8

ตอนที่ 8...กามเทพตัวน้อย



ฉันไม่มีวันให้เขาไปรถเธอหรอก ส่วนเธอก็ไม่ต้องแอ๊บเนียน หาทางกินเขาเลยยายหมอหน้าแบ๊ว

เดหลีเข่นเขี้ยว...

แต่เพราะไม่เคยเล่นบทหึงหวง แย่งผู้ชายกับใครที่ไหนมาก่อน หญิงสาวเลยทำได้แค่พูดประโยคนี้อยู่ในใจเท่านั้น มิหนำซ้ำแขนขายังหนักอึ้งราวกับเป็นท่อนหิน ไม่สามารถขยับเขยื้อนเข้าไปหาทั้งคู่ได้อย่างใจคิด จนเขมวันต์ขับรถพาแพทย์หญิงคนสวยจากไปต่อหน้าต่อตานั่นละ หญิงสาวถึงเปล่งเสียงออกมาได้

“คุณเข้ม!...”

เธอแค่เอ่ยชื่อเขาเท่านั้น แขนข้างหนึ่งก็ถูกกระตุกแรงๆ ซ้ำยังมีเสียงห้าวของคันฉัตรดังขึ้นข้างหู

“คุณเดย์!

“อย่ายุ่ง”

“ไม่ยุ่งไม่ได้”

“ทำไม” เธอหันขวับมามองคนที่พาเธอมาที่นี่ด้วยความเดือดดาล

“ที่นี่เป็นโรงพยาบาล ห้ามใช้เสียงดัง” ชายหนุ่มบอก ก่อนพยักหน้าไปทางลานจอดรถเบื้องหน้า “ถ้าคุณอยากจะตะโกน ไปตะโกนที่ด้านนอกโน่น แต่...ผมว่าคุณโวยวายช้าไปหน่อยนะ พวกเขาไปกันโน่นแล้ว”

เสียงห้าวที่แฝงกังวานเหน็บแนมของเขา ทำให้เดหลีได้สติว่ากำลังยืนอยู่ที่ทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารในโรงพยาบาลชุมชนเล็กๆ ที่มีนางพยาบาลและคนไข้เดินผ่านไปมาอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงขอบตาที่ร้อนผ่าวเพราะหยาดน้ำอุ่นๆ เอ่อท้นอยู่ แต่เดหลีเลือกที่จะเชิดหน้าขึ้น เก็บความอ่อนแอไว้ข้างในแทนการแสดงออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็น

“ใครบอกฉันโวยวาย”

“งั้นคุณเรียกหมอเข้มทำไม”

“ฉัน...ฉันปวดท้องเมนส์ ไม่เรียกหาหมอสูติฯ แล้วจะเรียกใคร”

หญิงสาวโกหกหน้าตาเฉย เจตนาพูดให้เขาไม่กล้าซักต่อ แต่เหมือนคันฉัตรจะหน้าหนากว่าที่เธอคาดไว้ เพราะชายหนุ่มไม่เพียงไม่หลบตา แต่กลับย้อนตอบว่า

“ก็เรียกผมไง ผมเป็นทั้งเลขาฯ ทั้งผู้ช่วยคุณอยู่ตอนนี้ จำไม่ได้หรือ”

“สำหรับฉัน คุณเป็นแค่เด็ก-ฝึก-งาน” เธอเน้นเสียงทีละคำอย่างโหดร้าย โดยเฉพาะคำว่า เด็ก ที่หนักแน่นเป็นพิเศษ

“สำหรับผม ผมเป็นเลขาฯ และผู้ช่วยคุณด้วย” อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้

หน้า-ด้าน...นอหนูล้านตัวเลยอีตาคนนี้

เดหลีนึกในใจ ก่อนถลึงตาใส่คนพูด พร้อมถามเสียงมะนาวไม่มีน้ำ “แล้วยังไง”

“ถ้าคุณปวดท้องเมนส์จริง ผมจะหายาให้กิน ที่นี่เป็นโรงพยาบาลชุมชนคงหาง่ายอยู่หรอก” ชายหนุ่มตอบหน้าตาเฉย “ตกลงปวดไหม”

“ไม่ ฉันหายปวดแล้ว” หญิงสาวกัดฟันตอบ

“ไม่ปวดก็ไม่ต้องแกล้ง คุณไม่จำเป็นต้องเสแสร้งทำเป็นเข้มแข็งกับผม”

คำพูดนั้นทำให้คนฟังถึงกับเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง ก่อนเค้นเสียงตอบไป “แต่คุณกับฉันไม่ใช่เพื่อนกัน ฉันแค่เป็นพี่เลี้ยงเรื่องงานให้คุณหกเดือน หลังจากนั้นก็บ๊ายบาย ดังนั้นฉันไม่จำเป็นต้องมานั่งแจกแจงความรู้สึกกับคุณทุกอย่างหรอก”

“ใครจะรู้ว่าพอครบหกเดือนแล้วเราจะบ๊ายบายกันจริงหรือเปล่า” อีกฝ่ายย้อนตอบด้วยน้ำเสียงกวนโทสะจนเธอคันมือ แต่ไม่ทันได้โต้กลับ คันฉัตรก็เปลี่ยนทีท่าเป็นจริงจังขึ้นกว่าเดิม “และในเมื่อหมอนั่นก็ไม่อยู่แล้ว เราก็ควรจะกลับกรุงเทพฯ กันเสียที”

เดหลีเม้มปากแน่น เพราะเห็นว่าเขมวันต์เงียบหายไปร่วมสองสัปดาห์ เธอจึงรีบทำงานให้เสร็จตลอดหลายวันนี้เพื่อมาพบเขา แล้วเธอเพิ่งจะมาถึง จะให้กลับไป...

หญิงสาวจึงเชิดหน้าขึ้นเป็นเชิงปฏิเสธพร้อมเอ่ยเสียงแข็ง “ไม่ ฉันยังไม่กลับ คุณจะกลับก็กลับไปคนเดียว”

“ไม่ได้หรอก ผมรับปากคุณแม่คุณมาแล้วว่าจะทำหน้าที่เป็นเงาติดตามตัวคุณ จะให้ผมกลับไปคนเดียวได้ยังไง ถ้ากลับก็กลับด้วยกัน”

คันฉัตรปฏิเสธ สีหน้าเฉยชา และดวงตาทอประกายแน่วแน่ตอนโค้งน้อยๆ แล้วผายมือเป็นเชิงให้หญิงสาวเดินกลับไปที่รถ

เดหลีเองก็ไม่ใช่คนยอมคน เธอจึงเลือกที่จะจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อ

“แม่ฉันสั่ง แล้วคุณต้องทำตามทุกอย่างอย่างนั้นหรือ”

“ทำนองนั้น”

“ทำไม”

“เพราะผมเป็นคนรักษาคำพูด และไม่ชอบขัดใจผู้ใหญ่ ในเมื่อแม่ผมอยากให้ผมแต่งงานกับคุณ ผมก็จะทำ”

“คุณจะแต่งงานกับฉันเพราะแม่อยากให้แต่ง...มันไม่ปัญญาอ่อนไปหน่อยหรือ” เธอพูดตรงๆ พร้อมมองจ้องหน้าอีกฝ่าย

 “ไม่ ตราบใดที่เราต่างก็ได้ผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ผมมองว่ามันคุ้มค่า”

“ยังไง”

ชายหนุ่มยิ้มบางๆ ส่งให้ แต่เดหลีคิดว่าเป็นรอยยิ้มเยาะหยันราวกับเธอคือเด็กปัญญาอ่อน และยิ่งฟังคำพูดที่หลุดออกจากปากชายหนุ่ม หญิงสาวก็ยิ่งเดือดดาล

“ผมว่าคุณก็น่าจะเข้าใจนะ การแต่งงานกับคุณ ทำให้ผมมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งทางธุรกิจ ขณะที่คุณเองก็ได้ลงจากคาน ทั้งๆ ที่ใครๆ ต่างก็มั่นใจว่าคุณคงขายไม่ออกแล้ว เพราะขนาดคุณแม่ของคุณ ยังอยากโละคุณให้แต่งงานกับผมเต็มแก่เลย”

โละ!...ขายไม่ออก!

“คุณ!” เธอขึงตาใส่อีกฝ่าย นึกอยากเอานิ้วจิ้มลูกตาคนพูดนัก

“หรือผมพูดผิด” ชายหนุ่มหันมามองเธอด้วยสายตาค้นคว้า ทำให้คนถูกมองนึกอยากร้องกรี๊ด แล้วเข้าไปฉีกเนื้อคนตรงหน้าออกเป็นชิ้นๆ

รู้ว่าคันฉัตรมีนิสัยเย็นชาอยู่บ้าง แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะทั้งตรงและปากร้ายขนาดนี้ ไหนใครๆ เล่าลือว่าเขาคือเทพบุตรหน้าหยกของสาวๆ ไงเล่า ดูท่าจะเป็นข่าวโคมลอยเสียแล้ว

เดหลีคิดพร้อมมองคนตรงหน้าตาขุ่น แต่คันฉัตรกลับไม่สะทกสะท้านกับสายตาเชือดเฉือนของเธอ เขายังคงใจเย็น เดินขนาบข้างเธอไปเรื่อยๆ แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เหมือนกำลังชวนหญิงสาวคุยเรื่องงานอีเวนต์ที่เพิ่งผ่านมา หรือไม่ก็เรื่องห้างสรรพสินค้าที่เพิ่งไปดูงานด้วยกัน หญิงสาวจึงพยายามข่มใจที่ลุกไหม้ด้วยเพลิงโทสะลง

“ใช่ คุณพูดผิด ฉันไม่ได้ขายไม่ออก แต่ฉันไม่เคยสนใจใครมาก่อนจนกระทั่ง...” แล้วคนพูดก็เป็นฝ่ายกระดาก พูดไม่ออกเสียเอง

“จนกระทั่งเจอหมอเข้มสินะ” เขาต่อให้ด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“ใช่” เธอฝืนข่มความอาย รับคำออกไป

“แต่น่าเสียดายที่เจอเขาไปก็เท่านั้น”

“ทำไม”

“เพราะผมเชื่อว่าแม่คุณไม่มีวันยอมรับผู้ชายอย่างหมอนั่นเป็นลูกเขยหรอก” เขากล่าวอย่างมั่นใจ ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอวดดี “ทีนี้คุณก็ไปขึ้นรถเสีย เราจะได้รีบกลับกรุงเทพฯ กัน

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ไป ถ้าคุณจะไปก็ไปคนเดียว”

“ถ้าอย่างนั้น ผมก็ต้องขอโทษด้วย”

คำพูดของเขาทำให้เธอทำหน้านิ่ว ก่อนร้องอุทานในเวลาต่อมา เมื่อมือใหญ่ขาวจัดของฝ่ายนั้นเอื้อมมากุมมือเรียวบอบบางของเธอไว้แน่น ทำให้หญิงสาวตกใจเสียจนตัวแข็ง พูดไม่ออก คิดไม่ถึงว่าคันฉัตรจะมือไวถึงเพียงนี้

แต่ก่อนที่เธอจะได้ทันต่อว่าหรือผลักไสเขาออกไป หญิงสาวก็รู้สึกเหมือนมีกระแสลมแรงหอบหนึ่งพัดผ่านมาใกล้หู แล้วเห็นคันฉัตรหน้าหงายและเซวูบไปต่อหน้าต่อตา พอกะพริบตาอีกทีก็พบว่าชายหนุ่มหน้าหยกลงไปนอนลูบปลายคางคลุกฝุ่นอยู่บนพื้นดินอัดแข็งของลานจอดรถโรงพยาบาลเสียแล้ว พร้อมๆ กับได้ยินเสียงกระด้างห้วนจัดดังลั่นข้างหูเหมือนฟ้าผ่า

“แกคิดจะทำอะไรคุณเดย์ฮึ!

คันฉัตรดูเหมือนไม่แปลกใจกับคำถามนั้น เขาแค่ผุดลุกขึ้น ปัดเนื้อปัดตัว แล้วมองเขมวันต์ที่ไม่รู้ว่ามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ด้วยสายตาเยือกเย็นแล้วตอบเสียงท้าทาย

“ไม่เกี่ยวกับคุณ”

“ไอ้...”

เขมวันต์โกรธจนตัวสั่น เขาทำท่าจะย่างสามขุมเข้าไปหาคนตรงหน้าแล้วซัดกำปั้นรัวๆ ลงไปในนาทีนั้น จนเดหลีรีบฉุดแขนเอาไว้แทบไม่ทัน

“อย่าค่ะ คุณเข้ม”

คนถูกห้ามหันกลับมามองเธอด้วยดวงตาวาวโรจน์อย่างโกรธจัด “คุณห่วงมัน?

“ฉันไม่ได้ห่วงเขา แต่ห่วงคุณนั่นละ คุณเป็นหมอนะคะ”

“ไม่ได้มีกฎหมายห้ามหมอชกคน”

“แต่ที่นี่เป็นที่ทำงานของคุณ ดูสิคะ คนมองใหญ่แล้ว”

เดหลีปราม เมื่อเห็นว่ารอบๆ ตัวเริ่มมีคนหยุดยืนมอง ทั้งคนไข้ ญาติคนไข้ และนางพยาบาลกับเวรเปล

เขมวันต์เม้มปากแน่นด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะตวัดสายตาไปยังคันฉัตรอย่างกินเลือดกินเนื้อ

“จำไว้นะ ครั้งนี้ผมแค่สั่งสอนที่คุณกล้ามาแตะต้องเสื้อผ้าผู้หญิงของผม แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณแตะเนื้อตัวเธอ ผมจะทำให้คุณต้องเสียใจไปจนตายเลย”

พูดจบเขมวันต์ก็คว้าข้อมือเดหลีแน่น ก่อนลากเธอไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกลกันนักอย่างรวดเร็ว และเอ่ยปากบอกคุณหมอคนสวยที่ยืนตะลึงมองอยู่อย่างไม่เกรงใจ

“เรื่องที่พี่จะเลี้ยงข้าวผิงเอาไว้วันหลังก็แล้วกัน ขอพี่กลับบ้านไปเคลียร์กับแฟนก่อน”

“แฟน...” ได้ยินฝ่ายนั้นพึมพำแผ่วเบา ซ้ำยังมองมาที่เธออย่างไม่เชื่อสายตา “พี่เข้มเป็นแฟนกับคุณเดหลีหรือคะ”

เดหลีเองก็แปลกใจไม่น้อยที่คนตรงหน้ารู้จักเธอด้วย

เขมวันต์นิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนหันมาจ้องลึกในดวงตาเธอแล้วเอ่ยเสียงชัดถ้อยชัดคำ “ไม่ใช่แฟน คุณเดย์เป็นเมียพี่”

“กรี๊ด!

เสียงสองเสียง หรืออาจจะหลายเสียงเปล่งขึ้นพร้อมกัน แน่นอนว่าสองในนั้นคือเสียงร้องด้วยความตกใจของเพียงขวัญ และเสียงดีใจของเดหลี

และ...อีกเสียงคือเสียงของวนิษา...

 

เด็กหญิงมาอยู่ที่นี่ด้วยตั้งแต่เมื่อไรไม่มีใครรู้

เดหลีเองก็มีสีหน้าแปลกใจไม่น้อย แต่เหมือนเขมวันต์จะชินเสียแล้วกับลูกสาว เพราะใบหน้าเขาลดแววกระด้างลงตอนหันไปถามเด็กหญิง “หนูนิดจะกลับบ้านกับพ่อเลยไหม”

“ไม่ค่ะ หนูนิด...เอ่อ...หนูนิดยังกลับไม่ได้ค่ะ ต้องอยู่เก็บข้อมูลทำรายงานก่อน” วนิษาปฏิเสธเร็วปรื๋อ ก่อนจะเหลือบมองมาที่คันฉัตรที่ยืนลูบปลายคางมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเจ็บแค้น แล้วบอกออกไป “เดี๋ยว หนูนิดให้พี่คันจัด เอ๊ย คันฉัตรไปส่งก็ได้ค่ะ”

“ไม่ต้อง อีกครึ่งชั่วโมงพ่อมารับเอง” เขมวันต์บอก ก่อนจูงมือเดหลีไปที่รถด้วยกัน

วนิษาเลยโบกมือหย็อยๆ ให้ผู้เป็นพ่อกับว่าที่แม่เลี้ยงอย่างร่าเริงอยู่คนเดียว ขณะที่เพียงขวัญหน้าเปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัดและดูเหมือนจะลืมเธอไปเลย เพราะฝ่ายนั้นผลุนผลันกลับขึ้นไปนั่งบนรถยุโรปคันเล็ก แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็วราวกับลมพัด

เด็กหญิงพ่นลมหายใจยาวออกมา...เธอไม่ได้เกลียดหมอคนสวยหรอกนะ เพียงแต่เพียงขวัญมักเอาอกเอาใจเธอเวลาอยู่ต่อหน้าพ่อเท่านั้น ดูอย่างครั้งนี้ก็ได้ พอพ่อจากไป ทางนั้นก็ไม่มีแก่ใจจะทักทายเธอสักคำ

ขณะที่เดหลีนั้น แม้จะดูกระด้างในบางครั้งและดุในบางหน แต่ก็ปฏิบัติกับเธอเสมอต้นเสมอปลาย อยู่ต่อหน้าเขมวันต์เคยทำอย่างไร ลับหลังก็ทำแบบนั้น

ดังนั้น ถ้าเลือกได้ วนิษาก็อยากเลือกเดหลีมาเป็นแม่มากกว่า

เพราะแบบนี้เธอจึงแอบเอาหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นไปวางไว้บนโต๊ะพ่อ หวังว่าพ่อจะอ่านแล้วรีบเข้ากรุงเทพฯ ไปในเย็นนี้ แต่เหตุการณ์กลับพลิกโผ เมื่อจู่ๆ เพียงขวัญก็ปรากฏตัวขึ้น มิหนำซ้ำเดหลีกับนายคันจัดก็โผล่มาได้อย่างไรก็ไม่รู้ เด็กหญิงจึงรีบกดโทรศัพท์มือถือหาผู้ให้กำเนิดแทบไม่ทัน ซึ่งนับว่าเธอตัดสินใจถูกแล้ว เพราะเขมวันต์กำลังพาเพียงขวัญไปกินอาหารเย็นพอดี ขณะที่พ่อของเธอก็ว่องไวใจหาย เพราะถ้าเขากลับมาช้าอีกนิด เธออาจจะกลายเป็นเด็กกำพร้าซ้ำซ้อน ขาดแม่ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ได้

เด็กหญิงอมยิ้มอย่างพออกพอใจกับผลงานของตนเอง ที่แม้ว่าจะเฉเกนอกลู่นอกทางไปบ้าง แต่สุดท้ายก็ปิดฉากลงด้วยดี

ทว่ารอยยิ้มของเธอคงระคายตาคันฉัตรไม่น้อย เพราะเขาหรี่ตาลงจนน่ากลัว...

พ่อเคยสอนว่า เจอหมาอย่าวิ่งหนี ไม่อย่างนั้นมันจะวิ่งไล่งับเอาได้ และห้ามผลีผลาม ให้ค่อยๆ ถอยห่างจากมันช้าๆ อย่าให้มันจับได้ ซึ่งทฤษฎีนี้น่าจะใช้กับอีกฝ่ายได้ เพราะท่าทางชายหนุ่มอย่างกับหมาป่าติดเชื้อบ้า

วนิษานึกในใจ ก่อนสูดลมหายใจลึกเข้าปอดแล้วเมินหน้าไปจากเขาอย่างไม่ไยดี แต่ก้าวเดินได้ไม่เกินสามก้าว เสียงห้าวๆ ก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาแต่คุกคามในที

“เดี๋ยว!

เด็กหญิงผินหน้าไปอีกทาง ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ตอนถามเสียงมะนาวไม่มีน้ำออกไป “คุณพูดกับหนูหรือ”

“อยู่กันสองคน ไม่พูดกับเธอแล้วจะพูดกับใคร”

เขาย้อน ท่าทางดุดันอย่างกับจะกินคนได้ แต่วนิษาเป็นเด็กใจแข็ง ซ้ำยังตีหน้าตายเก่ง เด็กหญิงเลยยักไหล่แล้วจ้องตาอีกฝ่ายอย่างไม่กริ่งเกรง

ให้มันรู้ไป ว่าเขาจะกล้าทำอะไรเธอในโรงพยาบาลที่นับได้ว่าเป็นถิ่นของเธอกับพ่อ!

“คุณมีอะไรก็ว่ามา”

“ไอ้เรื่องบ้าๆ ที่เกิดขึ้นนี่มันฝีมือเธอใช่ไหม”

 “ฝีมือหนู?” เด็กหญิงย้อน ตาพองแทบเป็นไข่ห่าน

“ใช่ เธอตั้งใจให้พ่อของเธอกลับมาชกฉัน ทั้งๆ ที่เขาออกไปกับหมอคนนั้นแล้วแท้ๆ” ชายหนุ่มมองมาอย่างคาดคั้น ดวงตาเรียวรีทว่าคมกริบดุจดั่งเรียวดาบของเพชฌฆาตที่พร้อมจะคว้านหาความจริงอย่างไร้ความปรานี

วนิษากลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ ก่อนจะแข็งใจเค้นเสียงออกมา “พ่อคงไม่ชกคุณหรอก ถ้าคุณไม่มือไวใจเร็ว ด่วนได้ จะจับพี่เดย์ปล้ำกลางวันแสกๆ แบบนี้”

คำพูดของเธอทำให้คนตรงหน้าโกรธจัดเสียจนตัวสั่น “เหลวไหล ฉันไปจับคุณเดย์ปล้ำที่ตรงไหน”

“ก็ตรงนี้ ตะกี้นี้ไง ไม่ต้องมาแก้ตัวเลย หนูไม่ได้ตาบอดนะ จะได้ไม่เห็นว่าคุณตั้งใจจะฉุดพี่เดย์” เธอตะเบ็งเสียงใส่ไม่ยอมแพ้ 

คันฉัตรมองตอบด้วยสายตาครุ่นคิดระคนขุ่นเคือง แต่ตัวไม่สั่นอย่างเมื่อครู่แล้ว เหมือนเขาจะควบคุมตัวได้ในที่สุด เพราะริมฝีปากเรียวบางแต่ได้รูปกระดกขึ้นเล็กน้อยจนเธอนึกสะดุดใจ แต่ไม่ทันได้พูดออกไป ชายหนุ่มก็ชิงกล่าวขึ้นเสียก่อน

“ขอบใจนะยายเด็กแก่แดด” เอ่ยแล้วคนพูดก็ผละจากไปง่ายๆ แบบนั้น จนวนิษาเร่งฝีเท้าเดินตามไปแทบไม่ทัน

“เดี๋ยวสิ คุณมาขอบใจอะไรหนู”

คันฉัตรหันมายิ้มให้วนิษา ทำให้เด็กหญิงถอยกรูดแทบไม่ทัน ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังได้ยินคำพูดของชายหนุ่มชัดเจนเลยทีเดียว

“เพราะตอนแรกฉันไม่ได้นึกถึงเรื่องฉุดคุณเดย์ไปปล้ำมาก่อน จนเธอพูดขึ้นมา ก็เลยรู้สึกว่าน่าสนใจเหมือนกัน”

วนิษาตาโตเมื่อได้ยินแบบนั้น ทั้งยังเสียวสันหลังวาบไปหมด นี่เธอชี้โพรงให้แมวขโมยหรอกหรือ...

แต่ครั้นจะเอ่ยปากห้ามปราม หรือยอกย้อนคันฉัตรให้เจ็บแสบ ก็นึกคำไม่ออกขึ้นมาเสียดื้อๆ มิหนำซ้ำเขายังเดินลิ่วจากไปอย่างรวดเร็ว เด็กหญิงเลยได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างของคู่อริไปอย่างเจ็บใจและบอกกับตัวเอง...

วันพระไม่ได้มีหนเดียว!

 

ขณะเดียวกันเดหลีก็แอบมองเขมวันต์อยู่เหมือนกัน

เธอมีทีท่าแปลกใจอย่างชัดเจนที่เห็นเขาเมื่อครู่ แต่ชายหนุ่มไม่อยากอธิบายให้ยืดยาว เลยเลือกที่จะขับรถพาอีกฝ่ายกลับไปที่บ้านสวนเงียบๆ แทน

ในที่สุดหญิงสาวก็เป็นฝ่ายทนกับความเงียบที่เกิดขึ้นไม่ได้เสียเอง เธอตั้งคำถามทันทีที่รถจอดหน้าบ้าน “คุณทิ้งคุณหมอคนนั้นมาแบบนี้ แล้วเธอไม่โกรธแย่หรือคะ”

“ผิงรู้จักผมดี ไม่โกรธกับเรื่องแค่นี้หรอก” เขาตอบไปอย่างที่คิดโดยไม่ทันได้กลั่นกรอง ได้ยินเสียงหวานถามห้วนๆ กลับมา

“อ้อ...เธอรู้จักคุณดี คุณเองก็คงรู้จักเธอดีเหมือนกัน”

“ใช่ หรือผมไม่ได้บอกคุณว่าผิงเป็นรุ่นน้องผม ส่วนพี่ชายของเธอก็เป็นเพื่อนผม”

“แล้วหมอด้านผิวหนังจากคลินิกเสริมความงามชั้นนำของประเทศมาทำอะไรที่นี่คะ”

“ผิงมาทำงานเป็นหมอประจำคลินิกพิเศษตอนเย็นที่นี่”

“คะ?

เขมวันต์พูดไปตามที่เพียงขวัญบอก รวมถึงข้อตกลงระหว่างเขากับแพทย์หญิงรุ่นน้องด้วย ทว่าเดหลีกลับเงียบกริบเมื่อเขาเล่าจบ ใบหน้าสวยเก๋แปลกตาของหญิงสาวเหมือนถูกผนึกด้วยน้ำแข็งเอาไว้

ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างงุนงง “คุณเป็นอะไร เหน็บชากินหรือ”

คนถูกถามกะพริบตาแล้วเมินหน้าไปทางอื่น “เปล่า”

“แล้วทำไมคุณถึงทำหน้าแบบนี้” เขายังกังขาไม่หาย

“ฉันก็หน้าตาเย็นชาแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” เธอตอบเสียงห้วน ขณะขยับปลายเท้าไปมาอย่างหงุดหงิด ก่อนพูดออกมาด้วยเสียงห้วนกว่าเดิม “คุณจะไปกินข้าวกับหมอคนนั้นก็ไปเถอะ ฉันจะโทร. ให้คุณฉัตรมารับกลับบ้าน”

“ทำไมต้องเป็นหมอนั่นด้วย”

“ก็เขาเป็นลูกน้องฉัน เป็นเด็กฝึกงาน เป็นเลขาฯ เป็นผู้ช่วย เป็นสารพัด”

เขมวันต์หน้าบึ้งกับคำตอบนั้น ขวางหูเป็นที่สุด “ถามจริงเถอะ เมื่อไหร่ไอ้หมอนี่มันจะเลิกมาฝึกงานกับคุณเสียที”

“อีกห้าเดือน”

“เปลี่ยนเป็นห้านาทีได้ไหม”

“ไม่ได้ค่ะ นี่เป็นสัญญาตั้งแต่สมัยคุณพ่อของเขายังอยู่ จะไปล้มเลิกง่ายๆ ไม่ได้หรอก”

“อ้อ...ผมลืมไปว่าครอบครัวคุณสนิทกัน” เขาตอบเสียงขื่น ยังจำที่แม่ของเธอพูดได้แม่นยำ

หญิงสาวเลยจ้องตาเขาบ้าง ทำให้เขมวันต์รู้สึกเหมือนขนที่ต้นแขนจะลุกชัน

“เฉพาะครอบครัวของเราเท่านั้น แต่ฉันกับเขาไม่ได้สนิทกันเหมือนคุณกับหมอคนนั้นหรอก” น้ำเสียงเธอประชดประชันจนแม้แต่คนที่โง่ที่สุดยังรู้สึก

เขมวันต์เลยฉุกคิดได้ในนาทีนั้น เขามองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา พร้อมทั้งนึกถึงความรู้สึกขนลุก เหมือนถูกสายตาแผดเผาของใครบางคนจับจ้องในงานแต่งงานของ ซิดนีย์ อัศวฤทธา ที่ผ่านมาได้

“คุณเดย์! นี่คุณหึงผมกับผิงหรือ” ชายหนุ่มร้องอุทานออกมาด้วยความยินดีระคนแปลกใจ

หญิงสาวกะพริบตาคล้ายรู้สึกตัวและทำท่าจะปฏิเสธออกมา แต่เหมือนเธอจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เลยรับคำเสียงอึกอัก

“ใช่ ฉันหึง ฉันไม่ชอบหมอคนนี้เลย ไม่อยากให้คุณอยู่ใกล้หรือทำงานด้วย”

คนฟังยิ้มกว้างแล้วรวบร่างระหงเข้ามากอดอย่างเอาใจ “คุณไม่จำเป็นต้องหึงผิงหรอก ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นอย่างอื่นมากกว่าน้องสาว”

“แต่เขาอาจไม่ได้เห็นคุณเป็นพี่ชาย” เธอพึมพำและกอดเขาแน่น ราวกับกลัวว่าเขมวันต์จะหายไปต่อหน้าต่อตา ไม่เหมือนหญิงสาวที่ได้รับฉายาว่าเป็นนางพญาของอัศวฤทธาตามที่ได้ยินมาแม้แต่น้อย

“เหลวไหล” เขากล่าวเสียงหนักแน่น

เดหลีเม้มปากเกือบเป็นเส้นตรงอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนสรุปปลงๆ ในใจ...บางทีเขมวันต์ก็อาจไม่ทันคนไปเสียทุกเรื่องอย่างที่แสดงออก โดยเฉพาะเรื่องของหัวใจ

เพราะถ้ามองย้อนกลับไป เขาเองก็เคยถูกเวียนนาหลอกจนหัวปั่นมาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นคงไม่แปลกอะไร ถ้าเขาจะไม่รู้สึกตัวว่าถูกแพทย์สาวคนสวยชื่อน่ากินคนนั้นแอบหลงรัก

เดหลีเองก็ถือคติว่าไม่ควรชี้โพรงให้กระรอกเลยเลือกที่จะเงียบเสีย แต่ชายหนุ่มคงแปลความรู้สึกของเธอเป็นไม่พอใจ เขาเลยเอ่ยถามเสียงอ่อนอย่างเอาใจว่า

“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง ย้ายโรงพยาบาลดีไหม” 

“คุณทำได้หรือ” เธอเบิกตากว้าง ท่าทางปรีดาอย่างเห็นได้ชัด

“ได้สิ” เขาพยักหน้าประกอบคำพูดหนักแน่น

“คุณอยากไปทำงานที่โรงพยาบาลไหน บอกชื่อมา ฉันรู้จักกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งน่าจะช่วยคุณได้ไม่ยาก”

คนถูกถามนิ่งขึงไปอึดใจหนึ่ง ก่อนคว้ามืออีกฝ่ายมากุมแน่น ทำให้คิ้วเรียวของเดหลีขมวดเข้าหากันอย่างงุนงง

“ฉันพูดอะไรผิดหรือคะ หรือคุณอยากย้ายเข้าโรงพยาบาลรัฐ”

“เปล่า แต่ผมไม่ได้ย้ายเข้ากรุงเทพฯ”

“แล้วคุณอยากย้ายไปไหนคะ” แววสงสัยระคนหวั่นวิตกฉายในดวงตาเรียวรีของคนถาม

ชายหนุ่มลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง ลำคอแห้งผากตอนตอบคำถามนี้ออกไป

“ห้วยผาเซาะ”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น