บทที่ ๓

 

จันทร์ดวงโตเปล่งรัศมีเต็มท้องฟ้า จนเหล่าดาราต้องหลบแสง เอื้อมดาวเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย เธอสวมผ้าคาดอก มีผ้าฝ้ายทอมือผืนใหญ่คลุมกันลม บางเวลาที่พระพายทายทักก็ทำให้ผมยาวปลิวสยาย จนต้องรวบเบี่ยงมาไว้ที่ไหล่ซ้าย 

จริงๆ เธอไม่ได้มาชมจันทร์เพียงอย่างเดียวแน่ เพราะทุกย่างก้าวที่เดิน เธอเหมือนจะรอใครบางคน 

ใช่ ผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว เขาเดินออกมาจากใต้ต้นกาซะลองที่ส่งกลิ่นหอม แสงนวลขาวบนฟ้า ส่องให้เห็นร่างสูง หุ่นแน่นเต็มไปด้วยกล้ามแกร่ง เมื่อเห็นเธอ เขาก็มีสีหน้าดีใจ

เอื้อมดาวยิ้มให้ มองเขาแล้วรู้สึกผูกพัน 

“เจ้าทิพย์...ข้ารอเจ้านางมานานเหลือเกิน” เขาเอ่ยเป็นภาษาเหนือ ซึ่งน่าแปลกที่เธอฟังแล้วเข้าใจ

หญิงสาวเอียงอาย หันมองรอบๆ เกรงว่าจะมีคนเห็น ชายหนุ่มจับมือน้อยขึ้นมาดอมดม ลมหายใจอุ่นๆ สัมผัสเข้ากับมือเย็น แต่กลับทำให้ใจร้อนรุ่ม

“อย่า มันบ่งาม” เธอบอกปัด แต่ก็ไม่ได้ดึงหนี 

“เห็นใจข้าเถอะ เจ้านาง ข้ารักเจ้านางเหลือเกิน” เขาเอ่ย เชยคางให้เธอเงยหน้า  

แววตาของเขาเป็นประกาย ราวกับรวมเอาดาราทุกดวงมารวมไว้ เขาค่อยๆ ก้มหน้ามาใกล้ ใช้จมูกคลอเคลีย แล้วจุมพิตที่ริมฝีปากบางเฉียบ

ใต้ดวงจันทร์งาม จูบนั้นหอมหวาน นุ่มนวล และยาวนาน 

เอื้อมดาวลืมตาตื่น ถอนหายใจให้ความฝันเมื่อครู่...

อีกแล้ว มันไม่มีที่มาที่ไป ไม่รู้ว่ามันจบลงตรงไหน เห็นแต่เพียงฉากรักของเธอกับหนุ่มปริศนา และแน่นอน พอกลับมาสู่ในโลกความจริง เธอก็จำหน้าเขาไม่ได้อีก

หลังๆ อาการมักจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เธอฝันแทบทุกคืน พอสะดุ้งตื่นก็นอนไม่หลับ ต้องตื่นมาค้นหาคำต่างๆ ที่มักจะเจอในความฝัน ซึ่งก็เปล่าประโยชน์

อย่างวันนี้ หลังจากเลิกเรียนกลับมา ความเพลียก็ทำให้เผลอหลับ ก็ฝันว่าไปพบกับเขาอีก พลันหญิงสาวก็นึกได้ว่าเมื่อครู่ เขาเรียกเธอว่า เจ้าทิพย์... 

เจ้าทิพย์อย่างงั้นหรือ...

เอื้อมดาวผุดลุกขึ้นนั่ง หยิบโทรศัพท์มาค้นหาชื่อ เจ้าทางเหนือที่ชื่อทิพย์ว่ามีใครบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีแต่ตัวละครในละครหลังข่าว ไม่มีอะไรเกี่ยวเนื่องกับความฝันเธอสักนิด

โทรศัพท์ในมือดังขึ้น เอื้อมดาวสะดุ้งโหยง พอมองชื่อคนโทร. เข้าถึงรู้ว่าเป็นสิบทิศนั่นเอง

“แก จะหกโมงเย็นแล้วนะ ยังไม่ออกมาอีกเหรอ” ชายหนุ่มถาม

หญิงสาวตาตื่น “เออ ใช่ ฉันเผลอหลับไปว่ะ โทษที จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” นึกได้ว่าวันนี้เธอมีนัดไปดูละครเวทีที่เกศโมฬีแสดง

เอื้อมดาวรีบอาบน้ำและแต่งตัว หนึ่งทุ่มก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปรับสิบทิศ มุ่งตรงไปที่โรงละครของมหาวิทยาลัย กลายจักรยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขามากับเพื่อนชายอีกสองคน ซึ่งดวงตาคอยจับจ้องแต่สาวๆ มากกว่าจะตั้งใจมาดูละคร เมื่อพร้อมจึงชวนกันเข้าไปด้านใน

ละครเวทีของชมรมศิลปะการแสดงถือว่าเป็นงานใหญ่ประจำปีที่น่าสนใจอีกงานของมหาวิทยาลัย ท่ามกลางที่นั่งแบบอัฒจันทร์ครึ่งวงกลม เอื้อมดาวและเพื่อนได้ที่นั่งเกือบด้านหน้าสุด เพราะเกศโมฬีตั้งใจเลือกให้ เพื่อจะได้ถ่ายรูปให้เธอชัดๆ ตรงจุดนี้เห็นเวทีได้ในมุมกว้าง ด้านขวามือมีเวทีของนักดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงสดๆ มีทั้งดนตรีพื้นเมือง ดนตรีคลาสสิก 

ไม่นาน ม่านสีแดงผืนใหญ่ตรงหน้าค่อยๆ รูดออก ปรากฏเป็นฉากของตลาดแห่งหนึ่ง เกศโมฬีในชุดสาวพม่า ต่อผมยาวเดินนวยนาดออกมา พร้อมกับถือตะกร้าใบใหญ่ เป็นฉากที่มะเมียะออกมาขายยามวนที่ตลาด และได้บังเอิญพบกับ เจ้าน้อยสุขเกษม พระเอกของเรื่อง เกศโมฬีตีบทแตกจนทำให้ผู้ชมสนุกสนาน เอื้อมดาวปรบมือให้การแสดงของเพื่อนที่ทำออกมาได้ดี 

“ไม่น่าเชื่อว่ายายปีศาจเกศจะตีบทแตกขนาดนี้” แม้แต่กลายจักรก็ยังชม 

จนมาถึงจังหวะเข้าพระเข้านาง มะเมียะกำลังเดินเซไปชนกับเจ้าน้อยสุขเกษม ก่อนที่เจ้าชายหนุ่มต้องประคองกอด อยู่ๆ เอื้อมดาวเห็นภาพของเธอและอาจารย์หนุ่มตอนเกิดอุบัติเหตุเมื่อวันก่อนแทรกเข้ามา

ทำไมช่างเหมือนกันเหลือเกิน

บ้าน่า...

ไฟบนเวทีค่อยๆ หรี่ลง ในห้องเงียบกริบ กระทั่งมีเสียงดนตรีดังขึ้นประกอบความรู้สึกของตัวละครในฉาก 

มันคือเสียงสะล้อ เอื้อมดาวรู้สึกว่าเธอไม่ได้สนใจละครอีก หญิงสาวหันขวับไปยังต้นเสียง และเหมือนว่าไฟทุกดวงจะส่องไปที่ตรงนั้น ที่ที่ชายคนหนึ่งในเสื้อคอตั้งแขนยาวสีแดง นุ่งโจงกระเบนนั่งสีสะล้ออย่างตั้งใจ

จังหวะนั้นเอื้อมดาวรู้สึกว่า โลกหยุดเคลื่อนไหว...

พระเอกนางเอกบนเวทีหยุดนิ่ง ผู้ชมไม่ขยับ เธอเห็นแต่ชายผู้นั้น ได้ยินแต่เสียงดนตรีของเขา 

เพลงบรรเลงช่างไพเราะ ราวกับเก็บเอาตัวโน้ตที่ดีที่สุดมาเรียงร้อย เอื้อมดาวใจสั่น น้ำตารื้น แต่ทั้งหมดคือความสุขใจ เธอยังมองเขาไม่วางตา

ภาพของใครคนหนึ่งในความฝันที่ขาดๆ หายๆ เริ่มปะติดปะต่อ ราวกับภาพจิ๊กซอว์ที่ได้ชิ้นส่วนครบ

ใช่แน่...เขาคือคนคนเดียวกับในฝัน เป็นคนเดียวกับคนบนหลังช้าง และเป็นคนเดียวกับที่จุมพิตเธอกลางสวนดอกไม้ และเป็นคนเดียว...ที่ได้เล่นสะล้อให้เธอฟัง!

“ยายต๊อง เป็นอะไร” สิบทิศถามเมื่อเห็นความผิดปกติ 

เอื้อมดาวยังนิ่ง นัยน์ตาจดจ้องไปที่นักดนตรี จังหวะนั้นเอง คนบนเวทีก็หันมามองเธอ สีหน้าไม่ต่างกัน

เหมือนมีฝนฉ่ำเย็นตอนหน้าแล้ง จนได้เห็นสายรุ้งปรากฏขึ้นกลางแจ้ง... 

สิบทิศหันไปมองตาม แต่ก็ยังไม่เข้าใจ ไม่นานก็สะกิด “ยายต๊อง ไม่สบายหรือเปล่า”

เอื้อมดาวหลุดจากภวังค์ ก่อนที่เพลงสะล้อจะหยุด พร้อมกับม่านสีแดงในฉากแรกรูดปิดลง เธอทนไม่ไหวอีกต่อไป รีบลุกและเดินออกจากห้องประชุม สิบทิศก็เริ่มเดินตามไปทันที

“เอื้อมดาว เป็นอะไรหรือเปล่า” เขาตะโกนตามหลัง แต่หญิงสาวยังหายใจหอบ จนต้องยกมือมาทาบหน้าอก

“ฉันรู้สึก...ไม่สบาย”

ชายหนุ่มใช้หลังมือแตะหน้าผาก “ตัวเย็นเฉียบเลย กลับก่อนไหม”

เอื้อมดาวลังเล ตัดสินใจดึงแขนเพื่อนสนิท เพื่อบอกเรื่องสำคัญ “แก...ฉันรู้แล้ว”

“รู้อะไรวะ” ร่างใหญ่หันมาตั้งใจฟัง

“คนที่อยู่ในฝัน คนที่สีสะล้อให้ฉันตลอด ก็คือ...”

“เธอ...สองคนนั้นน่ะ” เสียงทุ้มแทรกจังหวะสนทนา และเมื่อหันไปมอง เอื้อมดาวก็เบิกตาโพลง หัวใจเต้นแรง

“อาจารย์คเชนทร์”

ชายหนุ่มขยับแว่น ก่อนจะส่งยิ้มและเดินเข้ามาใกล้ๆ ดูเหมือนว่าเขาจะเดินตามเธอมา เสื้อพื้นเมืองสีแดงสดช่วยขับผิวขาวของเขาให้มีสง่าราศี ราวกับราชนิกุลในอดีต

“ฉันแค่อยากถาม ว่าเธอไม่เป็นอะไรแน่นะ ไปหาหมอมาหรือยัง โทษที เธอชื่อ...”

คนถูกถามยังเอาแต่จ้องหน้า แม้แต่สิบทิศก็ยังแปลกใจ

“เอื้อมดาวครับ อาจารย์ ส่วนผมชื่อสิบทิศ เราอยู่ภาควิชาจิตรกรรม” เขาแนะนำตัวตามมารยาท

“เอื้อมดาว ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” อาจารย์หนุ่มเดินเข้ามาใกล้ ท่าทีดูห่วงใยหญิงสาว

“ไม่เป็นไรค่ะอาจารย์ เพียงแต่ตอนนี้ปวดหัวเล็กน้อย ก็เลยจะกลับก่อน”

“อย่างงั้นเหรอ” คเชนทร์พยักหน้าเข้าใจ “เสียดาย น่าจะดูจนจบ”

“อาจารย์ต้องเล่นดนตรีตลอดเลยเหรอคะ” เธอรวบรวมความกล้าถามต่อ

“ใช่ครับ ช่วยคุมเด็กๆ ไปด้วยน่ะ พอดีผมก็เพิ่งมาแทนนักดนตรีคนเดิมแบบกะทันหัน”

ท้ายที่สุดเอื้อมดาวก็หายใจเข้าลึก และบอกความจริงในใจ “ตอนอาจารย์นั่งสีสะล้อเมื่อครู่ ฉันอยากจะบอกว่า เท่มากค่ะ ฉันไม่เคยเห็นนักดนตรีคนไหนเล่นได้มีเสน่ห์ขนาดนี้”

สิบทิศแทบไม่เชื่อหูตัวเอง จนต้องหันไปมองหน้าเพื่อนรัก

“ขอบใจนะ เอื้อมดาว”

“ไปก่อนนะคะ” เธอยกมือไหว้ ก่อนจะรีบดึงแขนสิบทิศจากมาโดยไม่สนใจว่า อาจารย์หนุ่มยังมองตามหลังเธออยู่อย่างนั้น

“เดี๋ยวสิแก ตกลงจะกลับจริงๆ เหรอ” สิบทิศยังไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น

“กลับเหอะ เสียงสะล้อมันทำให้ฉันอยู่ไม่ได้ว่ะ”

ชายหนุ่มเท้าสะเอว สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามเข้าใจเพื่อน “ฉันว่าแกอาการหนักแล้วนะ มีอะไรก็เล่าให้ฉันฟังก็ได้”

เอื้อมดาวบีบขมับทั้งสองข้าง “ฉันก็ไม่รู้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน แต่แกรู้ไหม...” 

อยู่ๆ น้ำตาของเธอก็รินไหลจนชายหนุ่มตกใจ รีบเข้าไปจับไหล่ปลอบ

“ผู้ชายที่ฝันมาตลอดหลายคืนที่ผ่านมา มันคืออาจารย์คเชนทร์ ภาพที่เขาเล่นสะล้อ มันเหมือนกับที่ฉันเจอเป๊ะ” หลากหลายความรู้สึกปั่นป่วนอยู่ในหัวใจ เอื้อมดาวร้องไห้กระซิก 

“ใจเย็นๆ ฉันฟังแกอยู่”

“ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนี้ได้ยังไง แต่ว่า...ตอนนี้พาฉันกลับเถอะ” เอื้อมดาวปาดน้ำตา 

สิบทิศเข้าใจแล้ว จึงรีบพาเธอออกจากโรงละคร

...

สายไหม ใบหม่อน และม่อนฝ้ายรีบเดินตามมา หลังจากเห็นอาจารย์หนุ่มเดินออกไปที่หน้าห้องละคร

“อาจารย์ มีอะไรหรือเปล่าคะ” ลูกศิษย์สาวถาม หลังจากเห็นเขายืนชะเง้อไปตามทางเดิน

“อ๋อ พอดีผมเจอเอื้อมดาวและนายสิบทิศ คนที่เกือบจะเอารถชนเมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะ” ตอบไปแบบนั้น ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง พอได้สบตากับผู้หญิงที่ด้านล่างเวทีเมื่อครู่ เขากลับรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่รอคอยมานาน

“สองคนนั้นเขาเป็นแฟนกันหรือเปล่า” 

ใบหม่อนได้ฟังก็แอบยิ้ม ก่อนที่สายไหมจะเชิดหน้ารายงาน “เป็นเพื่อนกันในกลุ่มแก๊งประหลาดค่ะ แต่คงสนิทกันหน่อย แต่อย่างว่าคนอย่างเอื้อมดาว ไม่มีใครอยากได้เป็นแฟนหรอก ออกจะติสต์แตกขนาดนั้น” 

ต้องรีบกันซีนไว้ เพราะอาจารย์คเชนทร์ของพวกเธอ ถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่า รูปหล่อ ชาติตระกูลดี แถมเพิ่งกลับจากเมืองนอก นาทีนี้ใครก็พร้อมจะมาแย่ง

“อาจารย์ติดใจอะไรเอื้อมดาวเหรอคะ” ใบหม่อนถาม

“เปล่าครับ” เขาพยายามนึก “เพียงแต่ว่าผมคุ้นๆ หน้า”

“คงคุ้นอยู่มั้งคะ หน้าโหลเหมือนสก๊อยชานเมืองปานนั้น” สายไหมหัวเราะคิกคัก ต้องยอมรับว่าพวกเธอกับเอื้อมดาวมันคนละชั้นกัน   

คเชนทร์ไม่ได้สนใจคำพูดนั้น เขากลับรู้สึกดีที่ได้รู้ว่า เอื้อมดาวกับสิบทิศไม่ใช่แฟนกัน...

แปลกใจตัวเองเหมือนกัน มีผู้หญิงให้เจอเป็นร้อย แต่ดันมาถูกชะตากับนักศึกษาคนนี้

 

เสียงผิวปากของหนุ่มๆ ดังขึ้น เมื่อนางเอกละครคนดังข้ามคืนเดินเข้ามาที่ม้าหินอ่อนหน้าตึกคณะ เธอส่งยิ้มทักทายตอบ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ม้าหินอ่อนตัวเดิมอย่างภาคภูมิใจ

“พอไม่ได้ตำแหน่งดาวคณะตอนปีหนึ่ง ก็หันมาเอาดีทางด้านการแสดง ถือว่าทำได้ไม่เลวนะแก” กลายจักรแซว 

อีกฝ่ายมองค้อนก่อนจะหยิบแป้งมาเติมใบหน้าเพื่อไม่ให้พร่อง 

“ก็ถือว่าที่ลงทุนไปก็คุ้มอยู่” เกศโมฬียักไหล่ หลังจากมุ่งมั่นจะแสดงละครเวที แต่ในเมื่อบทนำมีแต่คนแย่งชิง เธอจึงขอให้บิดาเป็นผู้สนับสนุนหลักของการจัดละครครั้งนี้ ซึ่งได้ผล รุ่นพี่ในชมรมลงมติเลือกเธอเป็นนางเอกอย่างเอกฉันท์ 

เห็นมะ...ของอย่างนี้สวยอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรวยด้วย รู้งี้เธอให้พ่อยัดเงินให้ได้ตำแหน่งเป็นดาวคณะตอนปีหนึ่งด้วยก็ดี

“เพื่อนของฉันยังชมเลยนะว่าแกแสดงได้ดี แต่พวกเพื่อนผู้หญิง ดันไปสนใจไอ้อาจารย์ใหม่ที่นั่งสีสะล้อ แย่งซีนชัดๆ” กลายจักรเอ่ยพร้อมกับยกแก้วน้ำอัดลมมาดูดจากหลอด

เกศโมฬีปิดตลับแป้งพัฟเสียงดังโป๊ะ สีหน้าเซ็ง “นั่นน่ะสิ ขนาดฉันอยู่บนเวที ยังเห็นเลยว่าเมื่อคืน อาจารย์คเชนทร์หล่อมากๆ ส่วนอีพวกสาวเรียงเบอร์ สายไหม ใบหม่อน ม่อนฝ้ายก็เกินหน้าเกินตา เป็นแค่ลูกศิษย์ในภาค ทำตัวหวงอาจารย์ น่าหมั่นไส้ เชอะ” 

นางเอกละครแบะปาก ก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวา “อ้าว แล้วไอ้ล่ำกับยายต๊องล่ะ ยังไม่มาอีกเหรอ”

กลายจักรหันไปมองตาม “นั่นไง พูดถึงก็มาพอดี”

สิบทิศเดินนำหน้า ในมือถือไม้กระดานวาดรูป ส่วนเอื้อมดาวเดินตามหลัง สีหน้าดูอิดโรย

“เอื้อมดาว ทำไมหน้าซีดอย่างกับศพแบบนั้นยะ” คนสวยกว่ารีบทัก

“ไม่ค่อยสบายน่ะ” สิบทิศตอบแทน

“หึ ฉันยังไม่ได้เอาเรื่องพวกแกสองคนเลยนะที่แอบกลับก่อน เลยไม่ได้ถ่ายรูปตอนเลิกงานด้วยกันเลย ทำไมยะ หรือเมื่อคืน เห็นอาจารย์คเชนทร์รูปหล่อของฉันมาเล่นดนตรีแล้วเกิดผีเข้า แอบไปฟ้อนไปรำมาอีกหรือเปล่า” 

เกศโมฬีหัวเราะร่วน แต่เอื้อมดาวกลับใจหาย

ไม่ได้ฟ้อนรำก็จริง แต่อาการไม่ต่างกันนัก เมื่อคืนพอกลับถึงบ้าน เอื้อมดาวก็รีบเข้านอน และแน่ละ เธอฝันถึงชายคนเดิมที่หน้าตาเหมือนอาจารย์คเชนทร์ทุกอย่าง

พอถูกเฉลย จึงชัดเจนแจ่มชัด เธอกับเขากำลังจะเล่นน้ำตก เขาโผกอดร่างเล็กไว้แน่น ราวกับเชือกนาคบาศที่รัดนางกินรี ใบหน้าก็ซุกไซ้ดมกลิ่นเธอชวนให้จั๊กจี้ ช่างเป็นความฝันที่ไร้ยางอาย แต่ทำไมหนอ เอื้อมดาวถึงรู้สึกเป็นสุข จิตใต้สำนึกคิดเรื่องอกุศลกับอาจารย์สุดหล่ออย่างไร้เหตุผล

มันจึงกลายเป็นความไม่มั่นใจที่จะพบเจอใครเมื่อยามตื่น

“เออ สะล้อที่สั่งไว้กับตาเป็ง ทำเสร็จแล้วนะ เดี๋ยวว่างๆ ค่อยไปเอากัน” สิบทิศเอ่ย เอื้อมดาวจึงยิ้มออกมาได้ จากนั้นเขาก็ชวนทุกคนในโต๊ะ “นี่ คืนนี้มีตักบาตรเที่ยงคืนด้วยนะ ไปกันไหม” 

 “ได้ๆ เดี๋ยวฉันไปนั่งกินเหล้ากับเพื่อนรอ ถึงเวลาจะออกมาหา” นางเอกละครรับปาก

“ยายบ้า ไปทำบาปแล้วก็อยากจะทำบุญอีก” กลายจักรบ่น ก่อนจะยกมือปฏิเสธอีกราย

“งั้นก็เหลือเราสองคนว่ะ แกจะไปหรือเปล่า” เขาหันไปถามเอื้อมดาว

“เอาดิ ฉันก็อยากจะทำบุญเหมือนกัน เผื่อจะมีอะไรดีๆ เข้ามาบ้าง”

“งั้นเจอกันนะ ไม่ต้องมารับนะ” สิบทิศเอ่ยเพราะไม่อยากรบกวนเอื้อมดาวให้เป็นภาระ

ห้าทุ่มครึ่ง สิบทิศและเอื้อมดาวช่วยกันเตรียมข้าวสารอาหารแห้งที่บริเวณประตูท่าแพ ประเพณีตักบาตรเที่ยงคืน หรือ ‘ใส่บาตรเป็งปุ๊ด’ เป็นประเพณีทางภาคเหนือ ในวันขึ้นสิบห้าค่ำที่ตรงกับวันพุธ พระสงฆ์และสามเณรทุกรูปจะออกบิณฑบาตในตอนเที่ยงคืน โดยมีความแตกต่างของการนับเวลา ในเชียงใหม่ จะตักบาตรคืนวันอังคารหลังเที่ยงคืน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เข้าสู่วันพุธ บรรดาพุทธศาสนิกชนชาวเหนือจะเตรียมข้าวสารอาหารแห้งไว้คอยตักบาตรที่หน้าบ้าน และตามถนนสายต่าง ๆ ในชุมชน 

พอได้มาอยู่เชียงใหม่ เอื้อมดาวก็มักจะมาร่วมตักบาตรเที่ยงคืนบ่อยๆ สิบทิศเคยเล่าตำนานให้ฟังว่า ประเพณีนี้ทางภาคเหนือคงรับเอามาจากประเทศพม่า มีความเชื่อเกี่ยวกับพระอุปคุตซึ่งเกิดหลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานปลายพุทธศตวรรษที่สอง เมื่อพระองค์สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ก็ได้เสด็จลงไปจำศีลภาวนาอยู่ ณ สะดือทะเล 

ชาวล้านนาเชื่อว่าพระอุปคุตยังมีชีวิตอยู่ ในรอบหนึ่งปีจะขึ้นมาโปรดชาวเมืองก่อนเวลารุ่งอรุณ ซึ่งก็คือวันขึ้นสิบห้าค่ำที่ตรงกับวันพุธ ชาวบ้านมักตื่นแต่ดึก เพื่อเตรียมอาหารไว้ใส่บาตรพระอุปคุต โดยมีคติความเชื่อว่า หากผู้ใดได้ทำบุญตักบาตรพระอุปคุต จะได้บุญใหญ่หลวง มีโชคลาภและความเป็นสิริมงคลในชีวิต 

 “แล้วเราจะเจอพระอุปคุตไหม” เอื้อมดาวถามทุกครั้งเวลาที่ได้ตักบาตรเที่ยงคืน 

สิบทิศเคยเล่าต่ออีกว่า ตามตำนานของเชียงใหม่ สามีภรรยาคู่หนึ่งเคยตักบาตรเณรน้อยองค์หนึ่ง แล้วก็ทำมาค้าขายจนร่ำรวย ร่ำลือว่าพวกเขาได้ตักบาตรกับพระอุปคุตตัวจริงที่จำแลงมาเป็นสามเณร หลังจากนั้นก็ได้บริจาคทรัพย์สินเพื่อสร้างวัดอุปคุตในเมืองเชียงใหม่ ตั้งแต่นั้นมา เวลาได้ตักบาตรเที่ยงคืน เอื้อมดาวมักจะจ้องเณรน้อยทุกองค์ เผื่อจะได้เจอพระอุปคุตตัวจริง 

“บางทีเรื่องทั้งหมด ก็อาจจะเป็นกุศโลบายให้เราได้ทำบุญทำทาน พระพุทธเจ้า เจ้าแม่กวนอิม หรือแม้แต่พระอุปคุต ล้วนอยู่ในใจ”

“พูดได้ดีนะ ไอ้ล่ำ” หญิงสาวยิ้มกว้าง 

พอเห็นเพื่อนรักยิ้มได้ สิบทิศก็ค่อยโล่งใจ เห็นเธอเอาแต่จมปลักกับเรื่องความฝัน เขาก็ไม่สบายใจเท่าไหร่ 

เวลาใกล้เที่ยงคืน เริ่มมีพระสงฆ์เดินออกมาบิณฑบาตตามท้องถนน เอื้อมดาวยกมือไหว้ หลับตาอธิษฐานขอให้การตักบาตรครั้งนี้ทำให้ได้พบเจอกับพระอุปคุต

ใส่ข้าวสารอาหารแห้งเสร็จ ก็วางกรวยดอกไม้ไว้บนฝาบาตร ยกมือไหว้รับพร แต่พอลืมตา เอื้อมดาวก็พบกับชายหนุ่มคนหนึ่งยืนตักบาตรอีกฝั่งถนน

อาจารย์คเชนทร์

ถ้านี่เป็นฉากในละคร เหตุผลที่ทำให้เธอได้เจอเขาอีกก็คงเป็นการทำบุญร่วมชาติแน่ๆ ชายหนุ่มมาคนเดียว และจังหวะนั้นก็บังเอิญหันมาสบตากับเอื้อมดาว เขาจึงพยักหน้าให้พร้อมส่งยิ้ม

หญิงสาวทำตัวไม่ถูก ก้มหน้าหลบ สิบทิศเห็นทุกอย่างจึงเริ่มไม่สบอารมณ์ เอื้อมดาวกำลังทำใจเป็นปกติ แต่อาจารย์คนนี้ก็โผล่มากวนใจอีก

“หรือว่า ฉันควรจะถามเขาดีวะ” อยู่ๆ เอื้อมดาวก็เอ่ยออกมา และยังแอบแลตามองอีกฝ่ายตักบาตรเช่นกัน

“ถามอะไร”

“ก็อย่างเช่นว่า เคยรู้จักกับฉันมาก่อนหรือเปล่า ฉันว่าบางทีฉันกับเขาอาจจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่ๆ”

“เหลวไหลน่า” สิบทิศเสียงแข็ง “เลิกทำตัวไร้สาระได้แล้ว ไม่ต้องสนใจไอ้หมอนั่นก็แค่นั้น”

“ไม่ใช่ว่าฉันไม่พยายามนะเว้ย แต่แกเข้าใจหรือเปล่า ว่าเวลาที่หลับ ใบหน้าของเขาก็ตามมาหลอน ได้ยินเสียงสะล้อก็รู้สึกประหลาด ทุกอย่างมีแต่เขา แล้วแกดูสิ ขนาดออกมาตักบาตรเที่ยงคืน ก็ยังเจอกันอีก”

“ก็ถึงบอกไงว่าให้ไปหาหมอ” เขาเอ็ดเสียงห้วน

เอื้อมดาวเงียบ ก่อนที่สิบทิศจะพยายามสงบสติอารมณ์ 

“แกควรกลับไปคลั่งน้องเตชิต น้องอะตอมของแกเหมือนเดิมดีกว่า แกเป็นอย่างนี้ฉันก็ไม่สบายใจนะ”

“ก็ถ้ามันทำให้แกไม่สบายใจ ฉันก็ขอโทษละกัน” 

เอื้อมดาวเอ่ยแค่นั้นก่อนจะเดินจากไป สิบทิศถอนหายใจแรง แถมสบถดังจนคนรอบข้างสะดุ้ง


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น