7

บทที่ 7...สัญญาปีศาจ



“ไม่ต้องมาเรียกฉันเลย แม่ตัวดี ไป เข้าไปในห้องเราโน่น ขอฉันคุยกับพ่อคนนี้หน่อย” ศกุนตลาสั่งเสียงเฉียบ ราวกับบุตรสาวของเธออายุแค่สองขวบก็ไม่ปาน

แต่เดหลีกลับส่ายหน้าดิก ทั้งยังโอบกอดเขาไว้แน่นเหนียว

“ไม่ค่ะ คุณแม่จะคุยอะไรกับคุณเข้ม เดย์จะฟังด้วย”

“ยายเดย์”

“ก็เขาเป็นแฟนเดย์ คุณแม่จะพูดอะไรกับเขา เดย์มีสิทธิ์รู้”

ศกุนตลาได้ยินแล้วก็หรี่ตามองลูกสาวคาดคั้น เหมือนครูที่จับโกหกนักเรียนได้ “แฟนแกงั้นหรือ งั้นที่แกเทียวไปเทียวมาที่คลองหมาแหงนนั่น ก็ไม่ใช่เพราะหนูนิดแล้วสินะ”

“หนูนิดก็เป็นส่วนหนึ่งค่ะ” หญิงสาวกัดฟันตอบ แต่เหมือนมารดาของเธอจะไม่สนใจฟัง เพราะผู้แก่วัยกว่าได้แย้งขึ้นมาเสียก่อน

“ว่าแต่หมอนี่จะมาเป็นแฟนแกได้ยังไงกัน ในเมื่อเขาเป็นผัวแม่เวียนนา”

“เขาไม่ได้เป็นเพราะอยากเป็น แต่เป็นเพราะคิดว่าเวียนนาเป็นเดย์ค่ะ เวียนนาปลอมตัวเป็นเดย์ไปหลอกเขา ดังนั้นคนที่เขารักคือเดย์ค่ะ ไม่ใช่เวียนนา”

คำตอบนั้นยิ่งทำให้ศกุนตลาเบิกตากว้าง คล้ายไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

“ยายเวียนนาจะปลอมตัวเป็นแกได้ยังไง ไม่ต้องมาโกหก แม่ไม่เชื่อ” แล้วคนพูดก็หันขวับมาที่เขมวันต์ พร้อมกล่าวเสียงหยันว่า “ส่วนคุณ ฉันจะบอกให้นะ ฉันกับคุณโรมไม่ได้ใจดีแบบพี่ยูนาน ที่จะได้เที่ยวนับญาติกับใครต่อใครให้มั่วซั่วไปหมด แล้วก็ไม่ได้เชื่อคนง่ายอย่างยายเดย์ ถึงจะได้เชื่อเรื่องบ้าๆ ที่คุณเล่าให้ฟัง ดังนั้นอย่ามายุ่งกับลูกสาวฉันอีก ฉันไม่อยากให้ยายเดย์ได้ชื่อว่ามีผัวคนเดียวกับเวียนนา ที่สำคัญหมอบ้านนอกอย่างคุณน่ะ ไม่เหมาะกับคนอัศวฤทธาอย่างยายเดย์หรอก คุณอยู่คนละสังคมกับพวกเราเข้าใจหรือเปล่า”

“คุณแม่!

เดหลีร้องเสียงดังจนเกือบเป็นกรี๊ด แต่ศกุนตลาไม่สนใจที่จะฟัง ขณะที่เขมวันต์พยายามข่มใจ นึกถึงใจคนเป็นพ่อเป็นแม่

เพราะเป็นเขาก็คงโกรธเหมือนกัน ถ้าเห็นไอ้หนุ่มที่ไหนมาทำกับบุตรสาวแบบนี้ เลยกล่าวเสียงเรียบออกไปว่า

“แต่ยุคศักดินามันจบสิ้นไปแล้วนะครับ และผมก็ไม่ใช่ไพร่ ทาส หรือจัณฑาล เหมือนๆ ที่คุณนายก็ไม่ได้เป็นเจ้าเป็นนายใคร เราต่างเป็นคนเหมือนกัน และที่สำคัญผมก็จริงใจกับคุณเดย์ด้วย”

“ฉันไม่เชื่อ”

“ผมพูดจริง ผมไม่ได้สนใจเรื่องฐานะ หรือเงินทองของคุณเดย์เลย ที่ผมสนใจเธอก็เพราะเราเข้ากันได้ในแทบทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องหนูนิด ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนจะให้โอกาสผม หรือเข้ากับลูกสาวผมได้ดีเหมือนคุณเดย์”

“ฉันไม่เชื่อและไม่สนใจ ความจริงใจบ้าบออะไรที่คุณอ้างหรอกนะ แต่จำใส่กะลาหัวเอาไว้ ว่าคุณกับพวกฉันไม่เหมือนกัน” ฝ่ายนั้นย้อนเสียงแหลม “คุณไม่มีวันเป็นเหมือนพวกฉันได้ และต่อให้พยายามให้ตาย ก็เป็นได้แค่อีกาที่อยากกินเนื้อหงส์เท่านั้น”

คำพูดนั้นทำให้เขมวันต์หน้าชา ส่วนคนพูดก็จ้องหน้าเขาดุเดือด ขณะที่เดหลีร้องออกมาอย่างทนไม่ได้

“พอเถอะค่ะคุณแม่ เลิกว่าคุณเข้มเสียที”

“ไม่เป็นไร ถ้าคุณแม่คุณด่าผมแล้วสบายใจก็เชิญท่านด่าไปเถอะ ขัดขวางความสุขคนแก่จะเป็นบาปเสียเปล่าๆ” เขาตอบเสียงเรียบ และทำให้ศกุนตลาตาลุกวาวด้วยความโกรธยิ่งกว่าเดิม

“คุณว่าใครแก่”

เขมวันต์กะพริบตา ไม่เข้าใจว่าพูดอะไรผิด และเห็นเดหลีส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม ซ้ำยังรุนหลังเขาไปที่ประตู พร้อมยัดกุญแจรถของเธอใส่มือให้แล้วบอกอย่างร้อนรนแกมวิงวอน

“ฉันจะคุยกับคุณแม่เอง แล้วพรุ่งนี้จะไปหาคุณกับหนูนิด”

“ไม่ได้ แม่ไม่ให้แกไปหาไอ้หมอนี่อีกแล้ว ต่อไปนี้ แกจะไปไหนได้ก็ต่อเมื่อมีพ่อคันฉัตรพาไปเท่านั้น”

ศกุนตลาเอ่ยเสียงเฉียบขาด ทำให้เขมวันต์ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ และไม่สนใจทนนับหนึ่งถึงสิบอย่างคราวก่อนอีกแล้ว

“ทำไมคุณเดย์จะต้องไปไหนกับไอ้หมอนั่นด้วยครับ”

“เพราะพ่อคันฉัตรคือคนที่เหมาะสมจะมาเป็นลูกเขยฉัน ส่วนคุณน่ะถ้าอยากเกี่ยวข้องกับคนสกุลนี้นัก จะกลับไปหาแม่เวียนนาก็ยังไม่สายหรอกนะ ลูกคุณจะได้ไม่ต้องเป็นลูกไม่มีแม่แบบนี้ไง”

คำพูดนั้นทำให้ชายหนุ่มขบฟันกรอด เขมวันต์วางกุญแจรถที่เดหลีส่งให้ลงในทันที ราวกับมันคือเหล็กที่ถูกเผาไฟจนร้อน

ไฟโทสะที่ศกุนตลาเป็นผู้จุด และตอนนี้ไฟนั้นกำลังแผดเผาความสัมพันธ์ที่งดงามของเขากับเดหลีให้มอดไหม้กลายเป็นจุณ

“คุณจะด่าผม ไม่ชอบผม ไม่เป็นไร แต่ห้ามยุ่งกับลูกสาวผม หนูนิดไม่เคยรู้เรื่องบัดซบที่ผู้ใหญ่ก่อขึ้น และผมกับลูกไม่เคยนึกอยากข้องเกี่ยวกับคนอัศวฤทธาอย่างคุณเลยสักนิดเดียว”

“งั้นคุณก็ไปสิ จะมายุ่งกับยายเดย์ทำไม”

“แต่คุณเดย์เป็นข้อยกเว้น” เขาพยายามข่มใจ ระงับความโกรธอย่างยากเย็น ก่อนตอบเสียงเข้มออกไป

ศกุนตลาฟังแล้วก็ถึงกับนิ่งขึงไปอึดใจใหญ่ เพราะไม่เคยมีใครกล้าโต้แย้งเธอมาก่อน

เดหลีเลยพยายามช่วยชายหนุ่มเต็มที่ด้วยการกล่าวอย่างขึงขัง “เดย์เองก็โตแล้วนะคะคุณแม่ เรื่องนี้ขอเดย์ตัดสินใจเองเถอะค่ะ”

“ตัดสินใจอะไร จะเป็นเมียมันน่ะหรือ” คนเป็นแม่ย้อนถามเสียงเขียว ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ ขณะที่เดหลีเองก็เหมือนไม่ยอมแพ้

หญิงสาวเชิดหน้าขึ้น แต่ดวงตาหลุบต่ำลงอย่างคนที่ตัดสินใจดีแล้ว

“เป็นเมียคุณเข้มก็ไม่ได้เสียหายที่ตรงไหนนี่คะ เขามีสัมมาอาชีพ เป็นถึงหมอเชียวนะคะคุณแม่ ไม่ใช่กรรมกรแบกหาม ไม่มีความรู้ที่ไหน”

“หมอบ้านนอก!

“บ้านนอกแล้วยังไงคะ หรือคุณแม่ลืมเสียแล้วว่าลูกสะใภ้คุณแม่ทั้งสองคนก็มาจากบ้านนอกที่คุณแม่ตั้งท่ารังเกียจอยู่นี่”

เขมวันต์เป็นฝ่ายทนไม่ได้เสียเองที่เห็นสองแม่ลูกปะทะกันดุเดือด เขาบีบมือเดหลีเบาๆ เป็นเชิงปราม ก่อนหันไปมองหน้าศกุนตลาอย่างครุ่นคิด

“ผมรู้ว่าคุณเกลียดผม ไม่ชอบผม เพราะเรื่องของผมกับเวียนนา และเพราะผมเป็นคนจน ซ้ำยังเป็นคนบ้านนอกอีกด้วย แต่เรื่องพวกนี้ผมแก้ไขไม่ได้ เหมือนๆ กับที่ทำใจให้เลิกรักคุณเดย์ไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมทำได้ คือทำปัจจุบันให้ดี หรือเหมาะสมกับคุณเดย์อย่างที่คุณนายต้องการ”

“คุณจะทำได้จริงหรือ”

“คุณแม่จะให้คุณเข้มทำยังไงคะ” หญิงสาวถามเหมือนอ่อนใจ

“พิสูจน์ให้แม่เห็นว่าเขามีค่าพอสำหรับลูกแม่” จากนั้นคนพูดก็หันมาปรายตามองเขาอย่างชิงชัง “ที่สำคัญห้ามรุ่มร่ามกับลูกสาวฉันอีกเด็ดขาด ฉันไม่อยากให้ยายเดย์เป็นอย่างเวียนนา ไม่อย่างนั้นจะถือว่าคุณไม่ให้เกียรติลูกสาวของฉันและตัวฉันกับสามี คุณเองก็มีลูกสาว คงเข้าใจดี”

“ครับ ผมเข้าใจ” เขารับปาก หน้าร้อนผ่าวด้วยความละอายที่ศกุนตลารู้จักใช้ข้อเท็จจริงที่มีมาเล่นงานเขาได้อย่างตรงจุด

ซ้ำยังยกเรื่องเวียนนากับวนิษาขึ้นมาพูด ทำให้เขมวันต์ต้องรับปากอย่างไม่มีทางเลี่ยง ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว เขายังไม่แน่ใจเท่าไรนักว่าควรทำอย่างไร ถึงจะพิสูจน์ตัวเองให้ศกุนตลาเห็นว่าคู่ควรกับเดหลี

                ยิ่งกว่านั้น...

                ชายหนุ่มเองก็ไม่มั่นใจว่าจะหักห้ามใจจากหญิงสาวได้จริงหรือ ถ้าตราบใดยังมีโอกาสใกล้ชิดเธออยู่อย่างนี้

                เขาเชื่อว่าผู้ชายกับผู้หญิงที่รักกัน เมื่อมีโอกาสอยู่ด้วยกันก็เหมือนไฟกับน้ำมันที่พร้อมจะจุดติดลุกโพลงขึ้นได้ทุกนาที แต่ถ้าไม่ตอบตกลง โอกาสที่ไขว่คว้าก็ดูจะห่างไกลหนักเข้าไปอีก

                รู้สึกเหมือนได้เผลอทำสัญญากับปีศาจอย่างไรก็ไม่รู้

                ค่ำนี้จึงเป็นหนึ่งในคืนแห่งความทรงจำของนายแพทย์หนุ่มอย่างยากจะลืมเลือน

 

สีหน้ากับแววตาเคร่งเครียดของเขมวันต์ในค่ำคืนนั้นตราตรึงในความทรงจำเดหลีต่อไปอีกหลายวัน และถึงเขาจะรับปากหนักแน่นกับผู้เป็นแม่ของเธอ แต่หญิงสาวกลับไม่มั่นใจว่าชายหนุ่มจะทำได้จริงตามนั้น จึงพยายามบอกชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง ว่าไม่จำเป็นต้องรักษาสัญญากับศกุนตลาก็ได้

แม่ตั้งใจแกล้งเขา...เธอรู้ดี

สิ่งที่ศกุนตลาต้องการคือรากฐานที่มั่นคงและมั่งคั่งให้แก่อัศวฤทธา และพินิจวัฒนาวงศ์...สกุลเก่าของท่าน ดังนั้นต่อให้เขาคว้าเอาดาวเอาเดือนมาให้เธอกับแม่ได้ ท่านก็ไม่มีวันพอใจหรอก

ทุกสิ่งที่เขาทำคือความสูญเปล่าอย่างแท้จริง

เธอจึงตั้งใจจะไปหาเขมวันต์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอยากเน้นย้ำเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องรออีกหลายวัน มิหนำซ้ำพอวันสุดท้ายของสัปดาห์มาถึง น้องชายกลับมาหาด้วยสีหน้าเกรงอกเกรงใจอย่างเห็นได้ชัดตอนเอ่ยเสียงอ่อนผิดวิสัย

วันนี้พี่เดย์ช่วยไปภูเก็ตหน่อยได้ไหม

ไปภูเก็ต?’ หญิงสาวเบิกตากว้างอย่างคิดไม่ถึงกับคำขอฟ้าผ่า

ใช่ฝ่ายนั้นอึกอักอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงอ้อมแอ้มออกมา พอดีผมมีนัดประชุมกับนักธุรกิจจากอินโดที่นั่น แต่พี่เลี้ยงเส้นจันท์กับขนมจีนลาหยุดกะทันหัน ผมเลยต้องรีบกลับไปช่วยอี๋เลี้ยงลูก

เดหลีนึกอยากปฏิเสธ แต่พอนึกถึงใบหน้ากลมแป้นของหลานสาวและหลานชายฝาแฝดแล้วก็พูดไม่ออก

แล้วคนอื่นๆ ล่ะ ไม่มีใครไปแทนนายได้เลยหรือ

ไปฉุกละหุกแบบนี้หาคนแทนกันยาก พี่ก็รู้ อัคราตอบพร้อมมองมาอย่างอ้อนวอน ทำให้หญิงสาวจำใจต้องรับคำในที่สุด

จากภูเก็ต หญิงสาวก็ถูกส่งมาตัดริบบิ้นเปิดชอปปิงมอลล์แห่งใหม่ แทนลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งที่เชียงราย โดยมีคันฉัตรมาด้วย เดหลีที่เริ่มเบื่อหน้าอีกฝ่ายเป็นกำลังจึงบอกห้วนๆ อย่างไม่คิดถนอมน้ำใจ

“งวดนี้คุณไม่ต้องไปกับฉันก็ได้นะ”

“แต่ผมถูกส่งให้มาเรียนรู้งานจากคุณหกเดือน คุณไปที่ไหน ผมก็ควรจะไปด้วยในช่วงหกเดือนนี้” ชายหนุ่มตอบเรียบๆ

สีหน้าเขาเย็นชาและแววตานิ่งลึกเสียจนหญิงสาวอ่านใจไม่ออกว่าคันฉัตรหมายความตามที่พูดจริงๆ หรือมีนัยบางอย่างซ่อนเร้นเอาไว้ แต่เดหลีไม่ใช่คนขี้ขลาดหรือยอมจำนนง่ายๆ เธอจึงต่อตากับชายหนุ่มอย่างเยือกเย็น พร้อมเชิดปลายคางขึ้นแล้วถามอีกฝ่ายเสียงกระด้าง

“อย่าบอกนะว่าคุณใช้กรรไกรไม่เป็น”

“หืม?” คิ้วเข้มตัดกับผิวขาวสะอาดของเขาเลิกขึ้นน้อยๆ เธอจึงอธิบายต่ออย่างหัวเสีย

“ก็ตัดริบบิ้นมันจะยากอะไร มีกรรไกร ใครๆ ก็ตัดได้แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องไปกับฉันหรอก เว้นแต่คุณจะใช้มันเป็นข้ออ้าง” หญิงสาวเสริมต่ออย่างดุเดือด ทำให้คนที่ตั้งใจจะไปเรียนตัดริบบิ้นด้วยถึงกับหัวเราะเบาๆ ออกมา

“ใช่ ผมตั้งใจจะใช้มันเป็นข้ออ้าง”

คำตอบตรงๆ ของเขาทำให้เดหลีหรี่ตาลงอย่างมาดร้าย  “ทำไม”

“คุณถามผมอย่างกับไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ของเราสองคน คาดหวังอะไรจากการที่ผมมาฝึกงานกับคุณครั้งนี้”

“ฉันรู้ แต่ไม่คิดว่าคุณจะบ้าจี้ตาม”

“การที่ผมคิดจะแต่งงานกับคุณบ้าจี้ที่ตรงไหน” คันฉัตรยังถามเสียงเรียบ ทำให้หญิงสาวยิ่งโกรธจัด

เธอพยายามข่มเพลิงโทสะที่ลุกวาบขึ้นอย่างยากเย็น ตอนตอบอีกฝ่ายไปด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก

“บ้าสิ คุณอายุน้อยกว่าฉันตั้งหลายปี น้อยกว่านายอัคเสียอีก”

“ผมไม่เห็นมันจะเป็นปัญหาที่ตรงไหน ผู้หญิงสมัยนี้ดูแลตัวเองดีจะตายไป ไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าคุณอายุมากกว่าผม หรือถึงรู้ผมก็ไม่แคร์”

“แต่ฉันแคร์ ฉันไม่ชอบผู้ชายที่เด็กกว่า” เธอตอบเสียงหนักแน่น ก่อนกวาดตามองคนตรงหน้าช้าๆ ตั้งแต่หัวจดเท้าด้วยสายตาพิจารณา อย่างที่เคยใช้มองชายหนุ่มที่อาจหาญมาเสนอขายขนมจีบให้นับคนไม่ถ้วน และได้ผลทุกครั้ง “และฉันไม่ชอบผู้ชายขาวจนซีดอย่างคุณ ไม่ชอบหนุ่มๆ มาดนักธุรกิจ เป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนคุณ มันดาษดื่นออกจะตายไป รู้ไหมว่า ฉันสามารถหาผู้ชายใส่สูท ผูกเนกไท หอบแท็บเล็ตไว้ในมือข้างหนึ่งแบบคุณมาควงได้ในสามนาทีด้วยซ้ำ”

ทว่าคันฉัตรไม่แม้แต่จะกะพริบตาเมื่อเธอพูดจบ ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นน้อยๆ ราวกับจะเยาะเสียด้วยซ้ำ ตอนชะโงกหน้าเข้ามาหาแล้วบอกว่า

“แล้วคุณรู้ไหมว่าผมชอบผู้หญิงดุๆ ที่สุด ยิ่งปากจัด ยิ่งชอบ” แล้วนัยน์ตาคนพูดก็เลื่อนมาจับจ้องที่กลีบปากอิ่มเต็มตึงของเธอ คล้ายจะบอกใบ้ว่าเขามีวิธีจัดการกับผู้หญิงปากจัดอย่างไรบ้าง  “แต่ที่ผมชอบที่สุดคือผู้หญิงอายุมากกว่า เพราะมีประสบการณ์ที่ผมไม่ต้องเสียเวลาสอน”

สายตาของเขาจาบจ้วงจนเธอตัวร้อนผ่าว และมั่นใจว่าถ้าไม่มีเมกอัปปกปิดเอาไว้ ใบหน้าคงแดงก่ำเพราะคำพูดที่ส่อนัยหยาบคายของอีกฝ่ายไปแล้ว หญิงสาวกำมือแน่นอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนมองเขาด้วยสายตาเชือดเฉือน พร้อมบอกว่า

“แล้วคุณจะเสียใจที่พูดแบบนี้”

“ผมจะไม่มีวันเสียใจ แต่คุณ...จะต้องเปลี่ยนใจ และเปลี่ยนความคิดในไม่ช้านี้แน่” คันฉัตรตอบกลับ ก่อนจะผายมือให้เธออย่างสุภาพไปยังเฮลิคอปเตอร์ที่จอดรอพวกเขาอยู่

เดหลีอยากปฏิเสธ อยากหันหลังให้แล้ววิ่งไปในทิศทางตรงกันข้าม รวมถึงอยากบอกให้นักบินเอาเครื่องขึ้นทันที เพื่อจะได้ทิ้งอีกฝ่ายไว้ แต่สุดท้ายเหตุผลร้อยแปดที่ผุดขึ้นในใจก็ทำให้เธอไม่ได้ทำสักอย่าง

จากนั้นคันฉัตรก็ติดตามเธอไปทุกที่ไม่ต่างกับเงาตามตัว และทำให้เดหลีหงุดหงิดเพิ่มขึ้นทุกวัน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลที่สามหรือนักข่าวที่โฉบมาทำข่าว หญิงสาวกลับต้องตีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรและไม่รู้สึกรู้สา ทั้งหมดนี้ก็เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตนเองและเอวาลอนกรุ๊ป รวมถึงความสัมพันธ์ของครอบครัวเธอกับชายหนุ่มด้วย

จึงไม่แปลกอะไรที่จะมีข่าวซุบซิบถึงทั้งคู่ผุดขึ้นในกรอบสังคมหลังจากนั้น...

 

วันนี้เริ่มต้นเหมือนทุกวัน

ที่เขมวันต์ต้องเริ่มงานตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ทำคลอดไปสี่เคส แล้วยังต้องรักษาคนไข้ที่ถูกยิงจนกระเพาะอาหารทะลุอีกหนึ่งรายจนไม่ได้กินข้าวเที่ยง พอทำคลอดคนไข้รายสุดท้ายของช่วงบ่ายเสร็จ ชายหนุ่มก็ตั้งใจจะไปหาข้าวกิน แต่ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นตึกที่ทำงาน โทรศัพท์มือถือก็เตือนขึ้นเสียก่อน เพราะมีคนไข้ฉุกเฉินเข้ามา

รายนี้เป็นเด็กสาวชาวเขาที่เพิ่งตั้งท้องครั้งแรก เธอไม่ได้ฝากครรภ์ตั้งแต่ต้น พอมาถึงมือหมอปากมดลูกก็เปิดไปถึงแปดเซนติเมตรแล้ว แต่หัวใจเด็กกลับเต้นช้าผิดปกติ ทำให้เขาต้องคอยเฝ้าดูอาการของฝ่ายนั้นทั้งๆ ที่เป็นเวลาเลิกงาน และปกติพยาบาลที่นี่ก็ทำคลอดได้เก่งไม่แพ้ใคร ทว่าอัตราการเต้นของหัวใจทารกน้อยที่ช้าลงไปเรื่อยๆ ทำให้พวกเธอตัดสินใจลำบาก เพราะแม้หัวเด็กจะเคลื่อนลงต่ำแสดงให้เห็นว่าใกล้คลอดแล้ว แต่ก็ยังไม่ออกมาเสียที

ยิ่งทิ้งไว้นานก็ยิ่งเป็นอันตราย เพราะเด็กอาจกำลังขาดออกซิเจน

เขมวันต์คิดหนักว่าจะเอาเด็กออกมาทางไหน เพราะพวกเขาอยู่ที่ห้องคลอด หากจะผ่าตัดก็ต้องเข็นไปที่ห้องผ่าตัด แล้วจัดการบล็อกหลังหรือดมยาสลบให้เร็วที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องใช้เวลาราวสิบถึงสิบห้านาที ขณะที่ตอนนี้ปากมดลูกเปิดหมดแล้ว...ถ้าเบ่งดีๆ ก็อาจจะคลอดได้ไม่ยาก...

เขมวันต์จึงพยายามอธิบายให้คุณแม่มือใหม่ฟัง ขณะที่พยาบาลประจำวอร์ดก็ช่วยกันเชียร์คนไข้ให้เบ่งคลอดกันสุดแรงใจ เครื่องดูดสุญญากาศถูกเตรียมพร้อมเพื่อช่วยให้เด็กน้อยออกมาดูโลกใบนี้เร็วขึ้น

แล้วในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ...แต่กลับรู้สึกมึนหัวชอบกล จนพยาบาลที่ทำงานด้วยมาตลอดหลายปีถึงกับออกปากทัก

“หมอเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

“ไม่” เขาแข็งใจตอบไปอย่างนั้น แต่กลับพบว่าโลกดับวูบลงตรงนั้น

นายแพทย์หนุ่มมารู้สึกตัวอีกที เขาก็กลายเป็นคนไข้ไปเสียแล้ว

สายน้ำเกลือผสมยาที่เสียบเข้าหลังมือคือหลักฐานว่าร่างกายเขาต้องการพักฟื้นสักระยะ ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงหวานๆ ถามที่ข้างหู พอหันไปดูก็พบว่าเป็นแพทย์หญิงเพียงขวัญที่มาทำหน้าที่พยาบาลพิเศษคอยดูแลอยู่

“เป็นยังไงบ้างคะพี่เข้ม ปวดหัว คลื่นไส้บ้างไหม”

ฝ่ายนั้นถามเสียงอ่อนโยนด้วยความห่วงใย ขณะที่ชายหนุ่มทำหน้านิ่วคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำถามจากเพียงขวัญ คงเพราะไม่ได้นึกถึงฝ่ายนั้นมาก่อน จนไม่ได้ตอบคำถามของหญิงสาว

“ไม่ แล้วผิงมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ทำไมพี่ต้องให้น้ำเกลือด้วย”

“ผิงแวะมาหาพี่เข้ม ตอนเวรเปลหามพี่เข้มออกมาพอดีค่ะ ถึงรู้ว่าพี่เข้มมัวแต่ทำงานไม่ได้พักผ่อน จนเป็นลมเป็นแล้งคาห้องคลอด” เธอพูดตวัดเสียงหน่อยๆ เหมือนกำลังเอ็ดเด็กชายตัวเล็กๆ มากกว่าจะเป็นนายแพทย์รุ่นพี่อย่างเขา 

“พี่ไม่เป็นอะไรมากหรอก ขอบคุณนะ ผิงกลับไปเถอะ จะค่ำแล้ว” ชายหนุ่มบอกเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นฟ้ามืดแล้ว

ตัวเขาเองตั้งใจว่าจะนอนพักจนน้ำเกลือหมดขวดค่อยกลับบ้าน แต่อีกฝ่ายกลับทำแก้มป่อง ทำปากยื่นใส่ทันที

“ไม่ค่ะ ผิงไม่กลับจนกว่าจะได้ฟังผลเลือดของพี่เข้มก่อน” แล้วแพทย์หญิงคนสวยก็เปลี่ยนเรื่องฉับไว ราวกับกลัวถูกเขาไล่ให้กลับบ้าน  มิหนำซ้ำยังหวังดีด้วยการอาสาว่า “แล้วนี่จะให้ผิงโทร. ไปบอกหนูนิดให้ไหมคะ”

“ไม่ต้อง” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ แล้วหลับตาลง เพราะมั่นใจว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก เรื่องนี้จึงไม่ควรจะเอิกเกริกไป อีกอย่างบุตรสาวชินเสียแล้วกับการกลับบ้านไม่เป็นเวลาของเขา

“งั้นพี่เข้มพักเถอะค่ะ เดี๋ยวพอน้ำเกลือหมด ผิงจะขับรถพาพี่เข้มไปส่งบ้านเอง” หญิงสาวเสนออย่างมีน้ำใจ

เขมวันต์ฉุกคิดขึ้นได้ในนาทีนั้นเอง เลยหันไปมองอีกฝ่ายทันที

“จริงสิ ผิงยังไม่ได้บอกพี่เลยว่าที่แวะมาหาพี่ มีธุระอะไร”

คนถูกถามชำเลืองมองมาคล้ายจะค้อน ก่อนทำปากยื่นน้อยๆ แล้วเอ่ยเป็นเชิงต่อว่า

“ผิงส่งข้อความมาบอกแล้ว แต่พี่เข้มไม่ได้อ่านข้อความที่ผิงส่งมาให้เลยใช่ไหมคะ”

“ที่นี่สัญญาณเน็ตยังไม่ค่อยแรง ข้อความส่งมาบางทีก็ขาดๆ หายๆ ผิงมีอะไรสำคัญหรือเปล่า ทำไมไม่โทร. มา”

“ผิงโทร. มาทีไร พี่เข้มก็ไม่ค่อยรับสาย แถมยังไม่ยอมโทร. กลับ เลยส่งข้อความมาแทนเผื่อจะดีขึ้น ที่ไหนได้ แย่กว่าเก่าเสียอีก” คุณหมอคนสวยอธิบายอย่างใจเย็น

“ผิงจะบอกอะไรพี่หรือ”

“ไม่ได้บอกค่ะ แต่จะทวงสัญญา” หญิงสาวตอบหน้าตาเฉย ทำให้คิ้วเข้มของคนฟังขมวดเข้าหากันแทบเป็นปม

“สัญญา?

“แหม...พี่เข้มน่ะ จำไม่ได้อีกแล้วใช่ไหมคะนี่” คนอายุน้อยกว่าทำท่ากระเง้ากระงอดใส่

เพียงขวัญไม่ตอบคำถามเขา แต่ย้อนถามกลับมาแทน พร้อมทำปากยื่นยิ่งกว่าเก่า แก้มก็ป่องน้อยๆ ออกมาอย่างเห็นได้ชัด

ชายหนุ่มเห็นแล้วก็อดโค้งมุมปากขึ้นไม่ได้ เพราะตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ตอนฝ่ายนั้นเพิ่งเข้าเป็นนักศึกษาแพทย์หมาดๆ จนถึงวันนี้ที่เรียนจบแพทย์เฉพาะทางก็นับได้รวมสิบเอ็ดปีแล้ว เพียงขวัญจึงไม่ใช่สาวน้อยอย่างครั้งนั้น แต่เหมือนเวลาจะทำร้ายเธอไม่ได้เลย ไม่เช่นนั้นก็คงเพราะสาขาที่เรียนจบมาทำให้หญิงสาวดูอ่อนกว่าวัยอยู่หลายปี จะบอกว่าอายุยี่สิบต้นๆ แทนย่างสามสิบแบบนี้ก็คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าตัวขยันทำปากจู๋ แก้มป่อง ตาโต แบบที่เรียกว่า หน้าแบ๊ว อยู่บ่อยๆ

“พี่เข้มนึกไม่ออกจริงๆ หรือคะ” หญิงสาวตัดพ้อเมื่อเห็นว่าเขาเงียบไป

เขมวันต์หรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมนึกทบทวนไปด้วย “ใช่...นึกไม่ออก”

ชายหนุ่มยอมรับตามตรง เพราะรู้มาว่าหลังจากเรียนจบ หญิงสาวก็เลือกที่จะทำงานใช้ทุนเพียงสองปีเท่านั้น จากนั้นก็ขอเปลี่ยนเป็นใช้หนี้แทน แล้วไปเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังด้วยทุนตัวเองจนได้ไปทำงานพิเศษในคลินิกด้านความงามชั้นนำของประเทศอย่างที่เธอเคยบอกเขาในงานแต่งงานญาติของเดหลีเมื่อคราวนั้น

“แล้ว...ลุงหมอไม่ได้บอกอะไรพี่เข้มบ้างเลยหรือคะ”

ลุงหมอที่เธอกล่าวถึงคือผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชนที่เขาทำงานอยู่ และมีความสัมพันธ์เป็นญาติห่างๆ กับคนตรงหน้า ซึ่งถ้าจำไม่ผิดท่านได้เรียกหมอและบุคลากรในโรงพยาบาลอันน้อยนิดมาประชุมเมื่อไม่กี่วันก่อน พร้อมบอกเรื่องหมอคนใหม่ ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่จะมาช่วยงานคลินิกพิเศษในช่วงเย็น แต่เขาไม่ทันได้นึกว่าจะเป็นเพียงขวัญ

ชายหนุ่มร้องอุทานออกมาด้วยความคาดไม่ถึง “บอกแต่ว่าจะมีหมอสกินมาใหม่ ที่แท้หมอสกินที่ว่าเป็นผิงเองหรือ”

“ค่ะ” หญิงสาวยอมรับเสียงภูมิใจ “เห็นไหมว่าผิงทำตามที่บอกกับพี่เข้มได้แล้ว แล้วพี่เข้มล่ะจำได้ไหมว่าเคยบอกอะไรกับผิงเอาไว้บ้าง” ดวงตากลมโตทอประกายระยิบของคนถามมองมาอย่างคาดหวัง

เขมวันต์เลยนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา

เพียงขวัญเคยมาปรึกษากับเขาเรื่องที่จะลาออกไปเรียนต่อเฉพาะทาง ทั้งๆ ที่ยังทำงานไม่ครบกำหนดที่ต้องใช้ทุนคืน ซ้ำยังตั้งใจว่าเมื่อไปเรียนต่อแล้วจะกลับมาทำงานในคลินิกศัลยกรรมและเสริมความงามในตัวจังหวัดร่วมกับพี่ชาย แทนการทำงานให้ภาครัฐต่อ แต่เขาไม่เห็นด้วยจึงให้เหตุผลแก่อีกฝ่ายไปว่า

ผิงก็รู้ว่าจริงๆ แล้วทางโรงพยาบาลเจ้าของทุน เขาไม่ได้อยากได้เงินคืนสักหน่อย ที่เขาต้องการคือหมอที่จะมาช่วยรักษาคนไข้ต่างหาก

ค่ะ ผิงทราบ แต่งานพวกเราหนักจะตาย ไม่มีเวลาเป็นตัวของตัวเองเลย พี่เข้มก็เห็นเธอโอดครวญ

เราก็รู้ว่าอาชีพนี้ต้องเสียสละ และทำงานหนัก ไม่เป็นเวลาตั้งแต่วันแรกที่ไปปฐมนิเทศแล้วไม่ใช่หรือ แล้วจะมางอแงอะไรตอนนี้ เขาจำได้ว่าดุเธอเสร็จก็สำทับต่อ

อีกอย่างคนที่อยากเป็นหมอเพื่อช่วยคนจริงๆ มีตั้งเท่าไหร่ที่ไม่ได้เป็นเพราะสอบไม่ผ่าน ส่วนเราสอบผ่านแล้วทำไมถึงจะทิ้งโอกาสแบบนี้ไปเสียล่ะ ผิงก็รู้นี่ว่าถ้าหมอทุกคนขอใช้หนี้ทุนแทนทำงานเพราะจะไปทำงานส่วนตัว ทำงานกับเอกชน แล้วพวกคนไข้จนๆ หรือชาวบ้านในที่กันดารห่างไกลเจ็บป่วยขึ้นมาจะทำยังไง หรือคนจนๆ ไม่มีสิทธิ์ป่วย ต้องคนรวยเท่านั้นถึงจะรักษากับหมอได้

ตกลงพี่เข้ม ชื่อเขมวันต์ หรือชื่อกานต์คะนี่ เธอล้อ พร้อมทำหน้าทะเล้นให้ ขณะที่คนถูกถามทำหน้านิ่ว

กานต์?’

ก็พระเอกของคุณสุวรรณี สุคนธา ไงคะ เรื่องเขาชื่อกานต์ ที่เป็นหมอกินอุดมการณ์น่ะค่ะ หญิงสาวตอบก่อนเปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจังขึ้น ที่พี่เข้มพูดมาทั้งหมดนี่ ผิงก็เข้าใจนะคะ ไม่ใช่ว่าผิงจะไม่เห็นใจคนไข้หรืออะไร แต่ผิงแค่อยากมีเวลาส่วนตัวบ้างอะไรบ้าง อีกอย่าง หม่าม้าก็อยากให้ผิงไปช่วยงานพี่จ้างด้วย

พี่จ้างที่ถูกพาดพิงคือ ขนมจ้าง พี่ชายของหญิงสาวซึ่งเป็นแพทย์ศัลยกรรมความงามขึ้นชื่อของจังหวัดและเป็นเพื่อนของเขาด้วย  เขมวันต์เลยไม่รู้จะพูดอย่างไร นอกจากรับคำสั้นๆ

อ้อ สีหน้าของเขายังคงบึ้งตึง เพียงขวัญเลยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างเอาใจ

แล้วผิงก็ตั้งใจว่า พอเรียนสกินจบ ผิงก็จะมาประจำคลินิกพิเศษที่โรงพยาบาลพี่เข้มด้วย ดีไหมคะ

จะทำได้จริงหรือ

ถ้าผิงทำได้ พี่เข้มจะให้อะไรหญิงสาวลอยหน้าถาม

ไว้รอถึงวันนั้นแล้วค่อยมาถามใหม่ก็แล้วกัน

เขมวันต์จำได้ว่าตอนนั้นเขาตอบไปเช่นนั้น และดูท่าวันนี้เขาจะต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้แก่อีกฝ่ายเสียแล้ว 

“จำได้แล้ว เราอยากได้อะไรล่ะ”

ดวงตาคนถูกถามแวววาวด้วยความถูกใจ แต่กลีบปากอิ่มกลับคลี่ยิ้มแค่เพียงบางๆ “อยากให้พี่เข้มเลี้ยงข้าว”

เขมวันต์พยักหน้าอย่างไม่ลังเล คนตรงหน้าเลยรีบสำทับ “ขอเป็นข้าวเย็นทุกเย็นที่ผิงเข้ามาทำงานที่นี่”

“ทุกเย็นเลย?

“ก็ผิงเบื่อนี่คะ กลับไปบ้านก็ต้องกินข้าวคนเดียว” เธอย่นจมูกอย่างเหนื่อยหน่าย แต่กลับน่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อย เขมวันต์เลยไม่นึกอยากขัดใจอีกฝ่าย

เพียงแต่...

“เอาเป็นว่า ว่ากันเป็นวันๆ ไปก็แล้วกัน ถ้าวันไหนพี่ไม่ติดเวร หรือไม่ต้องทำเคส เราค่อยไปกินข้าวกัน”

“ได้ค่ะ แล้วไปรับหนูนิดด้วยนะคะ ช่วงนี้หนูนิดกำลังเป็นวัยรุ่น เผื่อมีปัญหาเรื่องสิว หรือผิวพรรณ ผิงจะได้ช่วยดู มีปัญหาจะได้แก้ไขแต่เนิ่นๆ” แพทย์หญิงคนสวยรีบเสนอ ขณะที่เขมวันต์พยักหน้าด้วยความพอใจ

ที่เขาสนิทกับเพียงขวัญมากกว่ารุ่นน้องคนอื่นๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะหญิงสาวรักใคร่เอ็นดูบุตรสาวของเขานี่ละ

ชายหนุ่มจึงตกปากรับคำกับหญิงสาวตรงหน้า โดยนัดกันว่าจะพาเธอไปกินข้าวเย็นในเร็วๆ นี้ ขณะเดียวกันก็ขอร้องฝ่ายนั้นไม่ให้บอกบุตรสาวเรื่องอาการเจ็บป่วยวันนี้ ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากให้วนิษาต้องเป็นห่วง และเดหลีต้องวิตก

เพราะวนิษารู้...เดหลีก็รู้

 

หลังจากนั้น เขมวันต์ก็มัวแต่ยุ่งกับงานที่ถาโถมเข้ามาจนลืมนึกถึงเรื่องคำสัญญากับเพียงขวัญไปสนิท มิหนำซ้ำยังไม่อาจรักษาสัญญากับแพทย์หญิงคนสวยได้ เพราะในวันที่ฝ่ายนั้นมาทำงานวันแรก ชายหนุ่มก็พบหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ

เขาไม่ได้ใส่ใจกับมันในตอนแรก จนกระทั่งเห็นใบหน้าคุ้นตาของหญิงคนรักปรากฏขึ้นในกรอบข่าวสังคมที่ถูกเปิดกางทิ้งไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นฝีมือผู้ใด

 

พักนี้ เดหลี อัศวฤทธา ทั้งสวยและสาวขึ้นจนน่าอิจฉา คงเพราะได้กินเด็กแทนยาอายุวัฒนะ เด็กที่ว่าไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน แต่เป็นเด็กฝึกงานคนล่าสุดของเอวาลอนกรุ๊ป ที่ชื่อ คันฉัตร นิมมานวาทิน หรือนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มือทองนั่นเอง

 

กินเด็กอย่างนั้นหรือ...บัดซบที่สุด เขาไม่เชื่อหรอก...เดหลีไม่มีวันไปชอบไก่อ่อนพรรค์นั้นได้แน่นอน

เขมวันต์ก่นด่ายาวเหยียดในใจ และขยำหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นจนเป็นก้อนกลมโยนลงถังขยะในพริบตาเดียว ตั้งใจจะโยนทิฐิทั้งหมดที่มีทิ้งตามไปด้วย และเลิกคิดถึงคำพูดของมารดาฝ่ายนั้นเสียที

วันนี้เขาต้องไปหาเธอให้ได้...

ขณะที่เดินออกจากตึกที่ทำงานอยู่ได้ไม่เกินสามก้าว ใบหน้าหวานแจ่มใสของแพทย์หญิงรุ่นน้องที่เพิ่งเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อนก็ปรากฏขึ้นในคลองสายตา

“บังเอิญจัง ผิงกำลังจะไปหาพี่เข้มอยู่พอดี” หญิงสาวบอก ทำให้เขาถึงกับนิ่งขึงไปชั่วขณะ เพราะนึกถึงสัญญาที่บอกกับอีกฝ่ายขึ้นมาได้ในตอนนั้นเอง

“วันนี้เราจะไปกินข้าวกันที่ร้านไหนดีคะ พี่เข้มคิดมาหรือยัง” เธอถามพร้อมเอียงคอเล็กน้อย ท่าทางดูน่าเอ็นดู

แต่เขมวันต์ไม่มีอารมณ์จะเอาอกเอาใจอีกฝ่ายในตอนนี้ “ยังเลย”

เพียงขวัญนิ่งอึ้งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามตรงๆ เสียงสั่นอยู่บ้าง “พี่เข้มติดเคสหรือคะ”

“ไม่ใช่...”

“งั้นมีอะไรหรือคะ”

กลายเป็นเขาที่อึกอักแทน ชายหนุ่มเลยได้แต่บอกตัวเองขณะลอบผ่อนลมหายใจยาวว่าต้องรักษาสัญญาที่ให้แก่อีกฝ่ายก่อน แล้วค่อยไปหาเดหลีที่กรุงเทพฯ

“ช่างเถอะ” เขมวันต์ตอบห้วนๆ “เย็นนี้ไปกินข้าวกับผิงก่อนก็ได้”

สีหน้าคนฟังเปลี่ยนเป็นสดชื่นขึ้นทันตาเห็น มือเรียวทั้งสองข้างของเธอเอื้อมมาเขย่าแขนเขาอย่างดีอกดีใจเหมือนเด็กตัวน้อย

“เย้...งั้นจะไปรถพี่เข้มหรือรถผิงดีคะ”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น