บทที่หนึ่ง
ฉันจะบอกความลับให้ฟังเรื่องหนึ่ง!
เธอเคยพบเจอคนรักหลายประเภท ทว่าไม่เคยพบเจอกับรักแท้เลย จากสาวน้อยไร้เดียงสาที่เจ็บปวดเสียใจอย่างแสนสาหัสเพราะความรักในตอนนั้น กลายมาเป็นหญิงสาวที่ด้านชากับทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่านี่เป็นของขวัญที่กาลเวลามอบให้ หรือเป็นเคราะห์กรรมของชีวิตกันแน่
1
ไฟในห้องส่งค่อยๆ สว่างขึ้นทีละดวงตามลำดับ
ห้องส่งแห่งนี้คำนึงถึงความสำคัญของรายละเอียดทุกสิ่งทุกอย่าง
ตากล้องจับขาตั้งกล้องไว้มั่น ทีมงานในส่วนควบคุมการออกอากาศเตรียมตัวพร้อมเรียบร้อย เด็กฝึกงานห้อยบัตรบริษัทวิ่งไปวิ่งมา และหัวหน้าที่ไม่มีทางปล่อยให้เนื้อหาของสคริปต์สำคัญในช่วงสุดท้ายมีคำผิด ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดที่ไม่ควรจะมีมากที่สุดโผล่มาให้เห็นเด็ดขาด
รองเท้าหนังเงาวับข้างหนึ่งยื่นออกมาจากมุมระเบียง ต่อมาไม่นานร่างสูงใหญ่จึงปรากฏให้เห็น ชายหนุ่มสวมสูทพอดีตัวกำลังเดินตรงมาด้วยท่าทางสบายๆ
รายการออกอากาศจนใกล้จะจบ ฉือซิ่นยืนนิ่งมาตลอด ก่อนหน้านี้เขายังมีใบหน้านิ่งไร้อารมณ์อยู่ แต่เพียงพริบตาเดียวก็สามารถปั้นหน้ายิ้มออกมาอย่างเป็นมืออาชีพได้ตรงตามไทมิงพอดี
“สวัสดีท่านผู้ชมทุกท่านครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่รายการ ‘ตีแผ่ชีวิตประชาชน’ นี่คือคุณหวังผู้อาศัยอยู่ในเมืองเขตตะวันตก ในช่วงนี้มีเรื่องรบกวนใจเขาอยู่เรื่องหนึ่ง...”
ฉือซิ่นชะงัก เมื่อมองผ่านกระจกใสทางด้านข้างเข้าไปเห็นห้องส่งได้ทุกซอกทุกมุม เขาเห็นเพียงถงเลี่ยงซึ่งเป็นพิธีกรชายนั่งอยู่หน้าเวทีกำลังพูดถึงข่าวใหม่ได้อย่างน่าฟัง ใช่แล้วละ เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่นี้คือเสียงของถงเลี่ยง ฉือซิ่นทำเพียงแค่ยืนอยู่ด้านนอกห้องส่งและขยับปากทำเป็นพูดตามเท่านั้น
ฉือซิ่นมองไปยังแท่นเวทีของพิธีกร แววตาแฝงความเศร้าสร้อย
เมื่อครั้งที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ เขารู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ งานแรกที่ได้ทำคือพิธีกรภาคสนามที่ลุยหาข่าวไปทุกที่ เขายังจำเช้าวันที่เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการได้อยู่เลย
หัวหน้าตบบ่าเขาแล้วพูดว่า ‘ตั้งใจทำงานล่ะ คุณผู้ดำเนินรายการตัวหลักในอนาคต’
คำพูดประโยคนี้สร้างแรงผลักดันให้เขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นับแต่นี้เป็นต้นไป ไม่ว่าจะมีปัญหาครอบครัวให้ต้องแก้ไข ถูกนางมารร้ายคนไหนขัดขวาง ถูกรถความเร็วสูงพุ่งชนจนเลือดไหลอาบไปยังสถานที่เกิดเหตุ หรือว่าต้องฝ่าพายุฝนขึ้นเขาเซียงซานเพื่อไปช่วยบรรเทาความทุกข์ยาก ช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านั้น เขาถือว่าเป็นประสบการณ์ที่จะช่วยให้เขากลายเป็นผู้ดำเนินรายการตัวหลักอย่างเป็นทางการได้
ทว่าหกปีให้หลังเขาก็ยังคงเป็นพิธีกรภาคสนามอยู่
นอกจากประสบการณ์ที่มีมากแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรอีกเลย การมีประสบการณ์มากถ้าจะให้พูดอีกนัยหนึ่งคืออายุมากแล้ว สำหรับสถานีโทรทัศน์ซึ่งเป็นสถานที่ที่ต้องการกลุ่มคนรุ่นใหม่อยู่ตลอดเวลา หากหน้าที่การงานไม่มีอะไรดีขึ้น คงทำได้เพียงรอให้ถูกลดความสำคัญลงไปเรื่อยๆ เท่านั้น
ความรู้สึกว่าถูกลดความสำคัญลงในช่วงนี้คือเมื่อไหร่กันนะ...ฉือซิ่นนึกออกแล้ว เมื่อวานนี้เอง หลังจากการประชุมจบลง หัวหน้าพูดกับพวกคนหนุ่มสาวที่เพิ่งเข้ามาใหม่ว่า ‘ตั้งใจทำงานล่ะ เหล่าผู้ดำเนินรายการตัวหลักในอนาคต’ หัวหน้าพูดได้ตรงประเด็นมาก หลายปีมานี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปสักอย่าง และมันทำให้ฉือซิ่นกระวนกระวายนิดหน่อย เมื่อพูดจบหัวหน้าก็ลุกออกไปจากห้องประชุมโดยไม่แม้แต่จะปรายตามองเขาด้วยซ้ำ
“มัวแต่ยืนเหม่ออะไรอยู่น่ะฉือซิ่น”
เสียงที่ดังขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยดึงเขาออกมาจากความคิดฟุ้งซ่าน
หัวหน้านั่นเอง
ฉือซิ่นรีบเรียกสติกลับมา “นัดหมายจิตรกรที่อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศสเพื่อสัมภาษณ์พิเศษในช่วงสิบโมงไว้เรียบร้อยแล้วครับ”
“งั้นให้คนอื่นไปแทนที” หัวหน้าหยิบไม้เซลฟีออกมาจากทางด้านหลัง ด้านบนมีโทรศัพท์มือถืออยู่ “เดี๋ยวนายมาทำไลฟ์ถ่ายทอดสดรอบพิเศษของถงเลี่ยง”
“ทำไมล่ะครับ”
“เพราะพวกนายสองคนสนิทกัน” หัวหน้าตอบคำถามเขา
หัวหน้าพูดแบบนี้คงจะทำตัวเรื่องมากไม่ได้แล้ว เขาคุ้นเคยกับถงเลี่ยงเป็นอย่างดี เขากับถงเลี่ยงจบการศึกษามาจากที่เดียวกัน แต่เขาจบก่อน ต่อมาจึงได้เป็นคนแนะนำให้ถงเลี่ยงมาฝึกงานที่สถานี พวกเขาฝ่าฟันช่วงเวลาที่ยากลำบากในการหาข่าวมาด้วยกัน ถงเลี่ยงที่รู้จักกันในนามของคนหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง ในวันนี้กลับ...
ฉือซิ่นไม่นึกลังเลอะไรอีก เขารับไม้เซลฟีมาพลางยิ้มและบอกว่า “หัวหน้าวางใจได้เลยครับ”
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป
ที่โรงเรียนสอนขับรถ นักเรียนกลุ่มหนึ่งที่มารอเรียนขับรถกำลังยืนอยู่ริมถนน ดวงอาทิตย์สาดแสงร้อนแรงอยู่บนศีรษะทำให้ผู้คนกระสับกระส่าย ติงเสี่ยวโหรวยืนอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น เธอเอาแต่จ้องถงเลี่ยงที่เท่ระเบิดในไลฟ์สดบนหน้าจอโทรศัพท์ อีกทั้งยังกดส่งของขวัญให้ไม่หยุด
มีคนส่งข้อความมา : พิธีกรหลักหล่อจังเลย แต่คนถามคำถามรู้สึกจะดูติงต๊องไปหน่อยนะ ขอติหน่อย
ติงเสี่ยวโหรวรีบส่งข้อความบ้าง : +1 ให้ความคิดเห็นข้างบน
“ติงเสี่ยวโหรว!”
เสียงดังก้องของครูฝึกลอยมาในขณะที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เธอสะดุ้ง รีบยกมือขึ้น
“อยู่นี่ อยู่นี่ค่ะ!”
ติงเสี่ยวโหรววิ่งเหยาะๆ ไปถึงหน้ารถเก่าซอมซ่อคันหนึ่งแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งด้านใน ครูฝึกไม่แม้แต่จะมองหน้าเธอ เขายกมือเปิดประตูทำท่าจะลงจากรถ
“ครูจะไม่ไปฝึกกับฉันเหรอคะ” ติงเสี่ยวโหรวถาม
“วันนี้ฝึกถอยหลังเข้าซอง เธอยึดตามทฤษฎีแล้วขับเองเลย”
ฟังออกได้อย่างชัดเจนว่าครูฝึกกำลังข่มอารมณ์โมโหไว้อย่างสุดความสามารถ พูดจบเขาก็ลงจากรถและปิดประตูดังปัง
ติงเสี่ยวโหรวรู้สึกผิดต่อครูฝึกนิดหน่อย เธอเห็นในอินเทอร์เน็ตว่าทุกคนพูดถึงครูฝึกคนนี้ในทางที่ดีมากจึงรีบจองตัวไว้ แรกเริ่มครูฝึกนั้นอ่อนโยนมาก ไม่ว่าเธอจะทำผิดพลาดยังไงก็ไม่เคยขมวดคิ้วใส่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะบอกเธอว่า ‘ทึ่ม’ ในทุกๆ เรื่อง ทว่าหลังจากทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครูฝึกก็ชักจะทนไม่ไหว เขาสงสัยจนถึงขั้นที่คิดว่าเธอเป็นคนที่คู่แข่งจ้างมาเพื่อทรมานตัวเองหรือเปล่าหนอ
‘เธอเชื่อมั้ยว่าถ้าแขวนกระดูกไว้ที่พวงมาลัย ขนาดหมายังขับรถได้เลยนะ’
ติงเสี่ยวโหรวนั่งโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ภายในรถ เธอได้แต่ปลอบให้ตัวเองใจเย็นๆ...ก็แค่ถอยหลังเข้าซองเองใช่มั้ยล่ะ เธอฝึกมานานขนาดไหนแล้ว จะไปยากอะไรนักหนา
เธอสตาร์ตเครื่อง หักเลี้ยวรถไปมือสั่นไป จากนั้นจึงเริ่มถอยรถเข้าไปในช่องว่าง เธอมองเห็นครูฝึกกำลังยืนกอดอกมองมาจากทางกระจกมองหลัง ในใจนึกประหม่าขึ้นมา และแล้วก็ใจหายวาบเมื่อเสียงร้องเตือนจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้นมา...เธอขับรถทับเส้น
แถมยังดังเตือนติดกันสามครั้งเลยด้วย
คราวนี้ครูฝึกทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาโยนสมุดบันทึกที่พกติดตัวมาด้วยลงบนพื้น พร้อมกับเดินตรงเข้ามาและตวาด “บอกไปกี่รอบแล้วว่าให้มองทางทั้งหกทิศไว้! เธอจะมองฉันทำไม!”
ติงเสี่ยวโหรวเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมตอนนั้นถึงทำแบบนั้น ในหัวของเธอกำลังตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
‘โอ๊ยๆ รีบออกไปจากตรงนี้ทีได้มั้ย ขายขี้หน้าจะตายอยู่แล้ว!’ เธอเหยียบคันเร่ง เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มก่อนที่รถจะทะยานออกไป!
กว่าครูฝึกจะตั้งสติได้ รถก็แล่นออกไปไกลมากแล้ว
ในช่วงที่กำลังชุลมุนวุ่นวาย ติงเสี่ยวโหรวโบกมือพลางตะโกนเสียงดัง “หลบไป หลบไป!”
ผู้คนต่างพากันวิ่งหลบให้วุ่น เหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้ทำให้ทั่วทุกที่ในโรงเรียนสอนขับรถเกิดบรรยากาศอึมครึมอย่างถึงที่สุด ในหัวของติงเสี่ยวโหรวขาวโพลนไปหมด วิชาการขับรถที่ร่ำเรียนมาทั้งหมดปลิวหายไปอยู่ตรงไหนก็ไม่อาจทราบได้ มิหนำซ้ำภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังผุดขึ้นมาในหัวเป็นฉากๆ
เธอเคยได้ยินใครต่อใครพูดอยู่หลายครั้งว่าคนเราตอนที่กำลังจะตายมักจะเห็นภาพเหตุการณ์สำคัญที่ผ่านมาทั้งหมดในชีวิตเหมือนกับเป็นหนังม้วนหนึ่ง เมื่อคิดได้ว่าครั้งนี้ตัวเองคงไม่รอดแน่ๆ เธอก็อดไม่ได้ที่จะเศร้าโศกเสียใจ เธอยังไม่อยากตาย รู้อย่างนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ที่แพงที่สุดมาซะก็ดี
รหัสบัตรเอทีเอ็มก็ยังไม่ทันได้บอกตู้ลี่ลี่ ถึงจะแทบไม่ได้ฝากเงินเลยก็เถอะ
ของขวัญวันเกิดของน้าชายก็ยังไม่ได้เตรียมไว้
ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน ตายๆ ไปซะก็ดี มีชีวิตอยู่ไปแล้วได้อะไรขึ้นมาล่ะ...ติงเสี่ยวโหรวคิด
รถยนต์ส่ายไปส่ายมาก่อนจะพุ่งเข้าไปในลานจอดรถ
พลันความรู้สึกแสนคุ้นเคยก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างอีกครั้ง เสียงโหวกเหวกโวยวายของผู้คนด้านหลังและเสียงตะโกนอย่างแหบแห้งของครูฝึกค่อยๆ ห่างไกลออกไปราวกับว่าลอยมาจากอีกมิติหนึ่ง...
ติงเสี่ยวโหรวเอนตัวไปทางด้านหลังจนร่างกายชนเข้ากับพนักพิงที่นั่งของคนขับแล้วหลับไปทั้งอย่างนั้น!
สุดท้ายพอตื่นขึ้นมา ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเธอคือใบหน้าของหวังเท่อ
หลังจากนั้นเสียงดังปึงก็ตามมา...ชนท้ายรถคนอื่นเข้าซะแล้ว
ความคิดเห็น |
---|