าหนูรบกวนคุณมากแล้ว หนูไม่กล้าที่จะเข้าไปรบกวนอะไรคุณแล้วล่ะค่ะ” หญิงสาวว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนลงจนคนฟังรับรู้และสบายใจที่น้ำเสียงของเธอกลับมาเป็นเหมือนเดิม ไม่แข็งกร้าวแบบเมื่อครู่

“แล้วถ้าฉันมีใครต่อใครในตอนที่เราแต่งงานกันแล้วล่ะ” ชายหนุ่มถามย้ำ พยายามสังเกตสีหน้าและแววตาของหญิงสาวเพื่อค้นหาคำตอบที่เขาอยากรู้ แต่ทุกอย่างว่างเปล่า ไร้ความรู้สึกใดๆ จนเขารู้สึกใจหวิว

“หนูบอกไปแล้วว่าจะไม่เข้าไปยุ่งค่ะ มันเรื่องส่วนตัวของคุณ” หญิงสาวบอกชัดเจน

“แล้วถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอล่ะเมฆ ฉันเข้าไปยุ่งได้หรือไม่” ชายหนุ่มหวั่นใจแปลกๆ เพราะถ้าเธอยืนยันว่าเธอจะไม่เข้ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา แล้วเรื่องส่วนตัวของเธอเล่า เขาเข้าก้าวก่ายได้ไหม

เมฆานรีขมวดคิ้วอย่างสงสัยในคำถาม เรื่องส่วนตัวของเธอหรือ คนระดับอย่างเขาเนี่ยนะจะมาอยากรู้ ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจสักอย่าง เพราะชีวิตเธอมีแค่ครอบครัว บริษัทของผู้เป็นบิดา และแก๊งสาวๆ 

เมฆานรีเกาหัวเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจตอบเพราะสายตาที่เว้าวอนของเขา

“ได้สิคะ ไม่รู้ว่าความคิดหนูโบราณหรือเปล่า แต่ในเมื่อเราแต่งงานกันแล้ว คุณก็จะเป็นเจ้าของหนู แม้มันจะแค่ธุรกิจก็ตาม แต่เมื่อมีการประกาศออกไปว่าเราสองคนแต่งงานกันแล้ว แม้เราจะไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน แต่มันก็มีผลต่อการดำเนินชีวิต ดังนั้น เรื่องส่วนตัวของหนูคือเรื่องของคุณค่ะ อีกอย่างถ้าคุณยอมช่วยเหลือครอบครัวหนู ก็ถือว่าหนูเป็นลูกหนี้ บางครั้งเรื่องส่วนตัวของลูกหนี้ เจ้าหนี้ก็คงจะอยากรู้เป็นเรื่องธรรมดา เพราะไม่มีเจ้าหนี้ที่ไหนไว้ใจลูกหนี้หรอกค่ะ หนูเข้าใจ” เมฆานรีพยายามอธิบายให้มากที่สุด อย่างน้อยก็เพื่อยืนยันว่าเธอบริสุทธิ์ใจและเพื่อให้เขาตัดสินใจเลือกเธอ

 

หลังจากที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันบนรถสองชั่วโมง พิธานได้รู้จักตัวตนของหญิงสาวคนนี้มากขึ้น เธอไม่ใช่เด็กน้อยอย่างที่เขาเข้าใจ เธอเป็นผู้ใหญ่กว่าที่เขาคิด จนเขาย้อนนึกถึงวันที่เธอมาเสนอตัวให้เขาเลือกเธอเป็นเจ้าสาว ว่าเธอมีดีไม่แพ้คนเป็นพี่ 

ตอนนี้เขามั่นใจขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้วว่า สิ่งที่เธอพูดมาไม่ผิดอย่างแน่นอน

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น