“ห้วยอะไรนะคะ” หญิงสาวมองเขางงงวย
คล้ายได้ยินไม่ถนัดหู เขมวันต์เลยต้องพูดซ้ำอีกครั้ง
“ผมต้องย้ายไปช่วยราชการที่โรงพยาบาลชุมชนของห้วยผาเซาะสักระยะหนึ่ง”
“ห้วยผาเซาะ อยู่ที่ไหนคะ”
เขมวันต์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยบอกตำแหน่งของอำเภอแห่งนั้นออกไป
เดหลีถึงกับเบิกตากว้าง
เมื่อรู้ว่านายแพทย์หนุ่มจะต้องไปประจำที่โรงพยาบาลในอำเภอไกลปืนเที่ยง อยู่ติดพรมแดนประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีเหตุปะทะกันบ่อยครั้งระหว่างเจ้าหน้าที่กับกลุ่มผู้ทำผิดกฎหมาย
รวมถึงปัญหาชนกลุ่มน้อยที่เรื้อรังมานานปี
“นี่ คุณล้อเล่นใช่ไหม”
“เปล่า”
“แล้วทำไมถึงต้องเป็นคุณด้วย”
“คงเพราะตอนนี้โรงพยาบาลที่นั่นมีเตียงเพิ่มจากสิบเตียงเป็นสามสิบเตียง
แต่ยังมีหมอประจำแค่สองคน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่นั่นกับผมรู้จักกันดี
และเราเคยคุยเรื่องนี้กันมาก่อนเพราะผมเคยเป็นหน่วยแพทย์อาสาไปรักษาชาวบ้านที่นั่น
แล้วก็เคยเข้าไปช่วยรักษาเป็นการส่วนตัวอีกหลายครั้ง”
“คุณไม่เคยบอกฉันสักคำว่าจะไปอยู่ไกลถึงขนาดนั้น”
เธอพูดเหมือนตัดพ้อ
ขณะที่เขมวันต์ลอบผ่อนลมหายใจยาว
จะว่าไป
เขาลืมนึกถึงเรื่องโรงพยาบาลที่ห้วยผาเซาะไปแล้ว จนเมื่อไม่กี่วันก่อน
นายแพทย์รุ่นพี่ที่สนิทกันและเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่นั่นได้ติดต่อมา
ปกติเขมวันต์เข้าร่วมโครงการหมออาสาปีละครั้งหรือสองครั้งอยู่แล้ว
ขึ้นกับว่าวันลาของเขาเหลือมากน้อยเพียงไร และช่วงที่จะต้องขึ้นเขา ลงห้วย
เข้าป่าไปเป็นหมออาสานั้น เขาว่างหรือไม่ แต่ปีที่ผ่านมาเขางานยุ่งมาก เพราะหมอที่โรงพยาบาลลาไปเรียนต่อเฉพาะทางเสียคนหนึ่ง
อีกคนก็ลาออก เพราะอยากไปทำงานโรงพยาบาลเอกชนแทนโรงพยาบาลชุมชนเล็กๆ ที่ต้องทำงานหนัก
หัวไม่วางหางไม่เว้นแบบนี้ ทั้งโรงพยาบาลเลยมีหมอแค่สองคน
เขมวันต์จึงไม่ได้ทำหน้าที่แค่เป็นหมอสูติฯ อย่างที่เรียนจบมาเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ไม่มีโอกาสลาพักจากงานประจำไปทำหน้าที่เป็นหมออาสาอย่างเคย
จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ
นี้ทางโรงพยาบาลเพิ่งได้หมอใหม่เพิ่มอีกสองคน
และถ้ารวมกับเพียงขวัญที่กำลังจะมาทำหน้าที่เป็นหมอในคลินิกพิเศษแล้ว
ก็สามารถบอกได้เต็มปากว่า เขากำลังจะได้เวลาส่วนตัวกลับคืนมาอีกครั้ง
แต่ก็ต้องย้ายไปช่วยราชการที่โรงพยาบาลดังกล่าวเสียก่อน
ชายหนุ่มเลยพยายามปลอบใจคนตรงหน้าอย่างสุดความสามารถ
“แต่ผมจะพยายามไปหาคุณที่กรุงเทพฯ
เดือนละครั้งเป็นอย่างต่ำ”
“ไม่เป็นไรค่ะ มีโรงพยาบาลก็น่าจะมีที่จอดเฮลิคอปเตอร์
ถ้าคุณมาไม่ได้ ฉันไปหาคุณเองก็ได้” เดหลีส่งยิ้มให้
แต่รอยยิ้มของเธอไม่แจ่มใสเอาเสียเลย
เขมวันต์เองก็พูดไม่ออก
รู้สึกผิดต่อหญิงสาวอยู่เหมือนกัน แต่เขามักใจอ่อนกับคำขอร้องของคนไข้หรือเพื่อนร่วมอาชีพเช่นนี้เสมอ
พร้อมกันนั้นก็บอกตัวเองว่า ช่วงเวลาที่ห่างกัน ถือเป็นบททดสอบของทั้งคู่
“แล้วนี่หนูนิดจะอยู่ยังไงคะ” ฝ่ายหญิงเอ่ยปากซักไซ้
เมื่อเห็นเขาเงียบไป
เรื่องนี้เขมวันต์เองก็หนักใจอยู่ไม่น้อย ตอนลูกยังเล็ก
หรือตอนไปเรียนต่อเฉพาะทาง เขาฝากลูกไว้ให้พ่อเลี้ยง โดยมีพี่ๆ
กับพี่สะใภ้ช่วยกันดูแลก็จริง แต่ระยะหลังเขาเลี้ยงวนิษาตามลำพังมาตลอด
ดังนั้นถึงจะอยู่ใกล้กันแค่สวนกั้น แต่เด็กหญิงก็ไม่เคยไปค้างบ้านปู่เหมือนตอนเป็นเด็กเล็กๆ
ขณะที่พี่ชายกับพี่สะใภ้ของเขาก็มีลูกที่ต้องดูแล พ่อก็แก่ไปกว่าเดิมมาก
จะให้มาเลี้ยงเด็กหญิงวัยรุ่นจอมเฮี้ยวอย่างบุตรสาวเขาก็คงไม่สะดวกนัก
“หนูนิดโตพอจะช่วยตัวเองได้แล้ว
และแกไม่ชอบไปอยู่ที่บ้านปู่เท่าไหร่ หรือถึงแกอยากไป
ทางนั้นก็คงไม่อยากให้ไปหรอก” เขาเอ่ยอึกอัก ทำให้คนฟังเอียงคอด้วยความฉงน
“ทำไมคะ”
เขมวันต์เองก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องเด็กๆ แบบนี้
แต่พอคิดว่าอีกหน่อยหญิงสาวก็ต้องมาทำหน้าที่เป็นแม่เลี้ยงให้ลูกสาว ถึงเขาไม่พูด
เรื่องก็น่าจะมาเข้าหูเธออยู่ดี ดังนั้นจึงตัดสินใจเป็นคนเล่าเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
“ก็อย่างที่คุณรู้ ที่บ้านพ่อของผมยังมีพี่ชายกับพี่สะใภ้อยู่ด้วย
พวกเขาก็มีลูกสาวเหมือนกัน แต่อายุอ่อนกว่านิดหน่อย
เลยกลายเป็นคู่แข่งกันไปโดยปริยาย หลานผมกับหนูนิดเลยไม่ค่อยถูกกันนัก เวลาโมโห
หนูนิดก็ชอบแกล้งแรงๆ
ส่วนหลานผมก็ชอบยั่วหนูนิดว่านิสัยเสียเพราะเป็นลูกไม่มีแม่...”
“ต๊าย! แล้วหนูนิดว่ายังไงคะ”
“ก็ไม่ว่า” เขาตอบ แต่สีหน้าคงพิพักพิพ่วนชัดเจน
ทว่าหญิงสาวไม่หยุดซักไซ้
“แต่คงไม่ปล่อยไปเฉยๆ หรอกใช่ไหมคะ”
“คุณรู้ได้ยังไง” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว
เห็นเดหลีมีสีหน้าเหมือนอายหน่อยๆ
“ก็...คนอัศวฤทธาเป็นแบบนี้ เห็นเราเงียบๆ
ใช่ว่าเราจะหยุด เพียงแต่แค่รอจังหวะ...แก้แค้น”
ชายหนุ่มฟังแล้วส่ายหน้า นึกสงสัยอยู่ทีเดียว
นิสัยแก้แค้นสิบปีไม่สายนี่มาจากใคร ที่ไหนได้ มาจากดีเอ็นเอทางฝ่ายแม่นั่นเอง
“ตกลง หนูนิดเล่นงานหลานคุณยังไงคะ”
“ก็ถ่ายคลิปตอนทุเรศๆ ของยายน้ำขิง
อย่างเช่นภาพในชุดนอนเก่ายืด คอย้วย ชายแขนรุ่ย หรือไม่ก็ตอนกำลังหลับ อ้าปากหวอ
น้ำลายยืด กับสภาพขี้มูกราขี้ตากรังตอนเพิ่งตื่นนอนไปลงประจานในเฟซบุ๊ก”
“แค่นั้น?”
“สำหรับบางคนอาจมองว่าเรื่องเล็ก แต่หลานสาวผม
แกชอบวางท่าทำตัวเป็นสาว และเป็นดรัมเมเยอร์กับนางนพมาศของโรงเรียน
เรื่องนี้เลยนับว่าใหญ่โตเอาการเลยทีเดียว”
“แต่...คุณก็ไปทำงานที่โรงพยาบาลนั่นไม่กี่เดือนเองไม่ใช่หรือคะ
หนูนิดก็น่าจะทนกับน้องน้ำขิงอะไรนี่ได้”
“ก็อาจจะทนได้ แต่คงไม่ยอมทนหรอก
อีกอย่างหนูนิดชินที่จะอยู่ที่นี่มากกว่า ถ้ายังไงก็คงให้ปู่
แล้วก็พี่ชายกับพี่สะใภ้ผม หรือจั๊บ สลับกันมาดูแกเป็นวันๆ ไป”
สีหน้าเดหลีตกใจอย่างเห็นได้ชัด “แต่ที่นี่เปลี่ยวจะแย่
แกจะอยู่คนเดียวได้หรือคะ”
“หนูนิดเรียนชกมวยกับเส้นเล็กแต่เด็ก
แกพอจะป้องกันตัวเองได้อยู่หรอก แล้วผมจะตามคนมาติดเหล็กดัดเพิ่มด้วย”
เขาเอ่ยเสียงไม่มั่นใจนัก แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าดิก
“ไม่ค่ะ ฉันไม่ยอมให้คุณปล่อยหนูนิดไว้ในบ้านสวนนี่คนเดียวหรอก
แกยังเด็กอยู่เลย ถึงจะฉลาด แก่นแก้วแค่ไหน ก็เอาชนะผู้ชายตัวโตๆ
ที่ตั้งใจมาทำร้ายแกไม่ได้หรอกค่ะ”
“คุณคิดมากไปแล้ว
ที่นี่มีแต่ชาวบ้านที่เห็นหน้ากันเป็นประจำ จะมีใครที่ไหนมาทำร้ายหนูนิดได้”
“ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าจะมีใครมาทำร้ายแกไหม
แต่ฉันไม่ไว้ใจหรอก หนูนิดกำลังจะเป็นสาว
เกิดอะไรขึ้นเราจะต้องเสียใจกันไปตลอดชีวิตแน่ๆ”
“เดี๋ยวบอกว่าเด็ก เดี๋ยวบอกกำลังเป็นสาว...ตกลงยังไง”
เขาเอ่ยล้อเลียน หัวใจฟูพอง เมื่อเห็นอีกฝ่ายใส่ใจกับบุตรสาวราวกับเป็นลูกในไส้
“ก็เป็นเด็กที่กำลังจะเป็นสาวไงคะ” เดหลีตอบ
ก่อนจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิดแล้วเอ่ยออกมาเสียงขรึมอย่างคนที่ตรึกตรองไว้ดีแล้ว
“อีกอย่างแกเป็นสายเลือดอัศวฤทธาด้วย ถ้ามีใครรู้เรื่องนี้และรู้ว่าแกอยู่คนเดียว
คงไม่ดีแน่”
“คุณพูดเหมือนจะมีคนมาจับตัวลูกสาวผมไปเรียกค่าไถ่”
เขาสัพยอก แต่เดหลีกลับพยักหน้าจริงจัง
“สำหรับคนอัศวฤทธา อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นละค่ะ
ตอนพวกเราเป็นเด็ก ยังช่วยตัวเองได้ไม่ดีนัก
พ่อต้องจ้างบอดีการ์ดมาขับรถให้นั่งด้วยซ้ำไป”
“แต่ยายหนูนิดอยู่บ้านสวนไกลปืนเที่ยงเสียขนาดนี้
มิหนำซ้ำยังไม่ได้ใช้นามสกุลคุณ ใครจะรู้ว่าแกเป็นหลานสาวมหาเศรษฐี”
“คุณลืมไปแล้วหรือคะว่าคุณเพิ่งพาหนูนิดไปงานแต่งงานซิดนีย์มา
แล้วงานนั้นก็มีสื่อมาเต็มเลย หลายคนถ่ายภาพแกไปด้วย
ซ้ำยังเขียนข่าวทำนองว่าเป็นอัศวฤทธาคนใหม่ อะไรทำนองนั้น”
หญิงสาวตอบเสียงหงุดหงิดใจ ขณะที่เขมวันต์ทำหน้านิ่ว
เขาไม่ค่อยได้สนใจตามอ่านข่าวในกรอบสังคมสักเท่าไร
เว้นแต่มีคนเอามากางให้อ่านตรงหน้า
นึกถึงตรงนี้
เลยฉุกใจคิดเรื่องข่าวของเดหลีที่เห็นวันนี้ไม่ได้ว่าคงเป็นฝีมือลูกสาวตัวแสบอีกตามเคย
ดูท่าหนูนิดจะหาเป้าหมายใหม่ได้แล้ว
จากปีก่อนที่เด็กหญิงพยายามทำตัวเป็นแม่สื่อให้เขากับเกี้ยมอี๋ มาปีนี้ก็เปลี่ยนเป็นเดหลีแทน
พอเห็นเขาเงียบไป หญิงสาวตรงหน้าก็กล่าวต่อ
“ฉันเลยคิดว่าหนูนิดไม่ควรจะอยู่ที่นี่คนเดียว ถ้าไม่มีคุณอยู่ด้วย”
“ก็บอกแล้วไงว่ามีทั้งพ่อ พี่ชายพี่สะใภ้ผม
แล้วก็นายจั๊บเวียนกันมาดู”
“พ่อคุณเป็นผู้ชาย ซ้ำอายุยังเยอะแล้ว
ไม่น่าสะดวกที่จะดูแลเด็กหญิงวัยรุ่นหรอกค่ะ
ส่วนพี่ชายกับพี่สะใภ้คุณก็มีลูกสาวเป็นคู่แข่งกับลูกคุณ
เขาจะดูแลลูกคุณได้ดีจริงๆ หรือคะ ส่วนจั๊บ จะว่าไปก็เป็นคนนอก แถมยังเป็นผู้ชาย
บอกตรงๆ นะคะ ให้ผู้ชายหนุ่มๆ มาดูแลลูกที่ใกล้จะเป็นสาวแบบนี้
ฉันว่ามันไม่ดีนักหรอกค่ะ”
บทจะคิดมากขึ้นมา เธอก็คิดมากจนไม่น่าเชื่อ
เขมวันต์เลยพลั้งปากไปว่า “แล้วจะให้ผมทำยังไง”
“ย้ายโรงเรียน ให้หนูนิดเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ
แล้วไปอยู่กับฉัน”
คราวนี้เป็นเขา ที่ไม่เห็นด้วยเสียเอง
“ไม่ได้หรอกคุณเดย์ คุณทำงานหนัก วันๆ กว่าจะเลิกงานก็ค่ำแล้ว จะมีเวลาที่ไหนมาดูแลลูกให้ผม”
“งั้นก็ไม่ต้องอยู่กับฉันทุกวัน ไปอยู่กับอี๋วันธรรมดา
เพราะรายนั้นเขาลูกเล็กไปไหนไม่ได้ แล้วก็สนิทกันมาก่อนด้วย
รับรองยายอี๋ต้องชอบแน่ๆ หนูนิดก็ต้องชอบ แกรักหลานจะตายไป
แล้ววันหยุดค่อยมาอยู่กับฉัน ฉันจะได้พาแกไปเยี่ยมคุณด้วยไงคะ ตกลงตามนี้นะคะ
ฉันจะได้ให้คนมาทำเรื่องย้ายโรงเรียนให้หนูนิดเลย”
“แต่นี่มันกลางเทอม ถึงลูกผมยอมย้าย
แต่โรงเรียนที่ไหนเขาจะรับ”
“มีแน่ค่ะ” เธอตอบเสียงมั่นใจ
พร้อมกับเอ่ยชื่อโรงเรียนคอนแวนต์ชื่อดังสำหรับหญิงล้วนออกมาโรงเรียนหนึ่ง
แล้วอธิบายให้ฟัง
“โรงเรียนนี้ จะว่าไปเป็นโรงเรียนที่เด็กๆ
ในครอบครัวฉันเรียนกันมาตลอด และพวกเราทุกคนก็เป็นสมาชิกชมรมศิษย์เก่า
อาของฉันเป็นนายกชมรม จะบอกก็ได้ว่าส่วนหนึ่งที่โรงเรียนขยายใหญ่ได้ขนาดนี้
เพราะอัศวฤทธาช่วยบริจาคและสร้างให้ ดังนั้น
ต่อให้ย้ายเข้าไปตอนสอบไล่ปลายภาคก็ต้องย้ายได้อยู่แล้วค่ะ
หรือคุณอยากให้หนูนิดไปเรียนโรงเรียนอินเตอร์ สองภาษา อะไรก็ได้ บอกมาเลยค่ะ
ฉันจัดการให้ได้”
เมื่อนางพญาแห่งเอวาลอนกรุ๊ปออกปากถึงเพียงนี้
หมอบ้านนอกอย่างเขาจึงไม่อาจคัดค้านอะไรได้
ส่วนหนึ่งก็เพราะรู้สึกโล่งอกที่ลูกสาวจะได้อยู่กับคนที่เขาเชื่อใจ อีกส่วนก็เพราะดีใจที่เดหลีออกโรงปกป้องเด็กหญิงอย่างจริงใจ
ขณะที่วนิษาเมื่อรู้เรื่องเข้าก็ไม่ดื้อรั้นปฏิเสธอย่างที่นึกกลัว
ด้วยได้ไปอยู่กับพี่อี๋ที่ฝ่ายนั้นรักใคร่
และพี่เดย์ที่หมายตาจะให้มาเป็นแม่เลี้ยงนั่นเอง
เขมวันต์รู้สึกเบาใจไม่น้อย
พร้อมกับบอกตัวเองว่าการถูกย้ายไปช่วยราชการฉุกเฉินในครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีก็ว่าได้
เพราะวนิษาจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับครอบครัวฝ่ายมารดาตามสิทธิ์ที่พึงจะได้รับ
และตัวเขานั้น แม้จะมีระยะทางเป็นอุปสรรคต่อความรัก
แต่นี่คือการที่จะได้พิสูจน์ตัวเองกับศกุนตลา...
เขาอาจไม่ร่ำรวย หรือมีนามสกุลเก่าแก่อย่างคนที่อีกฝ่ายต้องการมาเป็นลูกเขย
แต่เรื่องจิตสาธารณะนั้น...เขมวันต์มั่นใจว่ามีเต็มเปี่ยม แต่ถ้าถึงที่สุดแล้ว
แม่ของเดหลีก็ยังไม่ชอบเขา ชายหนุ่มก็หาทางออกไว้เรียบร้อยแล้ว
ฉุด!...เป็นคำตอบสุดท้าย
เพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับเดหลี
ทำให้เขมวันต์ลืมเพียงขวัญไปเลย แต่คุณหมอสาวนอกจากจะไม่ลืมเขาแล้ว
เธอยังจดจำเลยไปถึงเดหลีได้แม่นยำ
อัศวฤทธาเป็นตระกูลใหญ่ มีลูกหลานนับร้อยก็จริง
แต่คนที่โดดเด่นนั้นมีไม่กี่คน แน่นอนว่าในงานแต่งงานคืนนั้น
ผู้เป็นเจ้าสาวย่อมเป็นเหมือนเดือนดวงเด่น แต่ดวงดาวที่ทอประกายจ้าแสบตาก็มีไม่น้อย
เดหลีก็เป็นหนึ่งในนั้น
เพียงขวัญได้ยินมาว่าอัศวฤทธารุ่นที่สามคนนี้เป็นสาวโสด
จวนเจียนจะสลด แห้งตายบนคานทองอยู่แล้ว
แต่ทำไมถึงได้สละคานที่สถิตอยู่มาเป็นภรรยาเขมวันต์ได้
เธอก็ไม่เข้าใจและไม่เชื่อด้วย เพราะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
ไม่เคยมีใครรู้สักทีว่าภรรยาคนแรกของเขาเป็นใคร
มาจากไหน จะว่าไปเรื่องที่ชายหนุ่มมีลูกซ่อนอยู่ที่คลองหมาแหงน เพื่อนๆ
ร่วมรุ่นรวมถึงพี่ชายของเธอก็ไม่เคยรู้มาก่อน
เขมวันต์ไม่ได้ปิดบังแต่ก็ไม่ได้เปิดเผย
พอเรียนจบเขาก็จูงลูกสาวไปงานรับปริญญาด้วย ทำให้บรรดาสาวๆ เป็นลมกันร่วมสิบกว่าคนด้วยความตกใจ
รวมถึงเพียงขวัญด้วย
ก็ใครจะคิดว่ารุ่นพี่ที่มาดแมนที่สุด
ซ้ำยังเก่งทั้งเรื่องเรียน ดนตรี กีฬาสารพัด และมีน้ำใจกับน้องๆ
จนเรียกได้ว่าครบเครื่อง เพราะเป็นคนเรียนดี กีฬาเด่น และมีน้ำใจ ทั้งยังไม่เคยมีข่าวคราวกับสาวที่ไหนมาก่อนจะซุกซ่อนลูกไว้
แต่หลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มใจชื้นขึ้น เมื่อเขมวันต์ไม่เคยกล่าวถึงภรรยา
เพื่อนสนิทของเขาก็พูดแค่เพียงว่า แม่ของวนิษาจากไปนานแล้ว
จาก-ไป-นาน-แล้ว ไม่ได้แปลว่าตายหรอกหรือ
แล้วจู่ๆ ทำไมเซเล็บค้างฟ้าอย่าง เดหลี อัศวฤทธา
จึงกลายมาเป็นภรรยาของเขาได้
หญิงสาวตั้งใจจะสืบเรื่องนี้ให้ได้
ไม่อย่างนั้นการลาออกจากคลินิกชื่อดังระดับประเทศจากกรุงเทพฯ
กลับมาช่วยงานคลินิกเสริมความงามของพี่ชายเพราะต้องการได้อยู่ใกล้ชิดกับเขมวันต์
ที่เป็นเสมือนเทพบุตรในดวงใจก็จะสูญเปล่า
ซึ่งคนอย่างเพียงขวัญไม่มีวันยอม
เพียงแต่จะเริ่มต้นสืบจากที่ไหนก่อนดี...
หญิงสาวยังนึกไม่ออก ขณะเดียวกันก็สงสัยว่า ซิดนีย์
อัศวฤทธา ลูกค้าคนสำคัญของเธอจะยอมแย้มพรายเรื่องนี้สักแค่ไหน
คิดได้เพียงเท่านี้ก็เห็นเงาคนวูบไหวอยู่ตรงปลายหางตา
เป็นไพรกมล พี่ชายคนเดียวเดินตรงเข้ามาหาด้วยสีหน้าแปลกใจท่วมท้น เพียงขวัญที่ขับรถมาจอดในโรงรถอยู่นานแล้วจึงตัดสินใจลงจากรถในตอนนั้นเอง
“ไหนม้าบอกว่าเย็นนี้ผิงจะไม่กินข้าวบ้านไง”
คนถูกถามทำหน้ามุ่ย “ก็เพื่อนพี่จ้างน่ะสิ หักหลังผิง”
“ไอ้เข้มน่ะหรือ” คนถามจบหัวเราะหึๆ ต่อท้าย
ทำให้คนเป็นน้องทำหน้าบึ้งยิ่งกว่าเก่า
“ใช่ ขำอะไรคะ”
“ก็ขำเราน่ะสิ
จนป่านนี้แล้วยังไม่เลิกเพ้อพกละเมอหามันอีก”
ผิวหน้าเพียงขวัญร้อนวาบขึ้นมาด้วยความเก้อเขิน
แต่จะว่าไปเรื่องที่เธอแอบชอบเขมวันต์ก็ไม่ใช่ความลับอะไร ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้น
จะมีก็แต่เจ้าตัวนั่นละที่ไม่รู้
ไม่รู้ว่าแกล้งไม่รู้ หรือไม่รู้จริงๆ
หญิงสาวคิดด้วยความเจ็บใจ
ก่อนเชิดหน้าขึ้นประสานตากับพี่ชายอย่างไม่ยอมแพ้ “ผิงไปหลงเพ้ออะไรที่ไหน
ก็แค่ไปกินข้าวเย็นกับพี่เข้มหน่อยเดียว”
พี่ชายฟังแล้วก็โบกมือไปมาอย่างไม่เห็นด้วย
“ไม่หน่อยเดียวละ เราไม่ได้กลับมาบ้านตั้งเป็นเดือนๆ แทนที่มาถึงจะอยู่กินข้าวบ้าน
กลับวิ่งแล่นไปกินข้าวกับผู้ชายเสียนี่”
“ถึงจะไม่กลับบ้าน ผิงเจอกับปะป๊า หม่าม้า
แล้วก็พี่จ้างแทบจะทุกวัน”
เธอแย้ง
เพราะแม้ว่าสามปีมานี้จะไม่ได้กลับบ้านทุกสัปดาห์
แต่ตลอดเวลาที่ไปเรียนต่อในกรุงเทพฯ นั้น ผู้เป็นมารดาก็ตามไปอยู่ด้วยเกือบจะตลอด
วันไหนแม่ไม่ไปก็เป็นพ่อ หรือไม่ก็ตัวไพรกมลเองที่แวะไปหา
“แต่สามปีมานี้ ผิงเจอพี่เข้มไม่กี่ครั้งเอง
และไม่เคยได้ไปกินข้าวเย็นกับเขาสักครั้งเดียว”
“งั้นทำไมวันนี้ถึงได้รีบกลับมาซะล่ะ”
ดูเหมือนพี่ชายจะรู้อยู่เหมือนกันว่าน้ำเสียงเธอเริ่มสั่นเครือขึ้นทุกที
เลยเลิกล้อเล่น แต่เปลี่ยนเป็นถามเสียงอ่อนโยนอย่างเอาใจแทน “เข้มติดเคสด่วนหรือ”
คำถามนั้นทำให้แพทย์หญิงเฉพาะทางถึงกับแบะปากเหมือนเด็กๆ
“ติดสาวค่ะ ไม่ใช่ติดเคส”
“สาวที่ไหน” พี่ชายเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ
เพียงขวัญเม้มปากกับคำถามนี้ “เดหลี อัศวฤทธา”
ไพรกมลทำหน้านิ่ว คุ้นกับนามสกุลที่น้องสาวเอ่ยถึงอยู่เหมือนกัน
“อัศวฤทธา...เจ้าของเอวาลอนกรุ๊ปน่ะหรือ”
“ค่ะ บ้านนั้นแหละค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง”
พี่ชายพยายามให้กำลังใจ
“ทำไมคะ”
“ก็ปกติ ไอ้เข้มมันเคยชอบไฮโซ
ไฮซ้อกับใครเขาเสียที่ไหนกัน” ไพรกมลเล่าอย่างออกรส พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
“อย่างเวลาที่จังหวัดจัดงานกาชาด หรืองานการกุศลที่มีทั้งลูกสาวเสี่ยน้อย
เสี่ยใหญ่มาชุมนุมกันให้คึกคัก หนุ่มๆ ที่ไหนก็อยากมาร่วมงานกันทั้งนั้น
จะมีก็แต่ไอ้หมอนี่ละ ที่โยนการ์ดทิ้ง
แล้วบอกให้ไปทำคลอดทั้งวันยังดีกว่าเสียเวลากับพวกลูกคุณหนูที่ดีแต่กรีดกรายไปวันๆ
แบบนั้น”
“แต่เดหลีคนนี้ไม่ได้กรีดกรายไปวันๆ น่ะสิคะ
เห็นว่าเป็นลูกสาวคนโตของนายห้างเอวาลอนคนเก่า
และตอนนี้ก็อยู่ในทีมผู้บริหารเอวาลอนชุดปัจจุบันด้วย”
ยิ่งพูดน้ำเสียงเธอก็ยิ่งฉายแววริษยามากขึ้นทุกที
“ไฮโซเนื้อทองว่างั้น” ไพรกมลทำเสียงกระเซ้า
คนเป็นน้องสาวฟังแล้วก็เม้มปากแน่นด้วยความขัดใจ ทั้งๆ
ที่ปกติแล้วเพียงขวัญมั่นใจในตัวเองค่อนข้างมากว่ามีครบทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
และสติปัญญาที่เฉียบแหลมไม่น้อยไปกว่าใคร ด้วยมีคำว่าแพทย์หญิงนำหน้าชื่อ
แต่พอเจอกับ เดหลี อัศวฤทธา ความมั่นใจของหญิงสาวกลับถูกสั่นคลอนอย่างแรง
คนเป็นพี่เลยรีบโอบไหล่อย่างเอาใจขณะพาเดินเข้าไปในบ้าน
“แต่เชื่อพี่เถอะ จะไฮโซหรือไฮซ้อมาจากไหนก็ทนคบกับไอ้เข้มได้ไม่นานหรอก”
“ทำไมคะ”
“ก็รักแท้แพ้ระยะทางน่ะสิ”
“กรุงเทพฯ กับคลองหมาแหงน
ไม่ได้ไกลกันขนาดโลกมนุษย์กับดาวอังคารนะคะ” เธอแย้ง
“ก็จริง กรุงเทพฯ กับคลองหมาแหงนไม่ได้ไกลกันขนาดนั้น
แต่กรุงเทพฯ กับห้วยผาเซาะก็ไม่ใช่ใกล้ๆ”
“ที่ไหนนะคะ”
“ห้วยผาเซาะ”
“แล้วห้วยผาเซาะมาเกี่ยวอะไรกับพี่เข้มคะ”
หญิงสาวถามอย่างมืดแปดด้าน
เคยได้ยินชื่ออำเภอห้วยผาเซาะมาบ้าง
เพราะเป็นอำเภอที่อยู่ประชิดพรมแดนประเทศเพื่อนบ้าน และเพิ่งแยกออกจากอำเภอใหญ่ ซึ่งถูกพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศเมื่อไม่กี่ปีก่อน
แต่ถึงอย่างนั้น ห้วยผาเซาะก็ไม่ได้เจริญเหมือนอำเภอที่อยู่ติดกัน
ด้วยภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาลำเนาไพร และมีชนพื้นเมืองอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ชาวบ้านในพื้นที่จึงมีอาชีพทำไร่ทำนาเพียงเท่านั้น
ไพรกมลมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแปลกใจ “นี่แปลว่าเรายังไม่รู้เรื่องใช่ไหม”
“เรื่องอะไรคะ”
“นายเข้มถูกขอตัวให้ไปช่วยราชการที่โรงพยาบาลที่นั่น”
“คะ?” ความที่มัวแต่ตกใจกับข่าวที่ไม่คาดฝัน
ผสมกับความน้อยใจที่ประดังประเดเข้ามา
เพราะมัวแต่คิดว่าทำไมเขมวันต์ถึงไม่เอ่ยปากบอกเธอสักคำ
เพียงขวัญจึงร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายใคร
“อ้าว เฮ้ย! อย่าร้องไห้สิผิง อายเขา”
พี่ชายตกใจทำหน้าเหลอหลา
แต่เพียงขวัญไม่สนใจ
แม้จะอายุอานามค่อนมาที่เลขสองตอนปลายแล้ว ทว่าหญิงสาวยังคงมีนิสัยแบบเด็กๆ ทั้งเจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจตัวเองอยู่มาก
มิหนำซ้ำพออยู่กับพี่ชายที่ยอมตามใจกันมาตลอด เธอเลยขยี้ปลายเท้าแรงๆ
แล้วตะเบ็งเสียงตอบกลับ ผสมเสียงสะอึกสะอื้นใส่คนตรงหน้า
“ทำไมจะร้องไม่ได้ ก็ผิงเสียใจ ผิงจะร้อง โฮ!”
“ไอ้เข้มมันแค่ย้ายไปห้วยผาเซาะเท่านั้น
ไม่ได้ไปตายสักหน่อย เธอจะร้องไปทำไมกันนักกันหนาฮึ ทำเป็นเด็กๆ ไปได้
ขี้แยยังไงก็ยังงั้นไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ ยายผิงเอ๊ย ยายผิง”
ไพรกมลบ่นอุบ ทำให้น้องสาวยิ่งส่งเสียงดังกว่าเก่า
ทั้งคู่เลยไม่ทันสังเกตว่านอกจากเธอกับพี่ชายแล้ว ยังมีใครอีกคนยืนฟังการสนทนาครั้งนี้อยู่ด้วย
และดวงตาของฝ่ายนั้นก็แวววาวด้วยความสนใจระคนใคร่ครวญบางอย่าง
เดหลีไม่เคยคิดว่าจะมีช่วงเวลาและความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง
ความรู้สึกของภรรยาที่แต่งตัวสวย
ทำอาหารคาวหวานมากมายไว้เตรียมต้อนรับสามีกลับบ้าน แต่...
จู่ๆ ความไม่มั่นใจก็จู่โจมเธออีกครั้งเมื่อกวาดตามองโต๊ะอาหารที่ตั้งใจตกแต่งประดับประดาด้วยเทียนหอมและดอกไม้สดแบบไทยๆ
ที่ดูเรียบง่าย แต่โรแมนติกจนต้องตกหลุมรักในแรกเห็น
โดยฝีมือนักจัดดอกไม้ระดับแชมป์ประเทศไทยที่เดหลีพาขึ้นเฮลิคอปเตอร์มาด้วยในช่วงบ่าย
ก่อนให้นักบินหนุ่มพากลับไปส่งกรุงเทพฯ เมื่อครู่ก่อน
อาหารไทยหลากหลายเมนูที่สั่งจากครัวไทยของโรงแรมเจ็ดดาว
ซึ่งครอบครัวเธอเป็นเจ้าของตามที่วนิษาบอกว่าเขมวันต์ชอบ ถูกนำมาจัดเรียงใส่จานอย่างสวยงามในภาชนะพิเศษ
ไม่ว่าจะเป็นแกงส้มกุ้งไหลบัวก็ถูกบรรจุในเปลือกแตงโมซึ่งแกะสลักเป็นรูปดอกโบตั๋นงดงาม
ยำถั่วพูถูกจัดวางอย่างน่ามองบนกาบกล้วยชิ้นใหญ่ ส่วนปลาดุกกรอบผัดพริกแกงก็เสิร์ฟมาบนใบบัวสีเขียวเข้ม
ทำให้สีของอาหารตัดกับภาชนะน่าดู และพะแนงเนื้อน่องลายกับหลนปูเค็มอยู่ในกะลามะพร้าวลูกย่อม
ขณะที่ไข่เค็มหั่นเสี้ยวและผักสดสารพัดชนิดสำหรับกินแนมกับกับข้าวในค่ำนี้ก็ถูกจัดวางบนใบตองเขียวสด
เดหลีจึงมั่นใจค่อนข้างมากกับอาหารค่ำมื้อนี้ว่าจะไม่ทำให้เธอขายหน้าแน่นอน
ทว่า...พอก้มลงมองเสื้อผ้าป่านสีธรรมชาติ
แขนกุดเนื้อบาง พอเห็นความกลมกลึงของทรวงอกอยู่รำไร
กับกระโปรงยาวกรอมเท้าสีกะปิที่ตะเข็บข้างเป็นลูกไม้ซีทรู ซึ่งเดหลีเจตนาไม่สวมกระโปรงซับใน
แต่จะให้ปลดกระดุมจนถึงสะดือก็ทำไม่ได้ กลัวว่าเขมวันต์จะจับได้ว่าเธอตั้งใจมายั่วยวนเขาแล้วไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
ครั้นจะให้สวมเดรสบางพลิ้ว สายเดี่ยว เกาะอก
มารอกินอาหารเย็นกับนายแพทย์หนุ่มในบ้านสวนที่แสนจะห่างไกลแบบนี้
ก็ดูจะตั้งใจเซ็กซี่เกินไปหน่อย
หญิงสาวเลยเลือกชุดอยู่บ้านแบบเรียบแต่ดูดีชุดนี้มาแทน
แต่กลับรู้สึกพะวักพะวนแปลกๆ ร่ำร่ำจะวิ่งไปเปลี่ยนชุดหลายทีแล้ว
เพราะกลัวว่าเจตนาของเธอจะโจ่งแจ้งเกินไป จน ‘ล้ม’
อารมณ์ชายหนุ่ม แทนที่จะ ‘เร้า’
ความรู้สึกของเขาอย่างที่ตั้งใจไว้
เพราะนับตั้งแต่คืนที่แม่ของเธอบุกเข้าไปที่คอนโดฯ
ก็ไม่มีจุมพิตลึกซึ้งที่ชวนวาบหวามใจอีกแล้ว เขมวันต์กอดและจูบเธอก็จริง
แต่แค่จูบปากแผ่วๆ กับจูบแก้มเบาๆ เท่านั้น
เรื่องนอนค้างบนเตียงเดียวกันยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ชายหนุ่มยอมให้เธอนอนในห้องเขา บนเตียงของเขาก็จริง
แต่คนที่นอนด้วยกันกับเธอกลับเป็นวนิษาแทน เด็กหญิงทำหน้าบูดบึ้ง
บ่นแล้วบ่นอีกว่าไม่คุ้นที่ จนถึงค่อนคืนถึงได้หลับไป
ขณะที่เดหลีกลับนอนไม่หลับเสียเอง
แต่จะให้ย่องไปหาเขมวันต์ที่ห้องนอนลูกสาวเขาก็ทำไม่ได้
หญิงสาวยังไม่ใจกล้าขนาดนั้น
ทางเดียวที่พอจะนึกออกคือต้องวางแผนให้ฝ่ายชายเป็นฝ่ายรุกเสียเอง
พร้อมกับหวังว่าอาจจะตั้งครรภ์เป็นผลพลอยได้ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น
ต่อให้แม่อ้างเหตุผลล้านแปดก็ไม่มีทางห้ามไม่ให้เธอกับเขาแต่งงานกันได้อย่างแน่นอน
หรือถึงห้ามเดหลีก็ไม่สน เพราะรังไข่ของเธอใกล้จะหมดอายุไปทุกทีแล้ว
ถ้าไม่ใช้ลูกไม้เก่าแก่ที่สุดในโลกแบบนี้
ก็คงไม่ได้ขึ้นรถด่วนขบวนวิวาห์ที่โค้งสุดท้ายนี้เสียที
เดหลีพยายามเน้นย้ำกับตัวเองเช่นนั้น และหันไปสำรวจของจำเป็นที่ต้องใช้สำหรับคืนนี้อีกครั้งอย่างเป็นกังวล
เธอเตรียมของพวกนั้นมาถึงสามหลอด...มันคงไม่น้อยไปหรอกนะ
หญิงสาวบอกตัวเองก่อนเหลือบมองเงาสะท้อนบนกระจกหน้าต่างบานยาวใหญ่อย่างตั้งใจจะสำรวจความเรียบร้อยอีกหน
แต่เธอกลับเห็นเงาใครบางคนวูบไหวอยู่ที่พุ่มไม้หน้าบ้าน
หญิงสาวทำหน้านิ่ว ด้วยมาที่นี่จนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
จนรู้ดีว่าเรือกสวนที่คลองหมาแหงนนั้นแม้จะเปลี่ยวและเงียบสงัดมาก เพราะบ้านเรือนแต่ละหลังตั้งอยู่ห่างไกลกันค่อนข้างมาก
แต่ก็ไม่เคยมีขโมยขโจรที่ไหนกล้าบุกเข้าปล้น
เหตุร้ายแรงครั้งใหญ่และครั้งเดียวที่เกิดขึ้นก็เป็นฝีมือเวียนนานั่นเอง
เดหลีจึงค่อนข้างมั่นใจว่าเงาที่เห็นด้านนอกคือเงาของวนิษาที่แอบดอดมาดูความคืบหน้าระหว่างเธอกับเขมวันต์นั่นเอง
หญิงสาวจึงเดินออกไปโดยไม่ทันคิดว่าอยู่ในอาภรณ์บางเบาและเย้ายวนอารมณ์แค่ไหน
“ใครน่ะ...หนูนิดหรือ”
แต่แทนที่เธอจะได้พบกับวนิษาอย่างคาดเดาไว้
กลับเห็นชายหนุ่มร่างโปร่งคนหนึ่งแทน เขามีใบหน้าคมคายและผิวขาวสะอาด
ท่าทางคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน
ชายหนุ่มเองก็มองเธออย่างไม่เกรงใจ
แต่น่าแปลกที่หญิงสาวกลับไม่หงุดหงิดอย่างทุกครั้ง
คงเพราะสายตาคู่นั้นไม่ได้ปรากฏแววโลมเลียมหรือหยาบคาย ทว่ากลับเต็มไปด้วยแววสนใจและชื่นชมแทน
แต่ทุกอย่างคงจะดีกว่านี้ถ้าเธอจะไม่...โนอันเดอร์แวร์ทั้งบนและล่างแบบนี้
พอนึกขึ้นได้ใบหน้าของหญิงสาวก็ทั้งแดงก่ำและร้อนผ่าวไปหมด
แต่ครั้นจะวิ่งกลับเข้าบ้านไปคว้าเสื้อคลุมมาสวมทับก็ไม่ทันเสียแล้ว
เธอเลยเลือกที่จะขยับตัวให้อยู่ห่างจากแสงไฟให้มากที่สุด
แล้วกลั้นใจวางหน้าเฉยพร้อมเอ่ยถามออกไป
“ถ้าคุณมาหาหมอเข้ม หมอยังไม่กลับ”
“ขอบคุณครับ” เขาบอก พร้อมส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
ก่อนจะถอยหลังจากไป
เดหลีมองตามแล้วฉุกใจคิดขึ้นมาได้ว่าอย่างน้อยเธอก็ควรจะถามชื่อเขาไว้เสียหน่อย
เผื่อเขมวันต์กลับมาจะได้บอกถูก
แล้วคำตอบที่ได้รับก็ทำให้หญิงสาวทำหน้านิ่ว
และทวนถามซ้ำอีกที “คุณว่า คุณชื่ออะไรนะคะ”
“วุ้นครับ วุ้นเส้น”
ลงชื่อเป็นตระกูลเส้นแบบนี้...
“คุณ...เป็นพี่ชายเกี้ยมอี๋หรือคะ” เดหลีละล่ำละลักถาม
พร้อมกับนึกถึงพี่ชายคนรองของน้องสะใภ้ขึ้นมาได้
เขาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้กลับมางานแต่งงานน้องสาว เพราะเครื่องบินดีเลย์
ติดพายุที่ไหนสักแห่ง และเท่าที่จำได้เขาเป็นหมอเหมือนกับเขมวันต์
เป็นเพื่อนสนิทกันเสียด้วยซ้ำ
เป็นคนที่อยู่กับคนรักของเธอตอนที่ฝ่ายนั้นจีบเดหลีตัวปลอมอยู่
ขณะเดียวกันชายหนุ่มก็ดูท่าจะจำเธอได้เช่นกัน
เพราะเขายิ้มกว้างส่งมาให้พร้อมผงกหัวเป็นเชิงทักทาย
“ครับ”
“ฉันคิดว่าคุณยังอยู่ที่อเมริกาเสียอีก”
จำได้ว่าเขาได้ทุนไปเรียนแพทย์เฉพาะทางที่ทางแถบตะวันออกของอเมริกา
แต่จะเป็นสาขาอะไรหรือมหาวิทยาลัยไหนนั้น เดหลีไม่ได้ใส่ใจจะจดจำ
“ผมเรียนจบแล้ว กลับมาได้สักพักแล้ว...” ฝ่ายนั้นพูด
แล้วหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “และถ้าผมเดาไม่ผิด
ในเมื่อคุณรู้จักผมดีขนาดนี้ คุณคงเป็นคุณเดหลี”
ดวงตาคู่นั้นจับจ้องที่ใบหน้าของเธออีกครั้งคล้ายทบทวนความทรงจำในวัยเยาว์
“คุณจำฉันได้ด้วยหรือคะ”
เธอไม่ใช่ไฮโซพันหน้าอย่างเวียนนาผู้เป็นญาติก็จริง
แต่ก็เปลี่ยนแปลงไปมากโขในช่วงเวลาหลายปีมานี่
“จำได้สิครับ คุณยังสวยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย”
เสียงห้าวทุ้มนุ่มนวลฟังแล้วอบอุ่นใจ
ทั้งยังทำให้เดหลีต้องส่งยิ้มเก้อๆ ออกมาอย่างที่ไม่ค่อยทำบ่อยนัก
แต่รอยยิ้มนั้นอยู่ไม่นานก็จางหายไป
เพราะเสียงปานฟ้าผ่าของเขมวันต์ที่ดังขึ้นอย่างไม่เกรงอกเกรงใจใคร
“นายไม่มีอะไรทำแล้วหรือไงวุ้น ถึงได้มายืนจีบเมียชาวบ้านอยู่ได้”
คำถามนั้นทำให้เดหลีหน้าแดงก่ำด้วยความขัดเขิน
และเพิ่งสังเกตเห็นเงาทะมึนของเขมวันต์ที่ยืนอยู่ด้านหลังเพื่อนสนิท
เขายืนอยู่ในเงามืด มองไม่เห็นใบหน้าชัดเจน
แต่จากน้ำเสียงพอจะเดาไว้ว่า เขมวันต์ไม่ได้กำลังยิ้มระรื่นแน่นอน
“ฉันไม่อยู่แค่ไม่นาน
นายก็นอกใจฉันไปมีเมียเสียแล้วหรือ พูดแบบนี้ ฉันเสียใจนะโว้ย” คนพูดไม่พูดเปล่า
แต่กลับหันไปโอบบ่าเขมวันต์ที่เดินเข้ามาเสียอีก
เดหลีอ้าปากค้าง
มองชายหนุ่มทั้งสองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
เหมือนโหนกแก้มของเขมวันต์จะเป็นสีระเรื่อขึ้น อาจจะโกรธหรือ...เขิน
เขมวันต์ปัดแขนเพื่อนสนิทออก
พร้อมคำรามใส่อย่างไม่เกรงใจ “เมื่อไหร่แกจะเลิกเล่นบ้าๆ เสียทีวะ”
“เล่นบ้าๆ ที่ไหน ตอนเล็กๆ
ยายหนูนิดยังเรียกฉันหม่ามี้เลย”
“ไอ้วุ้น!”
เขมวันต์ทำท่าจะบีบคออีกฝ่ายเสียให้ได้
แต่วุ้นเส้นคงรู้ทางกันดีอยู่แล้วจึงหลบได้อย่างเฉียดฉิว
ก่อนจะยักไหล่แล้วพูดลอยๆ “เออ ไม่ต้องขู่นักก็ได้ ฉันไปแล้ว”
จากนั้นคนพูดก็หันมาส่งยิ้มให้เธอบางๆ พร้อมก้มหัวให้น้อยๆ เป็นเชิงอำลา
“ไว้เจอกันนะครับ”
“ไม่ต้อง แกไม่ต้องมาเจอกับคุณเดย์
เขาไม่มีธุระอะไรจะคุยกับแกหรอก” คนรักของเธอไล่ไม่ไว้หน้า แต่วุ้นเส้นยังคงยิ้มละไม
ไม่สะทกสะท้าน
“ใครว่า...คุณเดย์อาจจะอยากรู้เรื่องเก่าๆ ของแกก็ได้”
แล้วเขาก็หันมาหลิ่วตาให้เธอ “สงสัยอะไรเรื่องไอ้เข้มถามผมได้นะครับ
ผมจะเล่าให้ฟังหมดเปลือกเลย เพราะไม่มีใครรู้จักมันดีเท่าผมแล้ว ไฝ
ฝ้าราคีคาวอยู่ตรงไหน ผมรู้หมด”
“ไอ้วุ้น!” เสียงเขมวันต์กระด้างจัด
ขณะที่วุ้นเส้นหัวเราะดังกังวานก้องในความเงียบ
แล้วพลิ้วตัวหายไปกับร่มเงาของต้นไม้น้อยใหญ่ที่โอบล้อมบ้านหลังนี้เอาไว้อย่างว่องไวราวกับภูตพราย
พอเพื่อนสนิทลับสายตาไปแล้ว
นายแพทย์หนุ่มก็หันมาหาเธอด้วยใบหน้าถมึงทึง ทำให้เดหลีเลิกคิ้วสูง
“คะ?”
“ยังจะมาคะอีก คุณออกมาคุยกับไอ้วุ้นมันได้ยังไงฮึ”
เขาเค้นเสียงถาม
“ฉันเห็นเงาคน นึกว่าเป็นหนูนิด
เลยจะออกมาชวนกินข้าวเย็นด้วย ใครจะไปรู้ว่าจะเป็นคู่เกย์ของคุณไปได้” เธอตัดพ้อ
เขมวันต์ฟังแล้วก็เม้มปากแน่น
ทำท่าเหมือนจะเข้าบีบคอเธอ แต่สุดท้ายเขาก็แค่คว้ามือเธอไปแล้วจับมันไปทาบทับเข้าที่ตรง...
ตรงที่ทำให้เดหลีต้องอ้าปากกว้างจนแทบฉีกถึงใบหู
ใบหน้าร้อนผ่าวจนแทบรู้สึกได้ว่ามีควันกรุ่นลอยขึ้นมา
เพราะถ้า เคน ใน รถไฟฟ้ามาหานะเธอ มีฉายาว่า
หล่อทะลุแป้งแล้วละก็...เขมวันต์ก็คงมีฉายาว่า...ร้อนทะลุเป้า...อย่างแน่นอน
ความคิดเห็น |
---|