15

ตอนที่ 15



งานเลี้ยงขอบคุณสื่อมวลชนและศิลปินที่มาร่วมงาน ซึ่งทาง ดิเอวาลอน อเวนิว จัดขึ้นในคืนนั้น ปราศจากเงาของตัวตั้งตัวตีคนสำคัญอย่างเดหลีและเด็กฝึกงานของเธอ แต่ศกุนตลากลับบอกกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทว่าไม่ต้องตามตัวคนทั้งสอง

ทว่าคันฉัตรกลับไม่ได้อยู่กับเดหลีอย่างที่อดีตนางพญาแห่งเอวาลอนกรุ๊ปคาดหวัง 

กว่าชายหนุ่มจะตามหาตัววนิษาจนเจอก็เลยเวลาเข้างานไปมากแล้ว มิหนำซ้ำเด็กหญิงยังเล่นงานเขาจนยับเยิน เสื้อเชิ้ตสีอ่อนที่สวมอยู่มีคราบไอศกรีมช็อกโกแลตเปื้อนเป็นวงใหญ่ ตรงท่อนแขนมีรอยฟันเป็นแนวอยู่ และใต้ตามีรอยช้ำเป็นปื้น เพราะกำปั้นน้อยๆ ของเด็กนรกนั่น

ฝ่ายนั้นอาละวาดสุดแรง เมื่อคันฉัตรจะพาไปหาเลขาฯ ของเดหลีเพื่อแต่งหน้าทำผมไปงานเลี้ยง และเอาแต่โวยวายว่าจะไม่ไปไหนกับเขาเด็ดขาด โดยเฉพาะถ้าต้องไปเจอเวียนนา

เมื่อเห็นเด็กหญิงไม่ยอมฟังเหตุผล ชายหนุ่มเลยต้องเอาเนกไทที่ผูกอยู่ออกมาม้วนเป็นก้อนกลมอุดปากคนตัวเล็กกว่า แล้วแบกพาดบ่าจับโยนขึ้นรถไปส่งที่คอนโดฯ อัครา ด้วยติดต่อเดหลีไม่ได้และทิ้งวนิษาไว้ไม่ได้เช่นกัน

แน่นอนว่าการกระทำเช่นนั้น ทำให้เด็กตัวแสบจิกผมคันฉัตรจนแทบร่วงหมดหัว หัวเข่ากับปลายเท้าของวนิษาก็เตะตามลำตัวเขาไม่ยั้ง คันฉัตรจึงลั่นปากสาปส่งวนิษาต่อหน้าอัคราและครอบครัวว่า เด็กผีแบบนี้ ขอให้ออกไปให้พ้นจากชีวิตเขาตลอดกาล

เขาจะไม่มีวันเป็นพี่เลี้ยงของเด็กนี่อีกแล้ว!

การปราบพยศยายตัวแสบมาตลอดบ่ายทำให้ชายหนุ่มหมดเรี่ยวแรง ต่อให้มีผลประโยชน์กองโตของอัศวฤทธามากองอยู่ตรงหน้า เขาก็ไม่แม้แต่จะชายตามอง นาทีนี้ชายหนุ่มอยากได้เบียร์เย็นๆ สักหลายขวด กับหญิงสาวเนื้อแน่นๆ นุ่มๆ สักคนหรือสองคนคอยปรนนิบัติข้างๆ มากกว่า

 

ขณะที่เดหลีนั้นพอรู้จากวนิษาว่ากลับถึงคอนโดฯ ของอัคราแล้ว ก็ตัดสินใจขับรถตรงไปห้วยผาเซาะ พร้อมเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้เต็มคันรถ

หญิงสาวไม่รู้ว่าอำเภอดังกล่าวอยู่ที่ไหน แต่ฟังเขมวันต์พูดก็พอจะจับใจความได้เลาๆ ว่าคงอยู่แถวตะเข็บชายแดน เธอจึงตัดสินใจแวะค้างคืนที่โรงแรมใหญ่ในตัวจังหวัดก่อน พอนอนเต็มอิ่มก็ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตรู่แล้วขับรถต่อไปยังจุดหมาย โดยมีเพื่อนสนิททั้งสามหมั่นส่งข้อความผ่านไลน์มาให้กำลังใจและถามไถ่เป็นระยะๆ

แต่เมื่อเดหลีขับรถเข้าเขตอำเภอที่เป็นจุดหมายปลายทาง ก็เริ่มติดต่อกับกลุ่มเพื่อนรักไม่ได้ ขณะเดียวกันก็พบว่าเส้นทางที่ให้จีพีเอสนำทางไปนั้น ถนนแคบลงเรื่อยๆ และกลายเป็นทางลูกรังซึ่งเป็นหลุมเป็นบ่อ และมีแอ่งโคลนให้เห็นเป็นระยะๆ ราวกับเตาขนมครกก็ไม่ปาน

เลยอดนึกดีใจไม่ได้ที่เลือกเอารถสปอร์ตยูทิลิตี้ขับเคลื่อนสี่ล้อคันนี้มา

ทว่าพอผ่านไปครึ่งชั่วโมง ความดีใจก็เริ่มหดหายเป็นความไม่มั่นใจ เพราะสภาพทางตรงหน้าแทบจะเรียกไม่ได้ว่าถนน มันเต็มไปด้วยบ่อโคลน เลน และแอ่งน้ำ จนเดหลีไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ต่อให้เธอมีอาชีพขับรถวิบากจะสามารถขับผ่านไปได้ไหม

ทว่านี่ยังไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวที่สุด เพราะจู่ๆ หญิงสาวก็พบว่าบนเส้นทางสายนี้เหมือนมีเธออยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น

ได้ยินแต่เสียงใบไม้ถูกสายลมพัดผ่านดังแสกๆ อยู่รอบตัว นานๆ จึงจะมีเสียงกระดึงวัวดังแว่วมาจากที่ไกลๆ สักครั้ง

พอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูก็พบว่าไม่มีคลื่นสัญญาณ ส่วนจะใช้ผ่านระบบดาวเทียมก็ไม่รู้ว่าเอาเคสพิเศษสำหรับเสียบเข้าไปในโทรศัพท์มือถือ เพื่อจะใช้โทร. ผ่านดาวเทียมได้ไปไว้ที่ไหน

แต่ก็นั่นละ...ถึงเธอมีเคสตัวนี้ ก็ใช่ว่าจะโทร. หาเขมวันต์ได้ เพราะจุดที่ฝ่ายนั้นอยู่ก็อับสัญญาณเหมือนกัน และเขาเองก็ไม่ได้ใช้บริการเสริมผ่านดาวเทียมด้วย

เดหลีจึงแข็งใจขับรถต่อไปอย่างทุลักทุเล และเมื่อเห็นดงไม้รอบๆ ตัว ค่อยๆ กว้างออก ป่าโปร่งขึ้นจนเห็นแสงสว่างจ้าที่ปลายทางเบื้องหน้า หญิงสาวก็ดีใจไม่น้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอ้าปากค้าง และแทบกรีดร้องออกมา เมื่อพบว่าทางโคลนเลนที่ขับรถฟันฝ่าเข้ามานั้น สิ้นสุดลงแล้ว...

เบื้องหน้าของเธอคือลำธารใสแจ๋วที่กว้างราวๆ ห้าเมตรเห็นจะได้

น้ำดูจะไม่ลึกนัก แต่หญิงสาวไม่มั่นใจว่าจะสามารถพารถตัดผ่านข้ามไปได้ เลยได้แต่นั่งหมดแรงอยู่ตรงนั้น น้ำตาจะร่วงเสียให้ได้ ไม่ใช่เพราะสงสารตัวเอง แต่นึกเห็นใจเขมวันต์ขึ้นมาครามครัน ฝ่ายนั้นไม่เคยบอกมาก่อนเลย ว่าการเดินทางมาทำงานของเขาจะลำบากลำบนถึงเพียงนี้

และทุกครั้งที่เขาเดินทางออกจากห้วยผาเซาะก็จะตรงไปหาเธอที่กรุงเทพฯ เลย คงเพราะแบบนี้ ชายหนุ่มถึงได้ไปถึงตอนมืด และต้องรีบออกจากกรุงเทพฯ เสมอ

ขณะที่เธอกลับน้อยอกน้อยใจและระแวงไปต่างๆ นานา

เดหลีเลยตำหนิตัวเองยืดยาวในใจ และพอได้นั่งสงบสติอารมณ์อยู่พักใหญ่ ถึงได้รู้ว่าสัญญาณจีพีเอสบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือก็หายไปแล้ว จำได้แต่ว่าที่สุดปลายของทางสายนี้คือห้วยผาเซาะ เพียงแต่ไม่มั่นว่าอีกไกลสักขนาดไหน

อาจเป็นสาม..สี่...หรือห้ากิโล

หญิงสาวบอกตัวเอง และแหงนหน้ามองดูดวงตะวันที่คาคบไม้เหนือศีรษะ

จวนเที่ยงแล้ว ถ้าเธอออกเดินเสียตั้งแต่ตอนนี้ ระยะทางห้ากิโลแต่เป็นขึ้นเขาบ้างสลับกับพื้นราบก็น่าจะกินเวลาไม่เกินสองชั่วโมง

เดหลีมั่นใจ และเลือกที่จะหยิบแต่ของใช้จำเป็นใส่กระเป๋าสะพายใบโตติดมือไปด้วย คิดว่าพอไปถึงที่โรงพยาบาลแล้วค่อยขอให้เขมวันต์พากลับมาเอารถ หรือข้าวของที่เหลือติดไปด้วย

แต่เธอเพิ่งลุยน้ำซึ่งสูงถึงหัวเข่าไปได้ครึ่งทาง ที่ริมตลิ่งอีกฝั่งก็มีเงาวูบไหวปรากฏเข้ามาในคลองสายตา และพอเขม้นมอง หญิงสาวก็เห็นชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น พวกเขาต่างมีใบหน้าขึงขัง และมีปืนยาวอยู่ในมือ

ปืนที่ไม่รู้ว่าอุปาทานไปเองหรือเป็นจริงดังที่เห็นว่า...

กำลังชี้มาที่เธอ!

 

อากาศวันนี้ไม่อบอ้าวเท่าทุกวันก็จริง เพราะได้ยินเสียงใบไม้ไหวต้องลมเป็นพักๆ เสียงดอกหญ้ากระทบกันดังแผ่วพลิ้วมาเข้าหูอยู่เนืองๆ แต่เขมวันต์กลับรู้สึกตะครั่นตะครออย่างประหลาด

ตาซ้ายกระตุกเป็นจังหวะมาตั้งแต่เช้า ใจก็พะวักพะวนแปลกๆ

โชคดีที่แม้วันนี้จะมีคนไข้มารับการรักษามากเหมือนทุกวัน แต่เพราะมีคณะหมออาสาที่มาช่วยงานยังไม่กลับ งานของเขาจึงไม่หนักมากอย่างเช่นเคย หลังจากตรวจครรภ์คนไข้เสร็จ ชายหนุ่มก็ไปช่วยคณะแพทย์อาสาตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้แก่คนไข้ที่มาจากหลากหลายหมู่บ้าน

ขณะเดียวกันก็ต้องคอยให้คำปรึกษาผ่านระบบวิทยุสื่อสารแก่เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชนในตำบลใกล้เคียง ว่าควรส่งต่อคนไข้อาการหนักมารักษาตัวที่นี่หรือไม่

เขมวันต์เพิ่งให้คำปรึกษาเรื่องอาการคนไข้ไปได้แค่สองราย ก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอกตัวอาคาร พอมองไปก็พบว่าเวรเปลของโรงพยาบาลเข็นเตียงที่มีคนไข้เข้ามา โดยมีนายทหารจากหน่วยทหารพรานที่คุ้นหน้าตามมาด้วย

พอฝ่ายนั้นเห็นหน้าเขาก็รีบร้อนรายงานทันที

“พวกผมออกลาดตระเวน แล้วไปเจอคุณผู้หญิงคนนี้แกหลงป่า แล้วก็เป็นลมที่ห้วยเสือโจนครับหมอ เรียกเท่าไหร่แกก็ไม่ฟื้น พวกผมเลยตัดสินใจพามาส่งหมอแทนเสียเลย”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนเดินตรงไปที่เตียงคนไข้ หัวใจกระตุกวาบขึ้นมาอย่างแรง เมื่อคุ้นหน้าคนที่นอนหน้าซีดอยู่เบื้องหน้าเหลือเกิน

“คุณเดย์!

 

ท้องฟ้าสีชมพูแกมส้มของยามเย็นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีคล้ำมืดของยามค่ำคืนในที่สุด ดวงดาวค่อยๆ ทอประกายขึ้นทีละดวงๆ จนผืนฟ้าสีเข้มดูพริบพราวระยับตา แต่ฟ้าในค่ำคืนนี้คงจะสวยกว่านี้นับร้อยนับพันเท่า ถ้าเพียงแต่เพียงขวัญมีเพื่อนร่วมนับดาวชมเดือนที่ถูกใจ

จวบจนเลิกงานจนถึงตอนนี้ เขมวันต์ก็ยังคงไม่ออกจากบ้านพักของเขา และทำให้คนที่เฝ้าชะเง้อมองที่ด้านนอกพ่นลมหายใจด้วยความอึดอัดใจแกมเสียใจ

ทั้งๆ ที่เมื่อวานเธอสุดแสนจะลิงโลดเมื่อเห็นเขมวันต์กลับมาถึงโรงพยาบาลแห่งนี้ในตอนพลบค่ำ และนึกดีใจที่ตนเองกับแพทย์บางคนเลือกตรวจคนไข้ที่นี่ต่ออีกสองวัน ก่อนเดินทางกลับเข้าไปในตัวจังหวัดในตอนบ่ายวันพรุ่งนี้ เพราะจะได้ทำงานร่วมกับชายหนุ่มที่ปักใจด้วย

แต่แล้วความรู้สึกนั้นก็เปลี่ยนเป็นขมขื่นในพริบตา เมื่อเซเล็บสาวคนนั้นเดินทางตามเขมวันต์มาถึงห้วยผาเซาะแห่งนี้

ขณะที่นายแพทย์หนุ่มก็ห่วงใยฝ่ายนั้นมากเสียจนเจ้าหน้าที่ทุกคนดูออก เขาตัดสินใจพาหญิงสาวไปพักที่บ้านทันทีที่ตรวจจนแน่ใจแล้วว่าเดหลีเป็นลมเพราะอ่อนเพลียและตกใจเกินกว่าเหตุ

แค่เป็นลม! แค่ตกใจ! เขมวันต์ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้

เพียงขวัญคิดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขยี้เท้าด้วยความเจ็บแค้น และไม่คิดว่าจะมีใครผ่านมาเห็น จนกระทั่งได้ยินเสียงห้าวๆ คุ้นหูของเพื่อนรุ่นพี่ดังขึ้นจากทางด้านหลังจึงชะงักค้าง

“เป็นถึงหมอสกินแล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กๆ อยู่อีก” วุ้นเส้น หรือทุติยะยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมมองมาด้วยสายตาอิดหนาระอาใจระคนขบขัน

เพียงขวัญสบตากับชายหนุ่มอย่างหมางเมิน เพราะไม่ค่อยชอบหน้าฝ่ายนั้นเท่าไรนัก ส่วนหนึ่งเป็นที่ทุติยะดูจะฉลาดเฉลียวรู้ทันไปเสียทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเขมวันต์ ที่เขารู้ความในใจของเธอ ก่อนที่ชายหนุ่มผู้นั้นจะได้ล่วงรู้เสียอีก

หญิงสาวเลยรู้สึกเหมือนเสียหน้าหน่อยๆ และมองคนตรงหน้าได้ไม่สนิทใจนัก จะให้เรียกเขาว่าพี่อย่างที่เรียกเขมวันต์ก็ไม่ชินปาก เธอจึงถามเสียงแข็งออกไป “มีธุระอะไรกับผิงหรือเปล่าคะ”

“อาหารค่ำตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว พี่ใหญ่เลยให้พี่มาตามผิงกับคนอื่นๆ”

แม้ว่าวุ้นเส้นจะรู้ว่าเธอไม่ถูกชะตาเขา แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา เขายังคงสุภาพกับเพียงขวัญเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

แต่นาทีนี้หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดจนนึกอยากจะรวนใครสักคน เธอจึงบุ้ยใบ้ไปยังเรือนพักหลังเล็กของเขมวันต์ “งั้นเดี๋ยวตามไปค่ะ ขอไปตามพี่เข้มก่อน”

พูดจบแล้วก้าวเท้าได้ไม่เกินสามก้าว อีกฝ่ายก็สืบเท้ามาดักหน้าเธอไว้ เพียงขวัญตกใจเสียจนผงะไปด้านหลังแล้วร้องอุทาน “เอ๊ะ!

“พี่จะบอกว่าไม่ต้องไปตามเข้มหรอก เมื่อกี้มันเพิ่งลงมาขอให้ข้างล่างจัดสำรับขึ้นไปให้”

พอได้ฟังเช่นนี้ ความโกรธความน้อยใจก็ไม่รู้ผุดพรายขึ้นมาจากไหนพร้อมๆ กัน ทำให้เพียงขวัญถึงกับเบ้าตาร้อนผ่าว และอยากจะกระทืบเท้าแรงๆ ให้สาแก่ใจ ต้องยืนนิ่งอยู่นานกว่าจะข่มใจกลืนก้อนแข็งๆ ที่จุกตรงคอลงไปแล้วเอ่ยถามคนตรงหน้า

“แต่พี่เข้มทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ พวกเรารอกินข้าวกับเขาอยู่”

“เมื่อเที่ยงก็กินแล้วไม่ใช่หรือ”

“แต่นี่มันมื้อเลี้ยงส่ง” เธอทั้งน้อยใจและโกรธจัดจนแทบพูดไม่เป็นคำ “แล้วเดี๋ยวเด็กๆ ก็จะมาแสดงรอบกองไฟให้ดูด้วย ถ้าพี่เข้มไม่มาก็เหมือนไม่ให้เกียรติเด็กๆ ทั้งโรงเรียน”

หญิงสาวพยายามหาเหตุผลมากล่าวอ้าง ขณะที่คนตรงหน้ายิ้มมุมปากส่งให้

ยิ้มที่เหมือนกำลังจะบอกว่าเธอทั้งขี้อิจฉาและปัญญาอ่อน

“พี่ว่าผิงอย่าไปคิดแทนเด็กๆ เลยเรื่องให้เกียรติหรือไม่ให้เกียรติ อีกอย่างเข้มมันคงดูจนเบื่อแล้วละ” พูดจบวุ้นเส้นก็ถือวิสาสะฉวยแขนเธอแล้วออกแรงกึ่งลากกึ่งจูงให้เดินไปด้วยกัน “เรารีบไปกินข้าวกันดีกว่า ให้คนอื่นรอจะไม่ดี”

“แต่ผิงไม่หิว” เพียงขวัญกรีดเสียง

“แต่พี่ใหญ่กับชาวบ้านที่นี่เขาอุตส่าห์เลี้ยงคณะเรา จะไม่กินได้ยังไงกัน” วุ้นเส้นโต้กลับ และไม่ยอมปล่อยมือจากเธอง่ายๆ

เพียงขวัญพยายามจิกเท้าลงกับพื้นดินแข็งๆ แต่ในที่สุดก็ไม่อาจสู้แรงชายหนุ่มได้ มิหนำซ้ำเธอถูกเขากระชากลากดึงมาได้ไม่กี่ก้าว เพื่อนหมออาสาที่มาด้วยกันก็โผล่มาร้องเรียกด้วยความดีใจ

“พี่วุ้นเจอผิงแล้วหรือคะ มาๆ ผิงมากินข้าวกัน มีไข่พะโล้ของโปรดเธอด้วยนะ”

เมื่อได้ยินอย่างนั้น เพียงขวัญก็ไม่กล้าออกฤทธิ์เดชอีกต่อไป ได้แต่ยิ้มชืดๆ ส่งให้เพื่อนร่วมกลุ่ม ขณะที่วุ้นเส้นก็ยอมปล่อยมือจากเธอในที่สุด

ชายหนุ่มเดินไปรวมกลุ่มกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลและเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลอย่างเป็นกันเอง เหมือนไม่รู้ว่ามีสายตากินเลือดกินเนื้อของเพียงขวัญมองตามไปด้วยความขุ่นเคือง ขณะเดียวกันในวงอาหารวันนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเขมวันต์สักเท่าไร ดูเหมือนทุกคนจะพร้อมใจกันเข้าใจว่าเขากำลังดูแล คนไข้พิเศษของหัวใจ อยู่ที่บ้านพัก

 และความคิดนี้เอง ทำให้เพียงขวัญกินอะไรไม่ค่อยลง โชคดีที่มีสาวใช้คนสนิทซึ่งขอติดสอยห้อยตามมาเพราะต้องการมาเยี่ยมญาติในหมู่บ้านใกล้เคียงคอยเอาอกเอาใจไม่ขาดตกบกพร่อง เธอเลยพอจะฝืนฉีกยิ้มออกไปได้บ้าง

ยิ้มทั้งๆ ที่ดวงตาวาววับด้วยหยาดน้ำตาแห่งความน้อยใจและแค้นใจ

 

            ลมเย็นๆ ที่พลิ้วเอื่อยอยู่รอบตัวกับกลิ่นใบไม้สดและดอกไม้หอมเย็นสบายจมูก ทำให้เดหลีอยากจะฝังหน้าลงกับหมอนนุ่มๆ ต่อไปอีกนานแสนนาน

                ถ้าเพียงแต่หมอนใบนี้ไม่แข็งตึงจนน่าพิศวง...หมอนขนเป็ดของเธอหายไปไหน

                หญิงสาวตั้งคำถามนี้กับตัวเอง ก่อนจะกะพริบตาช้าๆ ด้วยความงงงวย

ความสลัวที่โรยตัวอยู่ ทำให้เธอมองไม่เห็นบรรยากาศโดยรอบชัดนัก รู้แต่ว่าเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดไม่กว้าง แต่ก็ไม่แคบมากห้องหนึ่ง ภายในห้องไม่มีเฟอร์นิเจอร์มากนัก และที่หน้าต่างก็มีม่านผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดตาแขวนเอาไว้ ส่วนผ้าปูเตียงที่นอนอยู่นี้ก็ไม่ลื่นละมุนผิวเหมือนผ้าฝ้ายอียิปต์ที่เคยใช้เป็นประจำ

ใช่แล้ว!

ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้อยู่ที่ห้องนอนในคอนโดฯ กลางเมืองอย่างทุกครั้ง แต่เธอกำลังเดินข้ามลำธารกลางป่าเพื่อไปหาเขมวันต์ แล้วก็ได้เจอกับผู้ชายกลุ่มหนึ่ง

ความคิดนี้ทำให้หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่ง เนื้อตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว แต่ก่อนที่เดหลีจะได้ทันหวีดร้องออกมา มือใหญ่ของใครบางคนก็เอื้อมมากดไหล่ของเธอให้เอนทอดลง พร้อมกระซิบบอกอย่างนุ่มนวล “ไม่ต้องกลัว...คุณเดย์ ผมอยู่ที่นี่”

เดหลีกะพริบตาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “คุณเข้ม!” คราวนี้เสียงที่ตั้งใจจะหวีดร้องเพราะความตกใจกลับกลายเป็นดีใจแทน

“ใช่ ผมเอง” เขารับเสียงนุ่ม ก่อนเอื้อมมือไปเปิดไฟหัวเตียง ซึ่งเป็นไฟอ่านหนังสือสีเหลืองละมุนตา ขับไล่ความมืดที่ห่อหุ้มทั้งสองออกไปเสีย

เดหลีมองคนตรงหน้าอย่างงงงวยแกมไม่เข้าใจ “ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกันคะ...ฉันคิดว่าฉันเจอกับพวกโจรเข้าเสียอีก”

รอยยิ้มขบขันผุดขึ้นที่มุมปากคนฟัง “โจรที่คุณพูดน่ะคือตำรวจตระเวนชายแดน”

หญิงสาวอ้าปากค้างกับคำตอบนั้น “ตำรวจตระเวนชายแดนหรือคะ”

“ใช่ คุณเป็นลม พวกเขาเลยพามาส่ง”

หญิงสาวยิ้มแหยกับคำตอบของอีกฝ่าย พร้อมกับนึกออกในตอนนั้นเองว่าทำไมถึงได้คุ้นตากับเสื้อผ้าพวกเขาเหล่านั้นนัก และไม่ทันสังเกตเห็นพวกเขามาก่อน เพราะเป็นเสื้อลายพราง!

“ฉันไม่รู้นี่คะ เห็นหน้าตาถมึงทึงกันทุกคน แล้วก็มีปืนในมือ” หญิงสาวแก้ตัวอุบอิบ ก่อนนึกขึ้นได้ “แล้วนี่พวกเขาไปแล้วหรือยังคะ”

“ไปนานแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้น คุณต้องบอกมานะคะว่าพวกเขาอยู่ประจำหน่วยไหน ฐานไหน ฉันจะได้ให้คนส่งของมาขอบคุณ”

เขมวันต์พยักหน้า แต่เหมือนรอยยิ้มหัวจะค่อยๆ เลือนหายไปจากใบหน้าชายหนุ่ม และพอมองดีๆ เดหลีก็พบแววเคร่งเครียดอยู่ในดวงตาคมของเขาแทน

ดวงตาที่มีรอยคาดคั้นและเครื่องหมายคำถามอันโตฉายขึ้น “เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลังก็ได้ เพราะคุณต้องตอบผมมาก่อน ว่าทำไมจู่ๆ ถึงมาที่นี่ได้”

หญิงสาวหลุบตาลง เพราะรู้ว่าเขาคงโกรธไม่น้อยกับการมาเยี่ยมเยียนครั้งนี้ “ก็...ฉันเห็นเราทะเลาะกัน แล้วก็ยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันเลย”

“แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องมาถึงที่นี่ เราค่อยคุยกันตอนผมไปกรุงเทพฯ ก็ได้” ชายหนุ่มแย้งอย่างไม่เห็นด้วย แต่เสียงอ่อนลงไปมาก

“ฉันรอนานขนาดนั้นไม่ได้หรอกค่ะ” 

“ทำไม” เสียงคนถามเข้มขึ้น 

และเมื่อเห็นเธอเม้มปากแน่น มือของฝ่ายชายก็เชยปลายคางหญิงสาวเพื่อให้สบตากับเขา

เธอกลืนน้ำลายที่เหนียวจนฝืดคอลงไปตอนเอ่ยเสียงเกือบเหมือนกระซิบกับเขมวันต์ “เพราะแม่...ตั้งใจทำทุกทางเพื่อให้ฉันกับคุณฉัตรลงเอยกัน...ต่อให้เขามอมยา หรือฉุดฉันไปกักขังหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ แม่ก็จะทำเป็นหลับตาไม่รู้ไม่เห็น”

“คุณพูดจริงหรือ”

“ฉันได้ยินแม่บอกเขา” เธอกระซิบด้วยความปวดร้าวใจ

ดวงตาคนฟังลุกวาวด้วยความโกรธ จนเขาต้องเป็นฝ่ายหลุบตาลงแล้วปล่อยมือจากปลายคางของเธอ

“อันที่จริง ผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่าเรื่องนี้คงลงเอยแบบนี้” ในที่สุดเขาก็พูดออกมา เมื่อข่มใจได้แล้ว “แต่ถึงอย่างนั้น คุณก็อยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก เราต้องหาทางอื่น”

“ทำไมคะ”

“ที่นี่ทั้งกันดารและแร้นแค้น ไกลจากตัวเมืองก็ตั้งมาก ผมไม่คิดว่าคุณจะอยู่ได้”

น้ำเสียงของเขาบ่งชัดถึงความลำบากและอึดอัดใจ ขณะที่เดหลีทำหน้านิ่วกับคำพูดที่เหมือนสบประมาทของอีกฝ่าย

“คุณเข้มคะ ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะคะ จะได้ทนต่อความลำบากไม่ได้”

“แต่คุณไม่เคยอาบน้ำจากลำธาร หรือรองน้ำฝนกิน อาศัยแสงสว่างจากแสงจันทร์ ขี้ไต้ หรือตะเกียงจริงๆ หรอก” เขาแย้งเสียงจริงจัง ก่อนบีบไหล่เธอแน่นแล้วมองมาด้วยสายตาเกือบจะเป็นวิงวอน “เชื่อผมเถอะคุณเดย์ คุณอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก”

“แล้วคุณจะให้ฉันไปอยู่ที่ไหน ในเมื่อฉันกลับกรุงเทพฯ ก็ไม่ได้” เดหลีร้องถามเสียงคับข้องใจ

เขมวันต์นิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่งก่อนตัดสินใจเฉียบขาด “ไปอยู่คลองหมาแหงนก็ได้ วุ้นจะกลับไปบ้านพรุ่งนี้พอดี ผมจะฝากคุณไปกับมันด้วย แล้วพอได้หยุดคราวหน้า ผมจะรีบไปหาคุณเลย”

หญิงสาวขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอไม่ได้รังเกียจบ้านสวนของเขา แต่เมื่อไม่มีทั้งเขมวันต์และวนิษาอยู่ด้วย บ้านสวนแห่งนั้นก็สุดแสนจะเงียบเหงาราวกับบ้านร้าง

เดหลีจึงส่ายหน้าทันที “แต่ฉันมาแล้ว ฉันไม่กลับง่ายๆ หรอกนะคะ”

“แล้วถ้าผมขอร้อง”

“คุณขอร้องช้าไป ฉันตัดสินใจแล้ว” หญิงสาวเอ่ยอย่างดื้อดึง พร้อมมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความไม่เข้าใจชัดเจน “อีกอย่าง คุณไม่ดีใจหรือคะที่เห็นฉัน”

“ดีใจ แต่ที่นี่เป็นที่ทำงานผม ผมคอยดูแลคุณตลอดเวลาไม่ได้ เราไม่ได้มาพักร้อนหรือตากอากาศ”

“ฉันก็ไม่ได้อยากให้คุณดูแลเสียหน่อย ฉันเองต่างหากที่จะเป็นฝ่ายมาดูแลคุณเอง” เธอบอกพร้อมสอดแขนนุ่มโอบรอบเอวสอบ “นะคะคุณเข้ม ลองให้ฉันอยู่ที่นี่กับคุณก่อน แล้วถ้าฉันทนไม่ได้จริงๆ เราค่อยคิดหาทางกัน อย่าเพิ่งไล่ให้ฉันกลับไปโดยที่ฉันยังไม่ได้ลองเลย”

ชายหนุ่มทำหน้าเหมือนอึดอัดใจ แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจยาวแล้วโอบกอดเธอแนบกระชับ พร้อมวางคางลงบนเส้นผมสลวยของหญิงสาว “ก็ได้ แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณแม้แต่นิดเดียว คุณต้องกลับไปเลยนะ ห้ามมีข้อแม้หรืองอแงเด็ดขาด”

“เกิดอะไรขึ้นของคุณคืออะไรคะ” เธออดอยากรู้ไม่ได้

“เป็นไข้ ตัวร้อน ท้องร่วง หกล้ม ฟกช้ำ ดำเขียว”

คำตอบนั้นทำให้คนฟังอ้าปากค้าง ก่อนขึงตาใส่คนพูดดุเดือด “คุณเข้ม!

“ไม่ต้องทำเสียงแบบนี้เลย” เขาเอ่ยพร้อมหยิกปลายจมูกเธอแรงๆ เหมือนมันเขี้ยว “ถ้าคุณตัวร้อน เพราะเป็นไข้เลือดออก หรือไข้มาลาเรียขึ้นมาจะว่ายังไง ดังนั้น ตัดไฟไว้ตั้งแต่ต้นลมนี่ละดีแล้ว”

“แต่คุณเป็นหมอ และฉันก็อยู่กับหมอนะคะ” หญิงสาวย้อนเสียงขุ่น

“หมอก็ตายเพราะไข้เลือดออกมาเยอะแล้วนะคุณ ผมไม่อยากเสี่ยง”

“แล้วท้องเสียล่ะคะ”

“อหิวาต์มันน่ากลัวรู้ไหม”

“ก็จริง แต่ถึงยังไง แค่หกล้ม ฟกช้ำ ดำเขียว ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะคอขาดบาดตายอะไร ทำไมคุณถึงเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างไล่ฉันด้วย”

“อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเวลา อีกอย่างถ้าคุณกลิ้งตกเขา สะดุดตกเหวไปจะว่ายังไง”

“ฉันไม่ใช่คนซุ่มซ่ามขนาดนั้น”

“ผมก็ไม่คิดว่าคุณจะซุ่มซ่าม แต่คนเราต้องไม่ประมาท” เขาตอบจริงจัง แล้วตัดบทด้วยการฉุดมือเดหลีให้ลุกขึ้นจากเตียง “ไหนๆ คุณก็ตื่นแล้ว ลุกขึ้นไปอาบน้ำ ล้างหน้าล้างตาก่อนดีไหม จะได้กินข้าวกัน ผมให้คนงานเอาข้าวมาส่ง แต่ป่านนี้คงเย็นชืดหมดแล้ว”

เดหลีพยักหน้าพร้อมกระวีกระวาดลุกขึ้น แต่กลับสะดุดชายผ้าห่มหรือจะเป็นเพราะแข้งขาอ่อนโดยไม่รู้ตัวก็ไม่อาจทราบได้ จึงซวนเซเข้าไปในอ้อมแขนเจ้าของบ้านในตอนนั้นเอง เธอจึงวางมือลงบนแผงอกกว้าง ตั้งใจว่าจะใช้เขาเป็นหลักยึดพยุงตัว แต่กลับถูกคนตรงหน้ารวบตัวเข้าไปกอดแน่นแทน

“คุณเข้ม...ไหนคุณบอกว่าจะให้ฉันรีบไปล้างหน้าแล้วไปกินข้าวกันไง” เธอกระซิบถาม

“ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้น แต่พอได้กอดคุณแบบนี้แล้วก็ไม่อยากจะปล่อยไปเลย” เสียงห้าวทุ้มนุ่มนวลคล้ายเสียงพญามารที่ล่อหลอกให้เอวาทำบาป

แต่ถึงจะรู้อย่างนั้น หญิงสาวกลับเต็มใจที่จะโดนล่อลวง

อ้อมแขนของเขมวันต์อบอุ่น เนื้อตัวเขาตึงแน่นไปด้วยมัดกล้าม ทั้งยังกรุ่นกลิ่นอายของบุรุษเพศชวนให้หัวใจเต้นแรง ขณะที่ริมฝีปากร้อนรุ่มซึ่งทาบประทับลงมาบนกลีบปากของเธอก็ทำให้มือทั้งสองข้างของเดหลีอ่อนปวกเปียกจนต้องหาหลักยึด และกลายเป็นกอดรัดอีกฝ่ายแน่นไม่แพ้กัน จุมพิตนั้นอ่อนหวานและเนิ่นนาน จนเธอถึงกับหอบหายใจรัวในที่สุด

เขมวันต์เองก็เช่นกัน เขาจูบเหมือนไม่เคยจูบ เขากอดเหมือนไม่เคยกอด เขาทำราวกับว่าเธอคือของล้ำค่าที่หายไปแล้วเพิ่งได้คืนกลับมา

ขณะที่เธอก็ทำเช่นเดียวกัน เพราะต้องการลบรอยสัมผัสที่เวียนนาฝากเอาไว้ให้เลือนหายไป และเมื่อเริ่มหายใจในจังหวะปกติ ชายหนุ่มก็ค่อยๆ เรียบเรียงคำพูดได้อีกครั้ง

“เรื่องของผมกับเวียนนา...”

เดหลีเอื้อมมือไปปิดปากฝ่ายนั้นไว้ในทันที ค่ำคืนนี้เธอไม่ต้องการได้ยินชื่อคันฉัตรหรือเวียนนาให้ระคายหูและบาดใจอีกแล้ว

“คุณไม่ต้องพูดหรอกค่ะ ฉันรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว รู้ด้วยว่าคุณขู่เธอไปว่ายังไง”

“หือ...” สีหน้าเขมวันต์เหมือนคิดไม่ถึง “คุณรู้ได้ยังไง”

“เพราะฉันมีพรายกระซิบดีมั้งคะ” เธอแสร้งตอบ ก่อนลูบไล้แผ่นอกกว้างของคนตรงหน้าไปมาอย่างรักใคร่และหวงแหน พร้อมนึกถึง ของขวัญ ที่เพื่อนๆ มอบให้ได้ในตอนนั้นเอง 

ยอมรับว่าตอนแรกไม่รู้จะทำอย่างไรกับพวกมันดี แต่ในใจลึกๆ ก็นึกอยากลองทำตามที่สามสาวบอกอยู่เหมือนกัน ดังนั้นแทนที่จะเลือกหยิบมาแต่เสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นจริงๆ  เดหลีก็ตัดสินใจขนของเหล่านั้นมาด้วย เธอจึงรีบเขย่าแขนชายหนุ่มที่โอบรอบตัวอยู่แล้วร้องบอกออกไป

“จริงสิคะ ฉันจอดรถไว้ที่ริมตลิ่งด้านโน้น มันจะเป็นอะไรไหมคะ”

“ถ้าหมายถึงจะหายไหมก็ไม่น่าจะหาย คนแถวนี้ไม่ขี้ขโมย” เขาตอบทันที “แต่ผมไม่รู้ว่ามันจะอยู่ในสภาพเหมือนเดิมหรือเปล่า”

“ทำไมคะ”

“พวกฝูงควายมันชอบลงไปแช่น้ำในลำธารที่คุณเดินลุยข้ามมา ถ้ามันไม่คะนองไปยุ่งกับรถคุณก็คงไม่เป็นอะไร” เขาตอบ ขณะที่เธอผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก

“รู้ไหมคะ ฉันนึกไม่ถึงเลยว่าคุณจะต้องมาทำงานในที่ที่มันไกลปืนเที่ยงขนาดนี้ แล้วถนนหนทางก็ยังกับสนามแข่งรถวิบาก” พูดจบก็รู้สึกผิดปกติ เพราะคนตรงหน้ากลับยิ้มใส่ตามาให้

“ทำไมหรือคะ ฉันพูดอะไรผิดหรือ”

“คุณพูดไม่ผิดหรอก แต่มาผิดทาง ที่นี่ไกลและกันดารก็จริง แต่ถึงยังไงก็มีทางลาดยางตัดมาถึงตัวอำเภอ จะไม่มีก็แต่พวกหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลออกไปติดชายแดนโน่น ที่บางที่ยังตัดถนนเข้าไปไม่ถึง”

“แต่จีพีเอสบอกให้ฉันมาทางนั้นนี่คะ”

“จีพีเอสหลอกคุณให้มาทางลัดที่ไม่ค่อยมีใครใช้กันนอกจากชาวบ้านน่ะสิ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนหยุดพูดกะทันหัน

ดวงตาของเขมวันต์หรี่มองไปทางประตูมุ้งลวดหน้าห้อง พร้อมเอ่ยเสียงเข้มติดกระด้างเฉียบขาดออกไป “ใครอยู่ตรงนั้น” 
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น