หลังกลับจากบ้านสวนในคลองหมาแหงนของนายแพทย์หนุ่ม
เดหลีก็ไม่มีโอกาสได้แวะเวียนไปหาเขาอีกเลย
ทั้งยังทิ้งรถคันโปรดไว้ที่นั่น
เพราะต้องยุ่งอยู่กับการจัดกิจกรรมใหญ่ระดับเวิลด์คลาสให้แก่ ดิเอวาลอน อเวนิว
ที่ทางตระกูลอัศวฤทธาตั้งใจสร้างให้เป็นลักซูรีมอลล์ ที่ทั้งใหญ่โต หรูหรา
และน่าทึ่งเพียงแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
มารู้สึกตัวอีกทีว่าไม่ได้ติดต่อกับเขมวันต์มาเกือบสัปดาห์ก็เป็นเช้าวันศุกร์แล้ว
มิหนำซ้ำยังไม่ได้พูดคุยกับแก๊งเพื่อนสนิทเพื่อรายงานความคืบหน้าอย่างที่สัญญากันไว้
ที่สำคัญคืนนี้ก็เป็นคืนงานเลี้ยงฉลองสมรสของญาติสาวด้วย!
หญิงสาวจึงรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย
เพราะนั่นแปลว่าทั้งสองจะไม่ได้เจอกันไปอีกหลายวันทีเดียว ช่วงนี้ทั้งงานหลวง
งานราษฎร์รัดตัวจนหาเวลาว่างไม่ได้ ดังนั้นการจะปลีกตัวไปหาชายหนุ่มตอนกลางสัปดาห์หน้าก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย
ความคิดนี้ทำให้หญิงสาวถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกโต
ก่อนบังคับตัวเองให้ลงมืออ่านเอกสารกองโตตรงหน้าที่ต้องเซ็นอนุมัติด้วยจิตใจห่อเหี่ยวกว่าทุกวัน
เธอเพิ่งตวัดปากกาลงไปบนกระดาษได้แค่สามแผ่น
เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น คนที่อยู่ด้านนอกไม่รอให้เอ่ยปากอนุญาตก็ผลักประตูเข้ามาหา
บ่งบอกให้รู้ว่าต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจในอาณาจักรของเอวาลอนไม่น้อย
เพราะตำแหน่งของเดหลีนั้น ไม่ใช่ใครนึกจะเข้าพบก็ได้พบง่ายๆ โดยไม่ต้องนัดหมาย
ยิ่งเข้ามาถึงห้องทำงานของเธอยิ่งยากใหญ่
แล้วก็ไม่ผิดไปจากที่คิดไว้สักเท่าไร เมื่อได้ยินเสียงกระแอมของศกุนตลา
ผู้เป็นมารดา
หญิงสาวลุกขึ้นยืน ยกมือไหว้ผู้ให้กำเนิดอย่างนอบน้อม
“คุณแม่มีธุระกับเดย์หรือคะ”
“ยังจำได้หรือ ว่ามีแม่คนนี้อยู่”
คำถามประชดประชันนี้ ทำให้เดหลีลอบผ่อนลมหายใจยาว
แล้วเอ่ยปากถามเสียงอ่อนอย่างไม่ค่อยใช้กับใครบ่อยนัก
“ทำไมคุณแม่พูดอย่างนั้นล่ะคะ”
“ก็หรือไม่จริง ขืนแม่ไม่มาหาเราที่นี่
ก็คงไม่ได้เห็นหน้าเรา”
“เมื่อเช้าคุณแม่ก็เห็นหน้าเดย์แล้ว ตอนพิธียกน้ำชา”
เธอท้วงพร้อมอ้างถึงพิธีแต่งงานแบบจีนในช่วงเช้าของลูกพี่ลูกน้อง
ที่รวมผู้หลักผู้ใหญ่ของทั้งสองตระกูลเอาไว้ ทำให้เดหลีต้องไปร่วมด้วย
แต่เสร็จพิธีหญิงสาวก็ปลีกตัวมาทำงานทันที ไม่ได้อยู่กินเลี้ยงต่ออย่างคนอื่นๆ
“แค่แวบเดียวนั่นน่ะนะ”
“ช่วงนี้พี่ชายอยากเพิ่มยอดคนเดินดิเอวาลอนให้ขึ้นมาแตะที่สามหรือสี่หมื่นคนต่อวัน
เดย์เลยต้องคิดว่าจะหาอีเวนต์อะไรมาลงที่ห้างดี ถึงจะดึงดูดคนได้มากๆ”
หญิงสาวอธิบายอย่างใจเย็นถึงเหตุผลที่ไม่ได้กลับคฤหาสน์ของตระกูลในช่วงนี้
และเลือกจะอยู่ที่คอนโดฯ ซึ่งซื้อไว้กลางเมืองแทน
แต่เหมือนศกุนตลาจะไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับนัก
“อ้อ...ทำงานหนักจนกลับบ้านไม่ได้
แต่ไปคลองหมาแหงนอะไรนั่นได้”
เดหลีหรี่ตาลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เรื่องที่เธอไปบ้านสวนของเขมวันต์ไม่ใช่ความลับก็จริง
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะรู้ไปถึงหูศกุนตลา และคนที่รู้เรื่องนี้ก็มีแค่สามคน
คนแรกคือเลขาฯ สาวที่ทำงานให้มาหลายปี อีกสองคนคือ ปุริส
พี่ชายคนโตกับนักบินของเขาที่ขับเฮลิคอปเตอร์ไปรับเธอในวันนั้น
ซึ่งสองคนหลังนี้ไม่มีวันเล่าเรื่องนี้ให้ศกุนตลาฟังแน่
ขณะที่ จิราณี เลขาฯ ประจำตัวก็ไม่ใช่คนปากโป้ง
แต่คงเพราะโดนผู้เป็นมารดาคาดคั้นอย่างหนักนั่นเอง
นึกถึงตรงนี้ก็ได้ยินคำถามที่แสนจะเข้มงวดราวกับเธอเป็นวัยรุ่นอายุสิบสี่
“เราไปทำไม”
ไม่ผิดกับที่คิดไว้ในใจเลย
เดหลีรำพึงในใจ มั่นใจว่าเลขาฯ คู่ใจคงพยายามช่วยปกปิดแล้วระดับหนึ่ง
ทว่าศกุนตลายังไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับเลยมาคาดคั้นอีกครั้ง
เธอเลยตอบหน้าตายและแอบเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางไขว้กันไว้ที่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว
พร้อมนึกขอโทษเด็กหญิงไปด้วยในใจที่ถูกลากเข้ามาพัวพันในเรื่องนี้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“เดย์ไปเพราะหนูนิด”
“หนูนิด?”
คิ้วเรียวที่เขียนไว้อย่างสวยงามของคนฟังขมวดมุ่นเข้าหากันอยู่อึดใจหนึ่ง
ก่อนแว้ดเสียงออกมา “เด็กคนนั้นเอง แล้วเราไปยุ่งกับเขาทำไม
มีอะไรทำไมไม่ให้เวียนนาไป”
เวียนนา ที่ศกุนตลาเอ่ยถึงคือญาติผู้พี่ของเธอ
และเป็นมารดาแท้ๆ ของเด็กหญิง
แต่เวียนนาทำผิดต่อบุตรสาวและพ่อของเด็กอย่างที่เขาไม่สามารถให้อภัยได้
เขมวันต์กับวนิษาจึงไม่ยอมข้องเกี่ยวกับญาติของเธอเลย
จะว่าไปแล้วสองแม่ลูกเคยพูดกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้
ขณะที่นายแพทย์หนุ่มก็เปิดปากเล่าเรื่องของเขากับเวียนนาให้เธอฟังแค่ครั้งเดียว
จากนั้นก็ไม่ยอมพูดถึงอีก
เมื่อเขาไม่พูด เดหลีก็ไม่อยากรู้
อดีตก็คืออดีต
หญิงสาวเลยย้อนถามผู้เป็นมารดาไปว่า
“เวียนนาเคยสนใจหนูนิดเมื่อไหร่กันคะ”
“แต่ลุง ป้า น้า อาแท้ๆ ของเด็กนั่นก็มี
ทำไมต้องมาเดือดร้อนถึงเราด้วย”
“ก็ขนาดตัวเวียนนาเอง คนบ้านนั้นยังไม่สนใจ
แล้วนี่ลูกนอกกฎหมายที่เวียนนาแอบไปคลอดเอาไว้ไม่ให้ใครรู้
คุณแม่คิดว่าพวกเขาจะสนใจหรือคะ”
ที่พูดเช่นนี้เพราะญาติผู้พี่ของเธอคนนี้
เป็นลูกภรรยาน้อยของ ยูนาน ผู้เป็นลุงนั่นเอง
แต่ความที่แม่ของเวียนนาตายไปตั้งแต่ลูกสาวยังจำความไม่ได้
และหน้าตาผิวพรรณของฝ่ายนั้นก็กระเดียดมาทางคนอัศวฤทธาอยู่มาก
ลุงของเธอจึงไม่อาจใจจืดปล่อยให้ลูกคนนี้โตขึ้นมาในสลัมได้
แต่การเติบโตขึ้นมาในบ้านของภรรยาหลวงที่มีลูกชาย
ลูกสาวอยู่แล้วถึงสามคนทำให้เวียนนาเหมือนเป็นส่วนเกิน
เรื่องนี้แม่ของเธอก็รู้อยู่เต็มอก
“ในเมื่อพวกเขาเกี่ยวข้องกับเด็กนั่นตรงๆ
แต่กลับไม่สนใจ แล้วเราจะไปวุ่นวายอะไร”
ดวงตาคู่คมกริบของศกุนตลาจับจ้องมาอย่างไม่ลดละ
ทำให้เดหลีรู้สึกหงุดหงิด คล้ายถูกจับผิด
ไม่รู้ว่าแม่รู้เรื่องที่เธอไปบ้านสวนของเขมวันต์ที่คลองหมาแหงนมากน้อยแค่ไหน
แต่เดหลีสัญญากับตัวเองว่า
ตราบใดที่ความสัมพันธ์ของเขากับเธอยังคลุมเครืออยู่เช่นนี้
ก็จะไม่มีวันแพร่งพรายเรื่องชายหนุ่มออกไปเป็นอันขาด
ถ้าแม่รู้เรื่องว่าที่ลูกเขยคนนี้...โอกาสที่เธอจะได้เปลี่ยนจากนางสาวเป็นนางคงถึงขั้นติดลบ!
“เดย์ก็ไม่อยากวุ่นวาย ถ้าลุงยูนานไม่สั่ง” หญิงสาวอ้างชื่อผู้เป็นลุงหน้าตาเฉย
เดหลีไม่ได้โกหก แต่ยูนานเคยเปรยออกมาจริงๆ
ว่าต้องการพบวนิษา ด้วยเด็กหญิงเป็นหลานสาวคนแรก
ลุงของเธอจึงอยากเจอหน้าเป็นธรรมดา
ศกุนตลาเงียบไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เดหลีเลยได้โอกาสเสริมต่อ
“เดย์เลยชวนหนูนิดมางานแต่งงานซิดนีย์ด้วยกัน”
“ก็เท่ากับเราต้องเป็นพี่เลี้ยงเด็กนั่นน่ะสิ”
ผู้เป็นแม่เอ่ยด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
“จะพูดแบบนั้นก็ได้ค่ะ” เธอตอบ
โล่งอกนิดหน่อยเมื่อไม่ถูกซักฟอกต่อ
“แล้วนี่มีเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า
เครื่องประดับให้เด็กนั่นหรือยัง”
คนถูกถามกะพริบตา เพราะไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อน
ขณะที่ผู้เป็นแม่พอเห็นสีหน้าของเธอก็ทำตาเขียวใส่
“อย่าบอกนะว่าเราลืม”
เดหลีลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปจริงๆ
แต่จะให้ยอมรับก็ไม่ใช่วิสัย เลยเลือกที่จะวางหน้าเฉยเสีย ศกุนตลาคงเหลืออด
เลยหยิกเข้าแรงๆ ที่ต้นแขนลูกสาวเสียทีหนึ่ง ทำให้คนถูกหยิกสูดปากร้องทันที
“อะไรกันคะคุณแม่”
“ก็เรื่องแบบนี้ลืมได้อย่างไรกันเล่า แล้วดูซิ
ไปชวนหลานลุงยูนานมา ชุดเชิ้ดก็ไม่หาให้ แล้วแบบนี้แม่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
เราก็รู้งานนี้รวมญาติ แล้วไหนจะสื่ออีก ไม่รู้กี่แขนง”
ความที่เคยเป็นภรรยานายห้างใหญ่มาก่อน
จึงเสมือนประมุขฝ่ายหญิงของตระกูลกลายๆ และพื้นฐานที่เป็นผู้กว้างขวางในสังคม มีคนนับหน้าถือตามากมาย
มารดาของเธอเลยเป็นจุดเด่นในงานเลี้ยงเสมอ ซึ่งความเป็นดาวดวงเด่นนี้
ย่อมสาดแสงเปล่งประกายเผื่อแผ่มาถึงคนในครอบครัวด้วย
และนั่นหมายความว่าวนิษาจะต้องถูกจับตามองไปด้วยโดยปริยาย
ถ้าเด็กหญิงปรากฏตัวอย่างยาจก ไม่น่ามอง ศกุนตลาย่อมขายหน้า
สำหรับคนอื่นคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คนอย่างศกุนตลาจะเสียหน้าไม่ได้
แต่เดหลีไม่คิดว่าผู้เป็นแม่จะคิดไปไกลขนาดที่ว่า
“แล้วพ่อของเด็กนั่นจะมาด้วยกันไหม”
“ไม่ทราบค่ะ”
หญิงสาวไม่คิดว่าเขมวันต์จะยอมมางานรวมญาติของพวกอัศวฤทธา
แต่ยังไม่อยากฟันธงออกไปตอนนี้
“ถ้ามา แล้วเขามีชุดใส่หรือเปล่า
ไม่ใช่ว่าใส่ชุดเก่าตอนคราวงานนายอัคมาอีกนะ ชุดนั้นน่ะ
แม่จำได้ว่าคราวตาชายแต่งงานเขาก็ใส่มา” คนพูดทำหน้าสยดสยอง
เมื่อนึกถึงงานแต่งงานของน้องชายกับพี่ชายของเธอ
เดหลีจึงรีบกล่าวแก้แทนชายหนุ่มแทบไม่ทัน
“ก็เขาเป็นหมอ ไม่ใช่ไฮโซ แล้วก็ไม่ได้สนใจแฟชั่นด้วย
เขายอมใส่สูทมาก็ดีแล้วนะคะคุณแม่ ดีกว่านุ่งผ้าขาวม้าตั้งเยอะ”
หญิงสาวเผลอหลุดปากออกไป และนึกเสียใจในเวลาต่อมา
เพราะสีหน้าของคนฟังเหมือนจะเป็นลมไปต่อหน้าต่อตา
“นุ่ง-ผ้า-ขาว-ม้า!”
“เดย์ก็พูดไปอย่างนั้นละค่ะ คุณเข้มเขาไม่ใช่ตาสีตาสา
เขาไม่นุ่งผ้าขาวม้ามางานแต่งหรอกค่ะคุณแม่”
ทว่าศกุนตลาดูจะฝังใจกับคำพูดของเธอไปเสียแล้ว
เพราะผู้เป็นแม่สั่นหน้าดิก
“ไม่ได้ๆ ถึงไม่นุ่งมา
แต่ใครจะรับประกันได้ว่าหมอบ้านนอกอย่างพ่อคนนั้นจะไม่ใส่เชิ้ตลายผ้าขาวม้าหรือสูทลายตารางมางานแต่งงานคืนนี้
โอย...ไม่ได้แล้ว ยายเดย์ เราต้องไปจัดการเรื่องนี้ แม่จะไม่ขอทน
ถ้ามีคนนินทาแม่เรื่องญาติคนใหม่ของพวกเรา”
“เดี๋ยวค่ะคุณแม่...” หญิงสาวพยายามท้วง
เพราะเธอแค่หาทางแก้ตัวเรื่องเดินทางไปคลองหมาแหงนเท่านั้น ไม่นึกว่าศกุนตลาจะยึดถือเป็นจริงเป็นจังเช่นนี้
“ไม่เดี๋ยวอะไรทั้งนั้น
เอาตามที่แม่พูดนี่ละ อ้อ แล้วงานคืนนี้เรามีคู่ควงไปด้วยหรือยัง”
เดหลีงงงวยกับคำถามที่เอ่ยขึ้นอย่างปุบปับของอีกฝ่าย
“คู่ควงอะไรคะ”
“ก็คู่ควงไง” ผู้เป็นมารดายืนกรานเสียงหนักแน่น “แม่ไม่ยอมหรอกนะที่จะให้เราไปงานแต่งงานโดยไม่มีคนควงไปด้วย”
คำพูดนั้นทำให้หญิงสาวมองศกุนตลาอย่างไม่เชื่อสายตา
“เดี๋ยวค่ะ...ทำไมเดย์ต้องมีคู่ควงด้วยคะคุณแม่
ทุกทีเดย์ก็ไม่เห็นต้องมีเลย”
“ก็นั่นมันเมื่อก่อน
ก่อนที่ทั้งพี่ๆ น้องๆ เราจะทยอยกันแต่งงานไปทีละคนๆ แบบนี้” คนตรงหน้าตอบเสียงแข็ง พร้อมทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ก่อนเสริมว่า “อีกอย่าง งานคืนนี้ก็เป็นงานแต่งงานด้วย ใครๆ เขาก็มีคู่ไปกันทั้งนั้น
เราเองก็เป็นพี่ แค่ปล่อยให้ยายซิดนีย์แต่งงานแซงหน้าไปก็เสียหน้ามากแล้ว
แล้วยังจะไม่มีคนควงไปงานแต่งอีกหรือ”
“ตรรกะอะไรกันคะนี่
เดย์ไม่เคยได้ยิน” เธอร้องประท้วง แต่เหมือนมารดาจะไม่ใส่ใจ
“พูดแบบนี้
แปลว่าเรายังหาคู่ควงไปงานไม่ได้น่ะสิ แต่ไม่เป็นไรแม่เตรียมไว้ให้แล้ว”
หญิงสาวเบิกตากว้างกับคำพูดนั้น ฉุกใจคิดขึ้นมาได้ว่า
พอหมดจากอัครา ผู้เป็นแม่คงไม่รู้ว่าจะไปวุ่นวายกับใครดี
เลยหันมาหาเธอเป็นคำตอบสุดท้าย
แต่การที่ได้เห็นศกุนตลาเที่ยวสรรหาสะใภ้ให้ลูกชายคนโปรดเป็นเวลาหลายปี
ทำให้เดหลีรู้สึกขนลุกขนพองจนพูดไม่ถูก เธอจึงส่ายหน้าดิก
“ไม่เอาค่ะ
ถ้าแม่หาคนมาให้เดย์ควง เดย์ไม่ไปงานซิดนีย์คืนนี้นะคะ” หญิงสาวยื่นคำขาด
ศกุนตลาเลยชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด
ดวงตาคมเฉียบของฝ่ายนั้นหรี่ลง และริมฝีปากก็เม้มเข้าหากัน
คล้ายไม่อยากรับฟังความคิดเห็นของเธอแม้แต่น้อย แต่ผู้เป็นแม่ย่อมรู้จักลูกสาวดี
โดยเฉพาะความดื้อดึงของลูกที่ปราบกันมาตั้งแต่เล็กจนโต
ศกุนตลาหลุบเปลือกตาลงคล้ายชั่งใจ
ก่อนกระแอมกระไอแล้วเอ่ยออกมา “แต่ยังไงเราก็ควรมีคู่ควงไปงานคืนนี้”
“เรื่องนั้นเดย์จัดการเองค่ะ”
“เราจะพาใครไป”
“เดย์ยังไม่รู้
ไว้ถึงงานแล้ว แม่ก็เห็นเอง” หญิงสาวตอบเสียงกระด้าง
บ่งบอกเจตนาชัดเจนว่า
ไม่ต้องการให้ผู้ให้กำเนิดยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยวในเรื่องนี้
ก็ถ้าแม่อยากให้เธอมีคู่ควง
เดหลีก็จะหาคู่ควงไปเอง
เขมวันต์คือคำตอบที่ดีที่สุด...
แต่คงไม่ใช่สำหรับแม่ ดังนั้นศกุนตลาจึงไม่ควรรู้เรื่องนี้
ขณะเดียวกัน คนเป็นแม่ก็เงียบไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยเสียงเฉียบคล้ายตัดสินใจได้
“ได้
แม่จะไม่ยุ่งกับเราเรื่องคู่ควงไปงาน แต่เราจะต้องช่วยแม่เรื่องหนึ่ง”
ฟังดูเหมือนยื่นหมูยื่นแมวเลยแฮะ!
หญิงสาวคิด
ก่อนผงกศีรษะรับคำอย่างระมัดระวัง
“แม่จะให้เดย์ช่วยเรื่องอะไรคะ”
“แม่จะส่งคนมาฝึกงานกับเรา”
“ใครคะ” หญิงสาวทำหน้านิ่วด้วยความงงงวย
และพอได้ยินชื่อของคนที่ผู้เป็นมารดาอยากจะให้มาฝึกงานด้วยชัดเจนก็ถึงกับอุทานลั่น
“เดี๋ยวค่ะคุณแม่ นั่นน่ะ เพื่อนนายอัคนี่คะ”
“ใช่
แม่ถึงจะให้มาฝึกงานกับเราไง”
“ทำไมต้องเป็นเดย์คะ
เดย์ไม่เข้าใจ ในเมื่อเป็นเพื่อนนายอัค ก็ให้ไปฝึกกับนายอัคสิคะ”
“ไม่ได้
พักนี้อัคมันติดตาแฝดยายแฝดอย่างกับอะไรดี วันๆ
เลิกทำงานก็เอาแต่กลับบ้านไปช่วยเมียเลี้ยงลูก แม่ว่าให้มาฝึกงานกับเราละดีแล้ว”
“แล้วจะให้เดย์สอนเรื่องอะไรคะ
จัดอีเวนต์หรือประชาสัมพันธ์” หญิงสาวย้อนเสียงสูง
อย่างเจตนาให้รู้ว่าประชด
“จะสอนอะไรก็ได้
เพราะเมื่อก่อนบ้านเรากับบ้านโน้นเคยคุยกันว่าจะทำเทคโนโลยี
ทรานสเฟอร์ระหว่างสองครอบครัว โดยที่เราช่วยเขาเรื่องงานห้างสรรพสินค้า
ส่วนเขาช่วยเราเรื่องอสังหาฯ”
“แต่เรื่องแบบนี้ใครเขาจะมาถ่ายทอดให้คนนอกกันคะแม่
แล้วนี่พ่อกับพี่ชายรู้หรือยังคะ” หญิงสาวฟังแล้วปวดหัวตุ้บ
เหตุผลของคนเป็นแม่ยิ่งฟังยิ่งพิลึกพิลั่นขึ้นทุกขณะ
“รู้แล้ว”
“แล้วพ่อกับพี่ชายโอเคหรือคะ”
“ก็ไม่เห็นว่าอะไรนี่”
“งั้นทำไมไม่ให้ไปเรียนงานกับพี่ชายล่ะคะ”
เธอเริ่มหงุดหงิด
“เราคิดว่านายห้างอย่างตาชายจะมีเวลาสอนงานใครหรือ”
“แต่...”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้นละ”
ศกุนตลาตัดสินเฉียบขาด “เอาตามนี้ละ”
เดหลีกัดฟันกรอดกับคำสั่งรวบรัดของมารดา
“เรื่องบ้าๆ นี่ จะเริ่มเมื่อไหร่คะ”
“บ่ายนี้”
“คะ?” เธอทำตาลุก
“ไม่เร็วไปหรือคะ”
“ไม่หรอก ตอนนี้เลขาฯ เราขาดไปคนนึง
นี่ก็เท่ากับได้เลขาฯ หรือผู้ช่วยมาเพิ่มอีกคน จะได้ช่วยดูแลเรื่องเสื้อผ้า
ข้าวของที่จะส่งไปให้เด็กนั่นกับตาหมอนั่นด้วย”
ผู้เป็นแม่สรุปให้เสร็จสรรพ
จากนั้นก็เดินฉับๆ ออกไปโดยไม่เปิดโอกาสให้เธอได้แย้งแม้แต่คำเดียว
เดหลีเลยจำต้องมองตามด้วยความว้าวุ่นใจและขุ่นใจไปพร้อมกัน
เพราะพอจะมองเจตนารมณ์ของมารดาออกรางๆ แต่ยังไม่แน่ใจสักเท่าไรนัก
ทว่าหญิงสาวไม่มีโอกาสได้ไขปัญหาข้อนี้นานนัก
เพราะหลังจากนั้นไม่เกินสิบห้านาที พนักงานสี่คนจากแผนกเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายชาย
กับแผนกเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายสตรี
ก็ช่วยกันลำเลียงเสื้อผ้าสำหรับสองพ่อลูกขึ้นมาส่งให้
เดหลีเห็นแล้วก็ยิ่งมั่นใจว่าเธอได้นิสัยความ ‘เยอะ’ มาจากศกุนตลานี่เอง
เย็นวันนั้น
เขมวันต์ยอมรับว่าแม้เขาจะเคยแปลกใจกับบรรดาของขวัญที่เดหลีนำมามอบให้ไปแล้วครั้งหนึ่ง
แต่ก็ยังอดอ้าปากค้างไม่ได้ เมื่อเห็นชุดสูทที่แขวนเรียงรายจนเต็มผนังห้องรับแขก
และกล่องรองเท้าหลายกล่องบนพื้น
กับชุดราตรีทั้งสั้นและยาวที่กองสุมอยู่บนโซฟากับโต๊ะรับแขกร่วมสิบชุด
แต่ที่ทำให้เขาแปลกใจที่สุดก็เห็นจะเป็นร่างเพรียวระหงของบุตรสาวในชุดราตรีสีฟ้าอ่อนใสเหมือนท้องฟ้าฤดูหนาวแสนสวย
ราวกับเจ้าหญิงจะไปงานราตรี แต่จะต่างจากเจ้าหญิงในการ์ตูน วอลต์ ดิสนีย์ ที่เคยเห็นอยู่ก็ตรงที่คนสวมสวมไปเกาไปจนดูยุกยิกน่าขัน
“คุณว่าสวยใช่ไหมคะ”
เดหลีหันขวับมาถามเขาทันที
สีหน้าเธอเหมือนคนเรือแตกที่เห็นขอนไม้ผุลอยมากลางทะเลแล้วโผเข้าเกาะอย่างมีหวัง
เขมวันต์ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของคนถาม
เลยเลือกที่จะตอบไปว่า “ชุดสวย”
คำตอบกำกวมนั้นทำให้หญิงสาวมองมาคล้ายตัดพ้อ
ขณะที่บุตรสาวตบมือหัวเราะร่า
“แต่หนูนิดใส่แล้วไม่สวยใช่ไหมคะพ่อ”
“ไม่ใช่ไม่สวย แต่พ่อไม่ชินมากกว่า”
เขาแก้ตัวไปในรูปนั้น
แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เด็กหญิงยิ้มกว้างส่งให้
แล้วหันไปหาเดหลีด้วยสีหน้ากระตือรือร้น
“เป็นอันว่า
หนูนิดไม่ต้องใส่ชุดเจ้าหญิงปัญญาอ่อนพวกนี้แล้วนะคะพี่เดย์”
“แต่เราไปงานแต่งงาน
หนูนิดไม่ใส่ชุดราตรีไปแล้วจะใส่อะไรไป”
เดหลีถามเสียงขรึม บ่งบอกว่าไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เช่นกัน
เด็กหญิงเลยยิ้มแหย ขณะที่เขมวันต์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“งานแต่งงาน?”
“ซิดนีย์ ลูกพี่ลูกน้องของฉันจะแต่งงาน
คุณลุงยูนานเองก็อยากเห็นหนูนิด พวกญาติๆ
ก็บ่นว่าไม่ได้เจอหนูนิดตั้งแต่คราวงานแต่งงานนายอัค คุณแม่เลยให้ฉันเอาชุดพวกนี้มาให้
แกจะได้ใส่ไปงานแต่งงานคืนนี้”
“คืนนี้?”
เขาพูดเกือบเหมือนตะโกนด้วยความตกใจ
“ค่ะ คืนนี้” เธอรับคำหน้าตาเฉยอย่างไม่สะทกสะท้าน
“แต่นี่มันเกือบห้าโมงเย็นแล้วนะคุณ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ เรื่องเดินทางไม่มีปัญหา
พวกเราจะไปทางเฮลิคอปเตอร์”
เธอบอกเสียงมั่นใจ
แต่เขากลับรู้สึกเหมือนได้กลิ่นอันตรายเพิ่มขึ้นทุกขณะ
“พวกเรา?”
“นี่เป็นงานรวมญาตินะคะ คุณเป็นพ่อหนูนิด
คุณก็ต้องไปด้วย”
“แต่ผมไม่เคยบอกคุณหรือ
ว่าผมกับลูกไม่ต้องการจะเป็นส่วนหนึ่งของอัศวฤทธาของคุณ
พวกเรามีความสุขที่ได้อยู่แบบนี้ เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ อย่างนี้”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเข้ม เห็นจากทางหางตาแวบๆ
ว่าบุตรสาวรีบเลี่ยงออกไปจากห้องโถงอย่างคนที่รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง
เดหลีก็คงจะเห็นเหมือนกัน เพราะเธอผ่อนลมหายใจหนักๆ
ออกมาคล้ายหนักใจกับปัญหานี้เช่นกัน
“เคยค่ะ แต่ไม่ว่ายังไง คุณก็ปฏิเสธความจริงที่ว่าหนูนิดมีสายเลือดของคนอัศวฤทธา
ไหลเวียนในตัวครึ่งหนึ่งไม่ได้หรอกนะคะ”
“แล้วยังไง”
“ดังนั้น
แกก็ควรได้รับสิทธิ์อย่างที่พวกเราได้ตอนที่อายุเท่ากับแกด้วย”
“สิทธิ์ของการเป็นลูกคุณหนู แล้วขับเบนท์ลีย์ มาเซราติ
ไม่ก็ปอร์เช่ ตอนอายุสิบแปดน่ะหรือ” เขาถามเสียงขุ่น
ทำให้คนตรงหน้าอุทานออกมาอย่างฉุนโกรธ
“คุณเข้ม!”
“บอกเลยนะ
ผมไม่คิดหรอกว่าหนูนิดจะอยากได้สิทธิ์พวกนั้น”
“สิทธิ์ที่ฉันพูดถึง ไม่ใช่แค่เรื่องรถหรู
หรือชีวิตในสังคมไฮโซ เจตเซต แต่ฉันหมายถึงการไปเปิดตัวกับเครือญาติครั้งนี้
จะทำให้แกได้รับโอกาสอย่างที่ทายาทสายตรงอัศวฤทธาทุกคนได้รับ
ได้ฝึกฝนอย่างคนอัศวฤทธาทุกคนได้ฝึก พวกเราจะต้องเป็น ‘เด็กฝึกงาน’ ในห้าง หรือตามร้านค้าที่ครอบครัวถือหุ้นอยู่ตั้งแต่อายุน้อยๆ อย่างฉัน
พี่ชาย
หรือนายอัคก็ถูกคุณพ่อใช้ให้ไปช่วยห่อของขวัญในห้างตั้งแต่ยังไม่เต็มสิบขวบดี”
หญิงสาวเอ่ยเสียงแข็งแต่ชัดเจนทุกถ้อยคำ
พร้อมสบตาเขาอย่างแน่วแน่ด้วยมาดนางสิงห์
ที่บ่งบอกว่าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่ก้าวเดียว
“เว้นเสียแต่ว่า
คุณจะให้หนูนิดเสียสิทธิ์ที่แกควรจะได้รับไปเปล่าๆ
โดยที่แกยังไม่ทันได้มีโอกาสตัดสินใจหรือพิสูจน์ตัวเอง”
เขมวันต์ไม่สนใจสิ่งที่เดหลีพูด
แต่ก็ไม่อยากทำตัวเป็นคนใจแคบ โดยเฉพาะเมื่อเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับวนิษาโดยตรง
แต่ถึงอย่างนั้นคำชวนอย่างฉุกละหุกของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาตัดสินใจลำบาก
เดหลีเองก็เข้าใจดีว่าช่วงเวลาเช่นนี้ เธอควรจะรุก
หรือควรจะหยุดรอตั้งรับ เพราะเมื่อเห็นเขาเงียบไป เธอก็เลือกที่จะปิดการสนทนาครั้งนี้สั้นๆ
แต่ได้ใจความว่า
“คุณยังมีเวลาคิดอีกชั่วโมงหนึ่ง เพราะงานเขาเริ่มหนึ่งทุ่ม
เราออกจากที่นี่หกโมงครึ่งก็ทันค่ะ”
แล้วหญิงสาวก็เดินกรีดกรายจากไป
เหลือเพียงกลิ่นน้ำหอมที่ชอบใช้เป็นประจำ
กลิ่นที่หอมหวานยามดอมดมจากซอกคอเรียวระหง
แต่กลับทำให้รู้สึกเปล่าเปลี่ยวและเหงาลึกๆ ในอกเมื่อไม่มีเงาอีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆ
ที่นอกตัวบ้าน
วนิษาซึ่งแอบมองเข้ามาอย่างลุ้นระทึกถึงกับพ่นลมหายใจแรงด้วยความผิดหวัง
เมื่อเห็นเดหลีเดินออกมาจากบ้านของตนได้ไม่นาน
เสียงหายใจของเธอคงดังจนทำให้คนที่นอนเคี้ยวชมพู่แก้มแหม่มและมีหมวกสานขาดๆ
ปิดหน้าอยู่ได้ยิน เพราะฝ่ายนั้นเอ่ยปากแนะนำออกมาทันที
“ถ้าอยากไปงานแต่งงานของญาติเรานัก ก็ไปบอกพี่เข้มไป๊
มานั่งถอนใจเฮือกๆ อยู่ทำไม”
“หนูนิดไม่ได้อยากไป
แต่หนูนิดไม่อยากให้พ่อกับพี่เดย์ทะเลาะกันต่างหาก”
“ยิ่งทะเลาะกันลูกยิ่งดก ไม่เคยได้ยินรึ”
“ลูกดกบ้าอะไร พี่เดย์ออกมาโน่นแล้ว”
เธอพยักหน้าไปทางที่รถของเดหลีจอดอยู่ ก่อนชะงักค้าง
แล้วทุบลงไปแรงๆ บนตัวคนที่นอนเล่นข้างๆ
ทำให้ฝ่ายนั้นลุกพรวดขึ้นแล้วเค้นเสียงขุ่นถามออกมาว่า
“อูย มาชกพี่ทำไมฮึ คนกำลังกินเพลินๆ จุกนะโว้ย”
“ก็อยากรู้ว่าพี่จั๊บ เห็นเหมือนที่หนูนิดเห็นไหม”
“เห็นอะไร” กวยจั๊บเอ่ยถามอย่างหัวเสีย
“ก็โน่นไง” เด็กหญิงบุ้ยใบ้ไป
พร้อมลดเสียงลงเกือบเป็นกระซิบว่า “พี่จั๊บเห็นเหมือนหนูนิดไหม”
พอเห็นดวงตาคนถูกถามหรี่ลงในเสี้ยวนาทีต่อมา
วนิษาก็รู้ว่าเธอไม่ได้ตาฝาด เห็นภาพหลอนไปเองว่าเดหลีมาที่นี่พร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่ง
เขามีอายุราวๆ ยี่สิบปลายๆ
ดูแล้วน่าจะเป็นคนขับรถพาหญิงสาวมาที่นี่ ด้วยพอเห็นเดหลีเดินออกจากตัวบ้าน ชายหนุ่มก็ขึ้นไปนั่งตำแหน่งคนขับอย่างรวดเร็ว
แต่ฝ่ายนั้นดูมีสง่าราศีเกินกว่าจะเป็นคนขับรถ
เขาเป็นใคร...
วนิษาไม่เคยเห็นหน้าชายหนุ่มมาก่อน
เพราะทุกครั้งเดหลีจะมาที่นี่ตามลำพัง
จะบอกว่าเป็นญาติก็ไม่แน่ใจนัก
เพราะจำได้ว่าไม่เคยเจอฝ่ายนั้นในงานแต่งงานของ อัครา น้องชายของเดหลี กับ
เกี้ยมอี๋ น้องสาวของกวยจั๊บ ทั้งๆ
ที่งานนั้นถือว่าเป็นงานรวมญาติครั้งใหญ่ของตระกูลอัศวฤทธาเลยทีเดียว
เธอได้รับการแนะนำให้รู้จักกับญาติร่วมร้อยกว่าคน
และถึงแม้ว่าจะจำหน้าทุกคนได้ไม่หมด แต่ถึงอย่างนั้น เด็กหญิงก็มั่นใจว่า
ถ้าได้เจอคนตรงหน้าจะไม่มีวันลืมแน่นอน
ที่สำคัญเขาทำให้คนที่มองอยู่รู้สึกราวกับได้กลิ่นอายของเงินตรากับความหรูหรา
ร่ำรวยระเหยออกมาจากตัว
กลิ่นอายที่ทำให้เธออุปาทานว่าตนเองมีแต่กลิ่นโคลนสาบควายติดตัวมา
กลิ่นอายที่แบ่งแยกชนชั้นระหว่างเซเล็บผู้โก้เก๋จากเมืองกรุงกับชาวสวนชาวไร่แห่งคลองหมาแหงนออกจากกันได้อย่างชัดเจน
และเป็นกลิ่นอายที่ดูเหมาะสมกลมกลืนไปกับเดหลีอย่างปฏิเสธไม่ได้
“พี่จั๊บว่าเขาเป็นใครน่ะ”
“คนขับรถมั้ง”
กวยจั๊บตอบ
แล้วทำท่าจะทอดตัวลงนอนกินชมพู่กองใหญ่ข้างตัวต่ออย่างสบายใจ
ทำให้เด็กหญิงขัดใจและเงื้อมือทุบเขาเข้าแรงๆ อีกทีหนึ่ง
คราวนี้ชายหนุ่มเลยตาขวาง “นี่เนื้อคนนะโว้ย ยายหนูนิด
ไม่ใช่กระท้อน จะได้ทุบเอาๆ อยู่ได้ อยากทุบไปโน่นเลย ไปทุบพ่อเราโน่น”
“ทุบพ่อ ตายไปก็เป็นเปรต มือใหญ่เท่าใบลานน่ะสิ
ทุบพี่จั๊บเนี่ยดีแล้ว” เธอตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดพอกัน
“แล้วเรามาทุบพี่ทำไม”
“ก็ใครใช้ให้พี่จั๊บตอบแบบนั้นล่ะ พูดมาได้ว่าคนขับรถ
ตาถั่วหรือไง ฮะ! คนขับรถที่ไหนจะหล่อเหมือนพระเอกหนังแบบนั้น”
“แล้วถ้าพี่บอกเราว่าหมอนั่นเป็นกิ๊กกับพี่เดย์
เราจะพอใจไหม”
“ไม่!” เธอแทบตะโกนใส่หน้าคนพูด
“หนูนิดไม่อยากให้เขาเป็นกิ๊กกับพี่เดย์”
“ก็ทำไมจะเป็นไม่ได้ หน้าตาหล่อไม่ต้องเหลาขนาดนั้น
แถมยังดูดีมีชาติสกุล อายุอานามก็ไม่น่าจะเกินสามสิบ แบบนี้กระดูกกำลังกรุบกริบ
สาวแก่แม่ม่ายกะเทยกระเทียมชอบกินนักละ พี่บอกเลย”
เด็กหญิงฟังแล้วลมออกหู
ไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนไปตอนไหน
จากพี่ชายใจดีที่คอยตามใจเธอทุกย่างก้าว กลับกลายมาเป็นชายหนุ่มปากร้าย
พูดจาไม่เข้าหูคนแบบนี้
กำปั้นเล็กๆ เลยชกแรงๆ
ลงไปตรงหน้าท้องคนตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปปัดกระจาดชมพู่ให้หกระเนระนาดทั้งกระจาดเป็นการระบายโทสะที่พุ่งปรี๊ดจนปรอทแทบแตก
กวยจั๊บเลยอุทานออกมาเสียงดังลั่นอย่างลืมตัว
“โวะ! ทั้งชกพี่ ทั้งคว่ำกระจาดชมพู่
แบบนี้มันเกินไปแล้วนะ ยายตัวแสบ”
“เกินไปที่ไหน
ก็ใครใช้ให้พี่จั๊บเลี้ยงหมาไว้ในปากตั้งฝูงนึงล่ะ” เธอแผดเสียงใส่อย่างไม่ยอมแพ้
ไม่เคยกลัวเขาอยู่แล้ว
ใครๆ ก็รู้กันทั้งบางว่ากวยจั๊บตามใจเธอจะตายไป
ตามใจยิ่งกว่าพ่ออีก
อย่างดีเขาก็แค่ทำหน้าบึ้งใส่ แล้วเดินกระแทกเท้าโครมๆ
จากไปเท่านั้นเอง พรุ่งนี้เขาก็ต้องมาใหม่ เพราะมีหน้าที่รับส่งเด็กหญิงไปโรงเรียนกลายๆ
วนิษาจึงมั่นใจขนาดกล้าถลึงตาใส่คนตรงหน้าอย่างท้าตีท้าต่อย
ดูเหมือนวนิษากับกวยจั๊บต่างลืมไปเลยว่ากำลังแอบอยู่นอกบ้าน
และเสียงทะเลาะกันครั้งนี้จะทำให้ใครๆ ได้ยิน
โดยเฉพาะเขมวันต์ที่ถึงกับเดินออกมาจากในตัวบ้าน
หมอหนุ่มไม่ทันสังเกตเห็นในตอนแรกว่ามีใครบางคนยืนอยู่กับเดหลี
เขามัวแต่มองบุตรสาวที่ตั้งท่าจะกระโดดเข้าชกเพื่อนต่างวัยด้วยสายตาอิดหนาระอาใจระคนขบขัน
“ทะเลาะอะไรกันอีกแล้วฮึหนูนิด”
“ก็พี่จั๊บน่ะสิ บอกมาได้ว่าพี่เดย์มีกิ๊ก”
ลูกสาวหันมาฟ้องเสียงเครือ แสดงว่าทั้งโกรธและเจ็บใจมาก
ขณะที่ตัวต้นเหตุกลอกตาแล้วยักไหล่คล้ายจะบอกว่าเรื่องแค่นี้ไม่เห็นใหญ่โตที่ตรงไหน
แต่เขมวันต์ฟังแล้วสะดุดหู เลยทำหน้านิ่วพร้อมเอ่ยถามเสียงเข้มออกไปว่า
“กิ๊กอะไร”
“ก็นั่นไงคะ” เด็กหญิงทำปากยื่น
บุ้ยใบ้ไปยังรถของเดหลีซึ่งจอดอยู่ และมีเจ้าของยืนอยู่ข้างๆ
แล้วตอนนั้นเองที่เขมวันต์สังเกตเห็นชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่ง
เขาไม่ทันได้มองฝ่ายนั้นในตอนแรกเพราะชายหนุ่มผู้นั้นนั่งอยู่ตรงตำแหน่งคนขับ
แต่พอเห็นเดหลีไม่ยอมขึ้นรถ อีกฝ่ายเลยลงมาเปิดประตูรถให้ ทำให้เห็นถนัดตา
ฝ่ายนั้นมีรูปร่างสูงโปร่ง
ผิวขาวสะอาดสะอ้านอย่างคนที่ทำงานในที่ร่มเป็นประจำ หน้าตาก็จัดว่าดีทีเดียว
แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับ ‘มาดคุณชาย’ ที่แสดงออกมาให้เห็น
ชีวิตนี้เขาเห็นคนที่วางท่าแบบนี้มาไม่กี่คน อย่างเช่น
พ่อ พี่ชาย และน้องชายของเดหลี
แต่หมอนี่ไม่ใช่พ่อ พี่ชาย และน้องชายของเธอ
ซ้ำยังไม่ควรจะมาที่นี่ แล้วทำหน้าที่คนขับรถให้หญิงสาวด้วย
เขมวันต์รู้สึกแปลกๆ
ก้ำกึ่งระหว่างความไม่พอใจกับแปลกใจ
“พี่จั๊บบอกว่าเขาเป็นกิ๊กของพี่เดย์”
บุตรสาวเอ่ยต่อเสียงเจ็บช้ำและไม่คิดจะออมเสียง
เดาว่าเดหลีคงจะได้ยินเพราะหญิงสาวทำปากเป็นรูปตัวโอ
ขณะที่ชายหนุ่มคนนั้นเหมือนจะยกริมฝีปากขึ้นยิ้มด้วยความพอใจ
นายแพทย์หนุ่มหรี่ตาลงนิดหนึ่ง
เริ่มไม่ชอบหน้าหมอนั่นทุกนาทีที่ผ่านไป
“กิ๊กของพี่เดย์งั้นหรือ”
เขมวันต์ทวนคำคล้ายถามบุตรสาว
แต่สายตาจับจ้องแน่วแน่ที่ดวงหน้าของเดหลีราวกับจะค้นหาคำตอบ
เซเล็บสาวเลยกะพริบตาถี่ๆ คล้ายรู้สึกตัว
ก่อนส่ายหน้าช้าๆ แล้วเอ่ยเสียงดังชัดเจนว่า
“หนูนิดกับคุณจั๊บเข้าใจผิดแล้ว คุณฉัตรไม่ใช่กิ๊ก
แต่เป็น...”
ความคิดเห็น |
---|