10

ตอนที่ 9

9

 

รถจอดลงตรงหน้าทางเข้าคอนโด

“จะไม่ให้ฉันเข้าไปส่งเหรอ” ฉือซิ่นถาม

“ไม่ต้องหรอก ฉันยังมีธุระที่อื่นอีก” ติงเสี่ยวโหรวทำท่าจะลงจากรถ

ฉือซิ่นเอื้อมมือไปหยิบร่มคันหนึ่งทางด้านหลังรถ “เอาไปสิ”

ติงเสี่ยวโหรวรับร่มมาถือไว้ก่อนจะลงจากรถ เธอเดินเหยียบลงบนน้ำที่ขังอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเธอก็หมุนตัวกลับมาทางฉือซิ่น

ฉือซิ่นลดกระจกรถลงแล้วเอ่ยถาม “มีอะไรเหรอ”

“ขอบคุณนะที่มาส่งฉันกลับบ้าน”

ฉือซิ่นยิ้ม “ฉันนึกว่าระหว่างเราสองคนจะไม่มีเรื่องอื่นให้คุยนอกจากเรื่องเงินแล้วซะอีก”

ติงเสี่ยวโหรวยิ้มตอบกลับไป “ติดหนี้นายนี่ลำบากมากเลยนะ ต้องไปกินข้าวกับนาย แถมยังต้องไปหาอะไรดื่มกับนายอีก เอาเถอะ แล้วเดี๋ยวเจอกัน”

ฉือซิ่นไม่ค่อยเข้าใจประโยคสุดท้ายของติงเสี่ยวโหรวเท่าไหร่ เขากลับรถก่อนจะจากไป

ติงเสี่ยวโหรวไม่ได้กลับบ้าน เธอเดินกางร่มไปยังทะเลสาบที่ถูกขุดขึ้นใกล้ๆ คอนโดเพียงลำพัง...หลายปีมานี้ ทุกครั้งที่ผ่านเรื่องราวเลวร้ายหรือทุกครั้งที่ความรู้สึกบางอย่างจบลง เธอมักมาเดินเล่นที่นี่เสมอ มองดูเกลียวคลื่นสะท้อนเป็นประกายระยิบระยับในทะเลสาบ สายลมที่พัดมาแผ่วเบาช่วยให้ความเครียดในใจเบาบางลงไป

ฝนซาลงไปบ้างแล้ว บนท้องถนนมีเด็กอายุประมาณสองสามขวบสวมรองเท้ายางเดินไปเดินมาอยู่ตรงแอ่งน้ำ ผู้ใหญ่ที่เดินอยู่เบื้องหลังซึ่งกางร่มให้เขามีสีหน้ารักใคร่เอ็นดู จากมุมที่ติงเสี่ยวโหรวยืนอยู่ หากมองไปทางทิศตะวันตกจะเห็นว่าต้นแปะก๊วยต้นที่ห้าดูผิดแปลกไปเมื่อเทียบกับต้นอื่น ลำต้นของมันตั้งตระหง่านดูสูงใหญ่กว่าต้นไหนๆ

ติงเสี่ยวโหรวเดินไปยังใต้ต้นไม้อย่างเชื่องช้า เธอเงยหน้ามองมัน ใบไม้สีเขียวสดใสยิ่งมีสีสดมากขึ้นหลังจากถูกน้ำฝนรินหล่นลงมาชะล้าง กลิ่นหอมสดชื่นอบอวลอยู่ในอากาศ หยาดน้ำฝนร่วงจากใบไม้สักใบหยดลงบนแก้มของติงเสี่ยวโหรว ความเย็นเฉียบแผ่ซ่านออกมา ทว่าหัวใจของเธอกลับรู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน

มันกำลังจะอายุครบ 27 ปี ต้นไม้ต้นนี้ตั้งตระหง่านผ่านคืนวันมากมายมาเกือบ 27 ปีแล้ว มันได้เห็นทะเลสาบที่เสื่อมโทรมกลับมาใสสะอาดอีกครั้ง เห็นความเจริญรุ่งเรืองของย่านคนรวยย่านใหม่ในปักกิ่งจากที่ไม่มีอะไรเลยจนกระทั่งมีวันนี้ เห็นการได้อยู่คู่กันและการจากลากันของใครต่อใครบนโลกใบนี้มา 27 ปี หลายคนอาจจะอายุมากแล้ว แม้กระทั่งติงเสี่ยวโหรวเองก็มีความรู้สึกว่าอีกไม่นานตัวเองก็จะไม่ใช่คนหนุ่มสาวอีกต่อไป ทว่าต้นไม้ต้นนี้ยังคงเขียวขจี ให้ความรู้สึกถึงความเยาว์วัย มันแตกกิ่งก้านออกไปไม่หยุดราวกับต้องการสัมผัสผืนฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล

บ่ายวันหนึ่งเมื่อ 27 ปีก่อน ตอนที่โรงพยาบาลเล็กๆ ในบ้านเกิดบอกข่าวดีเรื่องการลืมตาดูโลกของติงเสี่ยวโหรว มีชายคนหนึ่งปลูกต้นกล้าของต้นแปะก๊วยต้นนี้ไว้ที่ริมทะเลสาบ ติงเสี่ยวโหรวรู้เรื่องราวของคนคนนี้น้อยมาก เขาเป็นคนที่คนในครอบครัวไม่เคยพูดถึง เป็นส่วนหนึ่งที่ขาดหายไปตลอดระยะเวลาที่เธอเติบโตขึ้นมา เป็นส่วนที่ไม่ว่าปรารถนาจะให้ได้มายังไงก็ไม่มีวันได้สัมผัส

แต่ไม่ว่ายังไง เธอก็ยังมีมารดา มีน้าชายที่สามารถพึ่งพิงได้ไม่ใช่หรือ...ชีวิตคนเรามันไม่มีทางสมบูรณ์แบบไปทุกเรื่องหรอก

 

หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ เป็นครั้งแรกที่ติงเสี่ยวโหรวไม่ได้กลับไปเล่นอินเทอร์เน็ตที่ห้อง เธอเปิดโทรทัศน์ กดเปลี่ยนไปยังช่องโทรทัศน์ท้องถิ่น ฉือซิ่นปรากฏตัวอยู่ในรายการ เขากำลังช่วยจัดการปัญหาหยุมหยิมในครอบครัว ซึ่งเป็นไปตามที่ติงเสี่ยวโหรวบอกเขาไว้ ‘แล้วเดี๋ยวเจอกัน’

ตู้ลี่หมิงดูไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เขาเป็นห่วงหลานสาว เห็นได้ชัดว่าช่วงนี้ติงเสี่ยวโหรวต้องพบเจอกับเรื่องอะไรบางอย่างมาแน่ๆ เขานั่งลงบนโซฟา ยกชาขึ้นดื่มแล้วกระแอมกระไอออกมาไม่หยุด

ติงเสี่ยวโหรวรู้ทันจึงแกล้งถาม “น้าไม่สบายเหรอ”

“น้าสบายดี แต่เป็นห่วงเธอต่างหากล่ะ” ตู้ลี่หมิงบอก

“เป็นห่วงหนูเรื่องอะไร” ติงเสี่ยวโหรวมองไปที่โทรทัศน์

“น้าเป็นห่วงกลัวว่าเธอจะไปเจอเรื่องอะไรมาน่ะสิ”

มีแวบหนึ่งที่ติงเสี่ยวโหรวแอบลุกลี้ลุกลน แต่เธอยังปฏิเสธ “หนูจะไปมีเรื่องอะไรล่ะ”

“งั้นเอาแบบนี้ ถ้าเธอไม่บอก น้าจะลองทายดู” ตู้ลี่หมิงเริ่มทาย “ไม่มีความสุขในการทำงาน?”

“เปล่าค่ะ”

“ทะเลาะกับเพื่อน?”

“เปล่าค่ะ”

“ที่บ้านคงจะไม่มีเรื่องอะไร แล้วจะมีเรื่องไหนอีกล่ะ หน้าที่การงาน ครอบครัว เพื่อนฝูง ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร...” พลันตู้ลี่หมิงก็ตกใจจนหน้าถอดสี “หรือจะเป็นปัญหาเรื่องความรัก!”

ติงเสี่ยวโหรวสะดุ้ง คิดว่าอย่าให้ถูกจับได้เด็ดขาด ถ้าน้ารู้ แม่ต้องรู้ด้วยอย่างแน่นอน หากเป็นเมื่อก่อนนี้ ให้พูดมันก็พูดได้ ทว่าตอนนี้รายชื่อแฟนเก่าของเธอยาวเป็นหางว่าว จะให้เปิดปากบอกแม่ถึงปัญหาใหญ่นี้ได้ยังไง ไม่ใช่จะพูดได้เลยว่า ‘แม่ หนูคบกับผู้ชายมาสามสิบเอ็ดคนแล้ว แต่ตอนนี้หนูก็ยังโสดอยู่’ แบบนี้น่ะ และยิ่งบอกเรื่องที่เธอถูกสาปให้แม่ฟังไม่ได้ใหญ่ ลูกสาวไม่สามารถพบเจอกับความสุขได้มันเป็นเรื่องที่โหดร้ายมากสำหรับแม่คนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เธอจึงพยายามพิสูจน์มาตลอดว่าคำสาปนี้ไม่มีอยู่จริง

ตู้ลี่หมิงจับแวววูบไหวเล็กน้อยในดวงตาของหลานสาวได้ และตอนที่ติงเสี่ยวโหรวรู้สึกว่าตัวเองถูกจับได้แล้ว จู่ๆ ตู้ลี่หมิงก็พูดขึ้นมาอย่างมั่นใจ “จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ น้าคงคิดมากเกินไป ถ้าไม่มีเรื่องอะไรน้าก็สบายใจ”

พูดจบตู้ลี่หมิงก็ลุกเดินกลับห้องไป ปล่อยให้ติงเสี่ยวโหรวว้าวุ่นอยู่คนเดียว

‘หนูจะไม่มีปัญหาเรื่องความรักได้ยังไงล่ะ หนูถูกผู้ชายคนหนึ่งทำร้ายจนเจ็บสาหัส เขาไม่ต้องการหนูแล้ว แต่หนูยังฝันลมๆ แล้งๆ เห็นกันอยู่ว่าแฟนคนปัจจุบันของเขาเป็นมือที่สาม แถมวันๆ ยังเอาแต่วางอำนาจบาตรใหญ่ใส่หนู แล้วหนูยังต้องซื้อไอโฟนเครื่องใหม่ชดใช้ให้พวกเขาอีก...’

ยิ่งคิดติงเสี่ยวโหรวยิ่งน้อยใจ เธอเบะปาก

เสียงแจ้งเตือนข้อความจากโทรศัพท์ดังขึ้น ติงเสี่ยวโหรวเปิดอ่าน ที่แท้ก็เป็นข้อความการโอนเงิน น้าชายโอนเงินมาให้เธอห้าพันหยวน ตู้ลี่หมิงยังทิ้งข้อความไว้อีกว่า 

เมื่อคืนเห็นเธอขยิบตาให้ชาช่าก็รู้แล้วว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เดาว่าน่าจะเป็นเรื่องเงิน นี่เป็นเงินรายได้พิเศษของน้า อย่าเอาไปบอกแม่ของเธอล่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น น้าอยู่ข้างเธอเสมอนะ

ติงเสี่ยวโหรวรู้สึกคัดจมูกคล้ายกับจะร้องไห้ เธอวิ่งไปโดยไม่ทันได้ใส่รองเท้าแตะให้ดี ก่อนจะใช้เท้าเปล่าดันประตูห้องนอนของน้าชายแล้วกอดเขาไว้แน่น

“น้าจะบอกอะไรให้ฟังนะ เมื่อเราโชคร้ายจนถึงที่สุดแล้ว โชคดีจะเดินทางเข้ามาหาเราเอง ชีวิตคนเราก็เหมือนเป็นเส้นโค้งบนกราฟสมการนั่นแหละ มีขึ้นๆ ลงๆ ไม่ได้ดีตลอดไป แต่ก็ไม่ได้แย่ตลอดไปเช่นกัน บางครั้งเราพบเจอกับเรื่องร้ายๆ มานานมากจนคิดว่ามันนานเกินไปและเกือบจะทนต่อไปไม่ไหว ถึงอย่างนั้นก็ช่วยสู้ต่อไปอีกสักหน่อยเถอะนะ เพราะโชคดีกำลังเดินทางมาหาเธอแล้วละ” ตู้ลี่หมิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ความอบอุ่นอ่อนโยนของน้าชายทำให้ติงเสี่ยวโหรวมีแรงฮึดสู้ขึ้นใหม่

 

เช้าวันต่อมา ตอนที่ติงเสี่ยวโหรวกำลังเคลิ้มจะหลับอยู่บนรถไฟฟ้าใต้ดิน จู่ๆ ก็ได้รับข้อความแจ้งเตือนการคืนเงินจากหวังเท่อ เขาคืนเงินทั้งหมดให้เธอ หญิงสาวแทบไม่อยากเชื่อ ทว่าตัวเลขบนหน้าจอบอกเธอว่าทั้งหมดนี้คือเงินจริงๆ 

หรือว่านี่จะเป็นโชคดีที่น้าบอกเมื่อคืน?

เมื่อมาถึงบริษัท ติงเสี่ยวโหรวก็พบกับหวังเท่อทันที หวังเท่อมองเธออย่างยุ่งยากใจก่อนจะจงใจหมุนตัวถอยกลับไปอีกทางหนึ่ง ในขณะที่ติงเสี่ยวโหรวนึกสงสัยก็มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี 

“ติงเสี่ยวโหรว ลูซี่เรียกเธอน่ะ”

ติงเสี่ยวโหรวเข้าไปในห้องทำงานของลูซี่อย่างกระวนกระวายใจนิดหน่อย

ลูซี่ลุกขึ้น หน้าอกหน้าใจใหญ่โตนั่นทำให้เธอเกิดความรู้สึกกดดันขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล

“เธอนี่มันน่าสมเพชจริงๆ นะติงเสี่ยวโหรว” ลูซี่เริ่มต้นบทสนทนา

ติงเสี่ยวโหรวยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอะไรจึงตัดสินใจเงียบไว้ก่อน

ลูซี่แสดงสีหน้าที่ไม่อาจคาดเดาได้ แม้ว่าอากัปกิริยาจะยังคงแข็งกร้าว ทว่าก็ไม่สามารถปิดบังความรู้สึกพ่ายแพ้ไว้ได้ “ฉันคิดมาตลอดว่าเธอเป็นคนประเภทที่มองปราดเดียวก็รู้ใจว่าคิดอะไรอยู่ นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะมีมารยาแบบนี้อยู่ด้วย”

ติงเสี่ยวโหรวตอบกลับ “ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร”

ลูซี่แสยะยิ้ม “ใช่ เธอไม่มีทางยอมรับหรอก เพราะฉันเองก็ไม่มีหลักฐานมากพอที่จะพิสูจน์ว่าคนคนนั้นคือเธอ”

ติงเสี่ยวโหรวได้แต่คิดว่าที่สุดแล้วมีเรื่องอะไรกันแน่ ฉันเข้ามาเกือบจะห้านาทีแล้วยังไม่รู้สักทีว่าเกิดอะไรขึ้น

“เงินที่เธอให้หวังเท่อยืมไปก่อนหน้านี้ก็ได้คืนไปหมดแล้วนะ มันคงเป็นเศษเงินที่ทำให้เธอกลุ้มใจมากในช่วงนี้สินะ ต่อจากนี้ไปเธอคงนอนหลับสบายได้แล้วละ”

เดิมทีติงเสี่ยวโหรวคิดจะอดทน และปล่อยผ่านคำประณามหยามเหยียดอย่างไม่มีเหตุผลมากมายจากอีกฝ่ายไป ทว่าคำพูดนี้แทงใจเธอเข้าอย่างจัง

เธอจ้องลูซี่และพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ “เงินพวกนี้เป็นเงินที่ฉันหามาอย่างยากลำบาก เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ มันแน่อยู่แล้วที่ฉันจะนอนหลับอย่างสบายใจ แต่ของบางอย่างซึ่งเป็นของที่แย่งมา จะนอนหลับสบายมั้ยนั้นมีแต่ตัวเองเท่านั้นแหละที่รู้”

“แก!” ลูซี่โกรธจนพูดไม่ออก

ติงเสี่ยวโหรวหันหลังกลับ เดินออกมาจากห้องทำงาน แต่ด้วยความที่รีบร้อนมากเกินไปจึงทำให้ส้นรองเท้าพลิก ร่างของติงเสี่ยวโหรวโซเซ เธอได้แต่คิดว่าอย่าล้มเด็ดขาดนะ เมื่อครู่นี้พูดออกมาอย่างสวยงามแล้วตอนนี้จะมาล้มหน้าคะมำแบบนี้ ที่ทำไปทั้งหมดก็สูญเปล่าหมดน่ะสิ เธอรวบรวมสติและพลังทั้งหมดไปที่เท้าข้างหนึ่ง อาศัยความแข็งแรงของช่วงเอวทำให้กลับมายืนตรงได้อีกครั้ง จากนั้นจึงเดินจากไปโดยไม่เหลียวกลับมามองอีกเลย

เยี่ยม! ตอกกลับได้สำเร็จหนึ่งดอก

จู่ๆ ก็รู้สึกไม่อยากอยู่ในสำนักงานแล้ว ติงเสี่ยวโหรวตัดสินใจเดินอ้อมไปทางประตูสำนักงาน พอเดินมาถึงระเบียง เจิ้งเจ๋อก็เดินตามมาจากทางด้านหลัง

“วันนี้เธอดูอารมณ์ดีนะ” เจิ้งเจ๋อทักทาย

“นายใช้ตาข้างไหนมองถึงดูออกว่าวันนี้ฉันอารมณ์ดี” ติงเสี่ยวโหรวรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นไปทั่ว พูดเรื่องไหนไม่พูดดันมาพูดเรื่องนี้ได้

“หรือว่าฉันจะมองผิดไป?” เจิ้งเจ๋อยังคงเดินตามติงเสี่ยวโหรวอยู่ “หน้าเธอเขียนคำว่าโชคดีเรื่องโชคลาภไว้ชัดเจนขนาดนี้ วันนี้เธอเก็บเงินได้ใช่มั้ยล่ะ”

ติงเสี่ยวโหรวชะงักฝีเท้า หันมองเขา “เจิ้งเจ๋อ บอกความจริงฉันมาเดี๋ยวนี้ว่านายรู้เรื่องที่หวังเท่อคืนเงินให้ฉันแล้วใช่มั้ย”

 “รู้สิ” เจิ้งเจ๋อตอบ

“นายรู้ได้ยังไง”

“เธอเพิ่งบอกฉันเมื่อกี้ไง”

ติงเสี่ยวโหรวเหลือกตาใส่เขา “นายช่วยจริงจังหน่อยได้มั้ย เมื่อกี้ลูซี่เพิ่งเรียกฉันเข้าไปหาที่ห้องทำงาน บอกว่าฉันใช้มารยาบังคับให้หวังเท่อคืนเงินที่เคยยืมไปให้หมด ฉันฟังแล้วไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่ฉันเดาว่าคงมีคนไปรู้จุดอ่อนของพวกเขาเข้า”

ตั้งแต่เจิ้งเจ๋อแอบช่วยเธอให้รอดพ้นจากความอับอายในห้องเก็บของวันนั้น ติงเสี่ยวโหรวก็รู้สึกว่าแม้คนคนนี้จะชอบเยาะเย้ยถากถางคนอื่น ไม่เอาจริงเอาจัง ทว่าเขาก็ไม่ได้แย่ ทั้งบริษัทนี้มีแค่เขาคนเดียวที่ยอมยื่นมือเข้ามาช่วยในยามที่เธอพบเจอกับปัญหา

“เขาคืนเงินให้เธอแล้วเหรอ” เจิ้งเจ๋อบอก “เป็นเรื่องที่ดีนี่นา ฉันบอกแล้วไงว่าวันนี้เธอโชคดีน่ะ”

ติงเสี่ยวโหรวพูดต่อ “เมื่อกี้ฉันเพิ่งจะมีเรื่องกับลูซี่ไป ต่อจากนี้ไปเธอจะต้องหาเรื่องมากลั่นแกล้งฉันอย่างแน่นอน ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำงานที่นี่อีกต่อไปแล้ว”

“มีสิ” จู่ๆ เจิ้งเจ๋อก็มีท่าทีจริงจังขึ้นมา “เธอคือเหตุผลที่ทำให้ฉันมาอยู่ที่บริษัทนี้นะ”

ติงเสี่ยวโหรวอึ้งไป...นี่คือการสารภาพรักเหรอ

“ถ้าเธอไป ก็ไม่มีใครมาเล่นตลกให้ฉันดูแล้วสิ” เจิ้งเจ๋อพูดพร้อมกับกลับไปทำท่าทางกวนอวัยวะเบื้องล่างเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง

ติงเสี่ยวโหรวกำหมัดแน่น ทำท่าเหมือนอยากต่อยเขาสักหมัด

“เอาละ ฉันต้องกลับไปทำงานแล้ว” เจิ้งเจ๋อนึกขึ้นมาได้จึงพูดต่อ “จำไว้ว่าให้เอาเงินนั้นมาซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ให้หวังเท่อ มันจะได้เป็นการรักษาหน้าลูซี่ด้วย ทำอะไรก็ให้รักษาน้ำใจกัน เวลาเจอหน้ากันจะได้ไม่รู้สึกอัดอึดลำบากใจ หลังจากนี้ไปเวลามาทำงานที่บริษัทก็ทักทายและพูดคุยกับเธอให้มากกว่านี้หน่อย”

“รู้แล้วน่า” ติงเสี่ยวโหรวบอก ผู้ชายคนนี้มีความคิดความอ่านเกินอายุของตัวเอง เขาสามารถพูดคุยกับทุกคนในบริษัทได้โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าแท้จริงแล้วเขาคิดยังไงกับคนคนนั้น

เดี๋ยวนะ ทำไมเขาถึงรู้ว่าเงินที่หวังเท่อคืนมาให้นั้นยังไม่ได้หักค่าโทรศัพท์ออกล่ะ...เพียงพริบตาเดียวเธอก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ตอนที่เธอยังไม่เลิกกับหวังเท่อ มีอยู่ครั้งหนึ่งพนักงานใหม่ของบริษัทจัดงานเลี้ยงและเล่นเกมพูดความจริงหรือรับคำท้า ติงเสี่ยวโหรวเคยพูดไว้ว่าเธอได้เอาเงินเก็บออกมาช่วยเหลือแฟนของตัวเอง ตอนนั้นเจิ้งเจ๋อก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย

หรือว่าจะเป็นเขา?

“นี่!” ติงเสี่ยวโหรวตะโกนตามหลังไป

เจิ้งเจ๋อไม่ได้หันกลับมา เขาเพียงยกแขนขึ้นข้างหนึ่งแล้วขยับนิ้วมือเรียวยาวไปมาคล้ายกับจะบอกว่า ‘ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น’

ภาพแผ่นหลังนั้น ดูไปดูมาก็หล่อดีเหมือนกันแฮะ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น