16

ตอนที่ 16



ยามเช้าที่ห้วยผาเซาะ ไม่เหมือนยามเช้าในกรุงเทพฯ

อากาศที่นี่เย็นกว่าเมืองหลวงมาก น่าสบายชวนให้ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม แต่น่าเสียดายที่ช่วงเวลาเช้าตรู่ในชนบทถือเป็นช่วงเวลาที่มีค่ายิ่ง ทั้งยังอึกทึกครึกโครมที่สุดด้วย เพราะไหนจะเสียงไก่ทั้งหมู่บ้านที่ผลัดกันขันจนแสบหู ไม่อาจข่มตานอนต่อได้

ไหนจะเสียงกระดึงวัวควายที่ถูกต้อนออกไปกินหญ้าหรือไถนา แล้วยังจะเสียงร้องไห้กระจองอแงของลูกคนงานที่ถูกปลุกในยามเช้า

เสียงพื้นไม้กระดานลั่น เพราะเพื่อนร่วมบ้านเขมวันต์ที่ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ไปเข้าเวร

เสียงของตก เสียงเปิดปิดประตูห้อง...ไปถึงกลิ่นอาหารเช้าที่โชยมาเข้าจมูก

เดหลีเลยไม่อาจจะทำตัวขี้เกียจ เป็นนางห้องอยู่ได้ เธอผุดลุกขึ้นไล่เลี่ยกับเขมวันต์ ช่วยเขากลัดกระดุมเสื้อ และนั่งเป็นเพื่อนตอนที่ชายหนุ่มดื่มกาแฟ เดินไปโบกมือลานายแพทย์คนเก่งที่หน้าบ้าน จากนั้นก็ตั้งใจว่าหลังจากอาบน้ำแต่งตัวแล้วจะออกไปสำรวจรอบๆ โรงพยาบาลตามที่บอกกับอีกฝ่ายเอาไว้

แต่ยังไม่ทันได้ทำตามที่ตั้งใจไว้ ก็ได้ยินเสียงเรียกดังขึ้นเสียก่อน พอมองไปก็พบว่าเพียงขวัญยืนอยู่ตรงนั้น

เดหลีทำหน้านิ่ว เพราะทราบว่าคณะแพทย์อาสาเดินทางกลับไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำเมื่อวานแล้ว

“ถ้าคุณมีธุระกับหมอเข้ม ก็ต้องไปที่โรงพยาบาลค่ะ เขาไปทำงานแล้ว” เดหลีบอกออกไปแบบนั้น แต่คนตรงหน้ากลับส่ายหน้าน้อยๆ แทน

“ฉันไม่ได้มีธุระกับพี่เข้ม แต่ฉันอยากขอคุยกับคุณหน่อย”

เดหลีเลิกคิ้วน้อยๆ นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายจะคุยอะไรกับเธอ แต่ถึงอย่างนั้นปากก็บอกออกไป “ได้ค่ะ พูดมาเลย”

เพียงขวัญขบริมฝีปากเหมือนกำลังลังเล ส่วนมือทั้งสองข้างก็จับกันบิดไปมาจนน่ากลัวว่าจะพันกันจนแกะไม่ออก ท่าทางกระสับกระส่ายจนเห็นได้ชัด และถ้าแพทย์หญิงคนสวยไม่ได้ให้ความสนใจเขมวันต์จนออกนอกหน้า เดหลีก็คงจะมองภาพนี้ด้วยความเอ็นดูไปแล้ว

ทว่าตอนนี้เธอทำได้แค่ยืนกอดอก ทอดตามองอีกฝ่ายอย่างเฉยชา

คนตรงหน้ากระแอมกระไออยู่นาน กว่าจะเปล่งเสียงออกมาได้ “ฉันรู้มาว่าคุณจะแต่งงานกับพี่เข้ม”

“ค่ะ”

“คุณ...คุณแน่ใจแล้วหรือคะ” คำถามนี้ผ่านริมฝีปากอย่างรวดเร็ว ราวกับเพียงขวัญเองก็ต้องรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี ถึงจะเอ่ยถามออกมาได้

เดหลีมองอีกฝ่ายอย่างขบขันระคนรำคาญ “ทำไมฉันถึงจะไม่แน่ใจล่ะคะ”

“เพราะคุณแตกต่างจากพี่เข้มมาก พวกคุณมาจากคนละสังคมกัน คนละสภาพแวดล้อม”

“แล้ว?

“แล้วพี่เข้มก็มีลูกแล้วด้วย หนูนิดไม่ใช่เด็ก แกโตแล้ว คุณไม่กลัวว่าจะมีปัญหาครอบครัวหรือคะ”

“ฉันจะกลัวหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับคุณนี่ แล้วถ้าคุณยังไม่รู้ ฉันก็จะบอกให้รู้เอาไว้ว่า ตอนนี้หนูนิดอยู่กับฉันที่กรุงเทพฯ ฉันมีชื่อว่าเป็นผู้ปกครองแกที่โรงเรียน ส่วนเรื่องฐานะ หรือสภาพสังคมอะไรที่คุณพูดออกมา ฉันไม่เคยสนใจ คุณเข้มเองก็ไม่เคยสนใจเหมือนกัน เราเลยไม่เข้าใจว่าคนอื่นจะมาเดือดร้อนแทนเราไปทำไม”

คำตอบของเธอทำให้พวงแก้มคนตรงหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายระคนเกรี้ยวกราด แต่เดหลีไม่สนใจ ตอนแรกเธออาจจะวิตกกับเพียงขวัญอยู่บ้าง เพราะฝ่ายนั้นอ่อนเยาว์กว่า และสนิทสนมกับเขมวันต์มาตลอดในช่วงหลายปีนี้ ทว่าพอได้ฟัง ได้เห็นการกระทำของอีกฝ่าย เดหลีก็มั่นใจว่ายังเป็นต่อเพียงขวัญอยู่หลายแต้ม

แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ง่ายๆ เพราะอีกฝ่ายสูดจมูกแรงๆ คล้ายกลั้นสะอื้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับเธอในที่สุด

“ที่คุณพูดมาก็ไม่ถูกเสียทีเดียวนัก ในสายตาคุณฉันอาจเป็นคนนอก แต่สำหรับพี่เข้ม ฉันเหมือนน้องของเขาคนหนึ่ง พี่ชายฉันเป็นเพื่อนเขา ฉันเองก็เรียนเป็นรุ่นน้องเขา ครอบครัวเขากับครอบครัวฉันก็รู้จักกันดี ลุงของฉันก็เคยเป็นเจ้านายของเขา ส่วนหนูนิดเอง ฉันก็เห็นมาตั้งแต่ตัวเท่าเมี่ยง พี่เข้มเองจะทำอะไร ฉันก็คอยช่วยมาตลอด...”

“คุณเลยคิดว่า เพราะแบบนี้คุณสมควรเป็นเมียเขามากกว่าฉัน” เดหลีตัดบทด้วยน้ำเสียงมะนาวไม่มีน้ำ ไม่มีแก่ใจจะฟังคำอธิบายชักแม่น้ำห้าสิบสายของอีกฝ่าย

เพียงขวัญสะดุ้งนิดๆ คิดไม่ถึงว่าเดหลีจะสามารถเอ่ยคำที่แทงใจดำออกมาได้ชัดเจน แต่สุดท้ายก็ควบคุมสติได้ “ฉันไม่ได้พูดแบบนั้น แต่ฉันแค่อยากรู้ว่าคุณคิดว่าคุณจะเป็นเมียพี่เข้มได้จริงๆ หรือ คุณรู้จักเขาดีแค่ไหน เคยรู้บ้างไหมว่าเขาเคยยกเงินเดือนทั้งเดือนติดต่อกันสามเดือน ให้แก่ครอบครัวคนไข้ที่ประสบอุบัติเหตุตายกะทันหัน เหลือแต่ลูกเล็กๆ กับย่าแก่ๆ เลี้ยงดู เคยรู้ไหมว่าเขาทำงานหนักขนาดเป็นลมในห้องทำคลอดมาแล้ว”

“ฉันไม่รู้เรื่องพวกนั้นหรอก และไม่คิดว่าจำเป็นที่จะต้องรีบร้อนรู้ด้วย ระหว่างฉันกับเขายังมีเวลาอีกยาวนานให้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน คุณเองก็เหมือนกัน มีเวลาอีกเยอะแยะสำหรับเรียนรู้คนใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิต ไม่จำเป็นต้องรู้หรือใส่ใจเรื่องหมอเข้มคนเดียวหรอก” เดหลีตัดบทเลือดเย็นและไม่เกรงใจ ไม่คิดจะสนใจดวงตาเพียงขวัญที่วาววับด้วยหยาดน้ำตา

สิ่งใดที่เดหลีตั้งใจว่าจะไขว่คว้ามาครอบครอง เธอก็จะต้องทำให้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเปรียบกับขวากหนามที่ผู้เป็นมารดาพยายามสร้างขึ้น สิ่งที่เพียงขวัญทำในวันนี้ถือว่าเล็กยิ่งกว่าไรฝุ่น

ดังนั้นเดหลีจึงมองไม่เห็นแพทย์หญิงคนสวยอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับสายตาเกรี้ยวกราดระคนเจ็บช้ำของอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ 

เพียงขวัญจะรัก จะหวงเขมวันต์ก็เป็นเรื่องของเพียงขวัญ ขอแค่นายแพทย์หนุ่มไม่ได้หวั่นไหวไปกับฝ่ายนั้นเธอก็พอใจแล้ว

ส่วนตัวเธอเองนั้นก็ไม่คิดจะไปห้ามปรามเรื่องความรู้สึกของคุณหมอสาวได้อย่างไร ขอแค่ฝ่ายนั้นยอมรับความพ่ายแพ้ในศึกรักครั้งนี้ได้ เดหลีก็ยอมปิดตาไม่ใส่ใจกับหญิงสาวผู้นี้อีกต่อไป

แต่ถ้าเพียงขวัญยังเซ้าซี้ไม่เลิก เดหลีจะไม่มีวันยอมอ่อนข้อให้เด็ดขาด

ความคิดนี้ทำให้เดหลีหันหลังให้อีกฝ่ายอย่างไม่แยแส และเพราะเหตุนี้เธอจึงไม่เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บช้ำและฮึดสู้ของเพียงขวัญ

สายตาของคนซึ่งรู้ตัวดีว่ากำลังจะสูญเสียของรักที่สุดไปต่อหน้าต่อตา เลยต้องพยายามยื้อยุดไว้ให้ถึงที่สุด

 

แม้วันนี้อากาศจะร้อนอบอ้าว แต่เขมวันต์กลับอารมณ์ดีอย่างประหลาด คงเพราะการมีหน่วยแพทย์อาสามาลงพื้นที่ติดกันหลายวันในช่วงที่ผ่านมา ทำให้คนไข้ในวันนี้น้อยกว่าปกติ เขาจึงพอจะมีเวลาพูดจาเล่นหัวกับเพื่อนร่วมงานได้บ้าง ทั้งยังตั้งใจว่าจะรีบกลับบ้านพาเดหลีออกไปกินข้าวที่เรือนแพของชาวบ้าน ซึ่งอยู่ไกลออกไปในหมู่บ้านรอบนอก

ทว่าพอกลับถึงบ้านพัก เดหลีกลับหายไป คิดว่าอีกฝ่ายคงออกไปสำรวจรอบๆ อย่างที่บอกกับเขาเอาไว้ ชายหนุ่มเลยตัดสินใจอาบน้ำให้สดชื่น ตั้งใจว่าจะมานั่งรับลมที่ระเบียงระหว่างรอหญิงสาว...

เขมวันต์นุ่งผ้าขาวม้าเดินออกจากห้องน้ำด้วยหยาดน้ำที่เกาะตัวพราว เพราะคิดว่าจะกลับมาโรยแป้งเย็นต่อในห้อง ทว่ากลับต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจระคนคาดไม่ถึง เมื่อพบว่าเพียงขวัญกำลังรอเขาอยู่...

บนเตียง!

แม้ฝ่ายนั้นจะไม่ได้เปลือยเปล่าหรืออยู่ในชุดที่ชวนวาบหวิวใจ แต่การที่พวกเขาอยู่ด้วยกันตามลำพังในที่รโหฐานแบบนี้ย่อมไม่ดีแน่

ใบหน้านายแพทย์หนุ่มบึ้งตึงขึ้นมาทันทีตอนยืนปักหลักที่หน้าประตูห้อง แล้วกอดอกมองรุ่นน้องสาวสวยด้วยสายตาเย็นชา “ผิงเข้ามาทำไม ออกไป พี่จะแต่งตัว”

คำพูดอย่างไร้เยื่อใยไมตรีของเขาทำให้เพียงขวัญมองมาอย่างตัดพ้อ “ผิงมีเรื่องจะพูดกับพี่เข้ม”

“จะพูดก็ออกไปรอข้างนอก”

เขมวันต์เอื้อมมือจะเปิดประตูห้อง แต่กลับพบว่าเปิดไม่ออกเอาดื้อๆ เหมือนมีคนดึงลูกบิดจากอีกด้านไว้ ชายหนุ่มเลยจะหันไปมอง ทว่าร่างเล็กอวบอิ่มของเพียงขวัญกลับโถมเข้ากอดรัดเขาเสียก่อน

“เฮ้ย! อะไรกันผิง” ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก ลืมเรื่องประตูไปเสียสนิท หันมาแกะมือเล็กๆ ที่โอบรัดรอบตัวแน่นเหนียวราวมือตุ๊กแก มิหนำซ้ำการยื้อยุดครั้งนี้ ยังทำให้ปมผ้าขาวม้าที่ขมวดไว้หลวมๆ ทำท่าจะคลายออกได้ทุกเวลา

เขมวันต์ไม่สามารถผลักหญิงสาวรุ่นน้องให้ออกไปจากตัวได้อย่างที่ต้องการ

ขณะที่อีกฝ่ายก็ไม่ให้ความร่วมมือกับเขาแม้แต่น้อย เพียงขวัญกอดเอวเขาแน่น แล้วซบหน้าลงกับแผ่นอกกว้างอย่างหมายจะใช้เป็นที่พักพิงและซับน้ำตา

“ผิงไม่ไป ถ้าผิงไป พี่เข้มจะไม่ยอมพูดกับผิงไปตลอดแน่ๆ”

“แต่ถ้าเราทำแบบนี้ พี่ก็จะไม่พูดกับเราเหมือนกัน” เขาเอ็ดเสียงจริงจัง

คนตัวเล็กกว่าสะอื้นฮัก ก่อนจะเงยหน้ามองเขาทั้งน้ำตา “ทำไมคะ ผิงไม่ดียังไง ไม่เหมาะสมกับพี่เข้มตรงไหน ทำไมถึงเป็นแม่ให้หนูนิดไม่ได้ พี่เข้มบอกผิงมาสิ บอกมา”

“แน่ใจนะว่าอยากฟังจริงๆ” ชายหนุ่มย้อนเสียงเย็น

“ผิงอยากรู้ อยากรู้ว่าทำไมพี่เข้มถึงไม่ยอมให้โอกาสผิงเลย” เพียงขวัญยังคงเซ้าซี้ ท่าทางเหมือนน้องสาวตัวเล็กๆ ที่ดื้อรั้นงอแง ยามพี่ชายคนโตไม่ยอมซื้อขนมโปรดให้กิน

เขมวันต์ตัดสินใจตอบไปตรงๆ “เพราะพี่ไม่ได้รักผิง” เขาไม่เห็นประโยชน์ที่จะอ้อมค้อมต่อไป “พี่เห็นผิงเป็นเหมือนน้องสาว”

“แต่ผิงไม่อยากเป็นน้องสาว” อีกฝ่ายปล่อยโฮ ซ้ำยังกอดแน่นเสียจนเขมวันต์ลำบากใจ

เขาพยายามแกะมือของเพียงขวัญออก แต่ก็ไม่สำเร็จ หญิงสาวตัวเล็กกว่าเขาตั้งเยอะ แต่กลับมีเรี่ยวแรงมากจนน่าแปลกใจ คงเป็นอะดรีนาลินที่หลั่งออกมาทำให้เธอแรงเยอะขนาดนี้

เมื่อผลักไสคนตรงหน้าให้พ้นไปจากตัวไม่ได้ และไม่รู้จะปลอบอีกฝ่ายอย่างไร ชายหนุ่มเลยยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้เพียงขวัญร้องไห้ให้พอใจ

เหนื่อยก็คงหยุดไปเอง แต่หญิงสาวกลับไม่ยอมหยุดง่ายๆ

เมื่อเห็นเขาไม่พูด เพียงขวัญเป็นฝ่ายพูดออกมาเสียเอง “ผิงไม่เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นจะเหมาะสมกับพี่เข้มตรงไหน เขาเป็นนักธุรกิจ เป็นเซเล็บ เป็นลูกสาวมหาเศรษฐี ที่วันๆ เอาแต่เฉิดฉายในวงสังคมชั้นสูง ตามงานบอล งานปาร์ตี้ เขาจะมาทนอยู่ป่า อยู่ดอย คอยพี่เข้มที่บ้านสวนได้ยังไงกัน แล้วเขาก็ไม่ได้มีอาชีพเหมือนเรา เขาไม่มีวันเข้าใจความทุ่มเทของหมออย่างพี่เข้มที่มีให้คนไข้หรอก ตอนนี้เขาสนใจพี่เข้ม ก็เพราะคงไม่เคยเจอคนแบบพี่เข้มมาก่อน แต่สักวันพอเขาชิน เขาก็จะเบื่อ แล้วพี่เข้มจะทำยังไง กลายเป็นพ่อม่ายซ้ำสองหรือคะ”

เขมวันต์เม้มปากแน่นด้วยความขัดเคืองและแสลงใจ เพราะสิ่งที่เพียงขวัญถาม ไม่ใช่เขาไม่เคยถามกับตัวเอง

ลึกๆ แล้วเขมวันต์ยอมรับว่าวิตกเสมอ ว่าสักวันเซเล็บสาวจะเบื่อหน่ายกับสิ่งที่เขาทำ และสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ แรกๆ ความแปลกใหม่อาจทำให้เธอทนได้กับสิ่งที่เขาเป็น แต่พอนานไป ใครจะรับประกันได้ว่าเดหลีจะไม่เบื่อหน่าย รำคาญ หรือเกลียดอาชีพของเขา และเธอจะอยู่ที่บ้านสวนอันแสนเรียบง่ายของเขาได้จริงๆ หรือ

บ้านสวนที่แตกต่างจากคฤหาสน์ของครอบครัวเธอราวฟ้ากับเหว ไม่มีสิ่งหรูหรา อำนวยความสะดวกเหมือนคอนโดฯ ของเธอแม้แต่น้อย

ทว่าเขมวันต์ไม่อยากยอมรับเรื่องเหล่านี้กับเพียงขวัญ เขาจึงมองอีกฝ่ายอย่างเฉยชา “ขอบคุณที่เป็นห่วงพี่ แต่ถ้าพี่จะต้องเป็นม่ายซ้ำอีกครั้งเพราะคุณเดย์ พี่ก็ยินดี”

“อะไรนะคะ” หญิงสาวเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

“และพี่ก็ไม่สนใจเรื่องความแตกต่างของพี่กับคุณเดย์ที่ผิงพูดด้วย”

“พี่เข้ม...พี่เข้มจะหูหนวกตาบอดไปถึงไหนกัน” เพียงขวัญเขย่าแขนเขาอย่างเหลืออด แต่เขมวันต์กลับมองเธออย่างชืดชา

“พี่ว่า ก่อนที่ผิงจะถามคำถามนี้กับพี่ ผิงถามตัวเองก่อนดีกว่าไหม ว่าผิงจะหูหนวกตาบอดแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน”

“ผิงทำอะไรนะคะ” อีกฝ่ายถามเสียงสั่น มองเขาด้วยสายตาตื่นตะลึงปนเสียใจ

“ผิงก็รู้ว่าพี่รักคุณเดย์ และเห็นผิงเหมือนน้องสาว แล้วทำไมผิงถึงแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่ยอมรับสักที ผิงทำแบบนี้พี่ลำบากใจมากรู้ไหม และถ้าผิงยังไม่หยุด...พี่คงไม่ได้แค่ลำบากใจ แต่คงต้องเกลียดผิงเข้าสักวัน”

คำพูดของเขมวันต์เหมือนไม้หน้าสามที่ตีแสกหน้าฝ่ายนั้นเข้าอย่างจัง เพียงขวัญหน้าซีดจนเกือบเป็นสีเทา และยืนโงนเงนประหนึ่งต้นหญ้าที่ถูกสายลมกรรโชกใส่

เขมวันต์เห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็รู้จักกันมานาน เลยไม่อยากทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายมากกว่านี้ แต่จะให้ปลอบต่อ หรือเอาอกเอาใจเพียงขวัญต่อไป เขาก็ทำไม่ได้

ชายหนุ่มเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบชุดออกไปเปลี่ยนที่ห้องน้ำ ตั้งใจว่าจะออกไปจากห้องนี้ พร้อมๆ กับที่ก้าวออกจากชีวิตอีกฝ่ายโดยปราศจากความอาลัย

แต่จู่ๆ เพียงขวัญก็โถมเข้ากอดรัดเขาอีกรอบ คราวนี้แรงของเธอทำให้ชายหนุ่มถึงกับเซล้มลงไปนอนกองบนพื้นโดยมีร่างเล็กอวบอิ่มทับอยู่ด้านบน

“ผิงไม่อยากให้พี่เข้มเกลียดผิง และผิงก็ไม่มีวันยอมให้พี่เข้มทิ้งผิงไปไหนด้วย พี่เข้มต้องเป็นของผิง” หญิงสาวพูดพร้อมก้มหน้าต่ำลงมา เป้าหมายคือริมฝีปากของเขา...

เขมวันต์ถึงกับเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ ใครจะไปคิดว่าเพียงขวัญที่เคยเรียบร้อย อ่อนโยน เหมือนเด็กไม่รู้จักโต จะกล้าผลักเขาแล้วขึ้นคร่อม ซ้ำยังทำท่าจะจับเขากินเช่นนี้

แต่ก่อนที่เขมวันต์จะทันได้เบือนหน้าหนีหรือผลักอีกฝ่ายออก ก็ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดผลัวะโดยแรง พร้อมกับลมหอบหนึ่งผ่านวูบตรงใบหน้าไป

สิ่งที่เกิดขึ้นรวดเร็วเสียจนเขามองไม่ทัน มารู้สึกตัวอีกทีก็พบว่ารอดพ้นเงื้อมมือของรุ่นน้องสาวสวยไปได้อย่างหวุดหวิด เพราะกำปั้นของหญิงคนรัก

เดหลียืนหน้าบึ้ง ตาเขียว และกำหมัดแน่นด้วยท่าทางของนักมวยหญิงที่เพิ่งน็อกเอาต์คู่แข่งไปได้ในหมัดเดียว

“คุณชกผิงทำไม” ชายหนุ่มถามอย่างงุนงง

คนถูกถามแยกเขี้ยวใส่ “หรือคุณจะให้ฉันรอจนกว่ายายนี่จะข่มขืนคุณเสร็จก่อน”

เขมวันต์ฟังแล้วก็อดหัวเราะพรืดไม่ได้

เขาน่ะหรือจะถูกเพียงขวัญข่มขืน แค่คิดก็ขำแล้ว แต่เดหลีคงไม่ขำไปด้วย เพราะใบหน้าเรียวสวยงอคว่ำ และจ้องมองมาอย่างเอาเรื่อง

“ยังจะหัวเราะอีกหรือ” เธอขู่ ก่อนตวัดสายตามองหมิ่นที่ผ้าขาวม้าของเขาอย่างชิงชัง “และถ้าคุณไม่อยากโดนฉันชกเป็นคนที่สองก็รีบไปแต่งตัวให้เรียบร้อย”

“แล้วผิง...” เขายังละล้าละลัง

เดหลีปรายตามองเพียงขวัญด้วยสายตาเป็นอริ จากนั้นก็แค่นเสียงออกมา “ปล่อยเอาไว้แบบนี้แหละ ฉันชกไปแค่เบาๆ อีกประเดี๋ยวก็คงรู้สึกตัว หรือถ้าคุณเป็นห่วงนัก จะช่วยผายปอดแบบเมาท์ทูเมาท์ให้ก็ได้นะ ฉันไม่ถือ”

คำพูดของเธอทำให้เขาทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งด้วยความขบขันผสมยินดีด้วยส่วนหนึ่ง

เพราะก่อนหน้านี้ เดหลีไม่ค่อยแสดงความหึงหวงออกมาบ่อยนัก แต่ใครจะคิดว่าเธอเป็นนางเสือหลับโดยแท้ ซ้ำยังหวงของเป็นที่หนึ่ง จนคู่กรณีลงไปนอนนับดาวเลยทีเดียว

แต่เดหลีคงไม่ขำไปด้วย เพราะเธอมองเขาอย่างหมางเมิน ก่อนจะเดินปึงปังออกไป

เขมวันต์ยอมรับว่ากลัวเมีย...เอ่อ ไม่อยากมีปัญหา เลยรีบทำตามที่เดหลีสั่งแทบไม่ทัน แต่ก่อนออกจากบ้านเขาไม่ลืมที่จะร้องบอกพี่เลี้ยงของเพียงขวัญที่ยืนลับๆ ล่อๆ อยู่แถวหน้าบ้าน

“นายของเธอเป็นลมอยู่ข้างในบ้าน ไปดูทีไป แต่ถ้าจะให้ดี รีบพาเขากลับบ้านไปเลยจะดีที่สุด”

ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นตอบว่าอย่างไร เพราะชายหนุ่มจดจ่ออยู่ที่หญิงสาวซึ่งกำลังเดินมุ่งหน้าไปทางลำธารที่อยู่ไม่ไกลนัก

 

พระอาทิตย์ใกล้ตกดินเต็มทีแล้ว อากาศเลยเริ่มขมุกขมัว อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว เดหลีไม่ทันได้เตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วย เลยยืนกอดอก ทอดตามองสายน้ำใสสะอาดเบื้องหน้าระหว่างรอชายคนรัก

ไม่นานนัก เขมวันต์ก็จัดการนำแจ็กเกตกันลมตัวหนานุ่มคลุมทับให้ พอหันไปเห็นฝ่ายนั้นส่งยิ้มเอาอกเอาใจมาให้ พร้อมมองมาด้วยสายตาง้องอนใจก็แทบจะอ่อนยวบ แต่ความโมโหและหงุดหงิด ทำให้เดหลีเลือกที่จะเมินหน้าหนี

ถ้าไม่ใช่เขาขยันทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนดี เพียงขวัญก็คงไม่อาจหาญกระโดดขึ้นคร่อมแบบนี้หรอก

“อยากให้ผมอธิบายไหม” น้ำเสียงเขาอ่อนลงจนเกือบเป็นออดอ้อน

คนถูกอ้อนส่ายหน้าเด็ดเดี่ยว

“แต่ผมอยากอธิบาย”

คนฟังหันมองตาเขียว “งั้นคุณจะถามทำไมว่าฉันอยากให้คุณอธิบายไหม”

“มันเป็นมรรยาท” ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน สีหน้าเหมือนเด็กที่ถูกผู้ใหญ่จับได้ว่าทำผิด เลยพยายามทำดีไถ่โทษทุกวิถีทาง “ฟังผมหน่อยนะ”

“ไม่...ฉันได้ยินที่พวกคุณคุยกันหมดแล้ว ไม่ต้องเล่าอะไรอีกแล้ว” เดหลีเอ่ยเสียงสะบัด

เธอกลับเข้าบ้านมาได้สักพักแล้ว มัวแต่แปลกใจ ที่จู่ๆ หน้าห้องของเขมวันต์มีหญิงสาววัยต้นสามสิบคนหนึ่งยืนจับลูกบิดประตูแน่น ทำทีท่าเหมือนจะเข้าไปแต่ก็ไม่กล้า ยืนอยู่อย่างนั้นนิ่งนาน จนเดหลีถามไปว่ามีธุระอะไร

หญิงสาวคนนั้นไม่เพียงไม่ตอบ แต่กลับสะดุ้งโหยง ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมสบตา ขณะพึมพำกลับมาว่าไม่มีอะไร แล้วก็รีบวิ่งออกไปจากบ้านเสียอย่างนั้น เดหลีจะตามไปอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้ยินเสียงของเพียงขวัญดังขึ้นเสียก่อน เลยได้แต่ยืนนิ่งขึงรอฟังคำตอบจากเขมวันต์ด้วยใจลุ้นระทึก

หญิงสาวเคยอยากรู้เหมือนกันว่าเขาคิดอย่างไรกับเรื่องนั้น...เรื่องที่เธอคืออัศวฤทธาคนหนึ่ง เรื่องที่ฐานะ สภาพแวดล้อม และวงสังคมที่อยู่ของพวกเขาทั้งคู่ห่างไกลกันแสนไกลจนเหมือนอยู่บนดาวคนละดวง และเมื่อได้ยินคำตอบของชายหนุ่ม เดหลีก็อดดีใจไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันก็นึกสงสัยว่าทำไมเพียงขวัญถึงไม่ยอมออกมาเสียที

รออยู่นานจนทนไม่ไหวเลยเปิดเข้าไปดู แต่กลับเจอภาพบาดตาเข้าเสียก่อน

ยายนั่นตั้งใจจะกินผู้ชายของเธอ! คนที่เธอยังไม่ได้แอ้มสักครั้งหนึ่ง!

เดหลีไม่ชอบกินของเหลือจากใคร และไม่ชอบให้ใครมาแย่งของกินของเธอ กำปั้นที่ได้มาจากการเรียนคลาสออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อเลยถูกนำมาใช้ในตอนนั้นเอง เป้าหมายคือปลายคางของแพทย์หญิงคนสวย และแรงหึงทำให้ออกหมัดแรงกว่าปกติ จนเพียงขวัญลงไปนอนนับดาวกับพื้นอย่างไม่ทันรู้ตัว...

นึกถึงตรงนี้ก็อดยิ้มด้วยความสะใจไม่ได้

เขมวันต์ที่เฝ้ามองอยู่ถอนหายใจยาวคล้ายโล่งอก “ถ้าคุณได้ยินหมดแล้ว ก็ต้องรู้สิว่าผมพูดว่าอะไร แล้วทำไมถึงโกรธผม”

เดหลีฟังแล้วก็อดขึงตาใส่อีกฝ่ายไม่ได้...ไหนใครบอกว่าหมอฉลาด แล้วทำไมเรื่องแค่นี้เขาถึงไม่เข้าใจ

“ก็ทำไมคุณถึงแต่งตัวล่อเสือล่อตะเข้นักเล่า” เธอเค้นเสียงใส่ราวกับเขาเป็นสาวน้อยอ่อนโลก และเพียงขวัญคือโจรโฉดหื่นกาม

คำถามนี้ทำให้เขมวันต์ยิ้มกว้างออกมา “ใครบอกว่าผมแต่งตัวล่อเสือล่อตะเข้ ผมก็แค่นุ่งผ้าขาวม้าของผมตามปกติ”

“ต่อไปคุณห้ามนุ่งผ้าขาวม้าอีกแล้ว เข้าใจไหม” เดหลีกระชากเสียงใส่

“เข้าใจคร้าบ...จะไม่นุ่งผ้าขาวม้าแล้ว” เขารับปากรวดเร็ว

เดหลีพอใจขึ้นมาอีกนิด และสอบสวน ต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม “แล้วทำไมเมื่อกี้คุณถึงไม่ผลักยายนั่นออก” 

“ก็ผมมัวแต่ตกใจ แล้วคุณก็เข้ามาไวมาก...แถมยังชกผิงจนหงายเก๋งไปเสียอีก”

“ก็ถ้าฉันไม่เข้าไป คุณก็คงโดนข่มขืนไปแล้วละ”

“คุณคิดว่าผมจะสมยอมง่ายๆ งั้นหรือ”

“ใครจะไปรู้ คุณอาจรอโอกาสนี้อยู่แล้ว”

“ผมรอโอกาสนี้อยู่จริง แต่ไม่ใช่กับผิง...เป็นกับคุณต่างหาก” เขมวันต์ขยับเข้าใกล้และรวบร่างเธอไปกอดแนบอก “จริงๆ วันนี้ผมตั้งใจกลับบ้านเร็ว กะจะเซอร์ไพรส์คุณสักหน่อย แต่คุณกลับหายไปไหนก็ไม่รู้”

“เลยเจอบิ๊กเซอร์ไพรส์เลย” หญิงสาวแกล้งพูด ทำให้อีกฝ่ายยิ่งรัดร่างเธอแน่นขึ้น

“ยังจะพูดอีก เพราะคุณทีเดียวที่หนีไปเที่ยว เห็นไหม ผมเกือบได้น้องผิงมาเป็นเมียโดยประมาทเสียแล้ว” น้ำเสียงต่อว่ามีกังวานน้อยใจ ดูไม่สมกับรูปร่างใหญ่โตและใบหน้าดุดันแม้แต่นิดเดียว

แต่เดหลียังไม่ยอมใจอ่อนง่ายๆ แม้จะรู้สึกว่าเขมวันต์ทำตัวเหมือนเด็กชายตัวน้อยๆ ที่แสนจะขี้อ้อนขึ้นทุกที

“แล้วไม่ดีหรือ พวกคุณมีอาชีพเดียวกันและอยู่ในจังหวัดเดียวกัน เป็นพี่น้องร่วมคณะ ร่วมสถาบันเดียวกัน แม่หมอผิงก็รู้จักพ่อของคุณ พี่ชายเธอกับคุณก็เป็นเพื่อนกัน เหมาะสมกันอย่างกับมีดกับกรรไกรผ่าตัด”

“เคยได้ยินแต่เขาบอกว่า กิ่งทองใบหยก มีดกับกรรไกรผ่าตัดนี่มาจากไหน”

“ก็พวกคุณเป็นหมอเหมือนกัน เป็นมีดกับกรรไกรผ่าตัดนี่ละใช่เลย”

“ไม่ละ ผมไม่อยากมีเมียเป็นหมอ แค่ผมเป็นหมอคนเดียวก็พอ ประเดี๋ยวจะมาแย่งผมบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม มาแย่งผมจ่ายยา หรือรักษาคนไข้ ทำงานกันคนละอาชีพแบบคุณกับผมนี่ละดีแล้ว”

“แต่ฉันมันสาวสังคม ชอบเข้างานบอล เป็นปาร์ตี้เกิร์ลนะ” เธอแกล้งพูด เพราะยังเจ็บใจไม่หาย

“ก็ดีสิ...คุณจะได้ลากผมไปให้ไกลๆ จากห้องผ่าตัด หรือเตียงทำคลอดเสียบ้าง”

“คุณไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม” เดหลีตัดสินใจเงยหน้าขึ้น มองค้นคว้าในดวงตาคู่คมของคนพูด

“ใครจะกล้าล้อเล่นกับ เดหลี อัศวฤทธา กัน” น้ำเสียงของเขาแฝงแววยั่วเย้าเต็มที่ ดูเหมือนเขมวันต์จะชอบใจเป็นอย่างมากที่ทำให้เดหลีหน้าบึ้ง

เพราะเวลาเธอหน้าบึ้ง ปากจะเชิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว และทำให้เขาขโมยจูบได้ถนัดขึ้น

หญิงสาวร้องอึกอักอยู่นานหลายนาที กว่าโจรขโมยจูบตรงหน้าจะยอมถอนเรียวปากออก “ฉันถาม คุณยังไม่ได้ตอบเลย แล้วมารังแกกันทำไม”

“ใครบอกรังแก” เขาใช้ปลายนิ้วหัวแม่โป้งลูบไล้กลีบปากล่างที่บวมน้อยๆ ให้เธออย่างเอาใจ “ผมสาบานกับคุณด้วยจูบนี้ต่างหาก ว่าที่พูดไปทั้งหมดคือความจริง...และนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะพูดเรื่องผิงกัน เพราะผมไม่เคยรักเขา ไม่เคยเห็นเขาเป็นมากกว่าน้อง ดังนั้น ไม่ว่าเมื่อครู่คุณจะเห็น หรือได้ยินอะไร ขอให้รู้ไว้ว่าผมไม่เคยต้องการที่จะทำ หรือไม่ได้คิดจะพูดแบบนั้นเลย ทุกอย่างผิงคิดไปเองทั้งหมด”

เดหลีถอนหายใจยาวกับคำพูดของอีกฝ่าย และสวมกอดเขาแน่นขึ้นอีกนิด ตอนเงยหน้ามองชายหนุ่มด้วยสายตาค้นคว้า “ฉันรู้ค่ะ แต่...ก็อดหมั่นไส้ไม่ได้”

รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่ขอบปากคนฟัง พร้อมเสียงห้าวกระซิบพึมพำกลับมา “เด็กขี้อิจฉา”

หญิงสาวย่นจมูกกับคำพูดนั้น แต่ขณะเดียวกันก็นึกถึงประโยคหนึ่งของเพียงขวัญขึ้นมาได้ และเขมวันต์ก็คงจะสังเกตเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของเธอ

“หรือว่าผมยังพูดไม่เคลียร์ อยากถามอะไรอีกหรือเปล่า”

“ไม่ใช่เรื่องของคุณกับหมอผิงหรอกค่ะ แต่เป็น...เรื่องงานของคุณ”

“งานของผมทำไม”

“ฉันได้ยินมาว่า คุณถึงกับเป็นลมในห้องทำคลอด จริงหรือเปล่าคะ”

คิ้วเข้มของคนถูกถามขมวดมุ่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น และดวงตาก็แฝงแววดุขึ้นมาทันที “ใครบอกคุณกัน”

“จริงใช่ไหมคะ”

“มันก็แค่เหตุบังเอิญ และไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ คุณไม่ต้องห่วงหรอก”

“จะไม่ห่วงได้ยังไงกันคะ” เดหลีท้วงแล้วมองอีกฝ่ายอย่างไม่สบายใจนัก “ถ้าคุณเป็นอะไรไป ฉันจะทำยังไง”

เขมวันต์เม้มปากอยู่นานเหมือนชั่งใจ ก่อนยอมเอ่ยออกมา “แต่นี่เป็นทางเดียวที่ผมจะพิสูจน์ตัวเองให้คุณแม่คุณเห็น”

เดหลีคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนี้ เลยได้แต่ยืนอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนถอนหายใจยาว แล้วบอกอีกฝ่ายอย่างจริงจัง

“เชื่อฉันเถอะค่ะ ว่าทำแบบนี้ไปไม่มีประโยชน์หรอก แม่ไม่มีวันยอมรับคุณ ต่อให้คุณเป็นหมอรางวัลแมกไซไซ หรือได้รางวัลโนเบล แม่ก็ไม่สนใจหรอก แต่แม่จะสนใจถ้าคุณเป็นหมอที่ทำเงินได้มากที่สุดในเมืองไทย หรือคุณเป็นลูกหลาน หลุยส์ ปลาสเตอร์”

“หลุยส์ ปลาสเตอร์ มาเกี่ยวอะไรด้วย” เขามองมาด้วยสายตางงงวย

“ฉันเปรียบเทียบน่ะค่ะ เพราะถ้าคุณเป็นลูกหลาน หลุยส์ ปลาสเตอร์ ก็เท่ากับว่าคุณมาจากตระกูลเก่าแก่ นับย้อนไปได้เป็นร้อยๆ ปี” พูดจบ เดหลีก็เอื้อมมือไปกุมมือใหญ่ไว้แน่น พร้อมบอกกับเขาอย่างวิงวอน “ทีนี้ก็เชื่อฉันนะคะ อย่าพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำร้าย หรือทรมานตัวเองแบบนั้น ถ้าคุณอยากทำเพื่อฉันจริงๆ ก็อย่าไปสนใจแม่ เพราะยังไงแม่ก็ไม่มีวันยอมรับคุณในเร็วๆ นี้หรอก”

“ไม่มีสักทางเลยหรือ” เขมวันต์ทำหน้านิ่ว มองมาอย่างค้นคว้า

เดหลีรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าอยู่หน่อยๆ ตอนกลั้นใจตอบอีกฝ่าย “จริงๆ ก็พอมีทางนะคะ...แต่คุณต้องร่วมมือกับฉัน”

“ทางไหน” ชายหนุ่มถามอย่างสนใจ

หญิงสาวลังเลเล็กน้อย ก่อนยืดตัวขึ้นไปกระซิบที่ข้างหูอีกฝ่ายด้วยถ้อยคำที่ทำให้เขมวันต์ยิ้มกว้างออกมาในที่สุด จากนั้นเขาก็ระดมจูบเธอเป็นการใหญ่ หนวดเคราที่ชวนจั๊กจี้ของชายหนุ่ม ทำให้เธอหัวเราะออกมาเหมือนเสียงระฆังเงินใบน้อยยามกระทบสายลมที่โชยผ่าน

ความอึดอัด โมโห และขุ่นข้องใจที่ก่อตัวขึ้นเมื่อครู่ เลือนหายไปพร้อมสายลมยามเย็นที่พัดมา

แต่...ไม่ไกลจากทั้งสอง...ใครบางคนที่เฝ้ามองมากลับทวีความโมโหและคับแค้นใจยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น