6

ตอนที่ 5

5

 

ตกเย็น ตู้ลี่ลี่กำลังเล่นโยคะอยู่ที่ห้องรับแขก ติงเสี่ยวโหรวนั่งกินข้าวพลางเล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วย เธอเลิกงานช้า จึงมักต้องกินข้าวเย็นคนเดียวเสมอ

จู่ๆ ตู้ลี่ลี่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เธอเอ่ยถามทั้งที่ยังหลับตาอยู่ “เรื่องรถชนนั่นจ่ายเงินไปหรือยัง”

ติงเสี่ยวโหรวถือชามข้าวออกมาจากห้องรับประทานอาหาร “จ่ายแล้ว”

ตู้ลี่ลี่หายห่วง เธอหันกลับไปเล่นโยคะต่อ “เงินฝากแกก็มีใช่มั้ย พอจ่ายอยู่แล้วละ”

“พอน่า แม่ไม่ต้องสนใจหรอก” ติงเสี่ยวโหรวบอก

ความจริงแล้วไม่พอเลยต่างหาก ติงเสี่ยวโหรวไม่เหลือเงินฝากสักก้อนแล้ว หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยเธอก็เริ่มเก็บออมเงิน ส่วนเหตุผลที่ต้องออมเงินน่ะเหรอ ก็เพราะเป็นห่วงตัวเองในวันข้างหน้ายังไงล่ะ ตลอดชีวิตนี้เธอคงต้องอยู่คนเดียวไปจนแก่ ต้องเก็บเงินให้มากพอที่จะเลี้ยงตัวเองตอนแก่ได้ เด็กสาววัยรุ่นมักเก็บเงินได้ยากเพราะจะถูกอาหารอร่อยและเสื้อผ้าคอลเล็กชันล่อตาล่อใจอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหลายปีมานี้เธอฝากเงินไปแล้วทั้งหมดสามหมื่นหกพันหยวน

มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอออกไปชอปปิงกับหวังเท่อในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ตอนที่เธอผ่านตู้โชว์สินค้าของร้านค้าแห่งหนึ่ง หวังเท่อพูดขึ้นมาว่าตัวเองกำลังเตรียมจะซื้อบ้านเล็กๆ สักหลังที่วงแหวนตะวันออกเฉียงใต้ที่ห้า นั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก เธอถามว่าจะซื้อเมื่อไหร่ หวังเท่อกลับยิ้มอย่างขมขื่น บอกว่าเงินทำสัญญายังขาดอยู่อีกเกือบแสน วันต่อมาเธอจึงถอนเงินในบัญชีทั้งหมดมาให้ หวังเท่อซาบซึ้งมาก เขากอดเธอแน่นพร้อมทั้งบอกว่า ‘เสี่ยวโหรว ฉันจะดูแลเธอให้ดีที่สุด’

ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงชัดเจน ทั้งที่ต่างก็กลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันไปแล้ว หากจะบอกว่าการเลิกรากันทำให้คนเราเจ็บปวดแสนสาหัสแล้วนั้น การเลิกกันเพราะมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่า เงินก้อนนั้นคอยตอกย้ำติงเสี่ยวโหรวตลอดเวลาว่าผู้หญิงที่ดวงตามืดบอดและทำอะไรโดยไม่คิดเพื่อความรักนั้นโง่เขลาและน่าขันมากแค่ไหน เธอไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับชาช่า เพราะด้วยนิสัยขี้โมโหของอีกฝ่ายจะต้องพุ่งไปเอาเรื่องถึงบริษัทแน่นอน ทว่าติงเสี่ยวโหรวคิดว่าเธอกับเขาต่างก็เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว เธออยากจะแก้ไขปัญหาเรื่องเงินนี้กับหวังเท่อด้วยสันติวิธี

และติงเสี่ยวโหรวยิ่งไม่กล้าบอกมารดาเข้าไปใหญ่ ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทอง แต่เป็นเพราะตั้งแต่เล็กจนโต ตู้ลี่ลี่ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้แก่ลูกสาว ส่งเสียให้เธอได้เรียนเต้นรำ เรียนเปียโน เรียนเขียนพู่กัน ไม่ว่าจะเกิดเรื่องร้ายดีอะไรขึ้น เธอจะอยู่เคียงข้างลูกสาวสาวเสมอ แท้จริงแล้วติงเสี่ยวโหรวรู้สึกละอายใจนิดหน่อย ดูเหมือนว่าเธอจะไม่มียีนเด่นอยู่ในตัวเลยสักนิด ผ่านไปนานกี่ปีก็ไม่เคยมีอะไรพัฒนาสักอย่าง

เธอกับตู้ลี่ลี่ไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย รายนั้นเกิดมาพร้อมกับความสวย แม้อายุจะปาไปถึงสี่สิบแปดแล้ว แต่ก็ยังเป็นสาวใหญ่ที่งดงามอยู่ดี เมื่อสิบปีก่อนเธอพาลูกสาวและน้องชายมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ปักกิ่ง เคยเข็นสามล้อขายแฮมเบอร์เกอร์เนื้อ ขับแท็กซี่เถื่อน ถ่ายรูปโพลารอยด์ให้นักท่องเที่ยวที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน สุดท้ายจึงเปิดร้านไหมพรมแห่งนี้ เธอคนนี้ค่อนข้างเป็นคนทะนงตัวนิดหน่อย ไม่ค่อยสุงสิงกับพวกคุณนายอายุรุ่นราวคราวเดียวกันในย่านนี้ เสื้อผ้าที่สวมใส่ทุกวันดูแล้วราคาไม่ถูกสักเท่าไหร่ กระเป๋าที่ใช้ก็เป็นแบรนด์เนม ทว่าอย่างไรก็ตาม ติงเสี่ยวโหรวรู้ว่าทั้งเนื้อทั้งตัวของมารดานั้นมีเพียงแหวนเพชรวงเดียวเท่านั้นที่เป็นของราคาแพง เป้าหมายในชีวิตของตู้ลี่ลี่เมื่อไม่นานมานี้คือเธอจะต้องได้แต่งงานกับผู้ชายกระเป๋าหนักก่อนอายุห้าสิบปี ทุกครั้งที่พูดถึงเป้าหมายในชีวิตข้อนี้ ตู้ลี่ลี่มักจะถือโอกาสย้ำเตือนติงเสี่ยวโหรวอยู่เสมอว่าให้แต่งงานกับผู้ชายที่มีเงินเยอะๆ เท่านั้น

พอมีมารดาเป็นคนเช่นนี้ ติงเสี่ยวโหรวจึงไม่กล้าแม้แต่จะเล่าเรื่องความรักสามสิบตอนของตัวเองให้เธอฟัง ในบรรดาแฟนเก่าของเธอทั้งหมดไม่มีใครเป็นคนรวยเลย หากตู้ลี่ลี่รู้ว่าแฟนเก่าที่เธอคบมาเป็นคนไม่มีเงินแล้วละก็ ถึงจะติดตัวหนังสือกลับหัวให้เงินทองไหลมาเทมาแค่ไหน เกรงว่าจะทะเลาะกันบ้านแตกแน่ๆ

เมื่อฝึกโยคะเสร็จ ตู้ลี่ลี่ก็เดินเข้ามาใช้เท้าสะกิดติงเสี่ยวโหรว “แกขยับไปตรงนั้นหน่อยซิ”

ติงเสี่ยวโหรวขยับตัวตาม สองแม่ลูกรวมตัวกันอยู่บนโซฟา คนหนึ่งดูโทรทัศน์ อีกคนหนึ่งไถหน้าจอโทรศัพท์เล่น ตู้ลี่ลี่ดูรายการโทรทัศน์ตาไม่กะพริบพร้อมกับพูดว่า 

“เป็นพิธีกรภาคสนามนี่มันไม่ง่ายเลยจริงๆ โดนคนตามทำร้ายไม่เว้นแต่ละวัน”

ติงเสี่ยวโหรวตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจ “อือ”

ตู้ลี่ลี่หงุดหงิดนิดหน่อยที่ลูกสาวไม่ยอมคุยกับตัวเอง “ฉันพูดไปกี่รอบแล้วว่าเวลากินข้าวอย่าเล่นโทรศัพท์ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าเชื้อโรคที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือมีมากกว่าเชื้อโรคบนฝาชักโครกอีกนะ”

ติงเสี่ยวโหรวหัวเราะ “หนูกล้าเลียหน้าจอโทรศัพท์มือถือนะ ผู้เชี่ยวชาญคนนั้นกล้าเลียฝาชักโครกหรือเปล่าล่ะ”

ตู้ลี่ลี่โมโหจนยกเท้าขึ้นจะเตะติงเสี่ยวโหรว หญิงสาวจึงรีบกระถดตัวไปอยู่อีกมุมของโซฟาทันทีพลางกวาดสายตามองโทรทัศน์ พิธีภาคสนามที่ว่าคือฉือซิ่นนั่นเอง ดูเหมือนว่าเขากำลังเตรียมตัวสัมภาษณ์คุณน้าสองคนที่ทะเลาะกันใหญ่โตเพราะแย่งคู่เต้นรำกัน ฉือซิ่นในโทรทัศน์นั้นดูดีมาก ใครจะคิดล่ะว่าในความเป็นจริงแล้วเขาเป็นคนชอบทำตัวน่ารำคาญ อีกทั้งยังพูดจาไม่รักษาน้ำใจคนฟัง

พอคิดมาถึงตรงนี้ ติงเสี่ยวโหรวก็ยิ้มออกมา ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าตัวเองนั้นฉลาดเหลือเกิน ความจริงแล้ววันนี้ที่ร้านกาแฟ เธอไม่ได้โมโหเพราะคำพูดของฉือซิ่นหรอก ทั้งหมดนั่นเธอแค่แกล้งทำเท่านั้นเอง พอเป็นแบบนี้จะได้มีข้ออ้างในการหนีออกมา ฉือซิ่นจะต้องรู้สึกผิดและพูดไม่ออกเรื่องเงินค่าเสียหายนั่น ติงเสี่ยวโหรวตัดสินใจแล้วว่าจะรอให้เงินเดือนออกก่อนถึงจะคืนเงินให้เขา หลังจากนั้นทั้งสองคนจะได้ไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกันอีก

ประตูถูกเปิดออก ตู้ลี่หมิงลากรถเข็นคันเล็กเข้ามา บนรถเข็นยังบรรทุกลำโพงไว้อีกหนึ่งอัน

 “น้า!” ติงเสี่ยวโหรวร้องเรียกอย่างสนิทสนม

สมแล้วที่ตู้ลี่หมิงมีศักดิ์เป็นน้าชายคนเล็ก เขาอายุมากกว่าติงเสี่ยวโหรวเพียงเก้าปี ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก ในสายตาของติงเสี่ยวโหรว น้าชายนั้นเพอร์เฟกต์ไปหมดทุกอย่าง รูปร่างหน้าตาดี นิสัยดี บุคลิกดี ติดอย่างเดียว...ติดจะออกสาวไปหน่อย

“วันๆ มัวแต่ไปเต้นอยู่ที่ลานกว้างอยู่ได้ แกเพิ่งจะอายุสามสิบกว่าเองนะยะ คนรอบข้างแกนี่มีแต่พวกอาม่าอายุหกสิบเจ็ดสิบทั้งนั้น แกเป็นอย่างนี้แล้วมีแฟนสิถึงจะแปลก” ตู้ลี่ลี่บ่น

ตู้ลี่หมิงเปลี่ยนรองเท้าแตะ “ผมทำเพื่อการค้าขายของร้านเราต่างหากล่ะ ผมต้องทำความรู้จักลูกค้าไว้บ้างสิ”

“ขอบใจนะจ๊ะ” ตู้ลี่ลี่ทำเสียงเฮอะขึ้นจมูกก่อนจะลุกขึ้นยืน “ฉันกลุ้มใจจะตายอยู่แล้ว บ้านนี้มีคนโสดอยู่ตั้งสองคน”

สายตาของติงเสี่ยวโหรวและตู้ลี่หมิงจับจ้องไปที่โทรทัศน์ แต่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “สามคนเถอะ”

ตู้ลี่ลี่คิดหาคำมาตอกกลับ ทว่าสุดท้ายก็ยอมแพ้ไปในที่สุด “ฉันหมดปัญญาจะเถียงแล้ว!” 

พูดจบก็เดินฮึดฮัดกลับเข้าไปในห้องนอน

ติงเสี่ยวโหรวและน้าชายยื่นมือออกมาแตะกัน “เยส!”

ในโทรทัศน์ คุณน้าทั้งสองยึดมั่นในความคิดของตัวเองและเอาแต่ต่อว่าอีกฝ่ายไม่หยุด ฉือซิ่นถามคู่กรณีทั้งสองคน 

“พวกคุณคิดว่าชายคู่เต้นรำคนนั้นมีดีตรงไหนครับ”

“เป็นคนหนุ่มหน้าตาดี จริงใจกับผู้อื่น” คุณน้าท่านหนึ่งกล่าว

“แล้วยังถักเสื้อไหมพรมเป็นด้วย!” อีกคนหนึ่งรีบเสริม

ดูมาถึงตรงนี้ก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่ไม่อาจกลั้นได้ของคนที่ไม่ได้อยู่หน้ากล้องดังเข้ามา

บางทีอาจเป็นเพราะฉือซิ่นดันไปล่วงเกินคู่เต้นรำของตัวเองเข้า คุณน้าทั้งสองจึงแปรเปลี่ยนมาร่วมมือกันขับไล่ฉือซิ่นกับตากล้องออกมาจากบ้านราวกับกำลังกำจัดศัตรูคนเดียวกัน

“ทำไมเขาถึงหัวเราะล่ะ” ตู้ลี่หมิงถามอย่างไม่เข้าใจ พลางหยิบไหมพรมออกมาก่อนจะเริ่มฝึกถักเสื้อไหมพรม

“คงจะเป็นเพราะคุณน้าสองคนนั้นพูดจาตลกละมั้ง” ติงเสี่ยวโหรวตอบ

“นั่นสิ ปกติสองคนนั้นก็ชอบเถียงกันอยู่แล้ว เธอพูดหนึ่งคำ ฉันพูดหนึ่งคำ อย่างกับการแสดงคู่ไม่มีผิด”

ตู้ลี่หมิงนั้นเชี่ยวชาญเรื่องของการถักทอ

“รู้สึกเหมือนกับว่าคู่เต้นรำที่สองคนนั้นแย่งกันคือน้าเลยอะ!” ติงเสี่ยวโหรวตื่นเต้นเล็กน้อยที่มีคนในครอบครัวไปไปเป็นหัวข้ออยู่ในโทรทัศน์

น้าชายพยักหน้า “พวกเธอสองคนซื้อไหมพรมของน้าคนละห้ากิโล”

ติงเสี่ยวโหรวชี้ไปที่ฉือซิ่นซึ่งอยู่ในจอโทรทัศน์แล้วถาม “น้าว่าอีตานั่นเป็นคนยังไง”

น้าชายปรายตามอง “เหมือนจะเป็นคนดีนะ แต่ดูทึ่มไปหน่อย”

 

วันต่อมา การเผยแพร่หัวข้อข่าว ‘สองสาวใหญ่ชิงรักหักสวาท ยื้อแย่งชายหนุ่มคู่เต้นรำคนเดียวกัน’ ทำให้หัวหน้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

“ทำอย่างกับเป็นการออกอากาศสดไปได้!” หัวหน้าพูดเสียงดัง

ทุกคนในห้องประชุมรับรู้ได้ถึงความไม่ปลอดภัย ซึ่งคนที่จะซวยคนแรกคือฉือซิ่น

“เสี่ยวโจว!” หัวหน้าเรียกชื่อคนตัดต่อ “ทำไมถึงตัดต่อเอาเรื่องขายหน้าของพิธีกรภาคสนามใส่เข้าไปด้วย ทำอะไรไม่รอบคอบแบบนี้มีแต่จะทำให้ความเชื่อมั่นของคนดูที่มีต่อเราลดลง!”

“นายก็ด้วย ฉือซิ่น!” ยิ่งพูดหัวหน้ายิ่งโมโห “ทำงานในสายอาชีพสื่อมวลชน นายรู้มั้ยว่าเวลาสัมภาษณ์ต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเอง สิ่งที่เราต้องการคือให้นายเน้นไปที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ ไม่ใช่ต้องการให้ผู้สัมภาษณ์มาแสดงอารมณ์ร่วมด้วยมากขนาดนี้!”

ฉือซิ่นน้อมรับคำตำหนิทุกคำ “ผมผิดเองครับหัวหน้า ต่อไปจะระวังให้มากกว่านี้”

“เลิกพูดว่าต่อไปซะที นายทำงานแบบนี้จะครั้งต่อไปอีกมั้ยก็ไม่รู้” หัวหน้าบอก

คำพูดแบบนี้สำหรับคนฟังแล้วรุนแรงมาก โดยเฉพาะพนักงานเก่าแก่อย่างฉือซิ่น ไม่ต่างอะไรกับการถูกตบหน้าแรงๆ หนึ่งฉาดเลย

น้ำเสียงของหัวหน้าค่อยๆ อ่อนลง “นายเป็นคนที่อยู่กับรายการมานาน ควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ทุกคนสิ จะทำตัวเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้แล้วนะ”

ฉือซิ่นยังคงมีท่าทีสุภาพอ่อนน้อม “ทราบแล้วครับหัวหน้า”

หัวหน้าพูดต่ออีกว่า “เกือบสองเดือนที่ผ่านมานี้ คุณภาพเนื้อหาของรายการยิ่งต่ำลงทุกที วันๆ เอาแต่ตะลอนอยู่ข้างถนนอย่างกับคนถ่อย ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป ก็รอถูกบอกให้ยุติการออกอากาศรายการได้เลย”

ทั้งห้องเงียบเป็นเป่าสาก

ประตูเปิดออก ถงเลี่ยงปรากฏตัวตรงหน้าประตู

“ขอโทษทีครับ พอดีผมเพิ่งไปรับเชิญอีกรายการหนึ่งของสถานีมา” ถงเลี่ยงรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล “เชิญหัวหน้าต่อได้เลยครับ ไว้เดี๋ยวผมจะมาใหม่”

“ถงเลี่ยง นายเป็นพิธีกรหลักของรายการนี้ ช่วยบอกทีซิว่านายคิดยังไงกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในระหว่างสัมภาษณ์ของพิธีกรภาคสนาม” หัวหน้าออกคำสั่ง

ใบหน้าของฉือซิ่นฉายแววยุ่งยากใจ

ทุกคนรู้ดีว่าทั้งสองคนเรียนจบมาจากที่เดียวกัน อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอีก พวกเขาได้แต่แอบถอนหายใจแทนฉือซิ่น รอลุ้นว่าถงเลี่ยงจะแก้หน้ากับหัวหน้าให้ฉือซิ่นยังไง

ถงเลี่ยงเดินเข้ามาส่งเอกสารฉบับหนึ่งให้หัวหน้า

“ก่อนอื่น ในฐานะที่ผมเองก็เป็นส่วนหนึ่งของรายการนี้ จึงไม่สามารถปัดความรับผิดชอบได้ สิ่งที่ผมเพิ่งให้หัวหน้าดูเมื่อครู่นี้คือฟีดแบ็กของผู้ชมหลังจากรายการออกอากาศไป ผู้ชมจำนวนมากตั้งคำถามต่อความเป็นมืออาชีพของพิธีกรภาคสนาม และมันยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ที่ดีของรายการในสายตาผู้ชมโดยตรง ดังนั้นผมมีความเห็นว่าฉือซิ่นควรจะแสดงความรับผิดชอบต่อการออกอากาศครั้งนี้ครับ” ถงเลี่ยงบอก

ทุกคนได้แต่มองหน้ากัน ไม่อยากเชื่อว่านี่คือคำพูดของถงเลี่ยง ความจริงแล้วเรื่องใหญ่ที่ควรกลายเป็นเรื่องเล็ก และเรื่องเล็กที่ควรกลายเป็นแค่สายลมพัด ตอนนี้ได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ไปแล้ว

ฉือซิ่นเองก็อึ้งไป แต่เขายังพยายามใจเย็น ถงเลี่ยงยังคงพูดต่อ “จริงๆ แล้วผมไม่ได้อยากมายืนอยู่ตรงนี้เลยนะครับ ทุกคนก็รู้ว่าผมสนิทกับฉือซิ่น แต่เรื่องงานก็ส่วนเรื่องงาน เรื่องนี้เขาผิดเต็มๆ”

หนึ่งเดือนก่อน ทั้งสองคนเป็นผู้เข้ารอบสุดท้ายในการคัดเลือกพิธีกรหลักของรายการ หลังจากผลการประเมินออกมา ถงเลี่ยงเอาชนะไปด้วยคะแนนที่สูงกว่าเพียง 0.37 คะแนน ตอนที่ผู้บริหารประกาศชื่อผู้ได้รับคัดเลือกนั้น แม้ว่าฉือซิ่นจะผิดหวัง ทว่าก็ยินดีต่ออีกฝ่ายจากใจจริง ทว่าสิ่งที่ทำให้ฉือซิ่นเจ็บปวดที่สุดคือ ถงเลี่ยงโอบกอดทุกคนที่อยู่ตรงนั้น แต่กลับไม่สนใจเขาเลยสักนิด แม้แต่คำทักทายสักคำก็ไม่มี นับตั้งแต่วันนั้น ท่าทีของเขาที่มีต่อฉือซิ่นก็เปลี่ยนไป มิตรภาพที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานั้นก็พลันจางหายไปด้วย

คนฉลาดย่อมดูออกว่าถงเลี่ยงกำลังกดดันให้หัวหน้าลงโทษฉือซิ่นต่อหน้าทุกคน

ใบหน้าของหัวหน้าเคร่งขรึม “ฉันจะรายงานเรื่องนี้กับทางสถานีแล้วจะมาบอกให้ทางกองถ่ายทราบถึงมาตรการการแก้ปัญหา”

ต้าโหย่ว ตากล้องที่ไปสัมภาษณ์กับฉือซิ่นดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เขายืนขึ้น ฉือซิ่นใช้สายตาส่งสัญญาณบอกไม่ให้เขาวู่วาม

การประชุมจบลงแล้ว ถงเลี่ยงรีบตามฉือซิ่นออกมา

“ฉือซิ่น นายอย่าโทษฉันเลยนะ ที่ฉันทำทั้งหมดนี้ก็เพื่องาน” ถงเลี่ยงพูดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังคล้ายกับว่าไม่ได้สนใจว่าฉือซิ่นจะโทษว่าเป็นความผิดของเขาหรือไม่ คล้ายกับเป็นเพียงการบอกให้รู้เฉยๆ

ฉือซิ่นมองหน้าอีกฝ่าย เขายิ้มพร้อมกับเอ่ยบอก “ไม่เป็นไร โบราณว่าไว้ แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร ฉันยอมรับความพ่ายแพ้นี้”

ไหนๆ ก็มองหน้ากันไม่ติดแล้ว เป็นเรื่องดีที่ถงเลี่ยงจะได้ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำอีก “ตราบใดที่ฉันยังอยู่ นายไม่มีทางที่จะได้เป็นพิธีกรหลักหรอก”

ถงเลี่ยงเดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก

ต้าโหย่ววิ่งเข้ามาหาฉือซิ่น “พี่ฉือซิ่น ให้ผมไปบอกความจริงกับหัวหน้าเถอะ!”

ฉือซิ่นโอบคอต้าโหย่วให้ก้าวเดินพร้อมกันพลางพูดไปด้วย “นายไปตอนนี้ก็มีแต่จะทำให้เรื่องมันยุ่งกว่าเดิม ฉันตัดสินใจไปแล้ว นายอย่าได้ไปทำเรื่องโง่ๆ ล่ะ”

ความจริงแล้ว เสียงหัวเราะตอนสัมภาษณ์ไม่ได้มาจากฉือซิ่น แต่มาจากต้าโหย่ว ต้าโหย่วยังเรียนไม่จบ อีกครึ่งปีก็จะฝึกงานจบแล้ว ถ้าหากมีเรื่องผิดพลาดขึ้นแบบนี้ คงไม่มีทางได้ทำงานอยู่ในสถานีต่อไปแน่ๆ

พอเห็นสีหน้าละอายใจของต้าโหย่ว ฉือซิ่นจึงปลอบเขา “ลูกพี่ของนายเป็นถึงคนเก่าคนแก่ของรายการเชียวนะ ไม่มีอะไรหรอกน่า นายไม่ต้องคิดมาก”

พูดตามความจริง วันนี้ในใจของฉือซิ่นเต็มไปด้วยความหวัง แม้จะเจอกับเรื่องกวนใจอย่างเมื่อครู่นี้ก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อเขามากนัก เพราะเจี่ยงหยวนขอนัดเจอเขา 

 

ฉือซิ่นมาถึงที่นัดหมายในเวลาอาหารกลางวัน มันคือร้านอาหารกวางตุ้งที่ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัย ที่นี่เป็นที่ที่เขามากินข้าวกับเจี่ยงหยวนเป็นครั้งแรกเมื่อเก้าปีที่แล้ว 

พวกเขารู้จักกันในงานต้อนรับนักเรียนใหม่ ฉือซิ่นทำหน้าที่เป็นพิธีกร ส่วนเธอคือคนที่ยืนอยู่ด้านล่างเวที มองดูหนุ่มน้อยผู้เปล่งประกายและมีรอยยิ้มงดงามดั่งภาพวาด ทั้งคู่กอดกัน จูบกันที่สนามกีฬา เธอบอกว่าในอนาคตจะแต่งงานกับพิธีกรที่เก่งกาจที่สุด เก้าปีที่ทั้งคู่ก้าวผ่านช่วงเวลาวัยรุ่นเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่มาด้วยกัน เช่าห้องอยู่ ยุ่งกับงาน ทำความรู้จักกับคนโน้นคนนี้...เวลาผ่านไปเร็วมาก ชีวิตนี้จะมีช่วงเวลาเก้าปีนี้ได้อีกกี่ครั้ง ช่วงเวลาเก้าปีที่ดีที่สุดที่พวกเขามีให้กัน

หนึ่งเดือนก่อน เจี่ยงหยวนขอเลิกกับเขา เหตุผลคือเธออายุมากขึ้นทุกวัน เธอรอต่อไปไม่ได้แล้ว...ใช่สิ เขาเคยสัญญาว่าจะทำให้เธอใช้ชีวิตอย่างดี เคยสัญญาว่าจะแต่งงานกับเธอตอนอายุยี่สิบแปดปี เขาทำไม่ได้เลยสักอย่าง อนาคตจะเป็นอย่างไรตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจ แล้วจะมีหน้าไปขอให้เธอมาลำบากไปกับเขาอย่างนั้นหรือ ฉือซิ่นไม่ใช่คนชอบตามตื๊อใคร หลังจากที่พยายามประคับประคองกันมาแล้ว เขาจึงเลือกที่จะเงียบ เขาเข้าใจเจี่ยงหยวนเป็นอย่างดี เรื่องที่เธอตัดสินใจทำลงไปแล้ว มีแต่ตัวเธอเองเท่านั้นที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้

ตอนที่ฉือซิ่นเดินเข้าไปในร้านอาหาร เจี่ยงหยวนก็นั่งรออยู่ก่อนแล้ว เธอบอกให้เขานั่งลงโดยไม่มีท่าทีเคอะเขิน ทั้งคู่กินข้าวกันเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ตะเกียบสองคู่ชนกันเบาๆ เพราะจะคีบหมูกรอบชิ้นเดียวกัน

เมื่อนานมาแล้ว เจี่ยงหยวนเคยคะยั้นคะยอเขา ‘ลองชิมหนังหมูดูก่อนก็จะรู้ว่าหมูกรอบอร่อยหรือไม่อร่อย’

ทั้งสองคนหัวเราะออกมา

เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์ ราวกับว่าตอนนี้พวกเขายังคบกันอยู่

“ช่วงนี้นายสบายดีมั้ย” เจี่ยงหยวนถาม

“ก็ดี” เขาตอบ พอฝืนกินไปได้สองคำก็พูดขึ้นอีก “ความจริงแล้วก็ไม่ดีหรอก บังคับให้ตัวเองไปทำงาน พยายามสุดชีวิตเพื่อไม่ให้คนอื่นดูออกว่าอกหัก ตอนที่อยู่คนเดียวก็ยังรู้สึกว่าเธอไม่ได้หายไปไหน เจอของเล็กๆ น้อยๆ ที่เธอทิ้งไว้อยู่บ่อยๆ พอหยิบมาดูก็นั่งเหม่อไปครึ่งวัน เอาแต่คิดว่าตอนที่เราไปซื้อของชิ้นนั้นด้วยกันอากาศเป็นยังไง เธอใส่ชุดแบบไหน แล้วพูดกับฉันว่ายังไง เวลานอนก็หลับๆ ตื่นๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเธอไม่อยู่แล้ว สักพักพอตื่นขึ้นมาก็เปิดวีแชตดูเพราะหวังว่าจะได้เห็นข้อความของเธอ แต่มันก็ไม่มี ฉันพิมพ์ข้อความให้เธอยาวเหยียด แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ ลบทิ้งไปทีละตัว...เจี่ยงหยวน ฉันคิดถึงเธอมากนะ...”

ฉือซิ่นเสียงเครือเล็กน้อยตอนที่พูดเช่นนั้น น้ำตาไหลของเขาออกมาเป็นสาย

“เดี๋ยวก็ดีขึ้นเองแหละ” เจี่ยงหยวนบอก

“เจี่ยงหยวน เรา...”

เจี่ยงหยวนยังคงพูดสิ่งที่ตัวเองคิดต่อไป “บางทีนายเปลี่ยนไปอยู่ที่อื่นดูดีมั้ย ถ้ายังมัวแต่อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น นายจะตัดใจได้ยากนะ”

ฉือซิ่นกลืนสิ่งที่อยากพูดกลับลงในลำคอ แม้ว่าเขาจะอยากลองเสี่ยงดูอีกสักครั้ง ทว่าเขารู้ดีว่าเรื่องของเขากับเธอไม่มีทางเป็นไปได้อีกแล้วแม้จะรักกันมาตั้งนาน พวกเขาต่างก็รู้ในข้อนี้ดี

ฉือซิ่นฝืนยิ้ม “มีธุระอะไรกับฉันเหรอ”

“ช่วยลบรูปภาพทั้งหมดที่เราถ่ายด้วยกันในโซเชียลของนายหน่อยได้มั้ย” เจี่ยงหยวนบอก

“เธอมีแฟนแล้วเหรอ” เขาถาม

เจี่ยงหยวนตอบกลับ ทว่าเธอไม่ยอมมองหน้าเขา “มีเพื่อนบางคนเข้าใจว่าเรายังคบกันอยู่ ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปจะไม่สบายใจกันเปล่าๆ”

พอเห็นว่าฉือซิ่นเงียบ เจี่ยงหยวนจึงพูดต่อ “หรือว่าจะประกาศอย่างเป็นทางการ นายเป็นคนบอกก็ได้ บอกว่าเราสองคนเลิกกันแล้ว”

ฉือซิ่นยังคงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เราคิดเหมือนกันเลย สองวันมานี้ฉันก็คิดอยู่ว่าจะลบ ได้สิ เดี๋ยวฉันกลับไปลบให้”

เพื่อให้เจี่ยงหยวนสบายใจและเพื่อไม่ให้ตัวเองหลงเหลือความหวังอะไรอีก เขาจึงสำทับ “จะลบให้หมดเลย”

 

หลังจากผ่านช่วงความรู้สึกหนึ่งมาแล้วมักจะมีปัญหามากมายตามมา ใช่ว่าการเลิกกันจะทำลายความสงบสุขของโลกหรือทำให้รู้จักผิดชอบชั่วดีได้ ติงเสี่ยวโหรวเองก็เหมือนกัน เธอต้องการจบปัญหาการเงินระหว่างตัวเองกับหวังเท่อให้เร็วที่สุด

ความจริงแล้วติงเสี่ยวโหรวเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวกับตัวเองเล็กน้อย เวลาไปซื้อเสื้อผ้าเธอจะยึดหลักซื้อเสื้อผ้าลดราคาไม่ซื้อเสื้อผ้าออกใหม่ ตอนไปกินหม้อไฟกับชาช่าก็ยังซื้อเครื่องดื่มจากซูเปอร์มาร์เกตติดไปด้วย ทว่ากับคนอื่น ยิ่งเป็นคนที่เธอรัก เธอจะยิ่งใจกว้างจนแทบจะเทให้หมดหน้าตัก เธอเข้าใจคำที่ว่า ทำไม่ดีกับตัวเองแล้วมีสิทธิ์อะไรไปหวังให้คนอื่นมาทำดีด้วย ชาช่าบอกเธอว่าถ้าจะพูดให้ดีหน่อยก็คือขาดความมั่นใจ กลัวจะถูกทิ้ง แต่ถ้าจะพูดให้แย่หน่อยก็คือไม่รู้จักคุณค่าของตัวเอง

หวังเท่อมักออกมาจากห้องประชุมเล็กตอนสามโมงตรงและไปดื่มกาแฟที่ห้องชงชา ความเคยชินนี้ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดมาเปลี่ยนแปลงได้ ติงเสี่ยวโหรวมีเวลามากพอที่จะคุยเรื่องเงินกับเขาให้ชัดเจน

ติงเสี่ยวโหรวส่งข้อความไปหาหวังเท่อทางวีแชตก่อน

ติงเสี่ยวโหรว : อยู่บริษัทมั้ย

อีกฝ่ายตอบกลับอย่างรวดเร็ว : อยู่

ติงเสี่ยวโหรว : ฉันอยากจะคุยกับนายเป็นการส่วนตัวสักหน่อย

หวังเท่อ : ได้สิ ที่ไหนล่ะ

ติงเสี่ยวโหรว : ห้องพักผ่อนดีมั้ย

หวังเท่อ : โอเค

มองดูเวลา เกือบจะสามโมงแล้ว ติงเสี่ยวโหรวเตรียมตัวจะออกไปตามนัด

หวังเท่อ : ติงเสี่ยวโหรว ฉัน...

ติงเสี่ยวโหรวจ้องหน้าจอโทรศัพท์ เมื่อสัมผัสได้ถึงความลังเลของอีกฝ่าย เธอก็รู้สึกเสียใจมาก เธอเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองยังคงมีเยื่อใยต่อผู้ชายคนนี้อยู่ ติงเสี่ยวโหรวไม่รู้จะตอบกลับไปว่าอย่างไร เธอลุกขึ้นเดินไปทางห้องรับรอง

เธอนึกถึงเครื่องหมายจุดไข่ปลาของหวังเท่อมาตลอดทาง เขาจะพูดอะไรกันแน่ เธอนึกถึงสายตาที่เขามองเธอที่ห้องถ่ายเอกสารในวันนั้นขึ้นมาอีกครั้ง เห็นอยู่ชัดๆ ว่ายังลังเลและมีเยื่อใย...เธอเปิดหน้าแชตสนทนาขึ้นมาก่อนจะปิดไป ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ

ตรงหน้าคือห้องพักผ่อน ติงเสี่ยวโหรวชะงักฝีเท้า เธอปลุกความกล้าในตัวเองขึ้นมา กดพิมพ์ข้อความลงในหน้าแชตสนทนาของอีกฝ่าย 

คบกับฉันเถอะนะ ลาออกจากที่นี่กัน!

แค่สัมผัสปุ่มทางด้านขวาเบาๆ อีกฝ่ายจะสามารถรับรู้ถึงความในใจของเธอได้ทันที

ติงเสี่ยวโหรวเริ่มลังเลอีกครั้ง เธอตบหน้าตัวเบาๆ สลัดความคิดบั่นทอนจิตใจออกจากหัวก่อนจะพูดว่า “สู้ๆ! สู้ๆ! สู้ๆ!”

กดส่งไปแล้ว

ติงเสี่ยวโหรวตัดสินใจว่าจะสู้สุดใจ เธอผลักประตูห้องพักผ่อนให้เปิดออก

ลูซี่ยืนอยู่ข้างใน ในมือถือโทรศัพท์ของหวังเท่อไว้ เคสโทรศัพท์ลายไอรอนแมนนั่นเธอก็เป็นคนซื้อให้หวังเท่อเองกับมือ ติงเสี่ยวโหรวยืนนิ่งจนแทบจะแข็งเป็นหิน ในขณะเดียวกันเธอได้ยินเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์ในมือของลูซี่

โดนหลอกอีกแล้วสินะ...

ติงเสี่ยวโหรวทำความเข้าใจข้อความก่อนหน้านี้ใหม่ด้วยความเร็วสูง...เพื่อที่จะล่อเหยื่อมาติดกับ ลูซี่จงใจพิมพ์ข้อความให้ขาดหายไป ขอแค่ติงเสี่ยวโหรวอดทนรอไม่ไหว ตอบกลับมาแบบมีเลศนัยยังไงก็ล้วนแต่เป็นหลักฐานมัดตัวว่าคนที่ติดต่อมาก่อนคือติงเสี่ยวโหรว คนที่ ‘ให้ท่า’ แฟนของคนอื่นก็คือติงเสี่ยวโหรวอีกเช่นกัน ตามนิสัยของลูซี่ เธอจะต้องเอาภาพแชตสนทนาส่งไปให้ทุกกรุ๊ปแชตในบริษัทดู ถึงตอนนั้นติงเสี่ยวโหรวจะแก้ตัวยังไงคงไม่มีใครเชื่อแล้ว

ไม่ได้เด็ดขาด!

ยังไงก็ไม่ได้!

ติงเสี่ยวโหรวพุ่งเข้าไปแย่งโทรศัพท์ในจังหวะที่ลูซี่กดเปิดมันขึ้นมาพอดี จากนั้นจึงโยนลงพื้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี ก่อนจะกระโดดใช้ส้นรองเท้าเหยียบซ้ำ

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นตอนที่ลูซี่กำลังตกตะลึง จนกระทั่งโทรศัพท์มือถือพังจนไม่เหลือชิ้นดี หน้าจอแตกละเอียด ติงเสี่ยวโหรวจึงหยุดการกระทำนั้นแล้วหอบหายใจแรง

“ติงเสี่ยวโหรว!”

ทุกคนในบริษัทต่างก็ได้ยินเสียงแหลมๆ ของลูซี่กันหมด 

ประธานเจิ้งตำหนิติงเสี่ยวโหรวอย่างหนัก ความผิดของเธอคือไม่เคารพหัวหน้างานและตกเป็นผู้ต้องสงสัยทำร้ายร่างกาย อีกทั้งยังทำลายทรัพย์สินของคนอื่น ลูซี่ยืนพูดใส่ความอยู่ข้างๆ ไม่นานติงเสี่ยวโหรวก็ถูกมองว่าเป็นคนไม่ดี ไม่มีใครสั่งสอน และมีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคจิต 

“บอกมาซิว่าคุณจะทำยังไง ลูซี่” ประธานเจิ้งถามความเห็น

ลูซี่เสแสร้ง “คุณก็เห็นแล้วนี่คะประธานเจิ้ง ฉันเพิ่งจะได้ใช้โทรศัพท์ของแฟนวันนี้เอง เธอเข้ามาถึงก็ทำพังเลย ปล่อยคนแบบนี้ไว้ในบริษัทมันอันตรายมากเลยนะคะ วันนี้เหยียบโทรศัพท์จนพัง วันพรุ่งนี้อาจจะฆ่าคนตายก็ได้ แต่ว่าติงเสี่ยวโหรวอยู่กับฉันมานาน ฉันเองก็เอ็นดูเธอ เอาอย่างนี้มั้ยคะประธานเจิ้ง อีกเดี๋ยวฉันจะเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ถ้าย้ายประวัติการสนทนาทั้งหมดได้สำเร็จ ไม่ทำให้ทั้งบริษัทและฉันเสียหาย ฉันจะยอมให้เธอทำงานต่อไปค่ะ”

“ตกลง ลูซี่ยังใจดีมีเมตตาเสมอเลย” ประธานเจิ้งเอ่ยชมพนักงานคนเก่งไม่หยุดปาก

หมดกัน เตรียมตัวตายได้เลย...ติงเสี่ยวโหรวคิด อีกเดี๋ยวหากลูซี่ย้ายประวัติการสนทนาไปยังโทรศัพท์เครื่องใหม่ก็จะเห็นข้อความที่เธอเพิ่งส่งไปให้หวังเท่อเมื่อครู่นี้ ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะต้องลาออกจริงๆ แล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหางานใหม่ได้ ไหนยังจะต้องโกหกตู้ลี่ลี่เพื่อไม่ให้เธอเป็นห่วงอีก

ลูซี่ล็อกอินเข้าวีแชตของหวังเท่ออีกครั้งอย่างชำนาญ ส่งรอยยิ้มที่บอกว่า ‘แกตายแน่’ ให้ติงเสี่ยวโหรว แล้วก็มีอันต้องชะงักไปก่อนจะพูดออกมาแบบไม่เต็มเสียงนัก “ประธานเจิ้งคะ ทำตามที่พูดไปก่อนหน้านี้ได้เลยค่ะ ฉันจะให้โอกาสเธออีกครั้ง”

ติงเสี่ยวโหรวจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองเดินออกจากห้องมาได้ยังไง สองขาของเธอเบาหวิว ในหัวมีเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความที่ชาช่าส่งมาทางวีแชต

ฉันไปกับเธอก็ได้ แต่ต้องรอวันหยุดก่อนนะ ฉันเพิ่งจะผ่าตัดเสร็จ เธอทำอะไรอยู่เหรอ

ติงเสี่ยวโหรวเลื่อนดูข้อความด้านบน มือสั่นระริก ข้อความที่เดิมทีจะต้องถูกส่งไปให้หวังเท่อนั้นถูกส่งไปให้ชาช่าแทน

โชคดีมากๆ ที่กดส่งผิด

เพื่อนร่วมงานที่เดินผ่านไปมาหันมองติงเสี่ยวโหรว เธอมีสีหน้าเหมือนกำลังยิ้ม ขณะเดียวกันก็ดูเหมือนจะร้องไห้เช่นกัน

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น