9

ตอนที่ 8

8

 

บนรถ ฉือซิ่นยื่นถุงกระดาษสีน้ำตาลใบหนึ่งให้ติงเสี่ยวโหรว

“นี่คือประวัติส่วนตัวของเจินเจิ้ง”

ติงเสี่ยวโหรวอ่านประวัติพลางพูดไปด้วย “ดูเป็นทางการจัง”

ฉือซิ่นพูดต่อ “ฉันส่งข้อมูลเกี่ยวกับเธอให้เขาอีกชุดหนึ่งเหมือนกัน”

ติงเสี่ยวโหรวนึกขึ้นมาได้ “งั้นเขาก็รู้เรื่องคำสาปของฉันแล้วน่ะสิ”

ฉือซิ่นพยักหน้า

ติงเสี่ยวโหรวขมวดคิ้ว “เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอว่านอกจากฟ้า ดิน ฉัน และนาย จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีก”

“ถ้าไม่บอกความจริงเขาจะไม่มาน่ะสิ” ฉือซิ่นบอก

ติงเสี่ยวโหรวยิ่งโกรธ “เรื่องเหนือจินตนาการขนาดนั้น อีกเดี๋ยวพอเจอหน้ากันฉันไม่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างเขาตอนออกเดตหรอกเหรอ”

“เขาเป็นโรคซึมเศร้า”

ติงเสี่ยวโหรวไม่เชื่อ “งั้นฉันก็เป็นโรคจิตแล้วละ”

“ฉันไม่ได้โกหกนะ อาการของเขาค่อนข้างหนัก” ฉือซิ่นเลี้ยวรถเมื่อถึงหัวโค้ง “เพื่อนฉันคนนี้เป็นคนนิสัยดี แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่เคยได้พบเจอกับผู้หญิงที่ชอบตัวเองจากใจจริงสักที แค่เห็นหน้าเขาพวกเธอก็หนีไปไกลและทิ้งให้เขาโดดเดี่ยวเดียวดายแล้ว เขาเลยเป็นโรคซึมเศร้า เขาบอกว่าเขาท้อแท้หมดหวังเหลือเกิน”

“ถึงขนาดเริ่มตั้งคำถามกับการมีชีวิตอยู่เลยเหรอ” ติงเสี่ยวโหรวถาม

ฉือซิ่นไม่ได้ตอบคำถาม เขาพูดต่อ “ฉันเห็นว่าอาการของเขานับวันยิ่งแย่ลง สองวันก่อนยังมาถามในแชตกลุ่มว่าวัดหลงฉวนรับพระที่จบการศึกษาปริญญาตรีบ้างมั้ย คนเป็นเพื่อนอย่างพวกเราเป็นห่วงจะแย่อยู่แล้ว พวกเราทำทุกวิธีที่ทำได้แล้วยังไม่สามารถทำให้เขามีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ ตอนนี้จึงทำได้แค่รักษาม้าตายดั่งม้าเป็น2เท่านั้นแหละ”

“นายด่าใคร” ติงเสี่ยวโหรวถลึงตาใส่เขา

“ฉันไปด่าใครตอนไหน” ฉือซิ่นงง

“นายว่าใครเป็นม้าตาย”

พอฉือซิ่นเข้าใจแจ่มแจ้งจึงเปลี่ยนเรื่อง ทำเป็นชี้ไปข้างหน้า “ถึงแล้ว!”

เมื่อจอดรถเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนก็เข้าไปในโถงทางเดิน

ที่นี่คือภัตตาคารอาหารต่างประเทศซึ่งตั้งอยู่ในซานหยวนเฉียว มีการตกแต่งอย่างหรูหรา โคมระย้าขนาดใหญ่โตมโหฬารราคาแพงสะท้อนกับแสงไฟระยิบระยับด้านบนเพดาน ติงเสี่ยวโหรวไม่ค่อยชอบมากินข้าวในที่แบบนี้สักเท่าไหร่ แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องวางเนื้อชิ้นเล็กนิดเดียวไว้บนจานขนาดใหญ่ด้วย มันเป็นวิธีการปฏิบัติกับลูกค้าแบบไหนกัน เธอเคยพูดทำนองนี้กับชาช่าเหมือนกัน ทว่าชาช่ากลับหัวเราะแล้วบอกว่าเธอมันเป็นพวกคนจน ติงเสี่ยวโหรวบอกว่าจนก็จนสิ ขอแค่ตัวเองสบายกายสบายใจก็พอแล้ว เทียบกับการมากินสเต๊กเนื้อวัวที่นี่แล้ว เธอชอบกินบะหมี่ทอดเต้าเจี้ยวสไตล์ปักกิ่งดั้งเดิมฝีมือน้าชายมากกว่า ซอสเต้าเจี้ยวที่ต้มเอง ถั่วเหลืองกรอบที่ทอดเองกับมือ เข้ากันได้ดีกับถั่วงอกและแตงกวาฝาน กลายเป็นอาหารจานใหญ่ เรื่องความอร่อยยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะอร่อยมากแค่ไหน

ทางเดินขึ้นมาชั้นสองเป็นกระจกโค้ง

ติงเสี่ยวโหรวที่เดินอยู่ด้านหลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “นายอธิบายให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้!”

ทั้งสองคนเดินตามกันขึ้นมาถึงชั้นสอง แม้จะเป็นร้านอาหาร แต่กลับมีลูกค้าไม่มากนัก บริเวณโต๊ะฝั่งริมทางเดินชิดกับหน้าต่างมีชายหนุ่มร่างท้วมกำลังโบกมือให้พวกเขา

เจินเจิ้งแต่งกายสบายๆ เขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีฟ้ากับสวมกางเกงยีนขาบาน ผมของเขาหยิก ใบหน้ามีรอยยิ้มประดับอยู่ ดูยังไงติงเสี่ยวโหรวก็ยังรู้สึกว่าการแต่งกายตั้งแต่หัวจดเท้าของอีกฝ่ายนั้นไม่เหมือนลูกค้าที่จะมากินอาหารในร้านแบบนี้เลย

เมื่อเดินมาถึงโต๊ะ ฉือซิ่นเป็นฝ่ายเอ่ยแนะนำ “นี่คือติงเสี่ยวโหรว ส่วนนี่เจินเจิ้ง”

เจินเจิ้งค่อนข้างมีมารยาทมากเลยทีเดียว “ดีใจที่คุณมานะครับ คุณติงเสี่ยวโหรว”

ติงเสี่ยวโหรวเองก็ตอบอย่างสุภาพ “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”

ทั้งสามคนนั่งลง ฉือซิ่นนั่งฝั่งเดียวกับเจินเจิ้งซึ่งทำสัญญาณมือให้บริกรที่ยืนอยู่ตรงมุมร้านยกอาหารมาเสิร์ฟ

ดูเหมือนฉือซิ่นจะรับรู้ได้ถึงความสงสัยของติงเสี่ยวโหรว เขาจึงยกมือชี้ไปที่เจินเจิ้ง “เธอดูเขาสิ ใบหน้าดูดีมีเลือดฝาดและยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ ดูไม่เหมือนคนป่วยเลยสักนิดใช่มั้ยล่ะ”

“ใช่ ดูแล้วก็สดใสดีออก” ติงเสี่ยวโหรวบอก

“เขาเป็นคนประเภทร่าเริงสดใส ปิดบังอาการป่วยเอาไว้ ข้างนอกแสดงออกว่าไม่เป็นอะไร ความจริงแล้วข้างในนั้นทุกข์ระทม” ฉือซิ่นเล่า

เจินเจิ้งพูดบ้าง “ฉือซิ่นคงเล่าถึงสถานการณ์ของผมในตอนนี้ให้คุณฟังแล้วใช่มั้ยครับ คุณติงเสี่ยวโหรว”

“บอกแล้วละค่ะ คุณก็คงรู้เรื่องของฉันแล้วเหมือนกันใช่มั้ยคะ”

“รู้ครับ ฉือซิ่นบอกว่าคุณเป็นคนที่ทำแต่สิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุข แม้รอบข้างคุณจะมีแต่สิ่งเลวร้ายแค่ไหน แต่คุณจะสามารถหาความสุขจากมันได้เสมอ น่าสงสารขนาดนี้ยังอยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกนะครับ!”

ติงเสี่ยวโหรวมองหน้าฉือซิ่น ฉือซิ่นจึงแอบเตะขาเจินเจิ้งไปหนึ่งที

“ฉันน่าสงสารตรงไหนเหรอคะ ถ้าไม่มีชีวิตอยู่แล้วจะให้ฉันตายเหรอ พูดอ้อมๆ คือที่ฉันมาที่นี่เพราะจะมาช่วยคุณเปลี่ยนแปลงโชคชะตา หรือถ้าจะให้พูดตรงๆ คือมาช่วยอย่างไม่คิดจะเอาอะไรตอบแทน” ติงเสี่ยวโหรวบอก

“คุณอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับ นี่พวกเรากำลังชื่นชมคุณอยู่นะ” เจินเจิ้งรีบแก้

ติงเสี่ยวโหรวตอบกลับ “ต้องชมกันขนาดนี้เลยเหรอคะ”

ติงเสี่ยวโหรวกำลังคิดที่จะพูดต่อ ทว่าจู่ๆ ก็เห็นฉือซิ่นยกมือทำท่า ‘นับเงิน’ จึงเปลี่ยนมาเป็นตบมือหนึ่งครั้ง 

“พูดชมได้ดีมากเลยค่ะ!” ติงเสี่ยวโหรวยังคงพูดด้วยท่าทางจริงใจต่อไป “ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของคุณเมื่อกี้นี้ ฉันคงไม่รู้ว่าตัวเองมีข้อดีที่น่าชื่นชมขนาดนี้ งั้นคุณมาลองช่วยฉันหาข้อดีให้แก่ตัวเองอีกดีมั้ยคะ”

“ได้สิครับ!” เจินเจิ้งบอก “ฉือซิ่นยังบอกอีกว่าคุณมีแฟนมาแล้วยี่สิบเก้าคน และถูกแฟนคนที่สามสิบหลอก”

ติงเสี่ยวโหรวเก็บความโกรธไว้ในใจ แล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นี่ก็เป็นข้อดีเหรอคะ”

ฉือซิ่นเริ่มลุกลี้ลุกลน นั่งไม่ติดเก้าอี้

“ใช่สิครับ คุณคิดดูสิ นี่มันแสดงให้เห็นว่าคุณยังบริสุทธิ์ งดงาม และยังศรัทธาในความรัก กาลเวลาผันเปลี่ยนเวียนหมุนเท่าใด พบเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตาแค่ไหน แต่หัวใจไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

‘ไร้สาระชะมัด’ ติงเสี่ยวโหรวคิด แต่พอได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกว่ายังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ดูออกว่าเจินเจิ้งหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ เลย

“จริงสิ ฉันยังไม่ได้ถามเลยว่าคุณทำงานอะไร ฉันเป็นคนออกแบบตู้แสดงเสื้อผ้าค่ะ แบบว่าเป็นคนใส่เสื้อผ้าให้หุ่นอะไรประมาณนี้” ติงเสี่ยวโหรวบอก

“อ๋อ ผมทำงานที่สำนักงานกิจการพลเรือนครับ แต่ผมหวังเป็นอย่างยิ่งนะครับว่าจะไม่ได้ทำงานรับใช้คุณในสักวันหนึ่ง” เจินเจิ้งยิ้ม

“ทำไมล่ะคะ” ติงเสี่ยวโหรวสงสัย

“เพราะเขาทำแผนกทะเบียนหย่าไงล่ะ” ฉือซิ่นบอก

บริกรสองสามคนทยอยนำอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ

“คุณเห็นผมแต่งตัวอย่างนี้ คงจะคิดใช่มั้ยล่ะครับว่าผมไม่ค่อยเหมือนพวกที่จะมากินข้าวในที่แบบนี้” เจินเจิ้งถาม

ติงเสี่ยวโหรวบอกแบบไม่อ้อมค้อม “ไม่เหมือนเลยค่ะ เหมือนคนที่ออกจากบ้านมากินเครื่องในหมูพะโล้มากกว่า”

คำพูดนี้ทำให้ทั้งฉือซิ่นและเจินเจิ้งหัวเราะออกมา

 “ความจริงแล้ว อาหารมื้อนี้ถ้าจะพูดให้ถูก ผมไม่ได้เป็นคนจ่ายหรอกครับ เมื่อตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ ผมมีโอกาสได้ดูแลคู่สามีภรรยาที่จะมาเซ็นใบหย่ากันอยู่คู่หนึ่ง ทั้งสองคนต่างตัดสินใจดีแล้ว เหลือแค่รอให้ผมประทับตราก็ถือเป็นอันเสร็จสมบูรณ์ นี่มันคืองานของผม พูดอย่างนี้ก็ไม่ผิดหรอกครับ ตราประทับไม่ได้มีความรู้สึกรู้สาอะไร แต่ผมมีนี่นา ผมเห็นว่าทั้งสองกล้ำกลืนฝืนความรู้สึกไว้ ผมจึงบอกไปว่าน้ำหมึกหมดแล้ว ให้พวกเขารอสักครู่ จากนั้นผมก็ไปห้องควบคุมแล้วดูที่จอภาพ ผมเห็นพวกเขากอดกันร้องไห้ ผมถึงกลับเข้าไปอีกครั้ง ตอนเข้าไปในห้อง ทั้งสองคนกลับไปแล้ว ฝ่ายชายซึ่งนั่งอยู่ข้างผมทิ้งกระดาษโน้ตไว้ให้ บอกว่า ‘ขอบคุณมากพี่ชาย พวกเรารู้ว่าที่จริงน้ำหมึกไม่ได้หมด พวกเราไม่หย่ากันแล้ว จะกลับไปดูแลกันให้ดี’ แล้วพวกเขาก็ยังทิ้งบัตรวีไอพีของภัตตาคารไว้ให้อีกหนึ่งใบ ผมตามออกไป พวกเขาก็หายไปแล้ว” เจินเจิ้งเล่า

ติงเสี่ยวโหรวทอดถอนใจ “อาหารมื้อนี้จะต้องอร่อยแน่นอนค่ะ เพราะใส่ความรู้สึกใส่ใจลงไปด้วย”

ทั้งสามคนยกแก้วขึ้นมา เริ่มมีความสนิทสนมกลมเกลียวกันมากขึ้น ในเวลานี้ติงเสี่ยวโหรวเพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามือซ้ายของเจินเจิ้งไม่มีนิ้วกลาง

“จะว่าอะไรมั้ยคะถ้าฉันจะขอถามเรื่องนิ้วกลางของคุณน่ะค่ะ” ติงเสี่ยวโหรวบอก

เจินเจิ้งยิ้ม เขาแกว่งมือซ้ายของตัวเองไปมา “เจ้านี่น่ะเหรอครับ เรื่องมันผ่านมาหลายปีแล้วละ ตอนนั้นผมยังเรียนชั้นอนุบาลอยู่เลย เรื่องเกิดที่ตึกสองชั้นหลังเก่าๆ เช้าวันหนึ่งอาจารย์กำลังเล่นเปียโนให้พวกเราร้องเพลง แล้วห้องเรียนก็ถล่มลงมา ผมเอาตัวเองไปบังเพื่อนๆ เอาไว้ มือซ้ายเลยถูกก้อนหินทับ กว่าจะถูกช่วยออกมาฟ้าก็มืดแล้ว ด้วยเหตุนี้เลยรักษานิ้วกลางของผมไว้ไม่ได้”

ติงเสี่ยวโหรวเอ่ยออกมาจากใจจริง “ฉันว่าคุณเป็นคนเก่งมากๆ เลยนะคะ คุณจะต้องหารักแท้เจอแน่นอน”

เจินเจิ้งยิ้มฝืดฝืน “ผมเองก็หวังว่าตัวเองจะได้พบเจอกับรักแท้เช่นกันครับ ว่าแต่รักแท้มันอยู่ที่ไหนล่ะครับ บางทีมันอาจจะไม่ค่อยชอบผมเลยคอยจะหลบหลีกผมอยู่เรื่อย ผมไม่กลัวพวกคุณจะหัวเราะเยาะหรอกนะ บางครั้งผมก็นึกอิจฉาพวกคนที่มาหย่ากัน อย่างน้อยพวกเขาก็เคยรักกันมาก่อน ผมกลัวว่าตลอดชีวิตนี้ผมจะไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกที่ถูกใครสักคนมารักเลย”

ติงเสี่ยวโหรวให้กำลังใจเขา “ไม่มีทางหรอกค่ะ คุณก็มีฉันไม่ใช่เหรอ”

ฉือซิ่นพูดขึ้นมาบ้าง “ใช่ ติงเสี่ยวโหรวช่วยนายได้นะ”

ติงเสี่ยวโหรวเหลือบมองฉือซิ่น “งั้นเริ่มเลยดีกว่า”

ฉือซิ่นพยักหน้า

ติงเสี่ยวโหรวยกแก้วเหล้าตรงหน้าขึ้นมาพร้อมกับบอกว่า “เจินเจิ้ง เรามาคบกันเถอะ”

เจินเจิ้งตอบ “ตกลง”

ทั้งสองคนชนแก้วกันแล้วยกเหล้าขึ้นดื่ม

“ตอนนี้พวกเราคบกันอย่างเป็นทางการแล้ว วางใจเถอะ อีกไม่นานคุณต้องได้พบเจอกับรักแท้แน่นอน” ติงเสี่ยวโหรวบอก

เจินเจิ้งดีใจ “ขอบคุณมากนะครับ”

“ฉันขอบอกวิธีหารักแท้ให้คุณอีกหนึ่งวิธีนะคะ ให้คุณวิ่งรอบสนามสิบรอบทุกวัน แล้วคำอธิษฐานเรื่องความรักที่อยู่ในใจตลอดมาจะเป็นจริง!”

เจินเจิ้งสนอกสนใจ “จริงเหรอ”

“จริงสิ โดยเฉพาะหนุ่มโสดอย่างพวกคุณ ใช้ได้ผลดีนักละ” ติงเสี่ยวโหรวตอบกลับ

เมื่อฟังจบเจินเจิ้งก็ยกมือไปพาดไว้บนไหล่ของฉือซิ่น “กับเขาคงไม่ได้ผลแล้วละ เขามีแฟนแล้ว คบกันมาเกือบจะสิบปีตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยจนถึงตอนนี้ มันไม่ง่ายเลย เขากับเจี่ยงหยวนเป็นคู่ที่พวกเราทุกคนอิจฉาที่สุดเลย”

ท่าทีของฉือซิ่นดูอึดอัด

ที่แท้เจินเจิ้งยังไม่รู้ว่าฉือซิ่นเลิกกับแฟนแล้ว...ติงเสี่ยวโหรวคิดได้ดังนั้นจึงรีบเปลี่ยนประเด็นสนทนา “เราคุยเรื่องอื่นกันดีกว่านะ!”

“โอเค พวกคุณสองคนรู้จักกันที่ไหนเหรอ” เจินเจิ้งถาม

ฉือซิ่นที่เพิ่งดื่มเครื่องดื่มเข้าไปเกือบจะสำลัก

ติงเสี่ยวโหรวกำลังอ้าปากจะตอบ ทว่าโดนฉือซิ่นพูดตัดหน้าไปก่อน “ในกลุ่มที่น่าสนใจ”

“ใช่ค่ะ ถ้าจะพูดให้เห็นภาพก็คือจัดการสอนวิธีการด่าคนอื่น” ติงเสี่ยวโหรวเสริม

เจินเจิ้งเหลือบมองฉือซิ่น ฉือซิ่นพยักหน้าอย่างร้อนตัว 

“เดี๋ยวฉันมีธุระต้องไปทำต่อ”

ติงเสี่ยวโหรวเข้าใจขึ้นมาทันที “ใช่ ตอนบ่ายฉันก็มีธุระ งั้นวันนี้เราพอแค่นี้ก่อนดีมั้ยคะ”

เจินเจิ้งลุกขึ้นพร้อมกับยกแก้วขึ้น

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ พวกเราเลิกกันเถอะ” ติงเสี่ยวโหรวบอก

เจินเจิ้งพูดบ้าง “ยินดีด้วยกับการเลิกกัน!”

ตอนที่มาถึงท้องฟ้ายังคงแจ่มใส ทว่าจู่ๆ ฝนก็ตกลงมา หยดน้ำฝนชโลมลงบนพื้นถนนแห้งผากอย่างรวดเร็วและอากาศก็เย็นลงมากด้วย

ติงเสี่ยวโหรวหลบอยู่ตรงบันได ตอนที่กำลังจะเรียกรถคันหนึ่งก็ได้ยินเสียงล้อรถยนต์เสียดสีกับถนนดังขึ้น ฉือซิ่นขับรถผ่านมา เขาทำมือเป็นสัญญาณบอกให้เธอขึ้นรถ ติงเสี่ยวโหรวไม่เกรงใจใดๆ อีก เธอเปิดประตูรถและเข้าไปนั่ง ด้านนอกคือเสียงฝนที่สาดซัดดังเข้ามา ทว่าภายในรถกลับเงียบกริบ เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจอย่างชัดเจน

“เมื่อกี้ขอบคุณเธอมากนะที่ช่วยพูดแทนฉัน”  ฉือซิ่นบอก

“ฉันทนเห็นคนอื่นลำบากใจไม่ได้หรอก” ติงเสี่ยวโหรวหยุดคิดก่อนจะเสริมขึ้นมาอีก “ถึงเป็นคนอื่น ฉันก็จะทำเหมือนกัน ฉันน่ะ พอเห็นคนอื่นลำบากใจแล้วจะรู้สึกไม่ดี แต่ฉันนึกว่าเจินเจิ้งรู้แล้วซะอีกว่านายเลิกกับแฟนแล้ว”

“เรื่องที่เลิกกับเจี่ยงหยวน ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟังแม้แต่คนเดียว”

“ฉันเข้าใจความรู้สึกของนายนะ มันเหมือนกับว่าพอไม่พูด ทุกคนก็คิดว่าพวกนายยังคบกันอยู่ ถ้าวันหนึ่งพวกเขารู้ขึ้นมาก็คงจะคอยมาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง แต่การทำอย่างนั้นกลับย้ำเตือนอยู่ตลอดเวลาว่าพวกนายเลิกกันแล้ว”

ฉือซิ่นเหลียวมองติงเสี่ยวโหรว แววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

ติงเสี่ยวโหรวยิ้ม “เพราะฉันเคยผ่านช่วงเวลาของการหลอกตัวเองและหลอกคนอื่นมาเหมือนกัน ครั้งแรกที่อกหัก ฉันร้องไห้ทุกวี่ทุกวัน ไม่กล้าบอกใครเพราะกลัวว่าพวกเขาจะมาปลอบใจฉัน หลังจากนั้นฉันก็อกหักมาตลอดจนเริ่มคุ้นชินกับมัน ฉันบอกกับตัวเองตอนที่ชอบใครสักคนว่า ถ้ามีคะแนนเต็มหนึ่งร้อย ให้ชอบแค่แปดสิบพอ แบบนี้พอเลิกกันจะได้ไม่ต้องเสียใจมาก ดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับการอกหักน่ะ ฉันถือเป็นรุ่นพี่ของนายนะ”

ฉือซิ่นพึมพำกับตัวเอง “ขนาดโดนทิ้งยังจะหวังให้อีกฝ่ายมีความสุขอีกนะ”

“เรามันก็เป็นประเภททุ่มเทให้ความรักเหมือนกันนั่นแหละ หวังเท่อทำกับฉันขนาดนั้น แต่ฉันยังจำแต่เรื่องดีๆ ของเขา ใครบอกว่าเราใจอ่อนกัน คนใจอ่อนน่ะมีแต่จะลำบาก”

“หวังเท่อคือแฟนเก่าของเธอใช่มั้ย ฉันเห็นเธอจดไว้ในสมุด” ฉือซิ่นถาม

“ขอแก้หน่อย ไม่ใช่แฟนเก่า แต่เป็นแฟนเก๊าเก่าต่างหาก” ติงเสี่ยวโหรวพูดต่ออีก “นายทำให้ฉันนึกขึ้นได้”

ติงเสี่ยวโหรวดึงไดอะรีปกสักหลาดออกมาจากกระเป๋า พร้อมกับหยิบปากกาขึ้นมาเขียนลงไปบนสมุดอย่างตั้งใจ

แฟนเก่าคนที่ 31 เจินเจิ้ง

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น