บทที่สอง
มีคนอยากคบกับเธอ
เธอก็แค่ได้พบกับผู้ชายที่เคยแอบชอบในวัยเด็กอีกครั้ง ผู้ชายที่มีตัวตนต่างจากที่เธอคิดไว้ราวฟ้ากับเหว ผู้ชายที่พูดอะไรโดยไม่คิดถึงใจคนอื่น ผู้ชายที่ทำให้เธอรู้สึกเกลียดชังเหลือเกิน
ความจริงมันเป็นแค่เพียงการพบเจอกันชั่วครั้งชั่วคราว จะเรียกว่าเป็นพรหมลิขิตก็เรียกได้ไม่เต็มปาก
แต่สุดท้ายทำไมถึงได้รู้สึกเจ็บปวดนะ
7
ติงเสี่ยวโหรวกอดอกมองคนฝั่งตรงข้ามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ฉือซิ่นรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย “อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนี้ได้มั้ย ทำอย่างกับเราสองคนมีความแค้นต่อกันอย่างนั้นแหละ” เขาพูดพลางวางไดอะรีปกผ้าสักหลาดลงบนโต๊ะ
ติงเสี่ยวโหรวรีบดึงมันกลับมาถือไว้พร้อมกับสำรวจอย่างละเอียด เธอมักจะพกสมุดเล่มนี้ติดตัวไปไหนมาไหนด้วยเสมอ หลังจากที่รถชนก็ไม่เห็นมันอีกเลย ภาพข้าวของในกระเป๋าของเธอเหมือนป็อปคอร์นที่สุกได้ที่พุ่งกระเด็นออกไปนอกหน้าต่างรถตอนที่รถชน เธอยังจำได้มาจนถึงทุกวันนี้
“จะไม่ขอบคุณสักคำเลยหรือไง” ฉือซิ่นว่า
“ทำไมมันถึงไปอยู่กับนายได้” ติงเสี่ยวโหรวถาม
“พรหมลิขิตมั้ง”
ติงเสี่ยวโหรวหยิบเงินห้าร้อยหยวนออกมาจากกระเป๋า “เมื่อกี้ฉันเพิ่งไปเบิกเงินที่เหลืออยู่ทั้งหมดในอาลีเพย์ออกมา มีอยู่ห้าร้อย นายอย่าเพิ่งคิดว่ามันน้อย เดี๋ยวฉันจะเขียนใบสัญญาแจ้งหนี้ให้นาย พอเงินเดือนออกแล้ว ฉันจะรีบเอาเงินนอกเหนือจากค่าใช้จ่ายอย่างอื่นที่เหลืออยู่ทั้งหมดมาคืนนาย”
เธอจำเป็นต้องแกล้งทำเป็นโกรธ และต้องวางมาดนิดหน่อยเพื่อให้อีกฝ่ายยอมจำนน แม้จะรู้สึกผิด ทว่าเธอไม่ได้มีเจตนาจะไม่จ่ายหนี้ แล้วเธอก็ไม่มีอะไรให้กลัวด้วย
“พอได้เจอเจ้าหนี้ก็พูดจาเป็นการเป็นงานขึ้นมาเลยแฮะ” ฉือซิ่นแขวะ “ที่ฉันให้เธอมาหาวันนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องเงินหรอก”
ติงเสี่ยวโหรวเริ่มไม่สบายใจ “นอกจากเรื่องเงิน ฉันยังมีเรื่องอะไรให้คุยกับนายอีกเหรอ”
บริกรของร้านเดินผ่านมาพอดี พอได้ยินติงเสี่ยวโหรวพูดเขาก็แอบยิ้ม ติงเสี่ยวโหรวรู้ว่าเขากำลังเข้าใจผิด แต่เธอไม่สามารถไปควบคุมให้ใครคิดตามใจเธอได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงพูดต่อ “ทำไม หรือนายจะบอกว่าเห็นแก่ที่เราเรียนโรงเรียนเดียวกันเลยจะลดหนี้ให้ฉันเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์เหรอ”
ฉือซิ่นยังคงใจเย็น “ฉันบอกไปแล้วไงว่าที่ให้เธอมาหาวันนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน”
ติงเสี่ยวโหรวมองหน้าเขา “งั้นก็พูดมาสิ เรื่องอะไรล่ะ”
ฉือซิ่นชี้ไปที่ไดอะรีบนโต๊ะ “คนที่ถูกจดบันทึกอยู่ในนั้นคือแฟนเก่าของเธอทั้งหมดเลยเหรอ”
“นายอ่านหมดแล้วเหรอ” ติงเสี่ยวโหรวถาม
ฉือซิ่นพยักหน้า “แล้วฉันก็โทร. ไปหาเบอร์ที่อยู่ในนั้นหลายเบอร์ด้วย”
ติงเสี่ยวโหรวเริ่มร้อนรน “นายจะบ้าเหรอ ทำไมต้องไปรบกวนคนอื่นด้วย”
ฉือซิ่นตอบกลับ “ถ้าจะไม่ติดต่อไป ทำไมต้องจดช่องทางการติดต่อของอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยล่ะ”
ติงเสี่ยวโหรวอธิบาย “ฉันไม่ได้จดช่องทางการติดต่อของอีกฝ่ายไว้เพื่อที่จะติดต่อกลับไป แต่...”
“เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าคำสาปนั้นยังคงอยู่”
ติงเสี่ยวโหรวแบะปาก “รู้แล้วยังจะถาม”
“โอเค งั้นฉันจะถามในเรื่องที่ยังไม่รู้ก็แล้วกัน ฉันคิดว่าบางครั้งความหมายของการมีความรักมันไม่ได้ตายตัว การแอบรัก การรักคนอื่นข้างเดียวก็ถือว่าเป็นความรักเหมือนกัน คนสองคนรู้อยู่แก่ใจแต่ไม่ได้พูดออกมาก็คือความรัก การเดินจับมือกัน การจูบกันก็คือความรัก มีเซ็กซ์กันก็ถือว่าเป็นความรัก ไม่ทราบว่าเธอกับแฟนของเธอให้คำจำกัดความของคำว่าความรักไว้ว่ายังไงล่ะ” ฉือซิ่นถาม
ติงเสี่ยวโหรวนึกฉุน “ไอ้คนอันธพาล”
ฉือซิ่นรีบออกตัว “เธออย่าเพิ่งเข้าใจผิด ฉันแค่อยากถามให้แน่ใจ จะได้ตัดสินใจถูกว่าควรขอให้เธอช่วยดีมั้ย”
“มีอะไรก็พูดมาตรงๆ อ้อมค้อมอยู่นั่นแหละ ตกลงแล้วมีเรื่องอะไรกันแน่” ติงเสี่ยวโหรวถาม
ฉือซิ่นขมวดคิ้วเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ราวกับมีเรื่องร้อนใจอยากจะพูด ทว่ายังคงลังเลอยู่
ติงเสี่ยวโหรวรอไม่ไหวอีกต่อไป เธอก้มหน้าลงเก็บของใส่กระเป๋า “ไม่พูดใช่มั้ย งั้นฉันไปแล้วนะ”
ฉือซิ่นลุกพรวดขึ้น ในที่สุดเขาก็ยอมเปิดปาก “มีคนอยากคบกับเธอ!”
ติงเสี่ยวโหรวมองเขาอย่างตกใจ...แม้จะผ่านไปเนิ่นนาน ทว่าดูแล้วสติก็ยังกลับเข้าร่างไม่เต็มร้อย
ตกเย็น ชาช่ามากินข้าวเย็นที่บ้านของเธอ
ตู้ลี่ลี่ตั้งใจทำอาหารบ้านเกิดหลายอย่างขึ้นมาโดยเฉพาะ ชาช่ากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนติงเสี่ยวโหรวที่นั่งข้างๆ กลับไร้ซึ่งความอยากอาหารใดๆ ทั้งสิ้น
“แกดูอย่างชาช่าซิ ถึงจะเกิดมาเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งก็ต้องกินให้อิ่มสิ” ตู้ลี่ลี่ว่า
ชาช่าพูดทั้งที่ข้าวยังเต็มปาก “คุณน้าไม่ต้องห่วงยายนี่หรอกค่ะ เธอก็แค่กินเหมือนคนอกหักเท่านั้นเอง”
ตู้ลี่ลี่วางตะเกียบลง “แกอกหักเหรอ”
ติงเสี่ยวโหรวและชาช่ารีบปฏิเสธ “เปล่าค่ะ!”
ตู้ลี่ลี่ครุ่นคิด “น้าเองก็อยากจะให้ยายนี่อกหัก แต่ติดที่ว่าเธอไม่เคยมีความรักเลยสักครั้งน่ะสิ”
หัวใจของติงเสี่ยวโหรวเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นออกมา
“ชาช่า คราวที่แล้วหนูยืมเงินไปทำอะไรเหรอ”
“เงินอะไรคะ” ชาช่าถาม
หัวของติงเสี่ยวโหรวกำลังจะระเบิดแล้ว
“หนูไม่ได้ให้เสี่ยวโหรวมายืมเงินจากน้าไปสองหมื่นหยวนหรอกเหรอ” ตู้ลี่ลี่ถามอีก
ติงเสี่ยวโหรวพยายามขยิบตาส่งสัญญาณให้ชาช่ารู้ และชาช่าก็เข้าใจทุกอย่างทันที
“อ๋อ คุณน้าพูดถึงเงินสองหมื่นหยวนนั่นน่ะเหรอคะ! หนูเอาไปทำอะไรนะ...อ้อ แม่หนูจะไปเที่ยวต่างประเทศค่ะ แต่ตอนนั้นเงินหนูหมดเลยต้องมาขอยืมเสี่ยวโหรว”
ตู้ลี่ลี่อบรมสั่งสอนลูกสาว “แกดูชาช่าสิ ที่มายืมเงินเพราะตัวเองไม่มีเงินจะให้แม่ไปเที่ยวต่างประเทศ”
ตู้ลี่หมิงยืนขึ้น “พวกเธอกินต่อเลย น้าต้องไปเต้นแล้ว”
ติงเสี่ยวโหรวกับชาช่าพากันประสานเสียงตอบกลับ “น้าไปเถอะค่ะ”
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ติงเสี่ยวโหรวก็ลากชาช่าเข้าไปในห้อง ซึ่งกลายเป็นฐานลับแห่งมิตรภาพของทั้งสองคนมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย
“ต่อจากนี้ไปเธอต้องหัวไวให้มากกว่านี้นะ แม่ฉันไม่ได้โง่ เมื่อกี้แม่จะต้องสงสัยอะไรบ้างแน่นอน” ติงเสี่ยวโหรวบ่น
“ยังจะมาโทษฉันอีกเหรอ ทีเธอควักเงินให้หวังเท่อไปซื้อบ้านยังไม่ยอมบอกฉันสักคำ!” ชาช่าโวยวาย
ติงเสี่ยวโหรวรีบบอก “เบาเสียงลงหน่อยได้มั้ยล่ะ ฉันผิดไปแล้ว”
“รู้ว่าผิดก็แก้ไขซะ รีบไปเอาเงินคืนมาเดี๋ยวนี้!” ชาช่าเริ่มโมโห
“ฉันให้สัญญากับเธอเลยว่าฉันจะต้องไปเอาเงินคืนมาให้ได้ทุกบาททุกสตางค์!” ติงเสี่ยวโหรวบอก
“อย่างนี้ค่อยดีหน่อย ถ้ามีเรื่องยุ่งยากอะไรให้เรียกฉัน เจ้จะบังคับให้เขาคายเงินออกมาเอง”
ติงเสี่ยวโหรวเอ่ยขึ้น “วันนี้ที่ฉันเรียกเธอมา ไม่ใช่เพราะจะพูดเรื่องหวังเท่อหรอก”
“แล้วเรื่องใครล่ะ”
“ฉือซิ่น”
ชาช่ามองตาติงเสี่ยวโหรว แวบหนึ่งเธอมีความรู้สึกเหมือนเห็นท่าทางของสาวน้อยวัยแรกแย้มอีกครั้ง ภาพชายหนุ่มเริ่มชัดเจนขึ้นมาพร้อมๆ กับชื่อของเขาที่ผุดขึ้นมาในใจ
“เขาน่ะเหรอ!” ชาช่าตื่นเต้น
ติงเสี่ยวโหรวพยักหน้า...นี่เป็นความลับของพวกเธอ
วันหนึ่งในเทอมสอง สมัยเรียนมัธยมปลายปีหนึ่ง ติงเสี่ยวโหรวกับชาช่ากำลังกินข้าวอยู่ที่ร้านอาหาร พัดลมไฟฟ้าเป่าลมฟู่ๆ อยู่บนหัว ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอาหารและกลิ่นควัน
‘ฉันมีคนที่ชอบแล้ว’ ติงเสี่ยวโหรวบอกกับชาช่า
ชาช่ายังจำได้ว่าตอนที่พูดประโยคนี้ ใบหน้าของอีกฝ่ายมีสีแดงระเรื่อ จนทำให้คนมองรู้สึกว่างดงามเหลือเกิน
‘ชื่ออะไรเหรอ อยู่ห้องไหน’ ชาช่าสนอกสนใจ
‘ฉือซิ่น มัธยมปลายปีสาม ห้องเจ็ด’
‘ฉือซิ่น? ชื่อน่าสนใจดีนี่นา’ ชาช่าบอก ‘ถ้าเธอชอบต้องรีบหน่อยแล้วละ ปีหน้าเขาก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนะ’
‘พูดอะไรของเธอน่ะ ฉันแค่รู้สึกว่าเขาดูดีก็เท่านั้นเอง ยังไม่ได้คิดจะจีบสักหน่อย’ ติงเสี่ยวโหรวแย่งเนื้อจากจานข้าวราดแกงของชาช่ามาหนึ่งชิ้น
‘ชิ! ทำเป็นชอบ แต่จริงๆ ไม่ได้ชอบละสิ’ ชาช่าล้อ
‘อย่างฉันเนี่ยเขาเรียกว่ามีชีวิตอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงย่ะ ผู้หญิงที่ชอบเขามีเป็นพรวน แล้วช่วยบอกทีเถอะว่าสภาพอย่างฉันในตอนนี้จะทำให้เขาหันมาเหลียวแลได้ยังไง’
ชาช่ามองหน้าอกที่ยังไม่ทันจะตั้งเต้าของติงเสี่ยวโหรว ‘ที่เธอพูดก็ถูก งั้นเรากินข้าวกันต่อดีกว่า’
แล้วจู่ๆ ติงเสี่ยวโหรวก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ ‘เขาเดินมาแล้ว!’
ชาช่าเหลียวมอง ‘ไหน อยู่ตรงไหน’
เสียงที่ไม่เบานักของชาช่าเรียกสายตาของบรรดานักเรียนหันมามอง ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลา ไม่ต้องถามชาช่าก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นคนที่ติงเสี่ยวโหรวชอบอย่างแน่นอน
เด็กหนุ่มเดินผ่านพวกเธอไป ชาช่ารีบมองหาติงเสี่ยวโหรว ทว่ามองไม่เห็นแม้แต่เงาของอีกฝ่ายแล้ว ติงเสี่ยวโหรวหลบไปนั่งกอดเข่าอยู่หลังเสาต้นหนึ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
ต่อมาทุกครั้งที่ชาช่าได้ยินคนพูดถึงความรักในวัยเยาว์ เธอมักจะนึกถึงติงเสี่ยวโหรวผู้เป็นเพื่อนสนิทเสมอ ท่าทางแบบนั้นคงเป็นท่าทางเวลาที่แอบชอบใครสักคนหนึ่งละมั้ง
หลังจากวันนั้น ติงเสี่ยวโหรวก็คิดหาวิธีไปเจอหน้าฉือซิ่นตลอด เพราะไม่ได้เรียนอยู่ชั้นปีเดียวกัน อีกทั้งตึกเรียนทั้งสองหลังนั้นอยู่ห่างกัน ทุกวันเมื่อออดเลิกเรียนดังขึ้น ติงเสี่ยวโหรวมักจะลากชาช่าวิ่งหน้าตั้งไปยังตึกเรียนของเด็กมัธยมปลายปีสาม ทั้งสองคนตรงไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่ชั้นเดียวกันกับห้องเรียนของฉือซิ่น แกล้งทำเป็นเดินผ่านประตูห้องเรียนของเขาไปอย่างไม่ตั้งใจ และหากวันไหนได้พบกับฉือซิ่น วันนั้นติงเสี่ยวโหรวจะอารมณ์ดีไปทั้งวัน ซึ่งส่วนมากเขาชอบก้มหน้าก้มตาทำงาน เห็นถึงร่างกายผอมเพรียวภายใต้ชุดนักเรียนหลวมโคร่ง ประกอบกับเสี้ยวหน้าด้านข้างที่ทำให้คนใจเต้น และดวงตาเป็นประกายเต้นระริกล้อมกรอบด้วยแพขนตา
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ติงเสี่ยวโหรวไปเข้าห้องน้ำตามลำพัง เธอมองไปที่โต๊ะตัวนั้นตามความเคยชินเวลาเดินผ่านประตูห้องเรียน ทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา พอหันหลังกลับไปจึงเห็นว่าฉือซิ่นยืนพิงราวระเบียง คุยกับนักเรียนชายในห้องอีกสองสามคนอยู่ ตอนนั้นเธออยู่ใกล้เขามาก...ใกล้กันจนมือสัมผัสได้ ใกล้จนกระทั่งได้กลิ่นกายของเขา เธอก้มหน้าลงแล้วเดินจากมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว...ไม่ได้รับรู้ด้วยซ้ำว่าหัวใจของเด็กสาวคนหนึ่งกำลังเต้นแรงแค่ไหน
ส่วนเรื่องต่อจากนี้...ไม่มีแล้ว ฉือซิ่นสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ติงเสี่ยวโหรวร้องไห้คร่ำครวญหนักมาก เธอมุ่งหน้าเรียนหนังสืออย่างเดียว ยุ่งอยู่กับชีวิตของตัวเอง ทั้งสองคนอยู่ไกลกัน เหลือทิ้งไว้เพียงความชอบอันเลือนรางและความเศร้าแสนเปราะบางเท่านั้น
ช่วงเวลาเหล่านั้นยังคงถูกชาช่าหยิบยกขึ้นมาล้อเลียนอยู่บ่อยครั้ง สุดท้ายวัยเยาว์ก็เป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น
ชาช่ามองดูติงเสี่ยวโหรวที่สติหลุดลอยไปไกลก่อนจะสะกิดเบาๆ “เธอเจอกับฉือซิ่นเหรอ ยังคิดจะสานต่อพรหมลิขิตกับเขาเหมือนก่อนหน้านี้อีกมั้ยล่ะ”
“อย่ามาพูดเหลวไหลน่า หลายวันที่ผ่านมาฉันกลุ้มใจมากเลยนะ ฉันคิดมาตลอดว่าไม่เจอยังจะดีซะกว่า เขาไม่เหมือนกับคนที่อยู่ในความทรงจำของฉันแม้แต่นิดเดียว พูดจาไม่รักษาน้ำใจคนฟัง แถมบุคลิกท่าทางก็ไม่ได้สง่างามเลย”
ด้วยเหตุนี้ ติงเสี่ยวโหรวจึงเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้ชาช่าฟังอีกรอบ
‘มีคนอยากคบกับเธอ’
ประโยคนี้ของฉือซิ่นดังขึ้นข้างหูอีกรอบ ติงเสี่ยวโหรวว้าวุ่นจนถึงขีดสุด
“เธอจะบอกว่าฉือซิ่นอยากให้เธอไปคบกับเพื่อนสนิทของเขางั้นเหรอ คบเสร็จแล้วจะถือว่าเธอไม่ได้ติดค้างเงินค่าซ่อมรถที่ต้องจ่ายให้เขาอีกต่อไป?” ชาช่าถาม
ติงเสี่ยวโหรวทำมือปฏิเสธ “ฉันไม่มีทางตอบตกลงแน่นอน”
“ทำไมล่ะ”
ติงเสี่ยวโหรวนึกโมโห “เห็นความรักเป็นธุรกิจ เรื่องแบบนี้ฉันไม่มีทางตอบตกลงแน่นอน”
ชาช่าหัวเราะ “เธอรู้เรื่องทฤษฎีดอกกุหลาบขาวดอกกุหลาบแดงของจางอ้ายหลิงนี่นา บางทีอีตาฉือซิ่นอะไรนั่นอาจจะเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว ตอนนั้นที่เธอชอบเขามากขนาดนั้นเพราะเธอไม่รู้จักเขาดีพอ ก็เลยคิดเพ้อไปว่าเขาเป็นผู้ชายสมบูรณ์แบบ กลับกัน...ฉันรู้สึกว่าเธอจะลองทำเรื่องนี้ดูก็ไม่ได้เสียหายอะไร”
ติงเสี่ยวโหรวค้าน “เธอมากินข้าวกินน้ำที่บ้านฉัน แต่ทำไมถึงเอาแต่พูดเข้าข้างคนอื่นนะ ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ฉันไม่เล่าให้เธอฟังหรอก”
“ไม่บอกฉันก็ไปบอกแม่ของเธอนู่นไป๊” ชาช่าเดินกรีดกรายไปทางประตูห้อง “ฉันจะเปิดประตูให้ ส่วนเธอก็ไปอธิบายให้คุณน้าฟังดีๆ...”
ติงเสี่ยวโหรวดึงมือชาช่าไว้พร้อมลากเธอกลับเข้ามาในห้องแทบไม่ทัน เธอขมวดคิ้ว “ฉันกำลังจริงจังนะ”
ชาช่าตอบกลับ “ฉันก็ไม่ได้กำลังล้อเล่นกับเธอสักหน่อย ฉันคิดว่าเธอควรจะลองดูจริงๆ อย่างแรก ตอนนี้เธอมีฐานะเป็นลูกหนี้ แค่ลองคบกันดูก็ไม่ต้องคืนเงินเลยสักบาท แล้วอย่างที่สอง เธออย่าคิดว่าการมีความรักเพราะเรื่องเงินมันเป็นการดูหมิ่นเกียรติยศศักดิ์ศรีของเธอ เธอแค่กำลังช่วยตัวเองอยู่ เข้าใจมั้ย ฉือซิ่นบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเพื่อนของเขาคนนี้เป็นพวกเข้าใจยาก ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีความสามารถในการหาแฟนให้ตัวเอง หลังจากเธอคบกับเขาแล้วเลิกกัน มีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะหาแฟนใหม่ไม่ได้ พอเป็นแบบนี้จะได้พิสูจน์ได้ไงว่าคำสาปที่เธอได้รับมาไม่มีอยู่จริง!”
ชาช่าพูดรัวมาชุดใหญ่จนทำให้ติงเสี่ยวโหรวเริ่มสับสน
“ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าเธอพูดมีเหตุผลนะ” ติงเสี่ยวโหรวบอก
“ถ้าฉันมีสิ่งพิเศษที่ไม่เหมือนใครนะ ฉันจะเปิดร้านกาแฟตรงย่านซานหลี่ถุน วันๆ จะเอาแต่คบกับผู้ชายหน้าตาดี หน้าที่การงานดี เป็นสุภาพบุรุษ ค่าสมัครลงชื่อเป็นแฟนจะยึดตามจำนวนทรัพย์สินที่แต่ละคนมี อย่างน้อยก็หนึ่งหมื่นหยวนขึ้นไป แล้วอย่าได้คิดว่าแพง คุณจะรักหรือไม่รักก็สุดแล้วแต่คุณ บางครั้งอาจจะลองคบกับหนุ่มกระเป๋าแบนดูบ้าง ลองใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาดูสักหน่อย ถือว่าทำบุญทำทาน” ชาช่าคิดเพ้อฝันไปไกล
“โอเค เธอเลิกพูดได้แล้ว” ติงเสี่ยวโหรวครุ่นคิด “หรือว่าฉันควรจะลองดู?”
ชาช่าโอบไหล่ติงเสี่ยวโหรวไว้พร้อมกับยิ้ม “ที่รักเริ่มฉลาดขึ้นแล้ว!”
ความคิดเห็น |
---|