4

ตอนที่ 3

3

 

“ยินดีกับผีน่ะสิ!”

ชาช่าโยนการ์ดเชิญลงถังขยะ

ด้วยความที่ในโรงพยาบาลมีคนพลุกพล่าน จึงไม่มีใครสังเกตเห็นความโกรธแค้นของแพทย์หญิงอายุยังน้อยคนนี้

“ทำไมไม่ตบเขาไปสักทีนะ ถ้าเป็นฉัน...ฉันจะตบให้แม่เขาจำลูกชายตัวเองไม่ได้เลย” ชาช่าพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา  ติงเสี่ยวโหรวเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเธอ แต่ไม่เคยทำอะไรได้ดั่งใจเธอสักอย่างเลย

“ยังไงซะเขาก็ทิ้งเธอแล้ว ยังจะต้องไปแคร์อะไรเขาอีก ด่าเขาไปสักชุดเหอะ ฉันจะบอกอะไรให้นะ การตัดใจที่ดีที่สุดคือการทำให้เจ็บช้ำน้ำใจกันทั้งสองฝ่าย” ยิ่งพูดชาช่ายิ่งโกรธ เธอลากติงเสี่ยวโหรวให้ออกเดินตาม “ไป เจ้จะไปคิดบัญชีเขาเป็นเพื่อนเธอ”

ติงเสี่ยวโหรวที่ถูกลากไปได้เพียงไม่กี่ก้าวสะบัดตัวเบาๆ “ฉันทำไม่ได้หรอก”

“โอ๊ย...หัดโกรธหัดเกลียดคนอื่นบ้างสิ ตอนแรกมันก็แปลกๆ แหละ แต่เดี๋ยวพอทำบ่อยๆ ก็ชินเอง เหมือนกับตอนที่ฉันเพิ่งจะได้ผ่าตัดใหม่ๆ ฉันก็ไม่กล้าเหมือนกัน” ชาช่าออกแรงลากเธออีกครั้ง

“เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าลูซี่ที่เป็นว่าที่เจ้าสาวของเขา คือหัวหน้าของฉัน”

ชาช่าชะงัก แต่ยังคงไม่ยอมแพ้ “เป็นหัวหน้าแล้วยังไงล่ะ เป็นหัวหน้าแล้วจะใช้อำนาจมาแย่งแฟนของคนอื่นยังไงก็ได้เหรอ ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่ต้องทำงานที่นี่แล้ว!”

“หยุดโวยวายได้แล้วชาช่า...” เสียงของติงเสี่ยวโหรวเบาหวิว “สภาพอย่างฉันจะให้หางานทำสักงานมันไม่ง่ายเลยนะ ถ้าลาออกจริงๆ จะให้ฉันไปทำอะไรล่ะ”

ก่อนหน้านี้ติงเสี่ยวโหรวเปลี่ยนงานมาสามงานแล้ว สาเหตุเพราะโรคลมหลับกำเริบในระหว่างที่กำลังทำงาน

ชาช่าเลิกล้มความตั้งใจไปในที่สุด 

สมัยรู้จักกันใหม่ๆ ช่วงมัธยมปลาย ทั้งสองคนยังเป็นแค่เด็กวัยรุ่น ทว่านิสัยนั้นกลับแตกต่างกันอย่างชัดเจน คนหนึ่งเป็นคนประเภทมีบุญคุณต้องทดแทน มีความแค้นต้องชำระ กล้าคิดกล้าพูด อีกคนนั้นเป็นคนไม่สู้คน อะไรก็โทษตัวเองไปหมด

ติงเสี่ยวโหรวก้มหน้าลง ดวงตาเศร้าสร้อย

“เธอจะทนแบบนี้ต่อไปเหรอ เธอจะมองดูพวกเขาแสดงออกว่ารักกันปานจะกลืนกินได้เหรอ” ชาช่าถาม

“รอให้โบนัสงวดที่แล้วออกมาก่อนฉันค่อยคิดดูอีกที ให้มีเงินติดตัวอยู่นิดหน่อยดีกว่า จะได้ไม่ต้องมานั่งกังวล” ติงเสี่ยวโหรวยิ้มออกมาราวกับไม่คิดอะไรมาก “จริงสิ เธอจำได้มั้ยว่าหวังเท่อเป็นแฟนคนที่เท่าไหร่ของฉัน”

คำถามนี้ไม่ยากสำหรับชาช่าเลย เธอชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว “คนที่สามสิบ ทำไมเหรอ”

พูดจบชาช่าก็รีบยกมือปิดปาก มองติงเสี่ยวโหรวที่กำลังมองตาโตมาทางเธอเช่นกัน

“คำสาปนั้นแผลงฤทธิ์อีกแล้วเหรอ”

ติงเสี่ยวโหรวพยักหน้า

สิบปีก่อนในห้องลองเสื้อผ้า หญิงตั้งครรภ์คนนั้นชี้นิ้วขึ้นฟ้าสาปแช่งติงเสี่ยวโหรว แม้จะเป็นเพียงการเข้าใจผิด แม้ว่าหญิงตั้งครรภ์ตั้งใจจะกล่าวสาปแช่งอีกคนหนึ่ง ทว่านับตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของติงเสี่ยวโหรวก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

เดิมทีเธอแค่เป็นโรคลมหลับ หรือพูดง่ายๆ ก็คือเธอสามารถวูบหลับได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ระยะเวลาของอาการนั้นไม่นานนัก ส่วนมากไม่เกินสิบนาที ติงเสี่ยวโหรวบอกว่าตลอดระยะเวลาที่มีอาการนั้นเธอจะจำอะไรไม่ได้เลย เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพอลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วควรจะทำอะไรต่อ

ตอนที่มีอาการใหม่ๆ ตู้ลี่ลี่ผู้เป็นมารดากังวลมาก ทว่าในผลรายงานการตรวจของโรงพยาบาลเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ยายเด็กคนนี้มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ตู้ลี่ลี่ถึงได้ตั้งตารอคอย เธอเคยได้ยินคนพูดว่า บางคนที่เมื่อก่อนเป็นคนปกติทั่วไป หลังจากป่วยหนักแล้วฟื้นขึ้นมาจะสามารถดูดวงทำนายอนาคตได้โดยไม่ต้องมีครูสอน 

ดังนั้นจึงมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ติงเสี่ยวโหรวฟื้นขึ้นมาจากโรคลมหลับ แล้วตู้ลี่ลี่ถามเธอว่า ‘ร้านของเราในปีนี้จะไปได้สวยมั้ย’

ติงเสี่ยวโหรวส่ายหน้า

‘ฉันจะหาคนรวยๆ สักคนมาเป็นคู่ชีวิตได้มั้ย’

ติงเสี่ยวโหรวส่ายหน้า

น้าชายตู้ลี่หมิงถาม ‘ปีนี้น้าจะหาแฟนได้มั้ย’

ติงเสี่ยวโหรวยังคงส่ายหน้า

ตู้ลี่ลี่หมดหวัง ‘แกจะบอกว่าไปได้ไม่สวย? หาไม่เจอ?’

ติงเสี่ยวโหรวตอบ ‘หนูจะบอกว่าหนูไม่รู้’

‘ช่างเถอะ ลูกสาวสุดที่รักเป็นโรคนี้ฟรีแล้วละ’ ตู้ลี่ลี่คิดจะปลอบใจลูกสาว ‘แต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ต่อจากนี้ไปแกห้ามไปเรียนขับรถอีก มันอันตราย’

ถึงไม่มีเรื่องเรียนขับรถ ชีวิตของเธอก็ยังคงมีอันตรายและต้องอับอายขายหน้าอย่างอื่นอยู่ดี อย่างเช่นบางครั้งไปกินข้าวที่ร้านอาหาร ตอนที่กำลังพูดคุยกับชาช่าอย่างสนุกสนาน อยู่ดีๆ วินาทีต่อมาก็หน้ากระแทกกับโต๊ะอาหารมันเยิ้มแล้วแน่นิ่งไม่ไหวติง ตอนที่กำลังร้องเพลงระหว่างอาบน้ำ จู่ๆ ก็หงายหลังล้มลงไปกองอยู่กับพื้น หรือตอนที่เรียนว่ายน้ำ ว่ายอยู่ดีๆ ก็จมน้ำซะอย่างนั้น หรือจะเป็นปีแรกที่สอบเข้ามหาวิทยาลัย ตอนที่สมองกำลังแล่นได้ที่ในตอนที่สอบภาษาและวรรณคดี แต่พอมือจับปากกาก็ดันฟุบหลับกับกระดาษข้อสอบไปซะอีก...

หากจะบอกว่าทั้งหมดเป็นเพราะโรคลมหลับก็ยังไม่ทำให้เด็กสาวคนหนึ่งรู้สึกว่าชีวิตขมขื่นแต่อย่างใด เพราะมีเรื่องที่น่ากลัวต่อจากนี้ต่างหาก

ตอนปีหนึ่ง ติงเสี่ยวโหรวมีแฟน อีกฝ่ายเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอ เขาตามจีบติงเสี่ยวโหรวอยู่นาน ติงเสี่ยวโหรวเป็นคนประเภทที่บางครั้งก็สงสัยว่าตัวเองไม่ได้รักใครสักคน แต่รักสิ่งที่เรียกว่ารักแท้ต่างหาก เธอทุ่มเททุกอย่างที่มีให้เขาไป บางทีเธออาจเกิดมาเป็นคนแบบนี้ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าหากหลงเหลือความรักไว้ปกป้องตัวเองบ้างก็คงเจ็บไม่มากเท่าไหร่ 

ครึ่งปีต่อมา แฟนหนุ่มหมายเลขหนึ่งบอกเลิกเธอ เหตุผลคือเบื่อที่ต้องเจอหน้ากันตลอด ไปเรียนพร้อมกันทุกวัน ในตอนนั้นติงเสี่ยวโหรวเสียใจมาก เธอเซื่องซึมเหม่อลอยและผอมลงมาก ตอนกลับบ้านในวันหยุดสุดสัปดาห์ถึงกับทำเอาตู้ลี่ลี่ตกอกตกใจ เพราะเธอแอบเพิ่มเงินในบัตรเอทีเอ็มให้ลูกสาวทุกเดือน เดือนละสามร้อยหยวนเพื่อให้ลูกสาวได้กินแต่ของที่ดีแท้ๆ

แฟนหนุ่มหมายเลขสองเป็นคนหนุ่มที่ชื่นชอบศิลปวรรณคดี มีตาชั้นเดียว รูปร่างหน้าตาคล้ายกับคนเกาหลี ครั้งแรกที่พบกัน ติงเสี่ยวโหรวชอบคิดบ่อยๆ ว่าอีกฝ่ายจะทำในสิ่งที่คาดไม่ถึงด้วยการพูดประโยค ‘ซึมนีดา’ ออกมาหรือเปล่าหนอ ทั้งสองคนคบกันยังไม่ถึงหนึ่งเดือน แฟนหนุ่มหมายเลขสองก็บอกเลิกเธอแล้วไปคบกับนักเรียนแลกเปลี่ยนชาวเกาหลีแทนซะอย่างนั้น...

แฟนหนุ่มหมายเลขเจ็ดเป็นเทรนเนอร์ ตอนนั้นติงเสี่ยวโหรวเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ทั้งสองคนรู้จักกันที่ฟิตเนส หลังจากนั้นสองเดือน เขาก็ขอเลิกกับเธอ เหตุผลคือที่ฟิตเนสนั้นมีผู้หญิงร่ำรวยเงินทองเต็มไปหมด...

แฟนหนุ่มหมายเลขสิบห้าเป็นคนหน้าตาดีมาก ผิวพรรณดียิ่งกว่าติงเสี่ยวโหรว นิสัยก็ไม่แย่ เขาใส่ใจดูแลเธอดีมาก ติดอยู่อย่างเดียวคือเวลาที่อยู่ด้วยกันติงเสี่ยวโหรวรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเหมือนการคบกันเท่าไหร่ พูดตรงๆ คือเหมือนเป็นพี่น้องกันมากกว่า ต่อมาอีกฝ่ายก็พูดความในใจออกมาว่าตอนที่คบเธอ เขาค้นพบว่าตัวเองชอบผู้ชายมากกว่า ติงเสี่ยวโหรวไม่ได้โกรธ ไม่ได้แค้น ทั้งสองจากกันด้วยดี หลังจากนั้นไม่กี่ปี แฟนหนุ่มหมายเลขสิบห้าก็ส่งรูปถ่ายใบหนึ่งมาจากต่างประเทศ เขาจดทะเบียนสมรสกับคนรักที่เป็นผู้ชาย และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขภายใต้ท้องฟ้าในต่างแดนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

นานวันเข้าติงเสี่ยวโหรวยิ่งรู้สึกเหมือนได้ทำการทดลองซ้ำหลายครั้งตามจำนวนแฟนหนุ่มที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เธอพยายามพิสูจน์ว่าคำสาปแช่งในตอนนั้นเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดคอยตอกย้ำซ้ำเติมเธออยู่เสมอ ในขณะที่เธอถูกโชคชะตากลั่นแกล้งจนซวนเซ เธอกลับรู้สึกดีใจขึ้นมาซะอย่างนั้น เธอเคยพบเจอคนรักมาหลายประเภท ทว่าไม่เคยพบเจอกับรักแท้เลย จากสาวน้อยไร้เดียงสาที่เจ็บปวดเสียใจอย่างแสนสาหัสเพราะความรักในตอนนั้น กลายมาเป็นหญิงสาวที่ด้านชากับทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่านี่เป็นของขวัญที่กาลเวลามอบให้ หรือเป็นเคราะห์กรรมของชีวิตกันแน่

ชาช่ายื่นมือออกมาดึงแขนติงเสี่ยวโหรวเบาๆ “เธออย่าคิดมากนะ มันก็แค่บังเอิญเท่านั้นแหละ อีกอย่างผู้ชายจะมีอะไรดีสักแค่ไหนกัน ฉันนั่งขริบปลายไอ้นั่นของผู้ชายทั้งวันจนตายด้านกับเนื้อหนังพวกนั้นไปหมดแล้ว!”

“เธออย่ามาทำตัวไม่เห็นคุณค่าของความสุขที่อยู่รอบกายได้มั้ย” ติงเสี่ยวโหรวหันกลับพลางเอียงศีรษะไปโขกกับกระจกหน้าต่างเบาๆ “ก็แค่อกหักบ่อยๆ เอง ชินได้ก็ดี...”

ชาช่ารีบดึงเธอออกมา “ก่อนหน้านี้ฉันลงชื่อสมัครปาร์ตีไว้ให้เธอด้วยนะ มีแต่พวกกลัวที่จะมีความรักทั้งนั้นเลย แต่ตอนนี้เห็นเธอเป็นแบบนี้แล้ว ฉันคิดว่าเธออย่าเพิ่งไปจะดีกว่า รออีกสักหน่อย เดี๋ยวเลิกงานแล้วไปกินข้าวกันนะ”

“ปาร์ตีจะมีเมื่อไหร่เหรอ”

“เย็นวันนี้”

“งั้นฉันยิ่งต้องไป” ติงเสี่ยวโหรวบอก

“ทำไมล่ะ” ชาช่าถาม

“จะได้ไปดูว่าจะมีใครที่โชคร้ายยิ่งกว่าฉันมั้ย” ติงเสี่ยวโหรวตอบก่อนจะเอ่ยถาม “อ้อ กลุ่มนั้นชื่อว่าอะไรนะ”

ชาช่าคิดแล้วคิดอีกก่อนจะเอ่ยออกมา “เหตุผลที่ทำให้ฉันไม่มีแฟน”

 

ปาร์ตีจัดขึ้นที่ชั้นสองของร้านหนังสือแห่งหนึ่ง เมื่อขึ้นบันไดมาจากทางทิศตะวันออกเฉียงใต้จะเห็นว่าชั้นสองทั้งชั้นนั้นโล่งกว้าง ตกแต่งด้วยไม้ซุง ตามมุมต่างๆ จัดวางต้นพลูด่างเรียงรายไว้ ต้นหวายเลื้อยจากด้านบนลงด้านล่าง ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกผ่อนคลาย

แมวขนสั้นพันธุ์อังกฤษตัวหนึ่งนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นไม่ขยับตัวไปไหน

ที่นั่งตรงกลางมีคนนั่งล้อมอยู่ห้าคน บรรยากาศดูอึมครึมเล็กน้อยราวกับมีกลุ่มเมฆดำลอยอยู่เหนือศีรษะของคนเหล่านั้น กระดานดำอันเล็กซึ่งอยู่ด้านข้างถูกเขียนด้วยชอล์กสีว่า 

ปาร์ตีเหตุผลที่ทำให้ฉันไม่มีแฟน

ติงเสี่ยวโหรวนั่งลงท่ามกลางคนห้าคนนั้น คิดว่าจริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่ปาร์ตีที่สนุกสนานอะไรเลย แถมยังเต็มไปด้วยเสียงดังวุ่นวาย อย่างกับงานชุมนุมพ่อมดเรียกภูตผีปีศาจไม่มีผิด

หญิงสาวรูปร่างดีแต่งตัวเซ็กซี่ยืนขึ้นก่อนเป็นคนแรก เธอมุ่นผมเป็นมวย เพียงแค่เห็นติงเสี่ยวโหรวก็เกิดความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาอย่างประหลาด

“ทุกคนเอาแต่อมพะนำไม่พูดไม่จามันก็ไม่สนุกสิ งั้นฉันขอพูดก่อนเลยนะ เหตุผลที่ทำให้ฉันไม่มีแฟนน่ะเหรอ เหตุผลก็คือแฟนฉันเป็นพวกได้ใหม่ลืมเก่า” พี่สาวสุดเซ็กซี่บอก

ราวกับเป็นการโต้วาทีครั้งใหญ่ คำพูดของพี่สาวสุดเซ็กซี่เปิดประเด็นทำให้ทุกคนระบายความอัดอั้นตันใจออกมา

หญิงสาวที่ดูคล้ายกับพนักงานออฟฟิศยกมือขึ้นด้วยสีหน้าและท่าทางเหนียมอาย “ฉันโตมาในครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยวเลยไม่มีความมั่นใจ แค่คบกับใครสักคนฉันก็กังวลแล้ว”

ชายวัยกลางคนสวมแว่นสายตาพูดต่อ “ผมกลัว การแต่งงานครั้งที่ผ่านมาทำให้ผมเจ็บหนักมาก ผมตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต”

ชายหนุ่มลักษณะท่าทางคล้ายนักศึกษาพูดขึ้นบ้าง “ส่วนผมน่ะจนแล้วยังทำตัวเป็นหมามองเครื่องบิน ผมรู้ว่าพวกคุณจะต้องดูถูกผมแน่ๆ พวกคุณคิดกันใช่มั้ยล่ะว่าผมควรจะหัดเจียมตัวซะบ้าง แต่ผมไม่ได้ทำอะไรไม่ดีสักหน่อย การหาแฟนสวยๆ ด้วยความบริสุทธิ์ใจมันผิดตรงไหน อีกอย่าง...ที่ผมทำแบบนี้ก็เพราะคิดถึงคนรุ่นต่อไปหรอกนะ”

ในขณะที่ทุกคนกำลังต่างคนต่างพูดอยู่นั้น เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากทางบันได

ไม่นานฉือซิ่นก็เดินขึ้นมา เขาสวมเสื้อยืดสีเทาอ่อนกับกางเกงลายทหารสีกากี สวมรองเท้าบูตทิมเบอร์แลนด์สีเหลืองสุดคลาสสิก การแต่งกายแสนสง่างามนั้นทำให้ผู้คนที่พบเห็นหลงใหลเคลิบเคลิ้ม

เดิมทีติงเสี่ยวโหรวไม่สนใจความเงียบที่อยู่เบื้องหลัง แต่เมื่อได้ยินเสียงของสาวออฟฟิศคนนั้นพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้นว่า “หล่อจัง...” ผู้หญิงเองก็ให้ความสนใจเรื่องรูปร่างหน้าตาไม่น้อยไปกว่าผู้ชายเท่าไหร่ เธอจึงหันมองตามสายตาของทุกคนไป

มองแวบแรกดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ก็ทำให้ติงเสี่ยวโหรวเกือบตกเก้าอี้ได้ เธออยากหาที่ซ่อนตัวชะมัด คงไม่มีวิธีไหนจะดีไปกว่าการหลบซ่อนอีกแล้ว ทว่าไม่กี่วินาทีต่อมาเธอก็สงบสติอารมณ์ได้

‘ทำไมต้องหลบด้วย ไม่เห็นจำเป็นต้องหลบเลยสักนิด ในเมื่อเขาไม่รู้จักฉัน’

แม้ติงเสี่ยวโหรวจะรู้ดีว่านี่เป็นเพียงจินตนาการของตัวเอง แต่พอฉือซิ่นมองทางนี้ทีไร เธอกลับรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ท่ามกลางความร้อนระอุของดวงอาทิตย์ มีเสียงลมจากฤดูร้อนพัดผ่านมาในอากาศ เสียงจักจั่นแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล ไหนจะกลิ่นใบไม้ใบหญ้าที่ผสมปนเปมากับกลิ่นของยางบนลู่วิ่ง ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง 

ฉือซิ่นนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ว่างอยู่ด้วยท่าทางสุขุมเยือกเย็น เขาทักทายคนที่นั่งอยู่ “ขอโทษทุกคนด้วยนะครับที่มาช้าพอดีผมทำโอทีอยู่คนเดียว”

เขาพูดพลางกวาดสายตามองหน้าทุกคนในที่นี้ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ทำให้ติ่งเสี่ยวโหรวยิ่งแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่รู้จักเธออย่างแน่นอน และเป็นไปตามคาด คนที่เกิดมาหน้าตาดีอย่างฉือซิ่นย่อมต้องได้รับการให้อภัยจากคนรอบข้างอยู่แล้ว ทุกคนล้วนแต่มีปฏิกิริยาตอบกลับมาอย่างเกรงใจพร้อมกับบอกเขาว่าไม่เป็นไร

“ต่อไปเป็นใครดีล่ะ” ชายวัยกลางคนถามขึ้น

นักศึกษาหนุ่มชี้ไปที่ฉือซิ่น “พี่คนหล่อคนนี้ก็แล้วกัน”

“ผม?” ฉือซิ่นถาม “จะให้ผมทำอะไรล่ะ”

พี่สาวสุดเซ็กซี่ชี้ไปที่ตัวอักษรบนกระดานดำ

ติงเสี่ยวโหรวมองเขาด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้ ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ดวงตาคู่สวยคู่นั้นจะต้องซุกซ่อนเรื่องราวที่เธอไม่รู้มากมายเอาไว้อย่างแน่นอน

ฉือซิ่นเปิดปาก “เหตุผลที่ผมไม่มีแฟนก็คือในใจของผมยังมีใครคนหนึ่งอยู่”

อ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง...จิตใจของติงเสี่ยวโหรวสงบขึ้นมา ความรู้สึกนี้ไม่ต่างอะไรจากดินแดนทางใต้อันร้อนระอุทราบข่าวการมาเยือนของหิมะจากเมืองเหนือ อารมณ์สงบนิ่ง ไม่ตื่นตระหนกตกใจ ความรู้สึกนี้เหมือนกับการซื้อหนังสือมาเล่มหนึ่งแล้วไม่เคยได้เปิดอ่าน ทว่ากลับบังเอิญได้รู้เรื่องราวบางตอนของหนังสือเล่มนั้นจากที่อื่น และไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมายอะไรมากมายก่อนจะอุทานออกมาเพียง ‘อ้อ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง’

หลังจากที่ฉือซิ่นพูดจบ ทุกสายตาก็จับจ้องไปที่ติงเสี่ยวโหรวอย่างไม่ได้นัดหมาย 

เธอรีบโบกมือ “พวกคุณเข้าใจผิดแล้ว คนที่เขาพูดถึงไม่ใช่ฉันสักหน่อย!”

ทุกคนมีสีหน้ามึนงง พี่สาวสุดเซ็กซี่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดเป็นคนแรกจึงยิ้มและพูดว่า “พวกเราหมายถึงว่าเธอควรจะพูดเหตุผลที่เธอไม่มีแฟนได้แล้วต่างหากล่ะ”

ติงเสี่ยวโหรวเพิ่งจะรู้ตัวว่าเข้าใจผิดจึงรีบพูดออกมาโดยไม่ทันคิด “เพราะฉันถูกสาป”

พอพูดจบติงเสี่ยวโหรวก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา ทำไมเธอถึงได้พูดเรื่องนี้ออกไปง่ายๆ แบบนี้ ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่านี่เป็นความลับที่ตัวเองเก็บซ่อนไว้มานานหลายปี

หนุ่มนักศึกษาหลุดหัวเราะออกมา “คำสาป? ล้อพวกเราเล่นเหรอครับพี่”

แววตาของทุกคนบ่งบอกว่าไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด ติงเสี่ยวโหรวแอบมองฉือซิ่นที่นั่งอยู่ด้านข้าง เขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา ทำเพียงแค่คิ้วขมวดเล็กน้อย เหมือนกับไม่สนใจเรื่องตรงหน้าเลยสักนิด ติงเสี่ยวโหรวคิดอยู่แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ การมาที่นี่ไม่ใช่เพราะว่าต้องการรักษาบาดแผลในใจให้หายดี แค่สามารถทำให้ก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศกในค่ำคืนอันน่าเบื่อหน่ายไปได้ก็พอ ส่วนเรื่องของการรักษาแผลใจให้เป็นเรื่องของตัวเองจะดีกว่า

ติงเสี่ยวโหรวเริ่มไม่สบายใจ พอบอกออกไปก็ถูกคนอื่นมองว่าเป็นเรื่องตลก ดังนั้นเธอจึงแกล้งขำกลบเกลื่อน “ใช่ค่ะ ฉันล้อเล่น ตั้งแต่ที่ฉันมาถึงที่นี่จนถึงตอนนี้ บรรยากาศในงานมันหดหู่มากเลย เหตุผลที่เรามาที่นี่มันคืออะไรคะ ไม่ใช่เพราะว่าอยากจะลืมเรื่องราวแย่ๆ หรอกเหรอ เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนที่นั่งอยู่มาทำตัวให้มีความสุขกันดีกว่าค่ะ!”

คำพูดของติงเสี่ยวโหรวได้รับเสียงตอบรับจากพี่สาวสุดเซ็กซี่แทบจะในทันที เธอลุกขึ้นยืนอย่างกระตือรือร้นพร้อมกับเอ่ยปากชมติงเสี่ยวโหรว “พูดได้ดี พวกเรามามีความสุขกันเถอะ! ฉันขอประกาศให้รู้โดยทั่วกันว่าปาร์ตีได้เข้าสู่ช่วงที่สองแล้ว! ฉีกหน้าแฟนเก่า! ฉันจะบอกกติกาการเล่นเกมให้ทุกคนฟัง!”

พี่สาวสุดเซ็กซี่กระดกขวดเบียร์ขึ้นดื่มจนหมด หลังจากนั้นจึงวางขวดเปล่าลงบนโต๊ะ “ต่อจากนี้ ถ้าปากขวดหันไปที่ใคร คนคนนั้นจะต้องพูดเรื่องที่ไม่ดีของแฟนเก่า! ถ้าไม่พูดจะถูกเตะออกจากกลุ่ม!” พี่สาวสุดเซ็กซี่ยังพูดต่ออีกว่า “ในเมื่อฉันเป็นคนจัดงานนี้ขึ้นมา งั้นฉันขอเริ่มก่อนเลยก็แล้วกัน!”

พี่สาวสุดเซ็กซี่บอกความรู้สึกของตัวเองท่ามกลางเสียงร้องเชียร์ของทุกคน “ในตอนที่แฟนเก่าตามจีบฉัน เขามักจะบอกว่าเขาชอบผู้หญิงเรียบร้อย พอหลังจากจีบฉันติดแล้ว ตอนอยู่บนเตียงด้วยกันกลับไม่ชอบที่ฉันไม่เร้าใจ บอกว่าเหมือนกำลังทำอะไรกับคนตายไม่มีผิด ไอ้ทุเรศเอ๊ย!”

ติงเสี่ยวโหรวตกใจคำพูดที่ตรงไปตรงมาของหญิงสาวคนนี้ ทว่าขณะเดียวกันก็ประทับใจความจริงใจของอีกฝ่าย

พี่สาวสุดเซ็กซี่ขยับมือ ขวดเบียร์เริ่มหมุนเหมือนเข็มนาฬิกาก่อนจะค่อยๆ หมุนช้าลงท่ามกลางเสียงร้องตะโกนของผู้คน และสุดท้าย...มันหยุดลงที่ติงเสี่ยวโหรว

จะให้พูดเรื่องแย่ๆ ของแฟนเก่าต่อหน้าทุกคนน่ะเหรอ เธอไม่เคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย...พอเห็นติงเสี่ยวโหรวมีท่าทีลำบากใจ พี่สาวสุดเซ็กซี่จึงมองมาที่เธออย่างให้กำลังใจ

เป็นไงเป็นกัน ไหนๆ ก็แตกหักกันไปแล้ว...

ติงเสี่ยวโหรวรวบรวมความกล้า “แฟนเก่าของฉันแอบคบกับหัวหน้าของฉัน แต่ฉันไม่รู้อะไรเลย ตอนนี้พวกเขาสองคนกำลังจะแต่งงานกัน แล้วยังจะมาแจกการ์ดเชิญให้ฉันอีก! ฉันละเกลียดจนแทบอยากจะเตะน้องชายเขาให้ใช้การไม่ได้ชะมัด แล้วก็อยากจะบีบหน้าอกของยายนั่นให้แหลกไม่มีชิ้นดีด้วย! พวกคนสารเลว!”

ติงเสี่ยวโหรวตัวสั่นเมื่อพูดคำสุดท้ายจบลง เธอแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าคำพูดเมื่อครู่นี้จะหลุดออกมาจากปากของตัวเอง จู่ๆ เธอก็รู้สึกเข้าใจชาช่าขึ้นมานิดหน่อย มีบุญคุณต้องทดแทน มีความแค้นต้องชำระ เป็นคนแบบนี้ถึงจะดี ชีวิตมันสั้น ไม่พูดสิ่งที่อัดอั้นตันใจออกมาบ้างเดี๋ยวก็ได้อกแตกตายพอดี จะไปสนใจคนใจร้ายแล้วทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ทำไม อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ

อยู่ดีๆ ติงเสี่ยวโหรวก็รู้สึกโล่งขึ้นมา เธอทำให้ตัวเองเป็นทุกข์มานานเกินไปแล้ว การระบายออกมาบ้างไม่ใช่เรื่องที่ผิดเลย

การเล่นเกมยังคงดำเนินต่อไป ขวดเบียร์เริ่มหมุนต่อ

ติงเสี่ยวโหรวค่อยๆ ถอยออกมา เธอเห็นฉือซิ่นนั่งกอดแมวขนสั้นพันธุ์อังกฤษตัวนั้นอยู่คนเดียวตรงมุมโต๊ะตัวหนึ่ง เขากำลังเล่นกับมันอยู่ เครื่องหน้าของเขาสะท้อนกับแสงไฟสีเหลืองอมส้มแสนอบอุ่นดูแล้วน่าหลงใหล ใบหน้าหล่อเหลามีเค้าความอ่อนล้าเหมือนเพิ่งผ่านเรื่องราวหนักหน่วงมาอยู่นิดหน่อย ที่ปลายหางตายังคงเหลือร่องรอยของความตกใจอยู่

ติงเสี่ยวโหรวไม่รู้เลยว่าตัวเองเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะของอีกฝ่ายได้ยังไง

“ทำไมไม่ไปเล่นเกมกับคนอื่นล่ะ” เธอถาม

ฉือซิ่นยังคงเล่นกับแมวต่อไปโดยไม่คิดจะหันมองเธอ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ “ฉันกำลังคุยกับหมูตัวนี้อยู่น่ะ”

ติงเสี่ยวโหรวหัวเราะ “เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นแมว”

ฉือซิ่นเงยหน้ามอง สายตาบ่งบอกถึงความรำคาญ “เมื่อกี้ฉันก็คุยกับแมวไง”

ติงเสี่ยวโหรวทั้งอับอายทั้งไม่พอใจ “นายมาด่าคนอื่นได้ยังไง นายว่าใครเป็นหมู”

ฉือซิ่นยังคงแสดงท่าทีเบื่อหน่ายและเฉื่อยชาเหมือนก่อนหน้านี้ “แฟนเก่าเหยียบเรือสองแคมแต่เธอไม่รู้เรื่องอะไรเลย ถ้าไม่ใช่หมูแล้วเป็นอะไรล่ะ”

“นาย!” ติงเสี่ยวโหรวอยากจะตอกกลับ ทว่าเธอคิดอะไรไม่ออกเลย

อยู่ดีไม่ว่าดีดันมาทำให้ตัวเองขายหน้า หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ จะมาคุยกับหมอนี่ทำไม...แท้จริงแล้วการทำให้ฝ่ายตรงข้ามหมดความประทับใจตัวเองมันช่างง่ายดายซะเหลือเกิน แค่พูดเสียดสีทิ่มแทงเพียงสองสามคำก็สามารถทำได้แล้ว

ในขณะที่ติงเสี่ยวโหรวตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นั้น มือของใครคนหนึ่งก็วางลงบนไหล่ของเธอ

พี่สาวสุดเซ็กซี่เข้ามาทำลายบรรยากาศตึงเครียดระหว่างทั้งสองคนโดยไม่รู้ตัว “มัวทำอะไรกันอยู่ รีบไปเล่นเกมกับพวกเราเร็ว!”

ติงเสี่ยวโหรวเดินฮึดฮัดจากไป ส่วนฉือซิ่นเล่นกับแมวต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ขวดเบียร์ยังคงหมุนต่อไปช้าๆ ก่อนจะหยุดลงตรงสาวออฟฟิศท่ามกลางทุกสายตาที่จับจ้องมา เธอดูอ้ำอึ้ง ไม่ยอมพูด

“พูดเลย! พูดเลย! พูดเลย!” ทุกคนส่งเสียงเชียร์

สาวออฟฟิศยกมือปิดหน้าท่าทางเขินอาย “ใครจะไปกล้าพูดเรื่องแย่ๆ ของแฟนเก่ากันล่ะ...”

ติงเสี่ยวโหรวชี้ไปทางนักศึกษาหนุ่ม “เธอคิดซะว่าเขาเป็นแฟนเก่าของเธอก็แล้วกัน”

“ใช่ๆ” นักศึกษาหนุ่มรีบสำทับ “คิดซะว่าผมเป็นเขา ไม่ต้องเกรงใจเลย”

สาวออฟฟิศมองไปที่หนุ่มนักศึกษา สองคนสบตากัน คนรอบข้างพากันเงียบเสียงลง

จู่ๆ สาวออฟฟิศก็กรีดร้องเสียงดัง ลุกขึ้นพุ่งตัวไปข้างหน้าก่อนจะกระโดดขึ้นไปอยู่บนตัวชายหนุ่มและเริ่มดึงทึ้งผมของอีกฝ่ายพร้อมกับตะโกนทั้งน้ำตา “คุณรู้มั้ยว่าฉันเสียใจมากแค่ไหน...ฮือๆๆ”

 

หลังจากงานปาร์ตีจบลง ทุกคนดูเหมือนจะผ่อนคลายขึ้นมาก

ตรงประตูทางเข้าออกของร้านหนังสือมีสวนดอกไม้ขนาดย่อม ถัดไปเป็นทางเดินคดเคี้ยวท่ามกลางแมกไม้เขียวขจี หากเดินต่อไปอีกไม่กี่ก้าวจะพบกับถนนสายหลักสุดแสนจะคึกคัก

ติงเสี่ยวโหรวกลายเป็นเพื่อนกับพี่สาวสุดเซ็กซี่ อีกฝ่ายพูดเลียนแบบเธอ “สู้ๆ! สู้ๆ! สู้ๆ!”

สาวออฟฟิศเอาแต่เอ่ยขอโทษนักศึกษาหนุ่มด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ขอโทษนะ เจ็บมากเลยใช่มั้ย”

นักศึกษาหนุ่มไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร เขาใช้ทิชชูเช็ดเลือดที่มุมปากพลางพูดปลอบใจเธอไปด้วย “ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ทำให้คุณต้องไปทำเล็บใหม่เหมือนกันนี่นา”

สาวออฟฟิศยิ้มขำ ทั้งสองคนต่างหัวเราะออกมา

ติงเสี่ยวโหรวไม่ได้ไปทางเดียวกันกับทุกคน พอยืนมองทุกคนเดินจากไปจนสุดสายตาแล้ว เธอก็เตรียมตัวจะกลับบ้าง ที่ผ่านมาเธอพยายามจะอยู่จนถึงช่วงสุดท้ายของการรวมตัวต่างๆ ทุกครั้ง อย่างเช่น การถ่ายรูปสำเร็จการศึกษาตอนมัธยมปลาย เธออยู่ขนเก้าอี้หนึ่งแถวลงมาจากแท่นบันไดคนเดียว หรือที่หอพักในวันสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย เธออยู่ส่งรูมเมตทุกคนกลับบ้านแล้วค่อยบอกลาทั่วทุกมุมของหอพัก สุดท้ายจึงล็อกประตูให้เรียบร้อยก่อนจะจากไป 

การจากลาทุกครั้งก็เหมือนกับเป็นพิธีหนึ่ง ชาช่าบอกว่าเธอใส่ใจเรื่องพวกนี้มากเกินไป ทว่าเธอกลับคิดว่าเธอเองก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์อดีตมากขนาดนั้น การยึดติดกับอดีตไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ มีแต่จะรั้งไม่ให้คนเราเดินต่อไปข้างหน้า จนบางครั้งอาจถึงขั้นทำให้ชีวิตพังไปเลยก็ได้

บริเวณข้อเท้าของติงเสี่ยวโหรวเจ็บแปลบขึ้นมา มันคือแผลที่เกิดจากการเสียดสีนั่นเอง

ติงเสี่ยวโหรวนั่งลงสำรวจบาดแผล คงเป็นเพราะลักษณะการเดินของเธอ ข้อเท้าถึงได้เป็นแผลอยู่บ่อยๆ

ราวกับเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ที่ไหนมาก่อน...ติงเสี่ยวโหรวพลันนึกถึงหวังเท่อขึ้นมา

พวกเธอรู้จักกันได้ยังไงนะ

วันนั้นหลังจากจัดแสดงเสื้อผ้าของลูกค้าร้านใหม่เสร็จ ติงเสี่ยวโหรวก็กลับไปทำธุระที่บริษัท เธอพบว่าข้อเท้าของเธอเป็นแผล ในตอนนั้นที่ห้องถ่ายเอกสารมีคนอยู่สองสามคน หวังเท่อเป็นหนึ่งในนั้น พอเห็นทุกคนเดินคุยกันออกไปอย่างสนุกสนาน ติงเสี่ยวโหรวจึงแอบถอดรองเท้าส้นสูงออกแล้วเหยียดนิ้วเท้าที่เมื่อยขบ ก่อนจะหยิบทิชชูมาพันแผล

ปลาสเตอร์ยาแผ่นหนึ่งถูกยื่นมาให้

ติงเสี่ยวโหรวเงยหน้า เป็นหวังเท่อนั่นเอง

‘ใช้นี่ดีกว่า’ เขาบอก

ติงเสี่ยวโหรวรับปลาสเตอร์ยาแผ่นนั้นไว้ ในขณะเดียวกันก็รับความรู้สึกบางอย่างมาไว้ในใจเช่นกัน

แต่ก็ใช่ว่ามันจะโรแมนติกอะไรมากมาย ทว่าความสัมพันธ์นั้นดำเนินไปอย่างมั่นคง หวังเท่อไม่ใช่พวกปากหวาน เขามีดีที่การกระทำ เวลากินข้าวด้วยกันเขาจะเหลือสิ่งที่เธอชอบกินไว้ให้ เวลาขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินก็จะจับมือเธอเอาไว้ คอยปกป้องเธออยู่ในโลกใบเล็กใบนี้ เขาคุยกับเธอเกี่ยวกับเรื่องในอนาคตไว้หลายเรื่องมาก...ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ทำให้ติงเสี่ยวโหรวรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยและยิ่งชอบเขามากขึ้น...มากขึ้นจนยากจะถอนตัว

ติงเสี่ยวโหรวยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น เรื่องราวเกี่ยวกับหวังเท่อหลั่งไหลเข้ามาในหัวไม่ขาดสาย ทั้งตอนที่พวกเธอแอบส่งสายตาหวานซึ้งให้กันในการประชุมของบริษัท ตอนที่ต่างฝ่ายซื้อเลือกเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้กันและกันที่ฝ่ายขายของบริษัท ตอนไปล่องเรือที่ทะเลสาบโฮ่วไห่ด้วยกัน ตอนไปหาอะไรกินกันที่กุ่ยเจีย ตอนไปเที่ยวที่ฉือตู้...

‘ยากจังเลยแฮะ บางทีอาจจะต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยกว่าจะเดินออกมาจากตรงนั้นได้’ เธอคิด ความเจ็บปวดมากมายกำลังโจมตีเธออย่างหนัก เธอนั่งลงกอดตัวเองเอาไว้ กำลังจะร้องไห้ออกมา

“อา...”

ฉือซิ่นเดินผ่านทางสวนดอกไม้มาเห็นเข้าพอดี สถานการณ์ตอนนี้ เดอะโชว์มัสต์โกออนอย่างเดียวแล้วละ

ติงเสี่ยวโหรวลืมสิ่งที่คิดอยู่เมื่อครู่นี้ไปจนหมดสิ้น ไม่ว่ายังไงเธอจะไม่ยอมให้ตัวเองอับอายขายหน้าต่อหน้าผู้ชายคนนี้อย่างเด็ดขาด เธอลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว รีบแสร้งทำเป็นร้องเพลงต่อจากคำที่เพิ่งพูดออกมา “อา อา อา อา อา อาทะเลสาบซีหูงดงามยามเดือนสาม1!”

ฉือซิ่นถึงกับอึ้ง เหมือนเขากำลังดูการแสดงบ้าๆ บอๆ อะไรสักอย่าง

ติงเสี่ยวโหรวรู้ดีว่าดวงตาคู่นั้นกำลังจ้องมองเธอจากทางด้านหลัง จึงแกล้งทำเป็นร้องเพลงต่อ พร้อมทั้งก้าวเดินต่อไปเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราว “สายฝนโปรยปรายประหนึ่งสุราในช่วงวสันต์ฤดู ใบหลิวถูกพัดปลิดปลิวดั่งควัน!”

ติงเสี่ยวโหรวเดินร้องเพลงมาตลอดทางจนกระทั่งถึงทางเลี้ยว พอได้ขึ้นมาเดินบนทางเท้าและไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของอีกฝ่าย ถึงได้หยุดร้องเพลงพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ คิดถึงเรื่องน่าอายเมื่อครู่นี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นนิดหน่อย ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าใบหน้าของตัวเองในตอนนี้จะต้องแดงมากแน่ๆ

ฉือซิ่นเดินออกจากสวนดอกไม้แล้วโบกรถตรงทางแยก

คนขับหันหน้ามาถาม “จะไปไหนล่ะ”

ฉือซิ่นเกือบจะหลุดปากพูดออกมาว่า ‘กลับบ้าน’ ทว่าพอไม่มีคนคนนั้นเลยเรียกได้ว่าเป็นที่ซุกหัวนอนเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงบอกออกไปว่า “ศูนย์การค้าเชาหยาง ตรงไหนก็ได้”

ลมร้อนชื้นยามเย็นพัดผ่าน ฉือซิ่นเอนตัวพิงกับพนักพิง ทอดตามองไปยังถนนเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย

รถมุ่งหน้าผ่านพื้นที่สีเขียวซึ่งแซมไว้ด้วยสีสันสวยสดงดงามของดอกกุหลาบพันธุ์โรซา ผ่านตอม่อสะพานคอนกรีตสีเทา ก่อนจะผ่านติงเสี่ยวโหรวที่เดินโซซัดโซเซอยู่ริมถนนไป

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น