11

ตอนที่ 10

10

 

ย่างเข้าวันที่สามแล้ว ในตอนเช้า เมื่อติงเสี่ยวโหรวออกจากหน้าประตูคอนโดก็เจอฉือซิ่นที่มารออยู่ก่อนแล้ว

“มีความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องของเจินเจิ้งบ้างมั้ย” ติงเสี่ยวโหรวเดินตรงมาหาพร้อมกับเอ่ยถาม

ฉือซิ่นส่ายหัว “เธอพอจะมีเวลาบ้างมั้ย ไปกินข้าวเช้ากัน”

ติงเสี่ยวโหรวมองเวลาในโทรศัพท์ “ไปสิ”

วันนี้เป็นวันเสาร์ ทั้งสองคนจึงหาร้านอาหารที่อยู่ใกล้ที่สุด

หลังจากวันที่ไปออกเดต เจินเจิ้งยังคงไปทำงานตามปกติ ในใจของเขากำลังเฝ้าคอยอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ เวลามีผู้หญิงหน้าตาดีแวะเวียนมาทักทาย เขามักจะแอบเดาอยู่ในใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ฟ้าส่งมาให้เขาหรือไม่ ทว่าสองวันผ่านไปกลับไม่มีวี่แววว่าจะเกิดเรื่องราวความรักขึ้นเลยสักนิด

พอมานั่งทำความเข้าใจชีวิตของเจินเจิ้งช่วงสองวันที่ผ่านมาอย่างละเอียด ติงเสี่ยวโหรวก็เกิดอาการนั่งไม่ติด

“ทำแบบนั้นจะไปสำเร็จได้ยังไง!” ติงเสี่ยวโหรวเริ่มโวยวาย “เขาไปทำงานตอนเจ็ดโมงครึ่งทุกวัน เอาแต่ใส่หูฟัง ไม่มีมนุษยสัมพันธ์กับคนอื่น คนที่พบเจอตอนทำงานก็มีแต่พวกที่จะมาเซ็นใบหย่า มีผู้หญิงคนไหนบ้างล่ะที่เพิ่งทำเรื่องหย่าแล้วคิดจะมีความรักครั้งใหม่เลย หลังจากเลิกงานก็ตรงกลับบ้าน แล้วก็ยังใส่หูฟังตลอดเหมือนเดิม แค่ผู้หญิงจะชวนคุยยังรู้สึกว่าลำบาก เข้านอนตรงเวลาตอนสามทุ่ม ถามหน่อยว่าเขาเป็นคนโบราณเหรอ! เข้าห้องน้ำตอนกลางคืนยังต้องจุดเทียนอยู่หรือเปล่า เขาทำตัวแบบนี้ไม่มีทางที่จะหาแฟนได้หรอก”

ท่าทีของฉือซิ่นกลับสงบนิ่ง “แล้วพวกแฟนเก่าของเธอล่ะ หลังจากที่เลิกกันไปแล้วพวกเขาทำอะไร”

“ไม่เหมือนกันหรอก บางคนก็หาแฟนใหม่ได้ก่อนที่จะเลิกกับฉันซะอีก หรือถ้าโชคร้ายหน่อยก็คือหาแฟนใหม่ได้ภายในสามวัน”

“ฟังจากที่เธอพูด ฉันคิดว่าเจินเจิ้งไม่ต้องพยายามทำอะไรทั้งนั้น เขาจะสามารถหาคนที่สวรรค์กำหนดมาให้คู่กันเจอได้ภายในสามวันเหมือนกัน” ฉือซิ่นพูดตามความคิดของตัวเอง

ติงเสี่ยวโหรวค้าน “เจินเจิ้งเป็นกรณียกเว้น ในบรรดาผู้ชายที่คบกับฉัน เขาเป็นคนเดียวที่เป็นพวกติดบ้าน ติดการ์ตูน นี่มันไม่ต่างอะไรกับการขังเจินเจิ้งไว้สถานที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอก แล้วอย่างนี้จะมีใครที่ไหนมารักเขาล่ะ”

“มีสิ พวกผู้หญิงติดบ้านเหมือนกันไง” ฉือซิ่นบอก

“ฉันกำลังจริงจังนะ” ติงเสี่ยวโหรวเตือนฉือซิ่น

“ฉันว่าเธอนี่ก็น่าสนใจอยู่เหมือนกันนะ” ฉือซิ่นมองติงเสี่ยวโหรว “เธอควรจะดีใจสิที่เจินเจิ้งหาแฟนใหม่ไม่ได้ เพราะนั่นมันแปลว่าคำสาปนั้นไม่มีอยู่จริง”

ติงเสี่ยวโหรวได้แต่แอบด่าความโง่เง่าของตัวเองอยู่ในใจ ความจริงเธอควรจะพูดอะไรตัดกำลังใจให้ฉือซิ่นยอมแพ้ไป แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะกลายเป็นการให้กำลังใจอีกฝ่ายไปเสียได้ เสียงหนึ่งดังขึ้นในใจของเธอ ‘ขอโทษนะเจินเจิ้ง นายจะคบแฟนใหม่ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ ไม่งั้นชีวิตของฉันคงจะดรามามากแน่ๆ!’

“ฉันมีวิธีแล้ว!” จู่ๆ ฉือซิ่นก็พูดขึ้นมา

“วิธีอะไร” ติงเสี่ยวโหรวตกใจ

“ในเมื่อเจินเจิ้งเป็นโอตาคุ หาโอกาสสานต่อความรักไม่ได้ งั้นเราก็พาเขาไปในที่ที่เขาจะตกหลุมรักคนอื่นได้ง่ายสิ!” ฉือซิ่นพูด

พลันติงเสี่ยวโหรวก็โอดครวญขึ้นมาในใจ...ติงเสี่ยวโหรวเอ๊ย เป็นเพราะเธอพูดอะไรไม่รู้จักคิดนั่นแหละ ฉือซิ่นถึงคิดหาวิธีได้เลยเห็นมั้ย!

ติงเสี่ยวโหรวเปลี่ยนจากฝ่ายรับฟังมาเป็นฝ่ายเสนอบ้าง “ฉันรู้จักอยู่ที่หนึ่ง บางทีอาจจะช่วยเจินเจิ้งได้”

ในขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น โทรศัพท์ของติงเสี่ยวโหรวก็ดังขึ้น

“ติงเสี่ยวโหรว! เธอถึงไหนแล้ว ฉันมาถึงซื่อฮุ่ยแล้วนะ ฉันจะบอกอะไรให้ฟัง ฉันกำลังถามคาร์ลลาเกอร์เฟลอยู่ ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องเสื้อผ้าชุดนั้นให้ได้ ถ้าถึงตอนนั้นเธอเห็นว่าฉันลังเล ให้เธอเอาโทรศัพท์ฉันไปแล้วกดจ่ายเงินได้เลยนะ ห้ามมือไม้อ่อนเด็ดขาดนะ” น้ำเสียงของชาช่าที่ดังมาจากปลายสายฟังดูตื่นเต้น

“ชาช่า...ฉันไปซื้อของกับเธอไม่ได้แล้ว” ติงเสี่ยวโหรวลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยขอโทษ “ตอนนี้ฉันอยู่กับฉือซิ่น”

“พวกเธอคบกันแล้วเหรอ ทำไมเร็วจัง!” จู่ๆ ชาช่าก็ถามเสียงสูง

ด้วยความกลัวว่าฉือซิ่นที่ยืนถัดไปไม่ไกลจะได้ยิน ติงเสี่ยวโหรวจึงกดเสียงต่ำ “ไม่ใช่! เธอยังจำเพื่อนเขาได้มั้ย คนที่โสดจนกลายเป็นโรคซึมเศร้าน่ะ ฉันคบกับเขาแล้วก็เลิกกับเขาแล้ว ตอนนี้ครบสามวันแล้ว แต่เขายังหาแฟนใหม่ไม่ได้เลย”

“เยี่ยมไปเลย ในที่สุดสวรรค์ก็เห็นใจแล้ว!” ชาช่าพูดด้วยเสียงเจือหัวเราะ

ติงเสี่ยวโหรวพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้นราวกับต้องการให้ฉือซิ่นได้ยิน “ตอนนี้ฉันกำลังหาทางช่วยให้เขาได้เจอคนที่เหมาะสมกับตัวเองก่อนที่เวลาจะหมดลง”

ปลายสายอึ้งไปสองวินาทีก่อนจะตะโกนออกมา “เธอจะบ้าเหรอ แล้วเธอจะทำยังไง!”

“เอาละ ไม่คุยแล้ว เธอเดินซื้อของคนเดียวไปก่อนนะ คราวหน้าฉันจะชดใช้ให้ด้วยการเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่” ติงเสี่ยวโหรวไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรอีก เธอกดวางสาย

ติงเสี่ยวโหรวเดินตรงไปหาฉือซิ่น เขามองมาอยู่ก่อนแล้ว เธอพูดกับเขา “ศูนย์นิทรรศการเกษตรกรรม”

 

เจินเจิ้งรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณเป็นอย่างมากที่ฉือซิ่นกับติงเสี่ยวโหรวสละเวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์มาตามหาความรักในงานมหกรรมการ์ตูนเป็นเพื่อนเขา

ฉือซิ่นมองนาฬิกา ยังเหลือเวลาอีกสามชั่วโมงก่อนจะครบกำหนดสามวัน

ห้องจัดแสดงนิทรรศการเกือบจะกลายเป็นโลกแอนิเมกลายๆ ผู้คนมากมายพากันแต่งตัวคอสเพลย์ นอกจากนี้ยังมีทั้งโปสเตอร์ ฟิกเกอร์ รวมไปถึงหนังสือ โดยเฉพาะพวกสาวสวยนั้นมีเยอะมาก

โอตาคุนามว่าเจินเจิ้งรู้สึกแปลกใหม่ต่อที่นี่มาก เขาสามารถบอกชื่อตัวการ์ตูนมากมายได้อย่างง่ายดาย 

ฉือซิ่นหัวเราะใส่เขา “ถึงว่าสิ หาแฟนไม่ได้สักที ที่แท้ก็มีแฟนในโลกแอนิเมเยอะแยะเลยนี่เอง”

ไม่นานติงเสี่ยวโหรวก็เห็นสาวสวยรูปร่างสูงโปร่ง มัดผมสองแกละ สวมชุดสาวใช้ ดวงตาทั้งสองข้างงดงามเป็นอย่างมาก ฉือซิ่นเองก็เห็นเหมือนกัน เขาสะกิดเจินเจิ้ง 

“ผู้หญิงคนนั้นดูไม่เลวนะ”

ทว่าติงเสี่ยวโหรวกลับแย้ง “พวกเขาไม่เหมาะสม”

“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เวลาใกล้จะหมดแล้วนะ” ฉือซิ่นยังคงเร่งเร้าเจินเจิ้ง “เพื่อนนายมองไม่ผิดหรอกน่า รีบไปขอวีแชตเขามาเร็วเข้า”

“งั้นฉันไปนะ” ฉือซิ่นบอก

ตอนที่ติงเสี่ยวโหรวกำลังจะพูดบางอย่างออกมา ฉือซิ่นผลักก็เจินเจิ้งเข้าไปก่อนแล้ว 

“อย่ามัวแต่ชักช้าอืดอาด รีบไปเร็วเข้า!”

เจินเจิ้งรวบรวมความกล้าพูดกับหญิงสาว “สวัสดีครับ ขอแอดวีแชตได้มั้ยครับ”

อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยเสียงแหบห้าว “ถ้าฉันให้แล้วนายจะกล้ารับแอดมั้ยล่ะพี่ชาย”

เจินเจิ้งตกใจลนลานหนีกลับมา

“นายอยากให้ฉันตายหรือไง!” เจินเจิ้งด่า

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่าเขาเป็นชายแต่งหญิง” พูดไปแล้วฉือซิ่นก็นึกขำ เขาหันไปมองติงเสี่ยวโหรว “เธอรู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่มั้ย”

“นายจะมาโทษฉันไม่ได้นะ เมื่อกี้ฉันบอกแล้วว่าไม่เหมาะสม แต่พวกนายไม่ฟัง” ติงเสี่ยวโหรวบอก...ผู้ชายอย่างพวกนายมองแค่หน้าตา แต่พวกผู้หญิงจะมองจากหน้าตาเข้าไปถึงข้างใน

ฉือซิ่นเอาแต่มองติงเสี่ยวโหรวไม่วางตา “เธอคงจะไม่ใช่ผู้ชายเหมือนกันหรอกมั้ง”

“นายรู้ได้ยังไงน่ะ” ติงเสี่ยวโหรวตอบกลับเสียงเข้ม

ทั้งสามคนยังคงเดินอยู่ในห้องจัดนิทรรศการ ติงเสี่ยวโหรวตบบ่าเจินเจิ้งเบาๆ “ไม่ต้องห่วงน่า เดี๋ยวฉันจะช่วยสแกนหาผู้หญิงที่เหมาะสมให้คุณเอง”

ทว่าเธอกลับคิดว่า ‘ผู้ชายแต่งหญิงยังไม่ทำให้นายท้อถอยกับการหาแฟน งั้นคงต้องให้นายพบเจอกับความลำบากสักหน่อยถึงจะดี’

เจินเจิ้งตัดบท “เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าถ้าเจอคนที่เหมาะสมเมื่อไหร่ ให้นายเป็นคนเข้าไปทดสอบเสียงของอีกฝ่ายก่อนนะฉือซิ่น ถ้าเกิดพูดออกมาแล้วเสียงเป็นผู้หญิง ฉันถึงจะเข้าไป”

ฉือซิ่นหัวเราะ “งั้นนายรอกินแห้วได้เลย ถ้าเจอคนที่ดีเมื่อไหร่ฉันตัดหน้านายก่อนแน่”

“ลูกผู้ชายพูดจริงทำจริง มาดูกันว่าตัดหน้าจีบก่อนฉันแล้วเจี่ยงหยวนจะว่ายังไง” เจินเจิ้งเองก็พูดหยอกล้อกลับ ทว่าหารู้ไม่ว่าทำให้บรรยากาศเริ่มมาคุ 

ติงเสี่ยวโหรวรีบดันทั้งสองคนออกไป “เจอแล้ว! พวกนายมองไปทางสิบสองนาฬิกาสิบนาที ผู้หญิงที่ใส่หมวกชอปเปอร์คนนั้น”

ทั้งสองคนถูกเบี่ยงเบนความสนใจได้สำเร็จ พวกเขามองไปยังทิศทางเดียวกันซึ่งมีหญิงสาวท่าทางสง่า งดงาม เอวบางร่างน้อยคนหนึ่งกำลังยืนเลือกการ์ตูนอยู่ด้านหน้าบูท

ติงเสี่ยวโหรวหันไปพูดกับเจินเจิ้ง “คนนี้เป็นหญิงแท้แน่นอน นิสัยใจคอก็ดูไม่เลว ไปสิ สู้ๆ!”

“อ้อ อีกอย่างหนึ่ง ถ้าเธอบอกว่ามีแฟนแล้วก็อย่าไปเชื่อเด็ดขาดนะ” ฉือซิ่นรีบเสริม

หลังจากได้รับกำลังจากใจติงเสี่ยวโหรวและฉือซิ่นแล้ว เจินเจิ้งก็เดินตรงเข้าไปหา

“สวัสดีครับ ผมชอบดูนัตสึเมะกับบันทึกพิศวงเหมือนกันครับ ผมขอแอดวีแชตคุณไว้ได้มั้ย”

หญิงสาวตอบกลับ “ขอโทษนะคะ ฉันมีแฟนแล้ว”

“ผมไม่เชื่อหรอก” เจินเจิ้งพูด

ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาในระหว่างที่เจินเจิ้งกำลังพูดอยู่ เขาผลักเจินเจิ้งไปหนึ่งที “ตอนนี้เชื่อหรือยัง”

“มีอะไรก็พูดกันดีๆ สิพี่ชาย” เจินเจิ้งบอก

ชายหนุ่มตอบกลับ “แกมาเกาะแกะแฟนของฉัน จะให้ฉันพูดกับแกดีๆ งั้นเหรอ!”

ทั้งสองคนเถียงกันจนดูเหมือนว่าจะเริ่มลงไม้ลงมือกัน ฉือซิ่นพุ่งเข้าไปแยกทั้งสองคนออกจากกันพร้อมกับรีบบอกผู้ชายคนนั้น “เข้าใจผิดกันครับ เป็นเรื่องเข้าใจผิด!”

ฉือซิ่นล็อกตัวเจินเจิ้งไว้ก่อนจะพูด “พวกเรามาจากสถานีโทรทัศน์ครับ เจ้าหมอนี่เป็นเพื่อนผมเอง เรากำลังทำการทดสอบระดับความเชื่อใจของคนแปลกหน้ากันอยู่”

“แกบอกว่าแกมาจากสถานีโทรทัศน์ แล้วฉันต้องเชื่อเหรอ” ชายหนุ่มยังไม่ยอมลดโทสะลง

ฉือซิ่นหยิบนามบัตรออกมาส่งให้อีกฝ่าย และนั่นทำให้หญิงสาวจำฉือซิ่นได้ “ดูเหมือนเขาจะเป็นพิธีกรภาคสนามคนนั้นนะ รายการที่ยายฉันดูอยู่ทุกวันน่ะ”

“ใช่ครับ ใช่ รายการตีแผ่ชีวิตประชาชน” ฉือซิ่นบอก

พอเห็นว่าชายหนุ่มยอมเชื่อในที่สุด ฉือซิ่นจึงชี้ไปตรงเพดาน “ตรงนั้นมีกล้องอยู่ครับ ทักทายหน่อยเร็ว!”

คู่รักคู่นี้โบกมือทักทายกล้องที่ไม่มีอยู่จริงอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นฉือซิ่นจึงเดินไปส่งพวกเขาด้วยท่าทางสุภาพอ่อนน้อม

ติงเสี่ยวโหรวได้แต่ยืนอ้าปากค้าง ตอนแรกวางแผนว่าจะให้เจินเจิ้งงานเข้าสักหน่อย แต่กลายเป็นว่าฉือซิ่นเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาได้ซะอย่างนั้น

“เมื่อกี้ฉันนึกว่านายจะเข้าไปต่อยกับเขาซะอีก คิดไม่ถึงเลยว่านายจะใช้ความเป็นพิธีกรภาคสนามมาช่วยไกล่เกลี่ยได้” ติงเสี่ยวโหรวบอก

“ฉันคิดไม่ถึงยิ่งกว่าอีกว่าจะมีคนรู้จักฉัน หายากนะเนี่ย” ฉือซิ่นหัวเราะเย้ยหยันตัวเอง

“ที่นี่ชักจะน่ากลัวเกินไปแล้ว งั้นพวกเราล้มเลิกความคิดนี้กันดีกว่ามั้ย ฉันกลัวว่านอกจากจะหาคู่ให้ตัวเองไม่ได้แล้วยังจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้อีก” เจินเจิ้งรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง

คำพูดนั้นตรงใจของติงเสี่ยวโหรวพอดี เธอจึงเอ่ยออกมาว่า “ฉันว่าวันนี้คุณเหนื่อยมามากแล้ว งั้นกลับไปพักก่อนดีกว่าค่ะ”

“พวกเราเพิ่งจะคืบหน้าไปไม่ถึงไหน เมื่อกี้ปณิธานของเรายังแรงกล้ากันอยู่เลย คราวนี้เราต้องจริงจังกันหน่อยแล้วละ มาหาคนที่รูปลักษณ์ภายนอกดูเข้ากับนายกันดีกว่า” ฉือซิ่นยังไม่คิดจะยอมแพ้

ติงเสี่ยวโหรวชี้ไปที่หญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนถัดไปไม่ไกลแบบส่งๆ “คนนั้นเป็นไง”

เธอสวมชุดกระโปรงสีขาว สวมถุงเท้าแบบยาวมีลูกไม้ตรงขอบ สวมรองเท้าผ้าใบส้นตึก และสะพายกระเป๋าเป้แจกแบบสอบถามอยู่

“ดูไม่ค่อยสูงเท่าไหร่หรือเปล่า” เจินเจิ้งลังเล

“ขาก็ดูเหมือนจะใหญ่ไปนิดนึงนะ” ฉือซิ่นพูดบ้าง

“เรื่องมากจังเลยนะพวกนายเนี่ย ผู้หญิงคนเมื่อกี้ก็ไม่สูง ไม่เห็นพวกนายจะเลือกมากขนาดนี้เลย”

“คนเมื่อกี้เป็นแบบขยาย แต่คนนี้เป็นแบบย่อส่วน มันจะเหมือนกันมั้ยล่ะครับ” เจินเจิ้งตอบกลับ

“แสดงว่าคุณอยากจะหาคนตัวสูงๆ อกเป็นอก เอวเป็นเอว และไม่จู้จี้จุกจิกใช่มั้ย” ติงเสี่ยวโหรวถามขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

“แบบนั้นมันจะดูมาตรฐานสูงไปหน่อยมั้ยนะ แต่ถ้าได้ทั้งหมดที่พูดมานั่นก็ดีครับ” เจินเจิ้งบอก

“ได้สิ ห้องเก็บของในบริษัทของฉันมีหุ่นผู้หญิงเยอะแยะเลย เดี๋ยวกลับไปจะส่งมาให้คุณสักสองตัว จะได้กอดซ้ายกอดขวาไปเลย” ติงเสี่ยวโหรวตอบกลับ

เจินเจิ้งแลบลิ้น “ทำไมถึงพุ่งเป้ามาที่ผมซะอย่างนั้นล่ะ...”

“พวกผู้ชายก็เป็นเหมือนกันหมด พออยู่ด้วยกันก็รวมหัวกันวิจารณ์ผู้หญิงสารพัด เจินเจิ้ง ตอนนี้คุณกำลังหาคนรักนะ ไม่ใช่หาตู้เสื้อผ้า คุณจะไปหรือไม่ไป ถ้าไม่ไปฉันจะกลับแล้ว” ติงเสี่ยวโหรวมองหน้าเจินเจิ้ง

“ไปครับ” เจินเจิ้งเดินไปหาหญิงสาวคนนั้นอย่างว่าง่าย เขาหยิบแบบสอบถามมาจากมือของเธอหนึ่งแผ่น “คุณมีปากกาสำหรับเซ็นเอกสารมั้ยครับคนสวย”

เจินเจิ้งพูดพลางมองหน้าหญิงสาวไปด้วย หญิงสาวเองก็เงยหน้ามองเขา ต่างฝ่ายต่างอึ้งไป

“ทำไมถึง...ถึงเป็นพี่” เจินเจิ้งบอก

ติงเสี่ยวโหรวและฉือซิ่นสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลจึงเดินตามเข้าไป

พอฉือซิ่นได้เห็นหน้าค่าตาของหญิงสาวคนนั้นก็ได้แต่อ้าปากค้าง “พี่? ทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่”

ฉือซานเองก็คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญมาเจอน้องชายที่นี่ เธอชูแบบสอบถามในมือขึ้นมา “ก่อนหน้านี้ฉันตั้งใจไปเยี่ยมอาจารย์เก่งๆ ที่ฉงชิ่งเพื่อที่จะเรียนรู้การทำเครื่องปรุงหม้อไฟใช่มั้ยล่ะ ตอนนี้ก็อยากจะสร้างสรรค์อะไรใหม่จากของเดิมที่มีอยู่ ฉันเลยมาทำความเข้าใจสักหน่อยว่าวัยรุ่นสมัยนี้ชอบแครักเตอร์ตัวการ์ตูนแบบไหน”

“แต่พี่ก็ไม่จำเป็นต้องแต่งตัวแอ๊บแบ๊วขนาดนี้มั้ยล่ะ” ฉือซิ่นมีความรู้สึกว่าพอพี่สาวแต่งตัวแบบนี้มันค่อนข้างจะ...อธิบายได้ยากนิดหน่อย

“ฉันเต็มใจ” ฉือซานบอก แถมยังกะพริบตามองติงเสี่ยวโหรวตาปริบๆ “จะได้เข้าถึงพวกวัยรุ่นได้ง่ายๆ ไง”

จู่ๆ ติงเสี่ยวโหรวก็รู้สึกชอบผู้หญิงคนนี้ขึ้นมา เพราะอีกฝ่ายรู้จักเปิดใจและแตกต่างจากคนทั่วไป

“คนนี้คือ?” ฉือซานถาม

“เธอเป็นเพื่อนของผมกับเจินเจิ้ง” ฉือซิ่นจงใจลากชื่อเจินเจิ้งเข้ามาเกี่ยวด้วย เพราะไม่ต้องการให้พี่สาวเข้าใจผิด

ดูแล้วฉือซานเองก็ชอบติงเสี่ยวโหรวมากเหมือนกัน เธอเอ่ยถาม “ชอบกินหม้อไฟมั้ยจ๊ะ”

“ชอบค่ะ ยิ่งเผ็ดยิ่งดี” ติงเสี่ยวโหรวตอบ

ฉือซานยิ้มอย่างอารมณ์ดี “เย็นนี้ไปกินหม้อไฟที่ร้านพี่นะ พี่เลี้ยงเอง”

ฉือซิ่นรีบดึงพี่สาวออกมา “พวกเรามีธุระต่อนะ เรื่องกินเอาไว้คราวหน้าเถอะ”

“ติงเสี่ยวโหรว!”

เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง ชาช่าเดินฟึดฟัดเข้ามา รังสีอำมหิตแผ่ออกมาทำให้สองคนที่อยู่ด้านข้างถึงกับต้องหลีกทางให้

ติงเสี่ยวโหรวรีบจับมือเธอไว้ “เธอมาได้ยังไงเนี่ย”

“เมื่อไม่กี่วันก่อนเธอเอาแต่ป่าวประกาศว่าช่วงนี้มีงานมหกรรมการ์ตูน แล้วฉันก็คิดได้ว่าที่งานต้องมีพวกสาวๆ สวยๆ เยอะมาก เธอจะต้องพาเขามาที่นี่อย่างแน่นอน” ชาช่าอารมณ์ไม่ดี เธอตอบพลางมองหน้าคนอื่นๆ ไปด้วย เมื่อเธอสบตากับเจินเจิ้ง พลันแววตาที่เคยสงบนิ่งก็วูบไหวไม่มั่นคงขึ้นมา

ติงเสี่ยวโหรวเริ่มมีลางสังหรณ์บางอย่าง เธอเป็นเพื่อนกับชาช่ามาตั้งแต่เล็กจนโต แววตาของชาช่านั้นเธอมองปราดเดียวก็รู้แล้ว วินาทีต่อมา เธอจึงเปลี่ยนความตั้งใจใหม่โดยตัดสินใจจะเป็นแม่สื่อให้ทั้งสองคน หากเทียบกับการทำลายคำสาปแล้ว เธออยากให้เพื่อนสนิทของเธอที่ชื่อชาช่ามีความสุขมากกว่า

ติงเสี่ยวโหรวหันไปพูดกับฉือซาน “ออกมาข้างตั้งนอกนานแล้ว ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันกันเลย งั้นเราไปกินหม้อไฟที่ร้านของพี่ตอนนี้กันเลยดีกว่าค่ะ!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น