12

ตอนที่ 11

11

 

ติงเสี่ยวโหรวจงใจให้เจินเจิ้งนั่งรถไปกับชาช่า ฉือซานขับรถของตัวเอง ส่วนติงเสี่ยวโหรวนั่งรถไปกับฉือซิ่น อยู่ดีๆ ฉือซิ่นก็เริ่มไม่พอใจ

“พูดไว้ซะดิบดีว่าจะช่วยเขาตามหาคนที่ฟ้ากำหนดมาให้ แต่พอได้ยินเรื่องของกินก็ลืมหมดเลยนะ”

“นายช่วยใช้สมองบ้างได้มั้ย ลองคิดดีๆ สิว่าทำไมฉันถึงให้พวกเขาไปด้วยกัน”

“เธอกำลังหมายความว่าจะให้เจินเจิ้งคบกับเพื่อนสนิทเธอที่ชื่อชาช่าน่ะเหรอ” จู่ๆ ฉือซิ่นก็เงียบ แววตามีประกายบางอย่างฉายชัดขึ้นมา “เธอคิดว่าสองคนนั้นจะไปกันรอด?”

ติงเสี่ยวโหรวพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี

“มันเป็นลิขิตของฟ้าไงล่ะ งานมหกรรมการ์ตูนมีสาวสวยตั้งเยอะแยะ แต่กลับไม่มีวาสนาต่อกัน สุดท้ายคนที่ฟ้าส่งมาให้ดันเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ฉันจะบอกอะไรให้ฟังนะ สายตาที่ชาช่ามองเจินเจิ้งเมื่อกี้น่ะชัดเจนจะตายไป”

“พูดอีกก็ถูกอีก มียังดีกว่าไม่มี” ฉือซิ่นเออออตาม

ติงเสี่ยวโหรวหันกลับไปมองค้อนเขา “นายหมายความว่ายังไง นายคิดว่าเพื่อนนายหล่อมากเหรอ เมื่อกี้ฉันยังคิดอยู่เลยว่าทำไมเพื่อนของฉันถึงได้โชคร้ายขนาดนี้”

ฉือซิ่นรีบแก้ตัว “เธออย่าเพิ่งโกรธสิ ฉันแค่จะบอกว่าฉันไม่รู้จักเพื่อนเธอ เลยไม่รู้ว่านิสัยใจคอเป็นยังไง”

“ต้องให้นายมารู้จักด้วยเหรอ ถ้าเกิดสำเร็จมันก็มีแค่พวกเขาเท่านั้นที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกัน นายจะมาเป็นห่วงอะไร อีกอย่างนะ เธอสนิทกับฉันขนาดนี้ ยังจะต้องถามนิสัยใจคออีกหรือไง”

สิ่งที่ติงเสี่ยวโหรวไม่ชอบที่สุดคือการที่คนอื่นตั้งแง่ระแวงสงสัยเพื่อนสนิทของตัวเอง แค่พูดถึงเธอก็เตรียมจ้องเล่นงานคนคนนั้นแล้ว

“งั้นฉันยิ่งต้องเป็นห่วงเลย” ฉือซิ่นตอบกลับ

 “นายเป็นบ้าเหรอ!”

ทั้งคู่ทะเลาะกันมาตลอดทาง ในที่สุดก็ถึงร้านหม้อไฟของฉือซาน ความสัมพันธ์ของชาช่าและเจินเจิ้งพัฒนาไปไวมาก ตอนนี้เจินเจิ้งเป็นฝ่ายเสนอตัวถือกระเป๋าให้ชาช่าแล้ว

ประตูของร้านงดงามในสไตล์โบราณ ประดับประดาด้วยการแขวนโคมจีนสีแดงเข้ม บรรดาโต๊ะเก้าอี้ด้านในร้านทำมาจากไม้ทั้งหมด พนักงานและบริกรสวมเครื่องแบบเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสรอต้อนรับการมาถึงของลูกค้า นอกจากนี้ยังมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งกำลังนั่งพูดคุยกันพร้อมกับกินเมล็ดทานตะวันไปด้วยอยู่ทางด้านนอก

คนที่มาด้วยกันทั้งหมดนั่งลงที่โต๊ะอาหารทรงกลม ฉือซานบอกให้บริกรนำเมนูอาหารที่ยังไม่ได้นำออกขายมาให้ ด้านล่างของเมนูหม้อไฟหมาล่ายังมีตัวเลือกอีกสี่ตัวเลือกด้วยกัน ได้แก่ หม้อไฟ HELLO KITTY หม้อไฟมารุโกะ หม้อไฟลูกชายหัวโต และหม้อไฟไอรอนแมน

“คุณลูกค้าสามคนนี้ สนใจเมนูไหนก็เลือกได้เลยนะคะ” ฉือซานบอกอย่างเป็นมิตร

เจินเจิ้งดูเมนูอาหารและถามชาช่าอย่างสุภาพ “คุณชอบอันไหนครับ”

ชาช่าอมยิ้มเขินอาย “คุณสั่งเลยค่ะ”

ติงเสี่ยวโหรวถึงกับขนลุก ปกติแล้วยายนี่ไม่ใช่คนแบบนี้สักหน่อย

“งั้นให้เสี่ยวโหรวเป็นคนสั่งดีมั้ย” เจินเจิ้งบอก

“ถ้าอย่างนั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ ยังไงซะฉันก็เป็นผู้หญิง งั้นขอหม้อไฟไอรอนแมนหนึ่งที่ค่ะ” ติงเสี่ยวโหรวสั่ง

คนทั้งโต๊ะชะงักค้างเหมือนกลายเป็นหิน 

ฉือซานพูดพลางหัวเราะ “โอเค! นี่เป็นสูตรที่ฉันไปเรียนมาจากต่างเมือง แล้วนำมาปรับปรุงเป็นสูตรของตัวเอง เดี๋ยวพวกเธอลองชิมดูนะว่าอร่อยหรือไม่อร่อย ฉันยังต้องไปทำงานอย่างอื่นอีก ขาดเหลืออะไรให้บอกฉือซิ่นนะ!”

เมื่อฉือซานเดินจากไป ฉือซิ่นก็ลุกขึ้นบ้าง เขาอยากเปิดโอกาสให้ชาช่ากับเจินเจิ้งอยู่ด้วยกันตามลำพัง “ฉันจะไปหยิบน้ำจิ้มนะ มีใครอยากกินกระเทียมสับกับต้นหอมซอยบ้างมั้ย”

“ฉันไปด้วย” ติงเสี่ยวโหรวพูดบ้าง

ทว่าชาช่ากลับกดไหล่ให้เธอนั่งลงที่เดิม “เธอนั่งเถอะ เดี๋ยวฉันไปเอง”

ติงเสี่ยวโหรวนึกว่าสิ่งที่เรียกว่าหม้อไฟไอรอนแมนนั้นคือ หม้อไฟที่ถูกตกแต่งเป็นรูปไอรอนแมนบนน้ำซุป เมื่อถึงเวลาที่บริกรนำถาดวางและอาหารมาเสิร์ฟ เธอถึงได้รู้ บริกรนำเครื่องปรุงหมาล่าซึ่งถูกจัดแต่งเป็นรูปศีรษะของไอรอนแมนใส่ลงไปในน้ำซุปและรอให้มันค่อยๆ ละลาย

ชาช่าเดินกลับมาพร้อมกับถ้วยน้ำจิ้มสามถ้วย เธอตักมาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย ให้เจินเจิ้งอีกหนึ่งถ้วย ติงเสี่ยวโหรวยื่นมือออกไปหมายจะหยิบถ้วยน้ำจิ้มที่เหลือ ทว่าชาช่ากลับขวางเอาไว้

ชาช่ามองไปที่เจินเจิ้งด้วยสายตาอ่อนโยน “ฉันไม่รู้ว่าคุณชอบแบบไหน นอกจากน้ำจิ้มงาแล้ว ฉันยังตักน้ำมันงามาเผื่อด้วย”

ชาช่าพูดพร้อมกับยื่นน้ำจิ้มถ้วยที่สามให้เจินเจิ้ง

สีหน้าของเจินเจิ้งเต็มไปด้วยความสุข “คุณช่างแสนดีจริงๆ”

“ของฉันล่ะ” ติงเสี่ยวโหรวถาม

ในสายตาของชาช่าตอนนี้มีแต่เจินเจิ้ง “เธอไปหยิบเองสิ”

ขณะที่ติงเสี่ยวโหรวกำลังก่นด่าคนลืมบุญคุณอยู่ในใจ ฉือซิ่นก็ยื่นน้ำจิ้มงาถ้วยหนึ่งมาให้ เขาไม่ได้มองหน้าเธอ เพราะกำลังง่วนอยู่กับการผสมเครื่องปรุงของตัวเอง

ติงเสี่ยวโหรวรู้สึกว่าบางครั้งอีตานี่ก็มีมุมที่อ่อนโยนอยู่เหมือนกัน

บรรดาเนื้อและผักต่างๆ ยังคงถูกนำมาเสิร์ฟอย่างต่อเนื่อง หญิงสาวสวมชุดสูทผู้เป็นหัวหน้าบริกรเป็นคนมาตักฟองบนน้ำซุปทิ้งให้พวกเขาด้วยตัวเอง

หัวหน้าบริกรหันมาคล้ายจะเข้าไปแทรกตรงกลางระหว่างชาช่ากับเจินเจิ้ง ชาช่าเห็นอย่างนั้นจึงลุกยืนขึ้นและรับกระบวยตักน้ำซุปมาจากอีกฝ่าย “คุณไปได้เลยนะคะ เดี๋ยวฉันจัดการเองค่ะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ เจ้านายบอกให้ฉันมาดูแลพวกคุณ” หัวหน้าบริกรพูดพร้อมกับยิ้ม

“ไม่ต้องหรอกค่ะ จริงๆ นะคะ!” ชาช่าบอกด้วยท่าทางจริงจัง “ตอนนี้พวกเรากำลังคุยเรื่องส่วนตัวกันอยู่น่ะค่ะ”

“งั้นก็ได้ค่ะ ถ้าพวกคุณต้องการอะไร เรียกฉันได้ตลอดเวลาเลยนะคะ” หัวหน้าบริกรทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมเดินจากไปในที่สุด

ฉือซิ่นคีบเนื้อลงไปในหม้อพลางเอ่ยถามชาช่า “คุณทำงานอะไรเหรอครับชาช่า”

“เมื่อกี้ชาช่าบอกฉันบนรถว่าเธอเป็นหมอ หลักๆ ก็คือทำงานเกี่ยวกับการขริบหนังหุ้มอวัยวะเพศชายของพวกเรา” เจินเจิ้งเป็นคนตอบแทน

ชาช่ายื่นนามบัตรให้ฉือซิ่น “ถ้าเกิดว่าคุณอยากทำ ติดต่อฉันมาได้เลยนะคะ”

ฉือซิ่นทำตัวไม่ถูก เขายื่นนามบัตรให้เจินเจิ้ง “นายเก็บไว้เถอะ”

“ฉันไม่ได้ใช้หรอก!” เจินเจิ้งส่งคืนให้เขา

ชาช่ายื่นนามบัตรอีกใบให้เจินเจิ้ง “ไม่ต้องเกี่ยงกันค่ะ ฉันยังมีอีก”

ติงเสี่ยวโหรวยกมือปิดปากหัวเราะ แล้วมองฉือซิ่นกับเจินเจิ้งซึ่งทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกจนเกือบจะยกมือขึ้นมาทุบโต๊ะ

หม้อไฟมีรสชาติอร่อยเกินความคาดหมาย

ติงเสี่ยวโหรวรู้สึกดีใจที่เลือกหม้อไฟชุดนี้มา อาหารหนึ่งมื้อก่อให้เกิดคู่รักขึ้นมาหนึ่งคู่ เธอรู้สึกว่าฉือซิ่นพูดถูก ความรักไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายาม คนบนฟ้าเป็นคนกำหนดมาให้หมดแล้ว หากลิขิตให้คนสองคนเกิดมาเป็นคู่กัน ต่อให้เวลาและสถานที่จะหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปแค่ไหน ยังไงก็ต้องได้พบกันอยู่ดี

ตอนนี้ในดวงตาของทั้งสองคนมีแค่กันและกัน...เธอคีบลูกชิ้นให้ฉัน ฉันคีบเต้าหู้แผ่นให้เธอ

เมื่อกินหม้อไฟกันไปได้ครึ่งหนึ่ง ติงเสี่ยวโหรวก็แอบมองเวลา เตรียมตัวจะกลับ...ครบสามวันแล้ว คำสาปยังคงมีอยู่จริง

“ฉันกับฉือซิ่นมีธุระต่อ...”

เดิมทีติงเสี่ยวโหรวยังอยากจะพูดอะไรต่อไปอีกนิดหน่อย ทว่าชาช่ากับเจินเจิ้งตอบกลับมาแบบไม่ติดใจเลยสักนิด 

“โอเค บ๊ายบาย”

เธอยกมือสะกิดฉือซิ่น ทั้งสองคนออกมาจากร้านหม้อไฟ พอถึงหน้าประตู ฉือซานก็ตามออกมายัดถุงหิ้วใส่มือติงเสี่ยวโหรว “นี่เป็นหม้อไฟสองชุด ถึงจะอยู่บ้านก็เหมือนได้มากินที่ร้านเลยละ!”

“พี่ฉันให้เธอน่ะ รับไว้เถอะ” ฉือซิ่นบอก

ติงเสี่ยวโหรวเองก็ไม่แสดงท่าทีเกรงอกเกรงใจเหมือนตอนแรก เธอรับถุงมาถือไว้ ทั้งสองคนเดินไปที่ลานจอดรถด้วยกัน

“อยากระบายอะไรฉันฟังบ้างมั้ย” จู่ๆ ฉือซิ่นก็ถามขึ้นมา

“พูดตรงๆ ก็ผิดหวังนิดหน่อยที่คำสาปยังคงมีอยู่ แต่ถ้าวันนี้ฉันไม่ทำอะไรเลยคงจะผิดหวังยิ่งกว่า ฉันดูเป็นคนย้อนแย้งดีเนอะ” ติงเสี่ยวโหรวหยุดคิด ก่อนจะพูดต่อ “แต่ถึงฉันไม่ช่วย เขาก็ต้องได้พบเจอกับรักแท้อยู่ดีนั่นแหละ การปรากฏตัวของชาช่าเป็นคำตอบของทุกอย่างแล้ว”

“เธอเองก็มีโอกาสหารักแท้เจอเหมือนกัน” ฉือซิ่นบอก

เวลาที่เขายิ้ม มุมปากของเขาจะคลี่ออกกว้าง ดูแล้วน่ามองเป็นอย่างมาก เหมือนกับสมัยเป็นนักเรียนไม่มีผิด...ติงเสี่ยวโหรวคิด เดิมทีเธอคิดจะติดรถฉือซิ่นไปด้วย ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะได้นั่งลงบนเบาะรถให้ดี ก็ได้รับข้อความทางวีแชตจากชาช่าว่า 

ไปรอฉันที่ซูเปอร์มาร์เกตฝั่งตรงข้ามร้าน อีกห้านาทีเจอกัน ถ้าฉันไปถึงแล้วไม่เจอเธอ เธอเตรียมตัวตายได้เลย

ติงเสี่ยวโหรวมองถนนฝั่งตรงข้าม ที่นั่นมีเซเว่นอีเลฟเว่นเล็กๆ อยู่ เธอจึงหันไปบอกฉือซิ่น “ฉันอยากแวะซื้อของสักหน่อย นายไปก่อนเลย”

ด้วยเหตุนี้ฉือซิ่นจึงขับรถกลับไปคนเดียว

 

สิบห้านาทีต่อมา ติงเสี่ยวโหรวก็ขึ้นมานั่งอยู่บนรถของชาช่า

“เจินเจิ้งล่ะ” ติงเสี่ยวโหรวถาม

“คงจะไปแล้วเหมือนกันละมั้ง” ชาช่าตอบในขณะที่ขับรถไปด้วย

“เธอไม่ไปกับเขาเหรอ” ติงเสี่ยวโหรวถาม

“ฉันจะไปกับเขาทำไม” ชาช่าตอบ “ฉันไม่ได้ชอบเขาสักหน่อย”

“เธอไม่ได้ชอบเขางั้นเหรอ งั้นเมื่อกี้เป็นอีกร่างหนึ่งของเธอหรือไง ทั้งไปหยิบน้ำจิ้มให้ ทั้งคีบลูกชิ้นให้ ขาดแต่จูบกันต่อหน้าธารกำนัลเท่านั้นเอง” ติงเสี่ยวโหรวถึงกับงง

“ฉันทำเพื่อเธอทั้งนั้น” ชาช่าบอก “ฉันต้องคิดวิธีมาขัดขวางไม่ให้เจินเจิ้งหาแฟนได้ภายในสามวันยังไงล่ะ!”

“ที่แท้เธอแกล้งทำเป็นชอบสินะ!” ติงเสี่ยวโหรวถึงบางอ้อ มิน่าล่ะ เมื่อกี้ตอนที่อยู่ในร้านชาช่าถึงได้กันท่าหัวหน้าบริกรสาวสวยคนนั้น เป็นเพราะกลัวว่าเจินเจิ้งจะตกหลุมรักอีกฝ่ายนั่นเอง

“ฉันไม่สนใจคนอื่นหรอกนะ ฉันสนแค่ความสุขของเธอเท่านั้นแหละ” ชาช่ายังคงพูดต่อ “เธอไม่คิดบ้างหรือไงว่าถ้าอีตาเจินเจิ้งนั่นหารักแท้เจอ ก็เท่ากับว่าคำสาปของเธอยังคงอยู่ คนที่จะซวยก็คือเธอไม่ใช่หรือไง”

“แล้วเธอบอกเจินเจิ้งไปว่ายังไง”

“ก็แค่บอกความจริงไป ฉันบอกว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ฉันไม่ได้ใจกว้างขนาดนั้น ถ้าให้เลือกระหว่างคนแปลกหน้ากับเพื่อนสนิท ฉันเลือกเพื่อนสนิทอย่างไม่ลังเลอยู่แล้ว” ชาช่าบอก

“แต่ดูเหมือนว่าเจินเจิ้งจะชอบเธอเข้าแล้วนะ ทำยังไงดี...” พอคิดถึงตรงนี้ ติงเสี่ยวโหรวก็เริ่มตำหนิตัวเอง

ชาช่ายิ้ม “ไม่ต้องห่วง เขาไม่ได้สนใจฉันหรอก ฉันพูดแบบนี้กับเจินเจิ้งตอนที่ไปที่ร้าน นึกไม่ถึงเลยว่าเจินเจิ้งจะยอมร่วมมือกับฉัน”

“ทำไมเขาถึงทำแบบนั้นล่ะ” ติงเสี่ยวโหรวไม่เข้าใจ

“เจินเจิ้งไม่เชื่อเรื่องคำสาปอะไรนั่นมาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะฉะนั้นเขาเลยไม่ได้สนใจจุดประสงค์ของฉัน เจินเจิ้งบอกว่าฉันเป็นเพื่อนสนิทของเธอ ฉือซิ่นเองก็เป็นเพื่อนสนิทของเขา เขาไม่อาจทำให้เพื่อนสนิทผิดหวังได้ แม้จะแค่มากินหม้อไฟอย่างมีความสุขเพียงหนึ่งมื้อก็ยังดี” ชาช่าพูด

“ตอนนี้มีแค่ฉือซิ่นคนเดียวยังไม่รู้เรื่อง ฉันจะบอกเขายังไงดี” ติงเสี่ยวโหรวไม่สบายใจ

“โอ๊ย คิดเยอะนี่เหนื่อยบ้างมั้ย” ชาช่าหัวเราะ “ยินดีด้วยนะเสี่ยวโหรว คำสาปไม่มีจริงอีกต่อไปแล้วละ!”

ติงเสี่ยวโหรวมองดูความขวักไขว่วุ่นวายของถนนเบื้องหน้า...ให้ตายก็ไม่ดีใจเลยสักนิด

 

ตกเย็น สองพี่น้องตู้ลี่ลี่และตู้ลี่หมิงมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในเรื่องของ ‘หม้อไฟลูกชายหัวโต’

“นี่มันหม้อไฟแฟนตาซีชัดๆ หม้อไฟต้องรสชาติดีสิถึงจะถูก ใส่ของเด็กเล่นลงไปในหม้อแบบนี้ ดูแล้วเหมือนกับกำลังต้มเด็กตัวเล็กๆ อยู่เลย”

ทว่าตู้ลี่หมิงกลับคิดอีกแบบ “การออกแบบหม้อไฟเป็นแบบนี้แสดงว่าเจ้าของร้านต้องเป็นพวกมีรสนิยมที่ดีแน่ๆ”

ตู้ลี่ลี่ไม่เห็นด้วย ตู้ลี่หมิงจึงพูดต่อ “คนเราน่ะนะ ถึงจะใช้ชีวิตตามใจตัวเองไม่ได้ แต่ยังไงก็ต้องมีความต้องการของตัวเอง อย่างเช่นผมที่ชอบถักไหมพรม หรือจะอย่างพี่ที่ชอบหาแฟนรวยๆ นี่มันเป็นงานอดิเรกของมนุษย์อย่างเรา ใช่มั้ยล่ะ”

“ไสหัวไปเลย” ตู้ลี่ลี่ไล่

ติงเสี่ยวโหรวไม่มีอารมณ์จะไปเถียงกับพวกเขา เธอเอาแต่คิดถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวัน คิดซ้ำไปซ้ำมา เธอกลับไปที่ห้องก่อนจะตัดสินใจโทร. หาฉือซิ่น ทว่าแค่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ฉือซิ่นก็เป็นฝ่ายโทร. มาหาก่อนแล้ว

“ฮัลโหล” ติงเสี่ยวโหรวรู้สึกเหมือนมีชนักติดหลัง

“ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอ” ฉือซิ่นบอก

“ฉันก็เหมือนกัน” ติงเสี่ยวโหรวลังเลอยู่พักหนึ่ง “ให้ฉันเป็นคนพูดก่อนนะ”

“เจินเจิ้งบอกฉันหมดแล้ว”

“เขาบอกว่ายังไง” ติงเสี่ยวโหรวถาม

“เขาบอกว่าเขาไม่ได้ชอบชาช่า ที่ทำเป็นรักเป็นชอบก็เพราะไม่อยากให้ทุกคนหมดอารมณ์ในการกิน” และฉือซิ่นก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย “ขอโทษนะ”

“ไม่ใช่สิ ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษนาย” ติงเสี่ยวโหรวบอกเขา

“ทำไม”

“เจินเจิ้งไม่ได้บอกอย่างอื่นกับนายเหรอ เขาไม่ได้พูดถึงคำพูดของชาช่าเหรอ”

“บอกแล้ว บอกว่าความจริงชาช่าก็ไม่ใช่คนไม่ดี เพียงแค่เขากับชาช่าไม่ได้รู้สึกอะไรต่อกัน เขายังบอกอีกนะว่าเธอโชคดีที่มีเพื่อนที่ยอมทำเพื่อเธอมากขนาดนี้” ฉือซิ่นพูด

“เจินเจิ้งเป็นคนดีนะ” ติงเสี่ยวโหรวพูดออกมาเป็นประโยคสุดท้าย

ความจริงแล้วเธออยากจะอธิบายกับฉือซิ่นให้ชัดเจน ทว่ายังคิดไม่ตก แม้บอกว่าเรื่องของพรหมลิขิตไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาอย่างเธอจะมาจัดการควบคุมได้ ทว่าติงเสี่ยวโหรวคิดอยู่ตลอดเวลาว่าถ้าหากไม่ใช่เพราะตัวเองกับชาช่าก่อเรื่องไว้ ไม่แน่วันนี้เจินเจิ้งอาจจะได้พบกับคนที่เหมาะสมกับเขาก็เป็นได้

ติงเสี่ยวโหรวล้มตัวนอนลงบนเตียง นึกย้อนกลับไปถึงบรรดาแฟนเก่าของตัวเอง ความทรงจำดีๆ หลายอย่างเริ่มเลือนรางจืดจาง และบางสิ่งบางอย่างก็ถูกลืมไปหมดแล้ว ทว่าทั้งหมดไม่ได้มีผลอะไรต่อเธออีกแล้ว ในเมื่อคำสาปไม่มีอยู่อีกต่อไป ไดอะรีปกผ้าสักหลาดเล่มนั้นก็ไม่จำเป็นต้องบันทึกอะไรลงไปอีกต่อไปเช่นกัน บรรดาชื่อของคนพวกนั้นก็ปล่อยให้มันลบเลือนไปตามกาลเวลาก็แล้วกัน เช่นเดียวกับช่วงเวลาตอนเลิกกันที่ทำให้เธอเจ็บปวดเหล่านั้น... 

แล้วจู่ๆ ติงเสี่ยวโหรวก็ลุกพรวดพราดขึ้นมา ดวงตาเบิกกว้าง ความรู้สึกบางอย่างถาโถมเข้าในใจของเธอ จากประสบการณ์ความรักที่ผ่านมา อีกฝ่ายมักจะเป็นคนขอเลิกก่อนเสมอ ยกเว้นแต่...

ติงเสี่ยวโหรวรวบรวมสติ พยายามคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ไปออกเดตกับเจินเจิ้งเมื่อสามวันก่อน...ใช่แล้ว ในการออกเดตครั้งสุดท้ายนั้น เธอเป็นฝ่ายขอเลิกกับเจินเจิ้งก่อน เพราะเหตุนี้หรือเปล่าทุกอย่างถึงได้ผิดเพี้ยนไปหมด ถ้าเธอทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้วปล่อยผ่านไปจะเป็นยังไง เจินเจิ้งจะไม่ได้พบเจอกับรักแท้ และคำสาปที่ติดตัวเธอมาก็จะพิสูจน์ไม่ได้ว่าไม่มีอยู่อีกต่อไป

ไม่สนแล้ว ติงเสี่ยวโหรวลุกขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว เธอตัดสินใจแล้วว่าจะไปหาเจินเจิ้ง

ปลายสายอย่างฉือซิ่นตกใจน้ำเสียงและท่าทีของติงเสี่ยวโหรว

“บอกที่อยู่ของเจินเจิ้งมาเดี๋ยวนี้” ติงเสี่ยวโหรวไม่พูดพร่ำทำเพลง

จิตใต้สำนึกของฉือซิ่นบอกว่าติงเสี่ยวโหรวต้องการจะไปคิดบัญชีกับเจินเจิ้ง เพราะอีกฝ่ายเห็นความรู้สึกชาช่าเป็นของเล่น เขานึกขึ้นได้ว่าตอนกินข้าวกันติงเสี่ยวโหรวบอกว่า ‘ชาช่าเป็นคนในครอบครัวของฉัน ใครกล้ามารังแกเธอ ฉันจะเอาน้ำแกงเผ็ดๆ ในหม้อนี้กรอกปากเขาให้ดู!’

พอจินตนาการภาพติงเสี่ยวโหรวที่กำลังโกรธจัดและยกหม้อน้ำแกงที่กำลังเดือดปุดๆ ขึ้นมาด้วยท่าทางโหดเหี้ยมแล้ว เขาก็นึกกลัวขึ้นมา

“เธอจะทำอะไร อย่าเพิ่งวู่วามได้มั้ย” ฉือซิ่นเกลี้ยกล่อม

“นายจะบอกหรือไม่บอก ถ้านายไม่บอกฉันจะได้ไปถามชาช่า” ติงเสี่ยวโหรวหมดความอดทน

“ก็ได้ เดี๋ยวฉันส่งให้” สุดท้ายฉือซิ่นก็ไม่มีทางเลือก “เธออย่าทำอะไรวู่วามนะ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากัน!”

ติงเสี่ยวโหรวไม่รอให้เขาพูดจบ เธอกดวางสาย

 

เจินเจิ้งอาศัยอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์เก่าๆ อายุหลายสิบปี ตอนที่ติงเสี่ยวโหรวมาถึงก็เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว เธอยืนอยู่หน้าประตูห้องของเจินเจิ้ง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเคาะประตู

ด้านในไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา

ติงเสี่ยวโหรวออกแรงเคาะประตูมากกว่าเดิม ผ่านไปครู่หนึ่งก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาเช่นเดิม สุดท้ายจึงต้องหยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสายหาเจินเจิ้ง เธอได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังลอดออกมาจากข้างใน ทว่ายืนรอจนสัญญาณตัดไปก็ยังไม่มีคนรับสาย

ลางสังหรณ์ไม่ดีเริ่มผุดขึ้นมาในความคิดของเธอ เธอรู้ว่าช่วงนี้เจินเจิ้งมีอาการซึมเศร้ามาตลอด และมันยิ่งหนักข้อขึ้นทุกวัน เท่าที่ฟังมาจากฉือซิ่น เธอรู้แค่ตอนกลางคืนเจินเจิ้งจะเล่นเกมอยู่ที่ห้อง ยิ่งเวลาแบบนี้เขาไม่มีทางออกไปข้างนอกแน่ๆ พูดง่ายๆ ก็คือเวลานี้เขาจะต้องอยู่ในห้อง...แต่ทำไมเขาถึงไม่รับโทรศัพท์

ความคิดที่น่ากลัวลอยเข้ามาอีกหน ติงเสี่ยวโหรวนึกได้ว่าเมื่อตอนกลางวันที่ไปกินข้าวด้วยกัน เจินเจิ้งดูมีความสุขมาก เขายกแก้วเหล้าขึ้นมาชนกับฉือซิ่นอยู่หลายครั้ง อีกทั้งยังบอกชาช่าว่าเขาเป็นพวกที่พยายามใช้เวลาอยู่กับเพื่อนให้คุ้มค่ามากที่สุด

จากการคาดเดาสรุปออกมาได้ว่า เจินเจิ้งไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!

ติงเสี่ยวโหรวออกแรงทุบประตูห้อง “เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะเจินเจิ้ง!”

ไม่นาน ประตูห้องของเพื่อนบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งได้ยินเสียงทุบประตูก็เปิดออก อีกฝ่ายขมวดคิ้วมองมาแต่ไม่ได้พูดอะไร ติงเสี่ยวโหรวรีบบอกพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น “คุณปู่คะ คนที่อยู่ข้างในเขากำลังจะฆ่าตัวตาย เขาเป็นเพื่อนของหนูเองค่ะ คุณปู่ช่วยหนูคิดหน่อยสิคะว่าจะทำยังไงดี!”

พอได้ยินอย่างนั้น เพื่อนบ้านจึงรีบออกมาช่วยทุบประตู ทว่าก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับมาอีกเช่นเคย ในขณะเดียวกัน เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

ชายชราเองก็ร้อนใจ “ฉันว่านะ เจ้าเด็กนี่ทำงานเกี่ยวกับการจดทะเบียนสมรส วันๆ เห็นแต่คู่รักมาจดทะเบียนกัน แต่ตัวเองยังโสด ถ้าไม่คิดอะไรสิแปลก”

คำพูดของชายชรายิ่งยืนยันได้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดเป็นเรื่องจริง ติงเสี่ยวโหรวเอ่ยถาม “คุณปู่คะ ที่ห้องมีขวานมั้ยคะ”

คำพูดนี้ทำให้เพื่อนบ้านได้สติ เขารีบกลับเข้าไปหาอุปกรณ์ที่ห้องของตัวเอง

ติงเสี่ยวโหรวต่อสายหาฉือซิ่นอีกครั้ง ส่วนทางฝั่งฉือซิ่นก็ต่อสายหาเจินเจิ้งเพราะกลัวติงเสี่ยวโหรวจะไปหาเรื่อง ทว่ากลับไม่มีคนรับสาย พอติงเสี่ยวโหรวโทร. เข้ามา ฉือซิ่นจึงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเจินเจิ้ง เขารีบกดรับโดยไม่ทันดูชื่อ “ฟังให้ดีนะ ติงเสี่ยวโหรวกำลังไปหานาย นายห้ามเปิดประตูให้เธอก่อนที่ฉันจะไปถึงเด็ดขาด!”

“ฉันนี่แหละติงเสี่ยวโหรว” ติงเสี่ยวโหรวบอก “เจินเจิ้งไม่รับโทรศัพท์ ฉันกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา!”

เพื่อนบ้านถือขวานออกมา เขายกมือขึ้นสุดแขนแล้วทุบลงไปอย่างแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งชั้น บรรดาเพื่อนบ้านทั้งหลายต่างโผล่หน้าออกมาดูว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น

บางคนบอกว่า “ผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนเขาเหรอ อาจจะทะเลาะกันจนถึงขั้นเลิกรากันแล้วผู้ชายคงคิดสั้นละมั้ง”

อีกบางคนพูดว่า “ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ งั้นที่นี่ก็กลายเป็นบ้านผีสิงน่ะสิ แล้วราคาห้องพักจะเป็นยังไง ใครจะมาซื้อล่ะ!”

คำพูดนี้ทำให้ทุกคนเออออตามไปด้วย มีคนหนุ่มสาวที่เป็นเจ้าของห้องพักออกมาดึงขวานไปถือไว้ก่อนจะเปลี่ยนกันมาทุบประตูคนละทีสองที หลังจากเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมขึ้น ในที่สุดประตูก็เปิดออก

ติงเสี่ยวโหรวผลักประตูเข้าไปด้านใน

ในเวลานี้ติงเสี่ยวโหรวนึกถึงภาพเจินเจิ้งซึ่งกำลังกินยานอนหลับ หรือไม่ก็ได้กลิ่นคาวเลือดจากการกรีดข้อมือ ทว่าเมื่อเธอและบรรดาเพื่อนบ้านที่เข้ามาพร้อมกันช่วยกันหาทุกซอกทุกมุม ทั้งในห้องนอนและห้องน้ำ กลับไม่พบวี่แววของเจินเจิ้ง

คนทั้งห้องตกตะลึง เพื่อนบ้านหลายคนเริ่มส่งเสียงพูดคุยกันว่านี่ถือเป็นการบุกรุกพื้นที่ของคนอื่นหรือเปล่า บางคนเริ่มถามว่าใครเป็นคนจับขวานเป็นคนแรก 

ชายชราได้สติ เขาเอ่ยถามติงเสี่ยวโหรว “แม่หนู ฉันขอดูบัตรประชาชนของเธอหน่อยสิ”

ขณะเดียวกัน เสียงตื่นตระหนกตกใจตรงทางเดินก็ดังขึ้น 

“เขากลับมาแล้ว!”

เจินเจิ้งสวมเสื้อกล้ามสำหรับออกกำลังกายกับกางเกงขาสั้นมีเหงื่อท่วมตัวเดินตรงมาทางฝูงชน ก่อนจะพบว่าตัวล็อกประตูห้องของตัวเองถูกทุบจนพังไม่เหลือชิ้นดี เขารีบเดินเข้าไปด้านในและเห็นเพื่อนบ้านหลายคนกำลังยืนล้อมติงเสี่ยวโหรวอยู่

“เจ้าหนุ่ม แม่หนูคนนี้บอกว่านายจะฆ่าตัวตาย พวกเราถึงได้บุกเข้ามาแบบนี้” ชายชราพูด คนอื่นจึงตามน้ำไปด้วย

เจินเจิ้งคิดแล้วคิดอีก ก็คิดไม่ออกว่าทำไมติงเสี่ยวโหรวถึงโผล่มาอยู่ที่นี่ และยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงคิดว่าเขาจะฆ่าตัวตาย

ผู้หญิงคนนี้ป่วยทางจิตหรือสมองมีปัญหาหรือเปล่านะ

มีใครคนหนึ่งในบรรดาเพื่อนบ้านเอ่ยขึ้น “คุณรู้จักผู้หญิงคนนี้มั้ย ถ้าไม่รู้จักพวกเราจะได้จับเธอไปส่งตำรวจ!”

“เธอเป็นเพื่อนผมเอง” เจินเจิ้งบอก

ติงเสี่ยวโหรวถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอทำให้บ้านของเขาเป็นแบบนี้เลยกลัวเขาจะพูดว่า ‘ยายนี่เป็นใคร’ ถ้าเป็นอย่างนั้นละยุ่งแน่ๆ

แม้ติงเสี่ยวโหรวจะรู้สึกผิดก็ยังอดถามไม่ได้ “คุณออกไปข้างนอกทำไมไม่รู้จักพกโทรศัพท์ล่ะ”

เจินเจิ้งชี้ตัวเองที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่อ “ผมไปวิ่งมา ไม่สะดวกถือโทรศัพท์ไปด้วย”

“ดึกขนาดนี้แล้วยังจะไปวิ่งอีก! เมื่อก่อนตอนกลางคืนคุณก็อยู่แต่ในบ้านไม่ใช่หรือไง!” ติงเสี่ยวโหรวถามเสียงดัง

“คุณไม่ใช่เหรอที่เป็นคนบอกให้ผมไปวิ่งรอบสนามน่ะ ฝั่งตรงข้ามของอะพาร์ตเมนต์มีโรงยิมอยู่ ผมไปวิ่งวันละสิบรอบตามที่คุณบอกทุกคืน”

ติงเสี่ยวโหรวนึกได้ว่าเธอเคยบอกเจินเจิ้งถึงวิธีตามหารักแท้ เดิมทีเธอคิดจะผลักภาระที่เธอ ‘บุกเข้ามา’ ไปให้เจินเจิ้ง ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะตอบแทนเธอกลับมาด้วยความดีงามเช่นนี้

“คุณมาหาผมมีธุระอะไรหรือเปล่า” เจินเจิ้งถามเธอ

และนี่ทำให้ติงเสี่ยวโหรวนึกถึงจุดประสงค์ของตัวเองขึ้นมาได้ “รีบพูดกับฉันว่า ‘เราเลิกกันเถอะ’ เร็วเข้า!”

“เราเลิกกันแล้วไม่ใช่เหรอ” เจินเจิ้งถาม

ติงเสี่ยวโหรวอ่านสายตาของเจินเจิ้งออกว่าเขากำลังสงสัยว่าเธอเป็นโรคจิตหรือเปล่า แต่เธอไม่มีเวลามากพอจะมาสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว

ติงเสี่ยวโหรวจับแขนเจินเจิ้งไว้พร้อมกับบอกเสียงดัง “คุณต้องเป็นฝ่ายบอกเลิกก่อน! เดี๋ยวนี้! ตอนนี้!”

ทุกคนในห้องอึ้งไป

“เราเลิกกันเถอะ” ในที่สุดเจินเจิ้งก็พูดออกมา

พอได้ยินคำนี้ ติงเสี่ยวโหรวก็เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก เธอพ่นลมหายใจออกมา และตอบกลับว่า “ตกลง”

ทันใดนั้นฉือซิ่นพุ่งเข้ามาในห้องรับแขก ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้เขาได้แต่ยืนทำอะไรไม่ถูก

ติงเสี่ยวโหรวโบกมือให้เขาด้วยท่าทางเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง “นายมาแล้วเหรอ”

วินาทีถัดมา เธอก็หมดสติล้มลงกับพื้นทันที

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น