ไกลจากตะเข็บชายแดนมาหลายร้อยกิโลเมตร
คันฉัตรได้พบว่าถึงเวลาที่ต้องใช้หนี้ศกุนตลาแล้ว
ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ของคนอัศวฤทธา
แต่ก่อนที่เขาจะได้ขึ้นไปยังลาดจอดแมลงปอเหล็กที่ตั้งอยู่บนดาดฟ้าสำนักงานใหญ่ของเอวาลอนกรุ๊ป
ใครบางคนก็มาดักรออยู่ก่อนแล้ว
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เมื่อเห็นร่างโปร่งบางของเด็กหญิงถนัดตา
วนิษาเองก็ดูประดักประเดิด
คงเพราะครั้งก่อนหน้านั้นทั้งคู่ไม่ได้จากกันด้วยดี
ดังนั้นเมื่อเธอเห็นเขายืนมองมาด้วยสายตานิ่งเฉย เด็กหญิงเลยยอมเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนด้วยเสียงตะกุกตะกัก
“คุณจะไปหาพ่อกับพี่เดย์หรือ”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น” เขาย้อนถาม
พร้อมชำเลืองดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลาเหลือ
เลยยอมต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย
“ก็ถ้าคุณไม่ไปที่บ้านพ่อ
ก็ไม่เคยใช้เฮลิคอปเตอร์ของเอวาลอน” ฝ่ายนั้นตอบ พร้อมมองมาอย่างคาดคั้น
“ฉันอาจไปทำธุระให้คุณปุริสก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้น ลุงชายก็ต้องให้นักบินไปกับคุณด้วย
แต่นี่คุณบินไปเอง แปลว่าเป็นธุระส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับบริษัท”
เธอแย้งอย่างฉลาดเฉลียว “ตกลงคุณไปบ้านพ่อหนูใช่ไหม”
“ถ้าไปแล้วจะทำไม” เขาแกล้งโยกโย้ ไม่ตอบในทันที
แต่เหมือนวนิษาจะไม่สนใจทะเลาะด้วยอย่างทุกครั้ง
“หนูจะไปด้วย”
“ไม่ได้” ชายหนุ่มปฏิเสธทันควัน
ทำให้อีกฝ่ายมองมาด้วยสายตาต่อว่า
“ทำไม”
“อยู่ใกล้เธอทีไร ฉันซวยทุกที”
“ไม่ซวยหรอก” เด็กหญิงรีบปะเหลาะ ซ้ำยังยิ้มให้จนตาหยี
แต่คันฉัตรกลับรู้สึกขนลุก แทนที่จะเห็นแล้วใจอ่อน
หรือรู้สึกว่าคนตรงหน้าน่ารักน่าเอ็นดู
“พ่อมีแต่จะขอบใจคุณด้วยซ้ำไป”
“เท่าที่จำได้ คราวที่แล้วพ่อเธอเกือบฆ่าฉันนะ”
“นั่นเพราะพ่อเข้าใจผิด แล้วก็ออกไปตามหาตัวหนู
แต่นี่คุณพาหนูไปหาพ่อ ยังไงพ่อก็ไม่โกรธหรอก” อีกฝ่ายเอ่ยเสียงด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเหมือนลูกแมวตัวน้อย
แต่เขายังไม่ใจอ่อน
“ไม่ละ เธอกับฉัน ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า
ถ้าเธออยากไปหาพ่อ ก็ไปให้อัคพาไปโน่น”
“ไม่ หนูจะไปกับคุณ” พูดจบ คนพูดก็จับแขนเขาไว้แน่น
คันฉัตรยืนตัวแข็งทื่อด้วยความไม่ไว้ใจ “ไม่!”
เขายืนยันเสียงแข็ง
“ทำไม เพราะคุณจะไปแย่งพี่เดย์จากพ่อใช่ไหม
เลยไม่ให้หนูไปด้วย” เด็กหญิงจ้องหน้าคันฉัตรซึ่งเม้มปากแน่นอย่างไม่ยอมแพ้ “ว่าไง”
เธอทวงคำถาม
“ใช่ ฉันจะไปแย่งคุณเดย์ พอใจไหม” เขาแกล้งยั่ว
แต่คนถามแบะปากใส่
“คุณบ้าหรือเปล่า ไปตอนนี้
อยากได้ลูกโดยไม่ต้องออกแรงทำหรือไง”
คันฉัตรฟังแล้วหน้าร้อนผ่าวไปหมด
แล้วยกมือเขกศีรษะคนพูดแรงๆ “พูดอะไรออกมานั่น รู้ตัวหรือเปล่าฮึ”
“ก็มันจริงนี่ จนพี่เดย์หนีไปกับพ่อตั้งกี่วันแล้ว
คุณเพิ่งคิดจะไปตาม คุณนั่นแหละรู้ตัวไหมว่าทำอะไรอยู่”
“รู้ และรู้ด้วยว่าทำไปทำไม ทีนี้เธอก็ปล่อยฉันเสียที”
พูดจบก็พยายามแกะมือเล็กๆ นั่นออก แต่เด็กบ้านี่ มือเหนียวยิ่งกว่าตีนตุ๊กแก
ซ้ำพอมือหนึ่งหลุด อีกมือก็คว้าแขนเขาหมับแทนทันที จนชายหนุ่มอดคำรามออกมาไม่ได้
“ปล่อยนะ หนูนิด”
“ไม่” วนิษาตอบเสียงหนักแน่น
ก่อนจ้องหน้าเขาพร้อมบอกออกมา “และถ้าคุณไม่ให้หนูไปด้วย หนูจะ...จะ...”
“เธอจะทำอะไร” เขาถามแกมหมั่นไส้แกมอ่อนใจ
“หนูจะร้องไห้” วนิษาประกาศก้อง
ซ้ำขอบตายังเป็นสีแดงระเรื่อเสียอีก
แต่คันฉัตรกลับรู้สึกแปลกๆ
เมื่อเห็นเด็กหญิงที่ปกติดูห้าวหาญ ถึงขั้นบ้าบิ่นประกาศจะใช้น้ำตาเป็นอาวุธ
เขาเลยส่ายหน้าดิก
“ถ้าเธอร้องไห้ได้ในสามวิ ฉันจะให้เธอไปด้วย”
เขาแกล้งพูด ก่อนจะอ้าปากค้างอย่างนึกไม่ถึง
ว่าวนิษานั้นสามารถบีบน้ำตาให้ร่วงพรูลงมาไม่ต่างจากน้ำก๊อกเลยทีเดียว
คันฉัตรที่เคยเห็นน้ำตาผู้หญิงมามากต่อมากถึงกับอ้าปากค้างอยู่อึดใจหนึ่ง “เฮ้ย! เธอทำได้จริงหรือนี่”
วนิษาปาดน้ำตาทิ้ง แต่ไม่วายสะอื้นฮักตอนออกแรงบีบแขนเขาแน่นกว่าเดิม
“ทีนี้คุณก็พาหนูไปได้แล้ว”
“เธอจะไปทำไม”
คันฉัตรอดแปลกใจไม่ได้ที่อีกฝ่ายดูจะมุ่งมั่นผิดไปจากทุกที
คนถูกถามเงียบไปอึดใจใหญ่ ก่อนสารภาพ “หนูคิดถึงพ่อ
แล้วอยู่ที่นี่ก็ไม่เห็นสนุกเลย หนูอยากกลับไปอยู่คลองหมาแหงน”
ดวงตากลมโตเหม่อมองไปที่เส้นขอบฟ้านอกหน้าต่าง
ราวกับว่าบ้านสวนที่เธอรักอยู่ตรงนั้น ขณะที่คันฉัตรรู้สึกหน่วงๆ แปลกๆ ในใจ
แต่อึดใจต่อมาเขาก็สามารถสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไปได้ และมองเด็กหญิงอย่างเย็นชา
“บีบน้ำตาก็เก่ง เล่นละครก็เป็น
ฉันว่าเธอน่าจะเอาดีด้านการแสดงนะ รับรองได้ออสการ์แน่ๆ” เขาเยาะ
ทำให้คนตรงหน้ามองมาอย่างกล่าวหา
“คุณบอกเองนะว่าให้หนูร้องไห้ให้ดู”
“ใช่ฉันบอก และไม่เข้าใจว่าเธอจะทำอะไรขนาดนี้ไปทำไม
อยากได้คุณเดย์เป็นแม่นักหรือ”
“ใช่”
“ทำไม...เธอเองก็ไม่ได้เป็นเด็กกำพร้าแม่สักหน่อย
คุณเวียนนาเขาก็อยากให้เธอเรียกว่าแม่จะแย่อยู่แล้ว”
ในที่สุดเขาก็ถามในสิ่งที่สงสัยมานาน
และคำถามนี้คงไปกดปุ่มโกรธในตัวเด็กหญิงเข้าอย่างจัง
ทำให้ดวงตากลมโตของฝ่ายนั้นเหมือนมีประกายไฟแลบออกมา ทั้งวนิษายังเงียบไปนาน
จนเขานึกว่าความดันขึ้น หรือเส้นเลือดจะแตกเสียแล้ว
แต่ในที่สุดคนตรงหน้าก็เค้นเสียงออกมาได้
“ใช่ หนูไม่ได้เป็นกำพร้า
แต่หนูไม่อยากเป็นลูกผู้หญิงคนนั้น ต่อไปห้ามเอ่ยชื่อนี้กับหนูอีก”
เสียงคนพูดแม้จะสั่นน้อยๆ แต่ก็เฉียบขาดจนคนฟังตระหนักได้
คิ้วเข้มเลิกขึ้นน้อยๆ “อกตัญญูนะนั่น”
“มันเรื่องของหนู ไม่เกี่ยวกับคุณ แล้วคุณล่ะ
ไม่คิดว่ากำลังทำบาปทำกรรมบ้างหรือไง ถึงเที่ยวคอยทำตัวเป็นก้างขวางทางรักคนอื่น”
เธอย้อนมาอย่างไม่เกรงใจ ซ้ำมุมปากยังยกขึ้นเหมือนเหยียดเขาเสียอีก “แล้วถามจริงๆ
เถอะ คุณรักฝังใจอะไรพี่เดย์นักหนา ถึงได้ตัดอกตัดใจไม่ได้เสียขนาดนี้”
คันฉัตรฟังแล้วก็นึกอยากหัวเราะ ทั้งๆ ที่ไม่รู้สึกขำแม้แต่น้อย
เพราะต่อให้วนิษาพูดจาเหมือนคนเจนโลกสักแค่ไหน
แต่อีกฝ่ายก็ยังเป็นเด็กหญิงที่อ่อนประสบการณ์อยู่ดี
เธอแยกไม่ออกระหว่างรักหรือหวังผลตอบแทน
ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นแค่เด็กหญิงที่คันฉัตรไม่เคยนึกสนใจ
และไม่เห็นอยู่ในสายตา ทั้งยังไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ที่เขาจะตักตวงได้
ชายหนุ่มเลยยิ้มใส่ตากลมโตคู่นั้นอย่างเปิดเผยความจริงที่ไม่เคยบอกใครมาก่อน
แม้แต่ตอนที่ปุริสถาม เขาก็ไม่ได้ตอบตรงไปตรงมาแบบนี้
“ใครว่าฉันรักฝังใจคุณเดย์กัน
ฉันไม่เคยรู้สึกอะไรกับเธอเลยต่างหาก”
“ไม่เลยหรือ” เด็กหญิงทวนถามอย่างไม่อยากเชื่อ
คันฉัตรพยักหน้าอย่างไม่ต้องคิดเลย “ใช่
ไม่เลย...คุณเดย์อาจจะน่าประทับใจ แต่ฉันไม่เคยรักหรือชอบเธอเลย”
“แล้วคุณมาใกล้ชิดพี่เดย์ทำไม คุณจะแกล้งพี่เดย์หรือ”
วนิษามองเขาอย่างระแวดระวังทันที
“เปล่า ฉันไม่ได้ชอบคุณเดย์ แต่ก็ไม่ได้เกลียด
ไม่ได้จะแกล้ง”
“งั้นคุณมาทำงานกับพี่เดย์ทำไม มาตามตื๊อพี่เดย์
เกาะติดเธออย่างกับปลิงทำไมกัน”
“ฉันทำเพราะความจำเป็นบางอย่าง
แต่รับรองว่าไม่ใช่เพราะรักแน่ๆ เพราะคนอย่างฉันไม่เคยรักใคร
และไม่คิดจะรักใครด้วย”
“แล้วไข่มุกล่ะ”
คันฉัตรต้องใช้เวลาถึงห้าวินาทีกว่าจะนึกออกว่าอีกฝ่ายถามถึงชื่อดาราสาวสวย
คู่นอนที่กลายเป็นอดีตไปแล้วของเขา “ไม่...ฉันไม่เคยรักไข่มุก”
วนิษาทำหน้านิ่วกับคำตอบนั้นอยู่อึดใจหนึ่ง
ก่อนส่งยิ้มแจ่มใสให้เขา รอยยิ้มที่สร้างความแปลกใจให้แก่คันฉัตรไม่น้อย
“เธอยิ้มทำไม”
“อย่างน้อยคุณก็ไม่โกหก”
“หืม...” เขาเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“เพราะหนูก็ไม่คิดว่าคุณจะรักไข่มุกเหมือนกัน”
คำตอบของวนิษาทำให้ชายหนุ่มแปลกใจไม่น้อย และฝ่ายนั้นคงอ่านสีหน้ากับแววตาเขาออก
เพราะเด็กหญิงรีบชิงบอกออกมาเสียก่อน “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอก หนูน่ะโตมากับพ่อ
และอาๆ ผู้ชายตั้งหกคนนะ เรื่องรักแท้แพ้ทางฟีเจอริงนี่ ได้ยินมาจนหูชาแล้ว”
“เธอ!” เป็นเขาที่อึกอักและหน้าแดงเสียเอง
แต่อีกฝ่ายกลับทำเหมือนไม่สนใจและดึงบทสนทนากลับไปสู่เรื่องเดิมอย่างรวดเร็ว
“ทีนี้เราจะไปกันได้หรือยัง”
คันฉัตรอยากปฏิเสธ
แต่พอเห็นแววอ้อนวอนในดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นกลับพูดไม่ออกขึ้นมาเสียดื้อๆ เขาเลยกำชับเด็กหญิงเสียงเข้ม
“ฉันจะยอมให้เธอไปด้วย แต่ถ้าเธอก่อเรื่อง หรือไม่ฟังฉันเมื่อไหร่
ฉันจะจับเธอส่งให้คุณเวียนนาทันที เข้าใจไหม”
เด็กหญิงทำปากเบ้เมื่อได้ยินเช่นนั้น
ทำให้ชายหนุ่มต้องเอ่ยปากถามซ้ำอีกครั้ง
“ว่าไง”
“เข้าใจแล้วน่ะ ทีนี้ก็เลิกขู่หนูได้แล้ว เราจะได้ไปกันสักที”
คันฉัตรคร้านจะทะเลาะกับอีกฝ่ายแล้ว
ซ้ำพอมองนาฬิกาก็พบว่าเหลือเวลาอีกไม่มากนัก ถ้ามัวแต่โอ้เอ้
วันนี้อาจเดินทางไปไม่ถึงจุดหมายตามที่ตั้งใจไว้
เดหลีไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว
รู้แค่ว่าพอลืมตาขึ้น ก็พบว่าบรรยากาศรอบๆ ตัวขมุกขมัวและค่อนข้างมืด
เดาว่าคงเป็นเวลาเย็นมากแล้ว เมื่อพิจารณาจากแสงแดดอ่อนๆ ที่ลอดผ่านรอยแตกเล็กๆ
ตรงหน้าส่องเข้ามาเป็นลำแสงเลือนราง
พระอาทิตย์คงจวนจะตกดินเต็มที
หญิงสาวปรับสายตาอยู่ครู่ใหญ่
จึงพบว่ากำลังอยู่ตามลำพังในกระท่อมเล็กๆ หลังหนึ่งที่หน้าต่างถูกปิดตาย
ภายในกระท่อมนี้มีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน ทั้งตู้เสื้อผ้า
โต๊ะเขียนหนังสือ และเตียงนอนหนานุ่มกับมุ้งที่ถูกทบไว้ลวกๆ เหนือหัว
ที่ปลายเตียงมีอะไรบางอย่างตั้งอยู่ พอพิจารณาพักหนึ่ง
ก็เห็นว่าเป็นกระเป๋าเดินทางใบย่อมของเธอนั่นเอง
เดหลีรีบขยับตัวเร็วๆ แล้วพบว่าเป็นอิสระจากพันธนาการจนน่าแปลกใจ
เมื่อรู้ว่าข้อมือและข้อเท้าไม่ได้ถูกมัดไว้อย่างที่คิด
เธอก็ก้าวลงจากเตียงที่นอนอยู่ด้วยความระมัดระวัง
เหยียบลงไปบนพื้นไม้แผ่นใหญ่ขัดมันจนเรียบลื่น ส่วนรอยแตกเล็กๆ
ที่แสงลอดเข้ามาให้เห็นเมื่อครู่นั้น แท้จริงแล้วคือรอยแยกของม่านเนื้อหนาที่ปกคลุมหน้าต่างบานใหญ่เอาไว้
ขณะที่เสียงอะไรบางอย่างที่ครางกระหึ่มเข้าหูทำให้เดหลีทำหน้านิ่ว
เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานอย่างนั้นหรือ...
เธอเดาว่ากระท่อมหลังนี้ต้องตั้งอยู่ในรีสอร์ตหรือชุมชนแห่งใดแห่งหนึ่ง
เพราะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าครบครัน แต่ขณะเดียวกันก็คงปลูกสร้างอย่างสันโดษ
เพราะพอแอบทาบตาดูตรงรอยแยกของผ้าม่านก็มองไม่เห็นอะไรเลย
นอกจากสีเขียวของพงไพรที่อยู่รอบตัว ได้ยินเพียงเสียงลมพัดผ่านใบไม้
และเสียงไม่คุ้นชินของนกป่าที่กู่ก้องร้องเรียกกันกลับรวงรัง
เดหลีเลยฉวยโอกาสนี้ตั้งสติ พร้อมทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นไปด้วย
ดูจากเวลาตอนนี้
เดาว่ากระท่อมหลังนี้น่าจะอยู่ห่างจากรีสอร์ตที่พักไม่มากนัก
อาจเป็นหนึ่งชั่วโมงเดินเท้า หรือหนึ่งชั่วโมงรถวิ่ง
แต่ภาวนาให้เป็นประการแรก เพราะจะได้หาทางหนีได้ง่ายหน่อย
ขณะเดียวกันก็จำได้ว่าคนซึ่งจับตัวเธอมานั้นมีทั้งหมดสามคน พวกมันเป็นชายฉกรรจ์
อายุไม่น่าจะเกินสามสิบปี ซึ่งหน้าตา ท่าทาง และน้ำเสียงไม่เหมือนชาวบ้านแถวนี้
และที่น่าแปลกใจที่สุดคือพวกมันยังเตรียมตัวมาอย่างดี
โดยเฉพาะเข็มฉีดยาที่บรรจุยาสลบเอาไว้ทำให้เธอหมดสติไป
หญิงสาวทำหน้านิ่วเมื่อนึกถึงตรงนี้
เธอไม่เคยบอกใครก็จริงว่าเป็นทายาทตระกูลดัง
แต่ก็ไม่เคยปิดบังตนเอง รูปของ เดหลี อัศวฤทธา จึงมีให้เห็นตามสื่อต่างๆ มากมาย
ดังนั้นถ้าพวกมันจับตัวเธอมาเพราะต้องการเรียกค่าไถ่ ก็ควรจะทำอะไรบ้าง เช่น สั่งให้โทรศัพท์หาพี่ชาย
หรือครอบครัว แต่พวกมันไม่ได้ข่มขู่เธอเลย
จะว่าไปพวกมันกลับปฏิบัติต่อเธออย่างสุภาพด้วยซ้ำ
ดูได้จากเสื้อผ้าที่ยังคงอยู่ในสภาพเดิม รวมถึงสภาพห้องพักที่ค่อนข้างหรูหรา
ติดอยู่อย่างเดียวที่ไม่มีหลอดไฟหรือโคมไฟส่องสว่างสักดวง
เหมือนเจตนาให้เธออยู่ในความมืดมิด
แต่ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย
เรื่องนี้มีอะไรแปลกๆ
เดหลีบอกตัวเอง ขณะก้าวตรงไปยังประตูห้อง
พร้อมออกแรงดึงเบาๆ แล้วเธอก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างสั่นกราวในความเงียบ
เสียงโซ่กระทบกัน
หญิงสาวเม้มปากแน่นด้วยความขัดใจ
ขณะเดียวกันก็นึกอยากลองกระแทกประตูตรงหน้าแรงๆ ดูสักหน
เพราะมั่นใจว่ากระท่อมหรือกระต๊อบหลังนี้ไม่น่าจะทนทานนัก แต่ยังไม่ทันได้ออกแรง
ก็ได้ยินเสียงใครบางคนร้องสั่งมาเสียก่อน
“คุณหนูไม่ต้องพยายามหรอก
ยังไงคุณหนูก็ต้องอยู่ในนั้นไปก่อน”
เดหลีทำหน้านิ่ว หรี่ตามองฝ่าความมืดที่ล้อมรอบตัวออกไป
พร้อมร้องถามเสียงกระด้าง “แกเป็นใคร จับตัวฉันมาต้องการอะไร”
คนที่อยู่ด้านนอกไม่ตอบ เดหลีจึงออกแรงเขย่าประตูอีกครั้ง
“ฉันถาม ตอบมาเดี๋ยวนี้นะ”
“คุณหนูไม่ต้องรู้หรอก แค่ทำตามที่เราบอกก็พอ”
“แกจะให้ฉันทำอะไร”
“อยู่เงียบๆ เพราะโวยวายไปก็ไม่มีประโยชน์
ไม่มีใครมาช่วยคุณหนูได้หรอก”
หญิงสาวขมวดคิ้วแน่นกับคำตอบที่ได้รับ
มีบางอย่างที่ผิดปกติจากที่ควรจะเป็น แต่เธอยังนึกไม่ออกว่าคืออะไร
เลยลองเขย่าประตูเป็นครั้งที่สาม
“ถ้าไม่ตอบก็เปิดสิ เปิด” ร้องสั่ง
พร้อมกระชากบานประตูไม้ตรงหน้าอย่างแรง
“เงียบ! ไม่อย่างนั้น...คุณหนู...คุณหนูจะต้องเสียใจ”
เสียงห้าวกระด้างดุดันกว่าเสียงแรกร้องสั่ง แต่กลับตะกุกตะกักชอบกลในความคิดหญิงสาว
ขณะเดียวกันเมื่อพบว่าคนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกมีถึงสองคน
และเป็นชายฉกรรจ์ด้วยกันทั้งคู่ เดหลีเลยยอมเลิกเขย่าประตูโวยวายแต่โดยดี
ทว่าไม่วายร้องถามออกไป “แล้วถ้าฉันหิว ฉันอยากเข้าห้องน้ำล่ะจะทำยังไง”
“ห้องน้ำอยู่ทางซ้ายของประตู ส่วนเรื่องอาหาร
เดี๋ยวค่ำๆ จะมีคนยกอาหารมาให้”
เดหลีฟังแล้วเม้มปากแน่น
เมื่อพบว่าแผนการหลอกขอออกไปเข้าห้องน้ำแล้วหาทางหนีต้องพับไป
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่สิ้นหวัง
“ถ้าอย่างนั้น
พวกนายบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าที่นี่มันที่ไหน”
“ผมก็ไม่รู้...เอ๊ย! คุณหนูอย่ารู้เลย แล้วก็อย่าถามอะไรให้มากเรื่องนัก
ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือนนะ” คนข้างนอกขู่ แต่น้ำเสียงดูตะกุกตะกักเต็มที
เดหลีฟังแล้วเลยไม่นึกกลัว แต่ก็ไม่อยากมีปัญหา
เพราะถึงเธอจะเรียนการต่อสู้มาบ้าง ทว่าก็ไม่เคยประมือกับใครจริงจังเสียที
มิหนำซ้ำ ตอนนี้ก็ไม่มีอาวุธในมือแม้แต่ชิ้นเดียว ดังนั้นจึงไม่ควรจะผลีผลาม
อดทนรอจนสว่างก่อนก็คงไม่สาย หญิงสาวเชื่อว่าถ้าตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกมันไม่ทำอะไร
ตนเองก็น่าจะยังปลอดภัยอยู่
นอกจากนี้เขมวันต์จะต้องไม่ยอมปล่อยให้เธอหายตัวมาโดยไร้ร่องรอยแบบนี้แน่นอน
เดหลีคาดไม่ผิดเรื่องนายแพทย์หนุ่ม
เพียงแต่กว่าเขมวันต์จะรู้ว่าเธอหายตัวไปก็อีกเป็นนาน
เพราะตอนแรกที่เขาเปิดประตูห้องพักของรีสอร์ตก้าวออกไปด้านนอกนั้น
ก็พบหญิงชาวบ้านซึ่งโพกหัวจนชายผ้าหล่นลงมาปิดหน้าดูลึกลับคนหนึ่งยืนรออยู่ด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
ฝ่ายนั้นพูดไทยไม่ชัดนัก แต่อาศัยที่ชายหนุ่มชินกับชาวเขาเผ่าต่างๆ
ที่อาศัยอยู่ตามแนวตะเข็บพรมแดน
จึงเข้าใจได้ไม่ยากว่ามีใครบางคนกำลังเจ็บท้องคลอดกะทันหันอยู่ในหมู่บ้านถัดไป
ใจหนึ่งเขมวันต์นึกห่วงหญิงคนรัก
แต่อีกใจเขาก็ไม่อาจทนเพิกเฉยได้
เขาเลยตัดสินใจไปเอากระเป๋าแพทย์ที่มีอุปกรณ์เครื่องใช้ในยามฉุกเฉินซึ่งมักมีติดไว้ในรถเสมอนำติดตัวไปด้วย
เพราะอาชีพที่มีแต่ช่วยเหลือคนอื่น
กอปรกับมั่นใจว่าชาวบ้านในละแวกนี้พอรู้จักเขาอยู่บ้าง
เขมวันต์จึงไม่ติดใจสงสัยอะไรในตอนแรก
จนกระทั่งพบว่าเส้นทางที่ฝ่ายนั้นพาเดินเข้าไปในป่าวกวนไปมาราวกับไม่สิ้นสุด
เขาเลยฉุกคิดขึ้นมาได้
“เดี๋ยว เธอบอกว่าคนไข้อยู่หมู่บ้านอะไรนะ”
“ปะละ” ฝ่ายนั้นตอบพึมพำในลำคอ
“ปะละไปทางโน้นไม่ใช่หรือ มาทางนี้ไปหมู่บ้านจะโหลง”
เขาแย้ง
เพราะเคยมาออกพื้นที่เยี่ยมคนไข้ที่หมู่บ้านแถวนี้เมื่อไม่นานนี้
และหมู่บ้านปะละที่เอ่ยถึงนั้นก็อยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ตมากนัก
“ทางนี้ทางลัด” หญิงสาวตอบก่อนเร่งยิก “หมอรีบไปเถอะ
ชักช้าจะไม่ทันการ”
เขมวันต์หรี่ตามองตามทิศทางที่อีกฝ่ายบอก
“ไม่...ทางนี้ไกลกว่า ถ้าไปปะละต้องเดินกลับไปทางเก่า” เขาตอบเสียงเข้ม
ก่อนจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิดแกมหงุดหงิด “ตกลงคนเจ็บอยู่หมู่บ้านไหนกันแน่”
“ปะละจ้ะ”
“ถ้าปะละก็ต้องไปทางนี้”
ชายหนุ่มตอบ พร้อมเดินมุ่งหน้าไปยังทิศที่มั่นใจ
ก่อนชะงักค้าง เพราะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ พร้อมชาวาบตั้งแต่หัวจดเท้า
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาเพิ่งให้คำปรึกษาด้านการทำคลอดแก่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในละแวกนี้ไป
และพบว่าแม้ที่นี่จะไม่มีแพทย์ประจำ
แต่เจ้าหน้าที่ที่ทำงานอยู่ก็มีความเชี่ยวชาญด้านการทำคลอดมาไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นโรงพยาบาลดังกล่าวอยู่ใกล้หมู่บ้านมากกว่ารีสอร์ตที่เขาพัก
จึงไม่มีความจำเป็นที่คนในหมู่บ้านจะส่งคนมาตามเขาไปทำคลอดครั้งนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เขมวันต์เดินทางมาที่นี่เป็นการส่วนตัว
มีเพียงเจ้าหน้าที่แผนกต้อนรับของรีสอร์ตเท่านั้นที่รู้ว่าเขาเป็นนายแพทย์
แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไหน
ชายหนุ่มเลยหยุดยืนนิ่ง
และหันไปจ้องหน้าหญิงสาวชาวบ้านตรงหน้าอย่างเคร่งขรึมแกมพิจารณาเป็นครั้งแรก
รู้สึกคุ้นหน้าอีกฝ่ายไม่น้อย แต่คราบดำๆ
บนใบหน้าที่ทำให้ดูมอมแมมเหลือเกินทำให้เขานึกไม่ออกในทันที
ขณะที่คนถูกมองตกประหม่าจนเห็นได้ชัด
“มะ...หมอมีอะไรหรือจ๊ะ”
“เธอบอกชื่อคนไข้ อายุ แล้วก็อาการมาอีกทีซิ”
“คนไข้เป็น...เอ่อ...เป็นพี่สาวหนูเอง ชื่อเอ่อ...ชื่อ
บัวผุดจ้ะ อายุยี่สิบ อาการก็ท้องแก่ เลยปวดท้องใกล้คลอดมาตั้งแต่บ่าย
และน้ำเดินแล้วจ้ะ”
“แต่เมื่อไม่เกินสามเดือนก่อน
หมอเพิ่งมาช่วยโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ที่จะยะ ตรวจสุขภาพคนในหมู่บ้านแถวนั้น
รวมถึงหมู่บ้านปะละด้วย และหมอจำได้ว่าไม่มีคนท้องที่จะคลอดตอนช่วงนี้แม้แต่คนเดียว”
“ก็...เอ่อ...น้องสาวหนู...เขาคลอดก่อนกำหนดนี่จ๊ะ”
หญิงสาวตรงหน้าเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก ขณะที่เขมวันต์ยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน
“เมื่อครู่เธอเพิ่งบอกว่าคนไข้เป็นพี่สาว
ตอนนี้มาบอกว่าเป็นน้องเสียแล้วหรือ”
คำพูดของเขาทำให้อีกฝ่ายเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ชายหนุ่มเลยยิ่งมั่นใจว่าเขาเข้าใจไม่ผิดตอนเอ่ยถามอีกฝ่ายออกไปเสียงเครียด
“เธอโกหกหมอทำไม”
“เอ่อ...”
“พูด!” เขมวันต์ตะคอกใส่อย่างไม่เกรงใจ
ทำให้ฝ่ายนั้นถอยกรูด ใบหน้าซีดเผือดแทบเป็นสีขาว
“นะ...หนู...คือ...หนูมีเหตุจำเป็นจริงๆ ค่ะ”
“หืม”
ชายหนุ่มทำหน้านิ่ว ตั้งใจจะคาดคั้นต่อ
แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม เขมวันต์ก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแหวกอากาศดังขึ้น
พอหันไปมองก็เห็นท่อนไม้ขนาดเหมาะมือกำลังหวดลงมาตรงศีรษะเขาพอดี!
ลาโพเองก็ตกใจเหมือนกัน ที่จู่ๆ
นายแพทย์หนุ่มก็เกิดนึกสงสัยขึ้นมา ทั้งๆ ที่มั่นใจว่าแผนการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวครั้งนี้ถูกเตรียมมาดีแล้ว
แต่เขมวันต์มีดวงตาคมกริบเหมือนมีดผ่าตัด
ทำให้เธอรู้สึกขวัญผวาทุกครั้งที่ถูกจ้องมองมา ยิ่งไปกว่านั้น
ชายหนุ่มยังรอบรู้เรื่องชุมชนในละแวกนี้เป็นอย่างดี ทำให้ตบตาเขาไม่สำเร็จ
ดังนั้นแผนล่อเสือออกจากถ้ำจึงต้องเปลี่ยนเป็นแผนเล่นงานเสือให้พ้นไปจากถ้ำ
หญิงสาวคิดพร้อมกับหาเชือกเส้นใหญ่มามัดมือและเท้าของนายแพทย์หนุ่มเอาไว้อย่างคล่องแคล่ว
จากนั้นก็ตั้งใจจะไปตามผู้ว่าจ้างให้มาช่วยเอาตัวอีกฝ่ายกลับไปที่รีสอร์ต
แล้วก็เฝ้ารอเวลา...
แต่ลาโพเพิ่งมัดข้อเท้าของชายหนุ่มเสร็จ
ก็ได้ยินเสียงห้าวคุ้นหู อุทานดังลั่นขึ้น
พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นพี่ชายที่บอกว่าจะพาลูกกับเมียไปฉีดวัคซีนวันนี้ยืนมองมาหน้าตาตื่นอยู่
“นั่นเอ็งทำอะไรหมอวะ นังลาโพ” ฝ่ายนั้นถาม
พร้อมทำท่าเหมือนจะเข้ามาผลักเธอออกไปจากเขมวันต์
“ฉัน...ฉัน...” ลาโพติดอ่างขึ้นมาในนาทีนั้นเอง
“ข้าถามว่าเอ็งทำอะไรหมอเข้ม” คนเป็นพี่ตะคอกใส่
เสียงเดือดดาล
“ก็แค่มัดมือมัดเท้าไม่ให้หมอไปไหนสักพัก”
หญิงสาวตอบออกมาในที่สุด ก่อนพูดต่อเร็วปรื๋อว่า “แต่พี่ไม่ต้องห่วงหรอก
ไม่เกินเช้าพรุ่งนี้ ฉันก็จะปล่อยหมอแล้ว”
“แล้วทำไมเอ็งต้องทำกับหมอแบบนี้ด้วย
หมอไปทำอะไรให้เอ็ง” พี่ชายยังคงตะเบ็งเสียงใส่ไม่หยุด
จนลาโพนึกกลัวว่านายแพทย์หนุ่มจะรู้สึกตัวขึ้นจับใจ
ถ้าเขาฟื้น แผนการที่วางไว้ก็จะพังลงไม่เป็นท่า
สาวน้อยชาวเขาเลยขึงตาใส่พี่ชายอย่างไม่พอใจ
“หมอไม่ได้ทำอะไรให้ฉัน แต่หมอทำให้คุณหนูของฉันเสียใจ หมอต้องรับผิดชอบ”
“เสียใจยังไง” วาโพซักเสียงเขียว สีหน้าบึ้งตึง
บ่งบอกว่าไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น
“ก็ หมอทำให้คุณหนูต้องร้องไห้
เพราะหมอไปเอานังคนกรุงนั่นมาเป็นเมีย” ในที่สุดหญิงสาวก็พูดออกไปจนได้
เธอเป็นทั้งพี่เลี้ยงและเพื่อนเล่นคุณหนูมาตั้งแต่ฝ่ายนั้นอายุแค่ห้าขวบ
อยู่ด้วยกันทุกวัน เห็นกันทุกคืน ความสุขของคุณหนูคนสวยคือความสุขของลาโพ
ความทุกข์ของฝ่ายนั้นย่อมเป็นความทุกข์ของเธอด้วย
ดังนั้นเมื่อคุณหนูของเธออกหัก
ลาโพตั้งใจว่าจะกำจัดเมียของนายแพทย์หนุ่มไปให้ได้ และโชคดีที่จู่ๆ
ก็มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยในเรื่องนี้
ลาโพจึงมั่นใจว่านี่เป็นโอกาสที่ฟ้าประทานมาให้แน่ๆ แต่จู่ๆ
ความมั่นใจกลับต้องมาคลอนแคลนไป เพราะสายตาดุดันของพี่ชาย
“อีบ้า! เอ็งมันบ้าแท้ๆ
เพราะเรื่องแค่นี้ถึงกับทำร้ายหมอเชียวรึ” วาโพด่าไม่ไว้หน้า
ก่อนพ่นคำหยาบเท่าที่จะนึกออก ทั้งภาษาไทยและภาษาถิ่นของพวกเขาออกมายาวเหยียด
ทำให้คนเป็นน้องหน้าร้อนผ่าวด้วยความโกรธจนแทบเต้น
“ทำร้ายที่ไหนฮึ ฉันแค่จับหมอมามัดไว้เท่านั้นเอง”
“อีโง่ ยังจะมาพูดอีกว่าเท่านั้นเอง”
วาโพจิ้มหน้าผากเธอแรง จนหน้าหงายไปด้านหลัง
ลาโพมองอีกฝ่ายเจ็บแค้น “ก็มันจริงนี่ ว่าแต่พี่มาด่าฉันทำไมฮึ
ฉันจะทำอะไรกับหมอก็เป็นเรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับพี่”
“จะไม่เกี่ยวได้ยังไง
ในเมื่อหมอนี่ละที่เป็นคนช่วยเย็บแผลให้ลุงทึงที่ถูกเลื่อยตัดไม้มันสะบัดใส่เมื่อวันก่อน
ไม่อย่างนั้นลุงทึงคงต้องตัดแขนทิ้งไปแล้ว” วาโพเอ่ยเสียงเครียด
ลุงทึงที่พี่ชายเอ่ยถึงนั้นเป็นบิดาของคนรักวาโพ
ก่อนหน้านี้ ลาโพเคยได้ยินเรื่องชาวบ้านที่ถูกเลื่อยตัดไม้เกือบตัดแขนขาดมาบ้าง
แต่ความที่ไม่ได้กลับบ้านมานาน และรู้จักแต่ชื่อลุงทึง
แต่ไม่เคยเห็นหน้าเลยไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้
จึงไม่รู้ว่าชาวบ้านคนดังกล่าวกับลุงทึงคือคนเดียวกัน
“เอ็งก็ได้ยินแล้วว่าหมอมีบุญคุณกับข้าและแสงหล้า
ดังนั้นรีบปล่อยหมอซะ ข้าจะไม่ยอมให้เอ็งทำร้ายหมอเด็ดขาด” พี่ชายประกาศก้อง
แต่น้องสาวกลับยืนกรานเสียงแข็งไม่แพ้กัน
“ฉันปล่อยหมอแน่ แต่ขอเป็นพรุ่งนี้”
“ทำไมเอ็งจะปล่อยหมอเลยไม่ได้”
“เพราะไม่อย่างนั้น หมอก็จะต้องไปช่วยเมียแน่ๆ
แล้วเรื่องทั้งหมดที่ฉันอุตส่าห์ลงทุนลงแรงทำมาก็จะต้องเป็นหมัน”
ลาโพแข็งใจบอกแล้วเมินหน้าไปทางอื่นอย่างคนที่ไม่คุ้นกับการทำชั่ว
ขณะที่วาโพตั้งท่าจะแย้ง ทว่ากลับเงียบไปเสียเฉยๆ
ทำให้คนเป็นน้องสาวเหลือบตามองด้วยความสงสัย แต่กลับต้องอ้าปากค้างในนาทีต่อมา
เมื่อคนที่มั่นใจว่ามัดเอาไว้อย่างแน่นหนากลับเป็นอิสระ
ซ้ำยังถือมีดพับอันเรียวเล็ก ทว่าขึ้นเงาคมปลาบเอาไว้ในมือด้วยทีท่าคุกคาม
ความคิดเห็น |
---|