5

ตอนที่ 4

4

 

ครั้งนี้ติงเสี่ยวโหรวตัดสินใจแล้ว

เธอไม่สามารถสู้หน้าหวังเท่อได้ แล้วก็ไม่สามารถตัดใจจากเรื่องราวในอดีตได้เช่นกัน ดังนั้นจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายจากไป เธอทำใจอยู่นานกว่าจะเดินเข้าไปในสำนักงานได้

ทางด้านขวาของสำนักงานถูกจัดเป็นสนามกอล์ฟขนาดเล็ก

ประธานเจิ้งยืนอยู่บนพรมสีเขียว เหวี่ยงไม้กอล์ฟเบาๆ ลูกกอล์ฟกลิ้งหลุนๆ ไปไม่ลงหลุม

เขาสวมรองเท้าแล้วเดินกลับมาที่โต๊ะก่อนจะบอกว่า “ทำไมจะต้องเปลี่ยนไปร้านอื่นด้วยล่ะ ร้านที่เธอดูแลอยู่ก็มีแต่ร้านใหญ่ๆ ทั้งนั้น จะย้ายไปฝางซานกับชุ่นอี้จริงๆ น่ะเหรอ แค่ทุกวันนี้ต้องเดินทางโดยนั่งรถไฟฟ้าก็น่าจะลำบากแล้วนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยินดีจะเป็นผู้บุกเบิกตลาดการค้าในชนบทให้แก่บริษัทเองค่ะ” ติงเสี่ยวโหรวบอก

ประธานเจิ้งมองหน้าเธอ “หลังจากที่เธอเข้ามาดูแลตู้แสดงเสื้อผ้าของร้านค้าพวกนั้น ยอดขายรายเดือนจากหน้าร้านของทุกๆ ร้านก็ไม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเลย ตู้แสดงเสื้อผ้าถือเป็นการสร้างความประทับใจแรกให้แก่ลูกค้า เพราะฉะนั้นอย่าได้บอกว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ยอดขายลดลงนะ”

หากเวลาปกติได้ยินประโยคนี้ ติงเสี่ยวโหรวคงกังวลว่าจะต้องถูกไล่ออกแน่ๆ ทว่าในเวลานี้เธอกลับรู้สึกเหมือนสวรรค์มาโปรด

“ดังนั้นท่านประธานเจิ้งถึงควรย้ายฉันไปอยู่ที่อื่นไงคะ ไม่แน่นะคะ ถ้าฉันไปแล้วยอดขายอาจจะพุ่งพรวดขึ้นมาเลยก็ได้ค่ะ”

“ผมเองก็อยากจะให้คุณไป” ประธานเจิ้งบอกแบบไม่อ้อมค้อม “แต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว บริษัทส่งพนักงานใหม่ไปดูแลร้านที่คุณพูดถึงเรียบร้อยแล้ว”

“ประธานเจิ้งพิจารณาดูอีกสักครั้งได้มั้ยคะ ฉันต่างหากที่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด” ติงเสี่ยวโหรวถาม

ประธานเจิ้งมองหน้าเธอ “ผมว่าคุณคือตัวเลือกในการคัดออกที่ดีที่สุดต่างหาก คุณไม่อยากทำงานแล้วใช่มั้ยติงเสี่ยวโหรว”

“ไม่ใช่นะคะท่านประธานเจิ้ง!” ติงเสี่ยวโหรวพอจะรู้แล้วว่าเธอไม่มีทางโน้มน้าวได้สำเร็จ ถ้ายังคิดพยายามต่อไปคงจะถูกไล่ออกจริงๆ แน่นอน ในบริษัทแบบนี้ สิ่งที่พวกเขามีไม่เคยขาดเลยคือตำแหน่งของเธอที่ไม่ว่าใครก็ทำแทนได้

ขณะเดียวกัน เสียงล้อลากกระเป๋ากับเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นเป็นจังหวะดังมาจากทางล็อบบีด้านนอกของสำนักงาน

ทุกสายตาต่างพากันจับจ้องไปที่ร่างของลูซี่

เธอสวมชุดเซตสีฟ้าพาสเทลดูเข้ากัน ผมยาวประบ่าถูกดัดเป็นลอน กระโปรงรัดรูปเผยให้เห็นสะโพกอวบอัด เธอสวมแว่นตากันแดด เดินเฉิดฉายด้วยท่วงท่าสง่างามราวกับจักรพรรดิหญิง ไม่ว่าจะไปทางไหนก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี 

“พี่ลูซี่กลับมาแล้ว” แถมยังมีคำพูดประเภทที่ว่า “ลำบากพี่ลูซี่แล้ว” อีกด้วย

ลูซี่กระตุกยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ใบหน้างดงามปรากฏให้เห็นร่องรอยของการทำศัลยกรรมอยู่หลายส่วน ท่าทีที่แสดงออกมานั้นดูคุ้นเคยเป็นอย่างดี

“ประธานเจิ้งอยู่มั้ย” ลูซี่ถามพนักงานสาวคนหนึ่ง

“อยู่ค่ะ”

ลูซี่ตรงดิ่งไปที่หน้าประตูห้องทำงานก่อนจะเคาะประตู “ประธานเจิ้งคะ”

ภายในห้องทำงาน ติงเสี่ยวโหรวที่กำลังจะเดินออกไปด้านนอกได้ยินเสียงหวานดังมาจากอีกฝั่งของประตู ร่างกายของเธอสั่นเล็กน้อย แต่เธอก็ยังเปิดประตูออก ลูซี่เดินเข้ามาด้านในโดยไม่แม้แต่จะปรายตามองเธอเลยสักนิด ตอนที่เดินสวนกันยังเดินชนไหล่เธอไปอีกต่างหาก แถมกระเป๋าล้อลากยังชนเข้ากับหัวเข่าของเธอเต็มๆ อีกด้วย

ประธานเจิ้งลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว “ลูซี่กลับมาแล้ว! ลำบากแย่เลยนะคนเก่งของพวกเรา โชคดีที่มีเธออยู่ ครั้งนี้เราถึงสามารถเซ็นสัญญากับทางฝั่งเซี่ยงไฮ้ได้สำเร็จ!”

“ไม่ใช่สักหน่อยค่ะ! เป็นเพราะบริษัทของเรามีชื่อเสียงมากต่างหาก พวกเขาถึงได้มีใจอยากจะร่วมลงทุนด้วย”

แค่คำพูดประโยคเดียวก็ทำให้ประธานเจิ้งยิ้มหน้าบานได้แล้ว

ติงเสี่ยวโหรวยืนอยู่ด้านนอก มองดูคนสองคนพูดคุยกันอย่างสนิทสนม ประตูค่อยๆ ปิดลง ปิดกั้นเธอจากสองคนในนั้นอย่างสมบูรณ์

 

ตอนที่ศูนย์รถยนต์โทร. มาครั้งแรกนั้น ฉือซิ่นกำลังช่วยไกล่เกลี่ยปัญหาเพื่อนบ้านทะเลาะกันอยู่ ซึ่งหากยึดตามกฎแล้ว เวลาทำงานเขาจะปิดเสียงโทรศัพท์เอาไว้

ฉือซิ่นถือไมโครโฟนหันหน้าเข้าหากล้อง “ตอนนี้เราอยู่ที่เขตเต๋อฝูนะครับ คุณน้าจางและคุณน้าซุนเป็นเพื่อนบ้านกันมานานถึงยี่สิบปี คุณน้าทั้งสองชื่นชอบการเต้นรำในลานกว้างเหมือนกัน และเป็นเพราะว่าทั้งคู่อยากจะเป็นคู่เต้นรำให้แก่คุณอาคนหนึ่ง ตอนนี้จึงทะเลาะกันใหญ่โตเลยละครับ”

ฉือซิ่นหมุนตัวกลับไปชี้กระจกบานหนึ่งซึ่งแขวนอยู่ตรงประตูบ้าน “คุณน้าจางถึงขนาดนำสิ่งที่เรียกว่ากระจกวิเศษมาแขวนไว้หน้าบ้าน ส่วนคุณน้าซุนเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้เช่นกัน...”

เลนส์กล้องเปลี่ยนทิศหันไปทางประตูฝั่งตรงข้าม มีกระดาษเอสี่เขียนตัวอักษรไว้ว่า ‘ขอให้สะท้อนกลับ

ฉือซิ่นพูดต่อ “พวกเราจะเป็นคนที่ช่วยจัดการปัญหาให้คุณเอง เราตัดสินใจมาสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เพื่อที่จะขจัดความขัดแย้งของทั้งคู่ที่เปรียบเสมือนเป็นพี่น้องกันให้หมดไป!”

สิบนาทีต่อมาฉือซิ่นกับตากล้องก็ถูกไล่ออกมา จู่ๆ สาวใหญ่ทั้งสองคนก็เกิดรักใคร่ปรองดองกันขึ้นมาในระหว่างที่กำลังให้สัมภาษณ์อยู่ พร้อมกับพากันด่ากองถ่ายรายการชุดใหญ่ว่ามีเจตนาแอบแฝง คิดจะใช้พวกเธอเรียกเรตติง 

ฉือซิ่นบอกกับสาวใหญ่คนหนึ่งว่า ‘คุณไม่ใช่เหรอที่โทร. เรียกพวกเรามา’

สาวใหญ่ตอบกลับ ‘บอกให้มาพวกเธอก็มางั้นเหรอ ถ้าบอกให้ไปตายก็จะไปใช่มั้ย’

ต่อจากนั้นสาวใหญ่ทั้งสองก็พร้อมใจปิดประตูบ้านใส่ราวกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน

ฉือซิ่นเก็บสายไมโครโฟนเข้าที่ให้เรียบร้อย และเดินลงมาจากตึกด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ พอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูก็เห็นว่ามีสายที่ไม่ได้รับทั้งหมดสามสาย

“ฮัลโหล สวัสดีครับ” ฉือซิ่นโทร. กลับ

“สวัสดีค่ะคุณฉือซิ่น ฉันโทร. จากแผนกซ่อมบำรุงของศูนย์รถยนต์นะคะ ตอนนี้คุณสามารถมารับรถยนต์ที่ส่งมาให้ศูนย์ซ่อมแซมเมื่อครึ่งเดือนที่แล้วได้แล้วค่ะ”

“ได้ครับ ขอบคุณครับ” ฉือซิ่นเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วคนที่ขับรถชนรถผม เขาจ่ายเงินค่าเสียหายให้หรือยังครับ”

“ตอนนี้ยังไม่จ่ายค่ะ ทางโรงเรียนสอนขับรถจ่ายเงินค่าซ่อมแซมมาให้ครึ่งหนึ่งแล้ว เหลืออีกครึ่งหนึ่งที่คุณต้องไปเจรจาต่อรองกับคู่กรณีอีกทีหนึ่งค่ะ”

แวบหนึ่งที่ฉือซิ่นรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา การประกอบอาชีพนี้มาหลายปี เรื่องราวมากมายทำให้เขารู้ว่าจิตใจคนเราจะดีมากแค่ไหนก็ย่อมมีด้านมืดอยู่มากเช่นกัน...ครึ่งเดือนที่แล้ว เจินเจิ้งยืมรถเขาไปทำธุระ นึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกนักเรียนสมองทึ่มของโรงเรียนสอนขับรถขับรถมาชนเข้า

เขาตอบกลับปลายสาย “ช่วยส่งข้อมูลของอีกฝ่ายให้ผมที”

 

ติงเสี่ยวโหรวเดินมาถึงห้องถ่ายเอกสารก็พบว่าหวังเท่ออยู่ข้างในพอดี เธอทำท่าจะเดินกลับไป ทว่าพอมาคิดดูก็รู้สึกว่ามันจะดูตั้งใจเกินไป สู้ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนจะดีกว่ามั้ยนะ

ขณะที่คิด หวังเท่อก็หันกลับมาเห็นเธอเข้าพอดี

ติงเสี่ยวโหรวไม่ได้มองเขา เธอฉีกห่อกระดาษเอสี่ออกเงียบๆ แล้วใส่มันลงไปในเครื่องพิมพ์ กดปุ่มเปิด เสียงการทำงานของเครื่องพิมพ์ดังกลบเสียงหัวใจที่กำลังเต้นไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ หวังเท่อยังไม่เดินออกไป ทั้งสองคนต่างคนต่างทำงานของตัวเอง ติงเสี่ยวโหรวหยิบกระดาษแบบร่างที่พิมพ์ออกมาเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับทำท่าจะเดินออกจากห้องไป

“เดี๋ยวก่อน” หวังเท่อส่งเสียงเรียกเธอมาจากทางด้านหลัง เขาหยิบกระดาษแบบร่างแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากถาดรองกระดาษของเครื่องพิมพ์แล้วยื่นให้ “ของเธอน่ะ”

ติงเสี่ยวโหรวรับกระดาษแบบร่างมา นึกอยากเดินหนีไปให้พ้นหน้าเขา เกิดความรู้สึกบางอย่างตีตื้นขึ้นมายามได้สัมผัสปลายนิ้วของอีกฝ่าย และในช่วงเวลาที่กำลังพะว้าพะวังอยู่นั้น ติงเสี่ยวโหรวรู้แล้วว่าตัวเองยังตัดใจไม่ได้

‘ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วทำไมต้องทิ้งฉัน’

ติงเสี่ยวโหรวอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ดวงตาของเธอแดงก่ำจวนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

“ติงเสี่ยวโหรว!”

ทันใดนั้นเสียงของลูซี่ก็ดังมาจากทางล็อบบีของสำนักงาน ก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินดุ่มๆ เข้ามาหา จากการใช้เสียงดังและการเรียกเธอเต็มยศแบบนี้ ลูซี่จะต้องโมโหแล้วแน่นอน

ลูซี่เดินเข้ามาในห้องถ่ายเอกสาร พอเห็นหวังเท่อยืนอยู่ก็หันมาจ้องหน้าติงเสี่ยวโหรวทันที “งานที่ฉันให้เธอทำก่อนที่ฉันจะไปเซี่ยงไฮ้ล่ะ ทำไมถึงยังไม่ส่งอีเมลมาอีก”

“ฉันจะไปส่งให้เดี๋ยวนี้แหละค่ะ” ติงเสี่ยวโหรวบอก

ลูซี่เหยียดยิ้ม “เธอก็เป็นซะอย่างนี้ ไปอยู่ตรงไหนก็ทำอะไรไม่สำเร็จหรอก”

หวังเท่อเข้ามาดึงแขนลูซี่ไว้พร้อมกับเอ่ยเตือนเสียงเบา “ลูซี่...”

ลูซี่ถลึงตามองเขา หวังเท่อจึงไม่พูดอะไรอีก

ลูซี่พูดต่อ “ติงเสี่ยวโหรว เธอไม่อยากทำงานกับฉันก็พูดมาตรงๆ ไม่จำเป็นต้องแอบไปหาประธานเจิ้ง ฉันจะบอกเธอตรงๆ เหมือนกันว่าคนที่ไปดูแลตู้จัดแสดงเสื้อผ้าที่ร้านอื่นเป็นคนที่ฉันแนะนำไว้เอง”

เป็นเหมือนกับที่คิดไว้...ลูซี่คิดได้นานแล้วว่าติงเสี่ยวโหรวจะต้องอยากไปอยู่ที่อื่น เพราะฉะนั้นต้องกำจัดทางหนีทีไล่ทั้งหมดไว้ก่อน บังคับให้ติงเสี่ยวโหรวอยู่ทำงานกับเธอที่นี่แล้วค่อย ‘กดดัน’ ไปเรื่อยๆ ขั้นตอนสุดท้ายคือบีบให้ติงเสี่ยวโหรวเป็นฝ่ายลาออกไปเอง

ติงเสี่ยวโหรวรู้สึกเจ็บช้ำเป็นอย่างมาก เธอเกลียดตัวเองที่ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะพูดออกมาว่า ‘ฉันไม่ทำแล้วโว้ย’ ฐานะของเธอต่ำต้อยไม่ต่างจากมดตัวหนึ่ง มีเงินเดือนที่ไม่ได้มากมายอะไรนักไว้เป็นหลักประกันความมั่นคงในชีวิต 

ลูซี่ควงแขนหวังเท่อเอาไว้เพื่อประกาศความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของให้เธอรู้

“ฉันไม่เคยสนใจหรอกนะว่าคนอื่นจะพูดถึงฉันว่ายังไง คนที่ไม่เคยถูกพูดถึงเลยต่างหากที่น่าสงสาร แต่เธออย่าได้คิดล่ะว่าฉันแย่งของของเธอมา คนเราต้องมีอำนาจนะถึงจะกลายเป็นที่สนใจ เดี๋ยวพอผู้ชายได้กลิ่นก็จะตามมาเองนั่นแหละ” ลูซี่มองสภาพที่ดูไม่ได้ของติงเสี่ยวโหรว “อย่างเธอมีคนมาชอบน่ะสิถึงจะแปลก”

บรรดาเพื่อนร่วมงานกำลังเหลือบมองความเงียบสงบในห้องถ่ายเอกสาร บางคนคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ส่วนบางคนกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ติงเสี่ยวโหรวร้อนรนเหมือนนั่งอยู่บนกองไฟ เธอได้แต่หวังว่าในเวลานี้จะมีฮีโรโผล่มาพาเธอออกไปจากตรงนี้ หรือไม่ก็โผล่มายิงลูซี่ให้ตายไปเลยก็ได้

โทรศัพท์ของติงเสี่ยวโหรวดังขึ้น เป็นเบอร์โทร. ที่ไม่รู้จัก ติงเสี่ยวโหรวรีบกดรับสายโดยไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น 

“ฮัลโหล”

ฉือซิ่นเพิ่งจะลงมาจากรถ เขามองซ้ายมองขวาพร้อมกับคุยโทรศัพท์ไปด้วย “สวัสดีครับ ผมเป็นเจ้าของรถทะเบียน 3377 เมื่อครึ่งเดือนที่แล้วคุณขับรถชนรถของผมที่โรงเรียนสอนขับรถ”

ติงเสี่ยวโหรวทำเสียงสูง “มาแล้วเหรอคะที่รัก”

ฉือซิ่นทำอะไรไม่ถูก “ฮัลโหล”

ในห้องถ่ายเอกสาร ลูซี่กับหวังเท่อเองก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ลูซี่กะพริบตาถี่ๆ ติดกันหลายรอบ กำลังคิดสงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า

ติงเสี่ยวโหรวพูดต่อ “อะไรนะคะ คุณอยู่ข้างล่างเหรอ จะมารับฉัน?”

ฉือซิ่นงงเป็นไก่ตาแตก “ผมอยู่ข้างล่าง...”

“ตาบ้า คิดถึงฉันอย่างนั้นเหรอ โอเคค่ะ ฉันจะรีบลงไปเดี๋ยวนี้เลย น่ารักจริงจริ๊ง!”

หลังจากวางสาย ติงเสี่ยวโหรวก็ยืดอกเชิดหน้า พร้อมกับเดินผ่านลูซี่และหวังเท่อที่ยืนตัวแข็งทื่อจนเกือบจะกลายเป็นหิน รวมถึงพวกเพื่อนร่วมงานที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเป็นชีวิตจิตใจลงไปข้างล่างด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ 

พอออกมาจากลิฟต์ การปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์น่าอายเมื่อกี้นี้ยังเทียบไม่ได้เลยกับการที่ต้องไปเจอกับเจ้าหนี้ของตัวเอง

เมื่อเดินมาถึงกลางล็อบบี ติงเสี่ยวโหรวก็ได้พบกับฉือซิ่น ช่วงเวลาที่ทั้งคู่ประสานสายตากันนั้นทำให้ติงเสี่ยวโหรวรู้สึกถึงลางที่ไม่ดีเท่าไหร่...คงไม่ใช่เขาหรอกมั้ง ตลกน่า จะไปบังเอิญขนาดนั้นได้ยังไง แต่นั่นแหละ มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ

ฉือซิ่นเอาแต่จ้องเธอตาไม่กะพริบ เห็นแล้วก็รู้ว่าเขากำลังคิดเหมือนกับเธอ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขโทรศัพท์

โทรศัพท์มือถือของติงเสี่ยวโหรวดังขึ้น

ติงเสี่ยวโหรวยิ้มแห้ง เธอทักทาย “สวัสดี นายเองเหรอ”

ฉือซิ่นตอบกลับเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ “ใช่ ฉันเอง ที่รักที่น่ารักจริงจริ๊งคนนั้น”

ติงเสี่ยวโหรวแทบอยากจะมุดเข้าไปในรอยแตกร้าวตรงไหนสักแห่งแล้วเอาปูนซีเมนต์มาฉาบฝังตัวเองไว้กับผนังให้รู้แล้วรู้รอดไป

ไฟจากลิฟต์ด้านหลังสว่างขึ้น ลูซี่และบรรดาสาวออฟฟิศแสร้งทำเป็นเดินคุยกันออกมา ลูซี่หยิบคุชชันขึ้นมาทำท่าจะเติมเครื่องสำอาง 

ติงเสี่ยวโหรวรู้ว่ามีคนกำลังจ้องมองมาจากทางด้านหลัง เธอจะยอมให้ความแตกไม่ได้เด็ดขาด หญิงสาวมองหน้าฉือซิ่น จู่ๆ แววตาของเธอก็เปลี่ยนไป

ฉือซิ่นอึ้งไปกับการเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีสัญญาณใดๆ บอกล่วงหน้านี้ จังหวะที่กำลังครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไรก็ได้ยินเสียงหวานหยดย้อยดังขึ้นมาว่า 

“ที่รักคะ”

ติงเสี่ยวโหรวถลาเข้าไปกอดฉือซิ่นเอาไว้พร้อมกับกระซิบที่ข้างหูของเขา “ขอร้องละ ช่วยฉันหน่อยนะ”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะติงเสี่ยวโหรวแสดงได้แนบเนียนเกินไป หรือเป็นเพราะว่าเธอต้องการคนปกป้องจริงๆ เขาถึงได้สัมผัสได้ถึงความกังวล ความโดดเดี่ยวที่ออกมาจากน้ำเสียงนั้น ท้ายที่สุดเขาก็ใจอ่อน

ท่ามกลางสายตาของใครหลายคนที่จ้องมองมา ฉือซิ่นรวบขาของติงเสี่ยวโหรวอุ้มขึ้น หมุนตัวเดินออกจากห้องโถงโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองอีก

ลูซี่ยืนตะลึงอยู่หลายนาทีถึงส่งเสียงออกมา “บ้าเอ๊ย”

ติงเสี่ยวโหรวเองก็รักษาท่าทางก่อนหน้านี้เอาไว้อย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเช่นกัน เธอปล่อยให้ฉือซิ่น ‘อุ้ม’ มาตลอดทางจนถึงสวนสาธารณะเล็กๆ ฉือซิ่นใช้มืออีกข้างเปิดประตูรถ จากนั้นจึงโยนติงเสี่ยวโหรวเข้าไปด้านใน

“นายจับฉันโยนเข้ามาในรถทำไมไม่ทราบ”

“ฉันไม่โยนเธอไปไว้ในกระโปรงหลังรถก็ดีแค่ไหนแล้ว”

“แล้วทำไมฉันจะต้องไปกับนายด้วย” ติงเสี่ยวโหรวทำท่าจะลงจากรถ

ฉือซิ่นเองก็ไม่ได้ห้าม “ดูเหมือนผู้หญิงสามสี่คนนั่นจะยังตามมาอยู่เลยนะ”

ติงเสี่ยวโหรวปิดประตูรถ ขยับตัวกลับมานั่งเหมือนเดิม แถมยังคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย ฉือซิ่นขึ้นมานั่งก่อนจะสตาร์ตรถ

ระหว่างทางติงเสี่ยวโหรวอธิบายอย่างกระท่อนกระแท่นว่าทำไมเธอถึงต้องแสร้งทำเป็นมีแฟนให้ฉือซิ่นฟัง ฉือซิ่นไม่มีอารมณ์ฟังเรื่องพวกนี้ ชีวิตการทำงานของเขาทุกวันนี้พบเจอแต่เรื่องน่าปวดหัวตลอดเวลา หนักกว่าเรื่องของติงเสี่ยวโหรวหลายเท่านัก

เขาหยิบใบเสร็จรับเงินจากคอนโซลหน้ารถยื่นให้ “นี่เป็นค่าซ่อมรถทั้งหมด สามพันสี่ร้อยหยวน เธอจ่ายมาครึ่งเดียวพอ”

“โอเค” ติงเสี่ยวโหรวตอบ

“อย่าตอบตกลงอย่างเดียวสิ จ่ายมาเลย จะจ่ายทางอาลีเพย์หรือวีแชต” ฉือซิ่นถาม

ติงเสี่ยวโหรวส่ายหน้า

“งั้นเงินสดก็ได้”

ติงเสี่ยวโหรวยังคงส่ายหน้า

“อะไรของเธอ จะเบี้ยวเหรอ” ฉือซิ่นนึกฉุน

“พี่คะ ลองคิดดูนะ นอกจากวันนั้นฉันจะขับรถชนรถของพี่แล้ว ฉันยังเฉี่ยวรถคันอื่นไปอีกตั้งหลายคัน ไหนจะหน้ารถของโรงเรียนสอนขับรถที่พังยับเยิน นั่นคือทั้งหมดที่ฉันต้องจ่ายค่าเสียหายนะ” ติงเสี่ยวโหรวบอกจากใจจริง

“เรียกฉันว่าพี่เหรอ ฉันยังอดทนไม่เรียกเธอว่าป้าเลยนะ จ่ายค่าเสียหายก็ถูกต้องแล้ว มันเป็นเรื่องที่ควรทำ”

“แต่ฉันไม่ได้มีเงินมากมายจริงๆ นะ อาทิตย์หน้าเงินเดือนจะออกแล้ว ไว้ฉันค่อยคืนให้นายตอนนั้นไม่ได้เหรอ” ติงเสี่ยวโหรวถาม

ฉือซิ่นแสยะยิ้ม “ข้างหน้าประมาณสองร้อยเมตรมีตู้เอทีเอ็มอยู่ ตรงไปอีกหนึ่งร้อยเมตรแล้วเลี้ยวซ้ายจะเจอกับสถานีตำรวจ เธอลองคิดดูดีๆ แล้วบอกฉันทีว่าเราจะไปที่ไหนกันดี”

ติงเสี่ยวโหรวรีบอธิบาย “ใช่ว่าฉันจะไม่คืนนะ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเงิน!”

ติงเสี่ยวโหรวรู้ดีว่าการพูดแบบนี้ฟังไม่ขึ้นเท่าไหร่ ทว่ามันเป็นเรื่องจริง ฉือซิ่นไม่สนใจเธออีก ผ่านไปพักหนึ่งจึงบอกเธอด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ 

“ผ่านตู้เอทีเอ็มแล้วนะ”

จากนั้นก็เร่งความเร็วรถแล่นผ่านหัวโค้งตรงหน้าไป

ติงเสี่ยวโหรวตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขู่เธอเฉยๆ ตรงไปข้างหน้ามีสถานีตำรวจอยู่จริงๆ...เธอเติบโตมาอย่างดี ไม่เคยมีปัญหาอะไรมายี่สิบกว่าปี แค่เดินเฉียดเข้าไปในสถานีตำรวจก็นับว่าแปดเปื้อนแล้ว เธออับจนหนทาง หลับตาลงราวกับใช้ความคิดอย่างหนักก่อนจะโพล่งออกมา 

“ฉือซิ่น อายุยี่สิบแปดปี โรงเรียนประถม-มัธยมเต๋อว่าย ปี 2002 พี่สาวชื่อฉือซาน บ้านอยู่ที่เมืองทางตะวันตกจินไฮ่ฮวาเหยียน ตึกหมายเลขหนึ่ง ห้องหนึ่งเจ็ดศูนย์สาม!”

รถหยุดลงตรงทางเข้าสถานีตำรวจ

ติงเสี่ยวโหรวค่อยๆ ลืมตาขึ้น ฉือซิ่นกำลังมองเธออย่างประหลาดใจ

 

สิบนาทีต่อมา ทั้งสองคนก็มานั่งประจันหน้ากันอยู่ที่ร้านกาแฟ

ฉือซิ่นรับบัตรประชาชนของติงเสี่ยวโหรวมา

“ฉันไม่โกหกหรอกน่า เราคนบ้านเดียวกันนะ” ติงเสี่ยวโหรวบอก “เอาละ ดูพอแล้วมั้ง”

ฉือซิ่นคืนบัตรประชาชนให้เธอ

“อยู่ที่เดียวกันก็ไม่ได้แปลว่าเราจะเรียนโรงเรียนเดียวกัน” ฉือซิ่นขยับตัวเปลี่ยนท่านั่ง แววตาฉายชัดว่าไม่เชื่อ

เมื่อครู่นี้ติงเสี่ยวโหรวเพิ่งบอกฉือซิ่นไปว่าเขากับเธอเรียนมัธยมปลายโรงเรียนเดียวกัน ฉือซิ่นเป็นรุ่นพี่เธอสองรุ่น และเพื่อที่จะผ่อนคลายสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างเธอกับเขา เธอยังย้ำเรื่องที่ฉือซิ่นได้รับความสนใจจากบรรดานักเรียนหญิงในตอนนั้นอีกด้วย ตอนนั้นเธอว่าฉือซิ่นดูเป็นคนง่ายๆ สบายๆ เธอยังคิดจะประจบเขาเอาผลประโยชน์ให้ตัวเอง ทว่าจากสถานการณ์ตอนนี้ ทำให้เธอรู้ว่าความจริงแล้วผู้ชายคนนี้เป็นคนหัวแข็ง ไม่ฟังใครต่างหากล่ะ

คงต้องสั่งสอนเขาให้รู้สำนึกบ้างซะแล้ว

“ดูเผินๆ ตอนที่เรียนอยู่ ประวัติของนายดูดีมากเลยนะ ไม่ใช่แค่เรียนเก่ง แถมยังเป็นกรรมการนักเรียนอีกด้วย แต่ในความเป็นจริงน่ะเหรอ นายใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตัวเองขายใบลาให้พวกเด็กนักเรียน แล้วนายก็ยังตั้งกลุ่มพาทุกคนปีนกำแพงออกไปเล่นอินเทอร์เน็ตข้างนอกตอนดึกๆ ดื่นๆ นี่ยังไม่เท่าไหร่ แต่นายยังใช้ประโยชน์จากสัญชาตญาณสัตว์จูงหมาพูเดิลของคนอื่นไปผสมพันธุ์เพื่อหาเงินไปทั่ว สุดท้ายทำให้หมาตายคาที่ โรงเรียนเป็นสถานที่บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ขนาดนั้นนายยังใช้เป็นที่จัดขายบริการอีก!” ติงเสี่ยวโหรวคิดว่าหากใส่ดนตรีลงไปเธอคงจะสามารถแร็ปได้หนึ่งท่อนเลยทีเดียว

ฉือซิ่นยกมือเป็นสัญญาณไม่ให้เธอพูดอะไรออกมาอีก

ติงเสี่ยวโหรวเห็นท่าทางหงอยๆ ของเขาก็ยิ้มออกมาอย่างลำพองใจ 

ฉือซิ่นมองซ้ายมองขวา โชคดีที่ตอนนี้ยังไม่มีลูกค้าคนอื่น เขากระแอมและพูดแก้ “หมาตัวนั้นไม่ได้ตาย มันแค่เหนื่อยจนไม่มีแรงแค่นั้น อีกอย่างหมาตัวนั้นเป็นหมาที่บ้านฉันเลี้ยงเอาไว้”

ติงเสี่ยวโหรวพบว่าตอนที่อีตานี่ทำท่ากระดากอายก็น่ารักดีเหมือนกัน

“ทีนี้เชื่อแล้วใช่มั้ยว่าเราเรียนโรงเรียนเดียวกัน” ติงเสี่ยวโหรวถามเขา

ฉือซิ่นไม่มีอะไรจะพูดอีก เขาพยักหน้าก่อนจะเอ่ยถามอีก “ฉันเริ่มจะไม่สบายใจแล้วแฮะ เธอรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง”

ติงเสี่ยวโหรวยิ้มลึกลับ “ความลับ”

“เธอรู้จักฉันเหรอ”

“ตอนนั้นนายหน้าตาดีจะตายไป ฉันจะรู้จักนายก็ไม่เห็นแปลกเลยสักนิด” ติงเสี่ยวโหรวยกกาแฟอเมริกาโนขึ้นดื่ม

จู่ๆ ฉือซิ่นก็ยิ้ม

“นายยิ้มอะไร”

“ฉันคิดถึงรูปบนบัตรประชาชนของเธอน่ะ”

“นายกำลังจะบอกว่าไม่น่าประทับใจเลยสักนิดใช่มั้ยล่ะ” ติงเสี่ยวโหรวว่า

ฉือซิ่นส่ายหัว พยายามกลั้นยิ้ม “มันน่าเกลียดมากเลยต่างหากล่ะ”

ติงเสี่ยวโหรวแดกดันเขา “พูดเหมือนกับรูปบนบัตรประชาชนของนายดูดีอย่างนั้นแหละ”

ฉือซิ่นหยิบบัตรประชาชนออกมาจากกระเป๋าเงินยื่นให้ติงเสี่ยวโหรว หญิงสาวมองดูแวบหนึ่งแล้วเก๊กหน้าขรึมก่อนจะคืนบัตรประชาชนให้แก่อีกฝ่าย “เราคุยเรื่องอื่นกันเถอะ”

“ในงานปาร์ตีวันนั้น ฉันจำได้ เธอบอกว่าเธอถูกสาป” ฉือซิ่นถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

ติงเสี่ยวโหรวไม่คิดจะบอกความจริง “ฉันก็บอกไปแล้วไงว่าฉันแค่แกล้งทุกคนเล่น ฉันแสนดีขนาดนี้ ใครจะมามีเรื่องกับฉันได้”

“เหรอ แต่เมื่อกี้ฉันเห็นว่าเพื่อนร่วมงานสามสี่คนนั้นกำลังหาเรื่องเธออยู่นะ” ฉือซิ่นพูดแทงใจดำ

“นายไม่หาเรื่องมาแดกดันฉันแล้วจะไม่สบายใช่มั้ย”

“ฉันพบเจอกับคนมากมายทุกวัน คนพวกนั้นคิดอะไรอยู่ มองแค่แวบเดียวฉันก็พอเดาออกแล้ว เพราะฉะนั้นเธอโกหกฉันไม่ได้หรอก” ฉือซิ่นจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ พร้อมกับพูดเน้นทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำ “สิ่งที่เธอพูดออกมาในคืนนั้น ไม่ใช่เรื่องโกหกอย่างแน่นอน”

ติงเสี่ยวโหรวยอมแพ้ในที่สุด “ใช่ สิ่งที่ฉันพูดออกมาคือเรื่องจริง”

ฉือซิ่นไม่ได้พูดอะไรอีก เขาทำเพียงฟังติงเสี่ยวโหรวเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคำสาปออกมาเงียบๆ เท่านั้น

“ความจริงแล้วผู้หญิงตั้งครรภ์คนนั้นไปจับเมียน้อยของสามี แต่เธอเข้ามาหาผิดห้องเลยกลายเป็นสาปแช่งฉันแทน เธอแช่งฉันว่าขอให้ตลอดชีวิตของฉันไม่ได้พบเจอกับรักแท้อีก เพราะงั้นทุกคนที่คบกับฉันก็มีอันต้องเลิกรากันไปหมด” พูดมาถึงตรงนี้เธอก็นึกย้อนกลับไปอยู่หลายครั้ง ติงเสี่ยวโหรวพูดเสียงแผ่วเบาราวกับกำลังพูดถึงเรื่องของคนอื่นอยู่ “ตั้งแต่วันนั้น คนที่คบกับฉันจะบอกเลิกฉันในตอนสุดท้ายทุกคน และต่อจากนั้นไม่นานพวกเขาก็จะได้พบเจอกับคู่แท้ของตัวเอง”

ฉือซิ่นครุ่นคิด “เดี๋ยวนะ ตอนที่ผู้หญิงตั้งครรภ์คนนั้นสาปแช่งเธอ เขาใช้นิ้วชี้ขึ้นฟ้าด้วยใช่มั้ย”

ติงเสี่ยวโหรวทำท่าแปลกใจ “ใช่!”

ฉือซิ่นพูดต่อ “ไฟที่ห้องลองเสื้อก็ติดๆ ดับๆ ด้วยใช่มั้ย”

ติงเสี่ยวโหรวรู้สึกเหมือนตัวเองเจอคนที่รู้ใจเข้าแล้ว “ใช่ ใช่แล้ว!”

ฉือซิ่นยิ่งทำท่าจริงจังขึ้นไปอีก “แล้วสุดท้ายหลังจากที่เธอกล่าวคำสาปแช่งเสร็จ จู่ๆ ก็มีฟ้าผ่าลงมาใช่มั้ย”

ในที่สุดก็มีคนที่เชื่อเธอสักที ติงเสี่ยวโหรวตื่นเต้น “รีบบอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่านายรู้ได้ยังไง!”

ฉือซิ่นอดทนต่อไปไม่ไหว เขาหลุดขำออกมา

ติงเสี่ยวโหรวเริ่มร้อนใจ “หัวเราะอะไร รีบบอกฉันมาเร็วว่านายรู้ได้ยังไง”

ฉือซิ่นยังคงหัวเราะอยู่ “ในหนังตลกก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ”

ติงเสี่ยวโหรวชะงักพร้อมกับจ้องหน้าฉือซิ่น เมื่อถูกจ้อง ฉือซิ่นก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ และเริ่มรู้สึกว่าตัวเองทำเกินไป

หญิงสาวหัวเราะพร้อมกับลุกยืนและยกกาแฟแก้วนั้นขึ้น ฉือซิ่นใช้มือบังหน้าตัวเองไว้ นี่เป็นประสบการณ์ที่เขาเรียนรู้มาจากกองถ่ายรายการ หากเจอกับเรื่องไม่คาดฝันให้ปกป้องใบหน้าอันหล่อเหลาของตัวเองก่อนเป็นอย่างแรก

ติงเสี่ยวโหรวยกกาแฟขึ้นดื่มจนหมดแก้ว จากนั้นจึงวางแก้วลงกระแทกโต๊ะเสียงดังแล้วพูดออกมาหนึ่งประโยค “ลาก่อน!”

พูดจบเธอก็หิ้วกระเป๋าถือเดินจากไป

ฉือซิ่นยังคงนั่งอยู่ที่เดิม รู้สึกเหมือนกับจุดหักมุมของเรื่องนี้มาถึงเร็วเกินไป อย่างกับพายุทอร์นาโดไม่มีผิด

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น