บทที่ ๒

 

ที่เนินผาสูง

หญิงสาวนั่งอยู่บนแท่นหิน มองพระอาทิตย์สีส้มจางค่อยๆ ลาลับเหลี่ยมเขา สายลมยามค่ำพัดมาปะทะผิวบาง รู้สึกเย็นกายจนต้องห่อไหล่ ก่อนที่ใครบางคนจะคลี่ผ้าผืนบางมาคลุม

แววตาเขาคมกริบ กรีดและคว้านอารมณ์ของเธอให้ไหวหวั่น แต่รอยยิ้มกลับหวานละมุน ช่วยปลอบประโลมให้เธออบอุ่น

“ข้าจะเล่นเพลงให้เจ้านางฟัง” 

เสียงกระซิบเบาแต่หวามไปถึงขั้วหัวใจ เธอได้แต่ส่งยิ้ม มองดูเขานั่งขัดสมาธิพร้อมหยิบเครื่องดนตรีมาตั้งท่า มันเป็นเครื่องดนตรีเครื่องสาย ส่วนหัวทำมาจากกะลามะพร้าว ด้านหลังเจาะเป็นรู และเมื่อเขาหยิบคันชักเสียดสีลงไปที่สาย เสียงเพลงก็ดังขึ้น 

เสียงนั้นไพเราะเสนาะหู ยิ่งยามที่ได้สบตากับคนที่กำลังกรีดนิ้วไปตามทำนอง ความไพเราะยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ

“ร้องเพลงให้ข้าฟังเถอะ ข้าอยากฟัง” ชายหนุ่มเอ่ยอ้อน

หญิงสาวบิดตัวอาย แต่เมื่อเขายังคะยั้นคะยอ เธอจึงยอมปริปาก ขับลำนำตามเสียงดนตรี ส่วนมือน้อยก็วาดฟ้อนไปในอากาศ งดงามจับใจชายหนุ่ม

 

“เอื้อมดาว! เอื้อมดาว!” สิบทิศพยายามปลุกเรียก แต่หญิงสาวก็ไม่รู้สึกตัว มือวาดฟ้อนไปมาในอากาศ ปากก็พูดพึมพำ ผู้คนต่างหัวเราะ เกศโมฬีจึงสบโอกาส แอบบอกไทยมุงว่าเพื่อนของเธอแอบซดสุราพื้นบ้านจนเมาแอ๋

“แต่เอื้อมดาวกินไปแค่แก้วเดียวเองนะเกศ” กลายจักรแก้ต่างให้

“โอย ก็คนมันไม่เคยกิน เลยห้าว อยากจะเปรี้ยว  เป็นไงล่ะ” เกศโมฬีป้องปากหัวเราะ 

สิบทิศปลุกต่อ แต่เอื้อมดาวก็ยังไม่ได้สติ ตาเหลือก ฟ้อนรำ พูดเสียงเบาเช่นนั้นจนต้องเงี่ยหูฟังใกล้ๆ 

“เอื้อมดาวพูดอะไร” กลายจักรนั่งลงถาม

หนุ่มตัวโตขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปบอกเพื่อน

“ยายต๊องไม่ได้พูด แต่ร้องเพลง”

กลายจักรหลุดขำ “งั้นฉันว่าคงจะเมาจริงๆ แหละ”

“เป็นเพลงซอนะ มึงก็รู้ เอื้อมดาวเป็นคนกรุงเทพฯ ขับลำนำแบบล้านนาเป็นที่ไหน”

กลายจักรเปลี่ยนสีหน้า มองคนไม่ได้สติฟ้อนรำด้วยความตื่นตะลึง “ฤทธิ์เหล้าพื้นบ้านนี่มันสุดยอดจริงๆ”

                

หลังจากสิบทิศแบกร่างหญิงสาวมานอนพักที่ห้องพยาบาลของมหาวิทยาลัย อาการของเอื้อมดาวก็สงบลง เจ้าหน้าที่ประจำห้องพยาบาลซึ่งมาร่วมงานด้วยวินิจฉัยว่า เจ้านางชุดแดงคงจะเมาเหล้าเหมือนที่คนในงานพูดกัน

“น่ารำคาญจริงๆ เลย นี่คงเป็นแผนของแกที่เอาไว้ใช้เรียกร้องความสนใจจากทุกคนสินะ” เกศโมฬีบ่นอุบที่ความบันเทิงของเธอต้องถูกขัดจังหวะ  

“พวกแกสองคนกลับไปในงานเถอะ เดี๋ยวฉันดูแลยายต๊องเอง” สิบทิศหันไปบอก ดาวคณะตกรอบยักไหล่และควงแขนกลายจักรออกไป

หนุ่มหน้าดุมองเพื่อนสนิทที่ยังหลับ จากเหตุการณ์เมื่อครู่เขากลับคิดว่า เอื้อมดาวไม่ได้เมา

เกิดอะไรขึ้น...ดวงตาที่ขาวโพลน ฟ้อนรำได้งดงาม แถมยังร้องเพลงเป็นคำเมืองได้ 

ใช่...นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องแปลกๆ อย่างเช่น...ลมแรง ไฟดับ และพระจันทร์สีเลือดนั่นอีก

“เฮือก!” 

อยู่ๆ เพื่อนรักก็หายใจแรงและลืมตาตื่น คนที่นั่งเฝ้ารีบเรียกชื่อ

“เอื้อมดาว ได้ยินไหม”

หญิงสาวดีดตัวลุกขึ้นนั่ง กะพริบตาปริบๆ ชายหนุ่มจึงยื่นมือไปเขย่าที่ไหล่

“ยายต๊อง เป็นอะไรหรือเปล่า” 

ร่างบางสะดุ้งโหยง สบตากับเขา

“ฉันเป็นอะไรวะ”

“แก...สลบไป เพราะเมาเหล้าน้ำขาว” เขาตอบอย่างที่ทุกคนเข้าใจ

“ฉันเมาเหรอ ฉันแค่...ไปที่ ไม่สิ ฝัน” เอื้อมดาวพูดช้าๆ ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น 

“ฝันอะไรวะ”

“ฝันดีทีเดียวแหละ” คราวนี้หญิงสาวยิ้มออกมา จนคนฟังก็ยังแปลกใจ

 

อธิการบดีมหาวิทยาลัยขึ้นมากล่าวเปิดงานต้อนรับน้องใหม่ ก่อนจะปล่อยโคมลอยเพื่อเป็นการเปิดงานอย่างเป็นทางการ

บนท้องฟ้างดงามด้วยแสงของโคมนับร้อย ราวกับดวงมณีส่องแสงระยิบระยับ คลอเคล้าด้วยเสียงเพลงจากวงสะล้อซอซึงบนเวทีที่บรรเลงขับกล่อมผู้ร่วมงาน เกศโมฬียกโทรศัพท์ออกมาไลฟ์สดอีกรอบ กลายจักรบ่นอุบบอกว่างานล้านนาเหตุใดถึงชอบปล่อยโคมลอย ทั้งๆ ที่มันอันตราย

“พูดมาก มันก็ดูสวยดีออก อีกอย่างก็เป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ไม่ใช่เหรอ” ดาวคณะตกรอบแย้ง

“เก่าแก่บ้าอะไร ปู่ย่าฉันบอกว่าเมื่อก่อนเขาไม่ได้ปล่อยกันเยอะขนาดนี้ อาจจะเพราะอิทธิพลของสื่อ หรือไม่ก็พวกจัดงานเนี่ยแหละที่ทำให้คนเข้าใจว่างานอะไรเหนือๆ ต้องปล่อยโคมไว้ก่อน คิดอะไรไม่ออกก็ปล่อยโคมทุกงานจนเกร่อ นี่แกรู้ไหม อันที่จริงแล้ว จะปล่อยโคมนี่ต้องขออนุญาตก่อนนะ ขืนปล่อยมั่วอาจจะกระทบกับเส้นทางบินของเครื่องบิน ตกใส่บ้านคนก็สุ่มวางเพลิง ตกในป่าก็เป็นไฟป่าอีก” 

“จ้า พ่อคนดี พ่ออนุรักษ์ธรรมชาติ เมื่อกี้ฉันยังเห็นแกสูบบุหรี่ในงานอยู่นะยะ”

อีกมากมายที่กลายจักรและเกศโมฬีถกเถียงกัน แต่สิบทิศกลับไม่ได้สนใจ ยังเอาแต่เป็นห่วงเอื้อมดาวที่มีอาการสงบจนผิดสังเกต

“เฮ้ย! ยายต๊อง โอเคดีปะ”

เอื้อมดาวสะดุ้งอีกแล้ว แต่ก็ยังพยักหน้าและยิ้มได้ พอตื่นมาได้ หญิงสาวก็ล้างหน้าล้างตา และยืนยันว่าอยากกลับไปร่วมงานต่อ เกศโมฬีให้ดูคลิปตอนที่เมาและฟ้อนหน้าเวที แต่เอื้อมดาวไม่ถือ ยอมรับกับทุกคนว่าตัวเองน่าจะเมาสุราพื้นบ้านจริงๆ 

“หน้าแกดูซีดๆ ไปนะ แต่ก็ช่างเหอะ ยังไงแกก็ไม่สวยอยู่แล้ว” สาวผู้มั่นใจกว่าเย้ยหยัน 

“ใครจะไปสวยเหมือนแกล่ะยะ” หญิงสาวเอ่ยประชด 

ที่สุดหนุ่มตัวโตก็ขยับร่างเข้ามาใกล้ เพื่อจะถามเรื่องสำคัญ

“เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ ว่าฝันอะไร”

คนถูกถามอึกอัก แต่พอเห็นแววตาของสิบทิศก็เริ่มใจอ่อน 

เขาเป็นคนเดียวที่อาจจะดูกักขฬะเหมือนโจรป่า แต่ก็ไม่เคยขัดใจอะไรเธอ

“ฉันฝันว่า กำลังนั่งอยู่ที่ไหนสักแห่ง มันเป็นหน้าผาที่สวยมากๆ ข้างๆ มีชายคนหนึ่ง เขานั่งกับพื้น ในมือมีเครื่องดนตรี”

สิบทิศตั้งใจฟัง

“มันเหมือนซออู้ เสียงมันเพราะมาก มากเสียจนน้ำตาฉันแทบไหล”

“แล้ว...เขาเป็นใคร แกเห็นหน้าหรือเปล่า”

เอื้อมดาวส่ายหัว “ฉันพยายามแล้ว แต่ก็จำหน้าไม่ได้ จำได้แค่ว่าเขาผิวขาว กล้ามใหญ่”

ตลอดระยะเวลาที่คบกันมาปีกว่าๆ สิบทิศไม่เคยเห็นสีหน้าของเอื้อมดาวเปี่ยมไปด้วยสุขขนาดนี้ เป็นไปได้ว่าแอลกอฮอล์ทำให้เมื่อได้ยินเสียงดนตรีพื้นเมืองแล้ว เพื่อนของเขาอาจจะ ‘อิน’ เป็นพิเศษ

“แต่ฉันก็พอจะรู้นะ ว่าเขาคือใคร” เอื้อมดาวสีหน้าจริงจัง

“ใคร” สิบทิศเงี่ยหูฟัง 

เธอโน้มตัวเข้ามากระซิบใกล้

“ก็น้องเตชิตไงล่ะ” หญิงสาวยิ้มกว้าง ตาเป็นประกาย สิบทิศถอนหายใจแรง ก่อนจะรินสาโทยกกินเอง 

“ก็อาจจะใช่ น้องเตชิตคงอยากสีซอให้แกฟังจริงๆ แหละ เหมือนในสุภาษิตไทยไง” 

เอ่ยไปแบบนั้น แต่หญิงสาวก็ยังไม่รู้ว่าสิบทิศแอบด่า

“เออ แล้วไอ้เครื่องดนตรีที่เหมือนซออู้ในวงดนตรีพื้นเมืองนี่มันชื่อว่าซออะไรเหรอ” หญิงสาวหันมาถามถึงเครื่องดนตรีที่เห็นในฝัน

“ถ้าหมายถึงอันนั้น” สิบทิศชี้ไปที่เวทีนักดนตรี “มันคือสะล้อ เป็นเครื่องดนตรี ส่วน ซอ เป็นการร้องเพลงตามทำนอง หลายคนมักเข้าใจผิดว่าซอเป็นเครื่องดนตรี แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ ซอเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของวงสะล้อซอซึง”

เอื้อมดาวมองไปยังนักดนตรีที่กำลังสีสะล้อ เธอเคยได้ยินเพลงพื้นเมืองมาเยอะ แต่ก็ไม่เคยสนใจ แต่คืนนี้กลับหลงรักเครื่องดนตรีชิ้นนี้อย่างน่าประหลาด

หรือจะเป็นเพราะชายหนุ่มปริศนาในฝันคนนั้น...

“ฉันว่าฉันอยากจะลองเล่นมันดูว่ะ”

สิบทิศชะงัก หันไปมองหน้าเพื่อนรัก พยายามที่จะกลั้นหัวเราะ

“เล่นสะล้อเนี่ยนะ”

เอื้อมดาวพยักหน้า สายตาอ้อนวอน “ฉันว่าฉันต้องมีบางอย่างที่ผูกพันกับเครื่องดนตรีชนิดนี้แน่ มันอาจจะทำให้ฉันได้สมหวังในความรักกับน้องเตชิตได้”

“เพ้อเจ้อ ยายขี้เมา” เกศโมฬีที่แอบฟังอยู่ทนไม่ไหว “ถ้าแกพูดอย่างนี้ได้ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะฝันบ้างว่าได้ดื่มไวน์และพลอดรักกับน้องเตชิตบนระนาด  แบบนี้ก็ได้สิยะ”

“บนระนาดเนี่ยนะ” กลายจักรหัวเราะลั่น 

เอื้อมดาวค้อนใส่ ดูเหมือนว่าเรื่องที่เธอเจอจะไม่มีใครเชื่อเลยสักคน...

 

หลังจากเรียนเสร็จคาบสุดท้าย เอื้อมดาวและสิบทิศบอกลาเพื่อนๆ และเดินลงจากอาคารเรียนไปที่ลานจอดรถ

“แกดูเหม่ออีกแล้ว” เขาตั้งข้อสังเกต วันนี้พวกเขามีเรียนแค่ช่วงเช้าสองชั่วโมง แต่ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในห้อง เอื้อมดาวเอาแต่เหม่อไปนอกหน้าต่าง บางครั้งก็หาวหวอด สภาพเหมือนอดนอนมาทั้งคืน 

“ฉันนอนดึก เพราะมัวแต่ฟังเพลงบรรเลงสะล้อน่ะ”

หนุ่มร่างโตหยุดกึก กอดอกมองเพื่อน “แกยังไม่เลิกฝันบ้าๆ นั่นอีกเหรอ”

หญิงสาวขมวดคิ้ว “ไม่ว่ะ ฉันกลับฝันบ่อยขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์เลย”

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป หลังจากงานเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่ เตชิตคว้าตำแหน่งเดือนคณะจนโด่งดังไปทั่วมหาวิทยาลัย พอๆ กับเรื่องของสาวขี้เมาที่ไปฟ้อนหน้าเวที

สิบทิศคิดว่าเอื้อมดาวจะลืมความฝันบ้าบอนั้นไปแล้ว แต่ไม่ ทุกๆ วันที่เจอกัน หญิงสาวก็มักจะบอกว่าเธอฝันเรื่องเดิมๆ อีกแล้ว 

เจ้านาง...หน้าผา หนุ่มกล้ามโต และสะล้อ แต่ก็น่าแปลกที่เธอบอกว่า ในฝันนั้นชัดเจน แต่ตื่นมากลับจำหน้าของคนสีสะล้อไม่ได้อีก

“ฉันว่าแกลองไปหาหมอดูไหม ฉันมีพี่ที่รู้จักอยู่แผนกจิตเวชที่ รพ. สวนดอกนะ”

“ไอ้ล่ำ! กูไม่ได้บ้าโว้ย แค่ฝันเรื่องเดิมๆ ซ้ำ” เอื้อมดาวบ่นเสียงดัง

“แต่ฉันเคยได้ยินนะ ว่าคนที่เห็นภาพหลอน หรือฝันซ้ำกันบ่อยๆ อาจจะเป็นเพราะจิตใต้สำนึกในอดีตไปเจอเรื่องนี้มา แล้วซ่อนมันไว้”

 “แล้วคนอย่างฉันจะไปเจอเรื่องแบบนี้ที่ไหนยะ” เอื้อมดาวคิดตาม ตั้งแต่จำความได้ แค่ตีกลองก็ยังไม่เข้าจังหวะ จะให้เธอไปสีสะล้อหรือขับซอยิ่งเป็นไปไม่ได้ ไม่เหมือนพราวมุก รายนั้นเล่นได้ทั้งขลุ่ย เปียโน รวมไปถึงไวโอลิน

เอ...หรือว่าเธอเผลอดูหนังหรือละครย้อนยุคแนวเหนือๆ เข้าแล้วอินไปหน่อย ไม่นะ ส่วนใหญ่ที่ติดงอมแงมก็ซีรีส์วายเท่านั้น

“แต่ตอนนี้ฉันเริ่มสับสนว่ะ” เอื้อมดาวสีหน้าจริงจัง 

“อะไร”

“บางทีชายในฝันคนนั้นอาจจะไม่ใช่น้องเตชิต เพราะเขาดูสูงกว่า ไม่แน่อาจจะเป็นน้องอะตอม คนที่ได้รองเดือนคณะก็ได้ ใจจริงๆ ฉันอยากให้ในความฝันน้องเตชิตกับอะตอมได้กันมากกว่า อุ๊ย! แค่คิดก็ฟินแล้ว” เอื้อมดาวประสานมือแนบอก ตาเป็นประกาย 

สิบทิศส่ายหัว รีบบึ่งมอเตอร์ไซค์พาหญิงสาวออกจากรั้วมหาวิทยาลัย มุ่งหน้าไปทางถนนเส้นเลี่ยงเมืองสันป่าตอง

“เดี๋ยวไอ้ล่ำ จะไปไหนกันเนี่ย” เธอแปลกใจเพราะไม่ใช่ทางกลับบ้าน

“เออน่า เดี๋ยวก็รู้”

สิบทิศขับเข้ามาถึงอำเภอสันป่าตอง มุ่งเข้าไปในซอยจนเจอบ้านไม้หลังเก่าสีซีด ชายหนุ่มจึงจอดรถ และเดินเข้าไปทักทายชายชราวัยเจ็ดสิบที่กำลังนั่งทำงานอยู่ใต้ถุนบ้าน แล้วแนะนำเอื้อมดาวให้รู้จักว่านี่คือ ตาเป็ง ญาติห่างๆ ของเขา ชายชราประกอบอาชีพผลิตเครื่องดนตรีพื้นเมือง

“เพื่อนผมอยากเล่นสะล้อครับอุ้ย” เขาบอกวัตถุประสงค์ของการมาเยือน

เอื้อมดาวยิ้มเขิน หันไปตำหนิเพื่อนที่ไม่บอกกันล่วงหน้า แต่อันที่จริงเธอน่าจะเดาออก หากอยากได้ อยากทำอะไร สิบทิศก็มักจะหามาให้เธอได้เสมอ

“ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะคุณตา หนูแค่อยากรู้ว่ามันเล่นยังไง”

สิบทิศชวนคนแก่คุยต่ออย่างถูกคอ ระหว่างนั้นบุญเป็งก็อธิบายเกี่ยวกับเครื่องดนตรีที่เธออยากรู้ โดยมีสิบทิศคอยเป็นผู้แปลข้อความจากภาษาเหนือเป็นภาษากลางให้เข้าใจ

“ดนตรีพื้นเมือง มีบทบาทในวิถีชีวิตของชาวบ้านมานาน ทั้งในด้านความบันเทิงและพิธีกรรม ทั้งแนวพุทธหรือแนวผี อย่างในงานฉลองรื่นเริงหรือในงานศพ ดนตรีมีส่วนช่วยทำให้งานคึกคัก อีกกิจกรรมหนึ่งที่โดดเด่นก็คือ การนำดนตรีพื้นเมืองมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการ ‘แอ่วสาว’ หรือ ‘เกี้ยวสาว’ ของชาวล้านนา”

“แสดงว่าอุ้ยเป็งก็เคยใช้เครื่องดนตรีจีบสาวสิคะ” เอื้อมดาวสนใจ

“ใช่” สิบทิศอมยิ้ม “เมื่อก่อนเนี่ย ถ้าบ้านไหนมีสาวๆ พ่อแม่อยากจะให้มีคู่ ก็จะจุดตะเกียงตั้งไว้ที่ปลายเสาหรือที่รั้ว เพื่อให้หนุ่มๆ ที่เดินผ่านไปมาเห็นชัด ให้รู้ว่าเรือนหลังนั้นมีหญิงสาวโสด ผู้ชายที่อยู่ต่างหมู่บ้าน ต่างตำบล เวลาจะไปจีบสาว ก็จะไปด้วยกันเป็นหมู่คณะ ดีดสีตีเป่าเครื่องดนตรีร้องเพลงซอไปตามถนนอย่างสนุกสนาน จึงกลายเป็นที่มาที่เรียกว่า วงสะล้อซอซึง”

“ตายแล้ว ถ้าฉันเกิดยุคนั้น แม่คงได้แขวนตะเกียงไว้สูงๆ ทุกวันแน่ กลัวไม่มีใครเห็น” เอื้อมดาวอมยิ้ม หันไปคุยกับคนแก่ “คุณตาเล่นสะล้อให้ฟังหน่อยสิคะ” 

เธอคะยั้นคะยอ มาถึงถิ่นก็อยากจะฟังดนตรีสดๆ จากมือโปร

บุญเป็งยิ้มพร้อมกับหยิบเครื่องดนตรีขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานก็จรดคันชักลงบนสาย บรรเลงเพลงหวานแว่ว

เสียงนั้นไพเราะนัก...เอื้อมดาวรู้สึก เห็นภาพสวยงามในความฝัน มันชัดเจน และมีจริง ร่างบางสั่นสะท้าน เสียงแหลมแทรกซึมราวกับทะลวงถึงกลางดวงใจ...

บางคราวเธอรู้สึกว่ามันเป็นสุข ปลื้มปริ่ม เผลอยิ้ม น้ำตาไหล 

สิบทิศเห็นอาการผิดปกติจึงสั่งให้ชายชราหยุดเล่น 

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

หญิงสาวปาดน้ำตา หายใจหอบเหนื่อย เหงื่อผุดพราว แต่ก็ยังตอบคำถาม

“ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร คงจะอินกับเสียงสะล้อไปหน่อย” 

เมื่อหญิงสาวยืนยันว่าปกติ ทั้งคู่จึงอยู่ที่บ้านตาเป็งอีกสักพัก เพื่อพูดคุยเรื่องเครื่องดนตรีพื้นเมืองต่างๆ แถมยังสั่งให้ชายชราทำสะล้อให้สักอัน จนห้าโมงเย็น สิบทิศจึงพาหญิงสาวกลับบ้าน

“อันที่จริง แกน่าจะให้ยายเกศมานอนเป็นเพื่อนนะ” ชายหนุ่มเอ่ยเป็นห่วง หลังจากที่ถึงหน้าบ้านของเขา 

เอื้อมดาวส่ายหัว “เอามาทำไม เดี๋ยวยายนั่นก็ชวนฉันกินเหล้าอีก”

“ก็ฉันกลัวว่าแกจะฝัน จะละเมออะไรแปลกๆ อีก” เขาน่าจะเป็นคนเดียวที่รู้สึกถึงความผิดปกติ

“มันก็แค่ความฝันที่ดีมากๆ เท่านั้นเอง บางทีฉันต้องมีอะไรบางอย่างที่ผูกพันกับสะล้อแน่ๆ อ้อ ยังไงถ้าลุงเป็งทำเสร็จ แกรีบเอามาให้ฉันเลยนะ อยากเล่นแล้วว่ะ” หญิงสาวเอ่ยอย่างจริงจัง “ไม่แน่ เกิดฉันเล่นสะล้อเป็นขึ้นมา อาจจะแก้อาถรรพ์ความรักที่รอคอยระหว่างฉันกับน้องเตชิต หรือน้องอะตอมก็ได้”

สิบทิศส่ายหัว “จับสะล้อให้ถูกก่อนเถอะ อย่างแก ปรบมือยังคร่อมจังหวะเลย”

“ไอ้ล่ำ อย่าดูถูกความตั้งใจฉันสิวะ”

เอื้อมดาวค้อน รีบจูงมอเตอร์ไซค์เพื่อจะขับไปต่อ แต่จังหวะนั้นไม่ทันระวังว่ามีรถแล่นมาจากทางด้านหลัง

ปี๊น! เสียงบีบแตรดังลั่น

“ว้าย!” เอื้อมดาวสะดุ้งตัวโยน เผลอปล่อยมือจากรถมอเตอร์ไซค์จนมันล้ม

รถยนต์เบรกและหยุด สักพักคนขับก็รีบออกมาดู สิบทิศและเอื้อมดาวรีบช่วยกันยกมอเตอร์ไซค์ขึ้น แต่ก็ดันชนกันจนหญิงสาวเซหงายหลัง คนขับรถคู่กรณีต้องรีบเข้าไปประคองรับด้วยแขนทั้งสอง

สิบทิศตกใจ รีบดึงแขนเพื่อนกลับ หันไปผลักร่างของคนขับรถยนต์

“ขับรถประสาอะไรวะ” เขาชี้หน้า เอื้อมดาวรีบห้ามทัพ

“ใจเย็นไอ้ล่ำ ฉันผิดเองที่ไม่ทันระวัง” ร่างบางรีบยกมือไหว้ขอโทษอีกฝ่าย

คู่กรณียืนท่าทีสุขุม ก่อนที่ประตูฝั่งผู้โดยสารจะเปิดออก นักศึกษาสาวอีกสามคนเดินลงมาสมทบ

“นี่ ทำอะไรน่ะ พวกเธอเป็นฝ่ายผิดนะ มีอย่างที่ไหน อยู่ๆ ก็จูงรถมอเตอร์ไซค์ออกมา นี่ดีนะอาจารย์เขาเบรกทัน” หนึ่งในนั้นกอดอกเถียงสู้ อีกสองสาวที่อยู่ข้างหลังก็พยักหน้าเออออเห็นด้วย

“ฉันขอโทษ ฉันผิดเองแหละ” เอื้อมดาวยังไม่ลดมือลง 

“แล้วแฟนหล่อนที่ผลักอาจารย์น่ะ ไม่คิดจะขอโทษเหรอ” 

พอเจอไม้นี้ เอื้อมดาวก็หันไปพยักหน้าให้ชายหนุ่ม เขาจึงยกมือไหว้ขอโทษในความวู่วามของตน

“เอาละ เธอไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” คนขับเอ่ย เขาเป็นชายหนุ่มอายุสามสิบต้นๆ สวมแว่นสายตา ใบหน้าหล่อจนใครก็ต้องเหลียวมอง ยังไม่นับการแต่งตัวด้วยชุดสูทเนี้ยบดูโก้เก๋ ผมสั้นรองทรงดูสะอาดตา

“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ขอโทษอีกครั้งนะคะ”

“ผมชื่อคเชนทร์นะ เป็นอาจารย์ภาควิชาดนตรีและศิลปะการแสดง คณะวิจิตรศิลป์ หากว่าเธอเจ็บตรงไหน ก็ไปหาหมอและเอาค่ายามาเบิกจากผมได้” เขายิ้มให้

“อาจารย์จะไปใจดีกับมันทำไม ยายนี่มันไม่เต็มบาทอยู่แล้ว” นักศึกษาสาวที่มาด้วยบอก ใครๆ ก็รู้ว่าเอื้อมดาวคือสาวเฉิ่มเชยในแก๊งประหลาดประจำคณะ แถมยังชอบตะลอนไปกับนายว้ากเกอร์หน้านิ่ง แปลกกันทั้งคู่

“อย่าเสียมารยาทกับเพื่อนร่วมมหา’ลัยสิครับ สายไหม ใบหม่อน ม่อนฝ้าย อารมณ์เสียทำให้ไม่สวยนะ” แม้จะเอ่ยตำหนิ แต่สีหน้าและรอยยิ้มที่หวานละมุนก็ทำให้สามสาวยอมโอนอ่อนอย่างง่ายดาย 

อาจารย์รูปหล่อขอตัวขึ้นรถหรูเพื่อไปทำธุระต่อ เอื้อมดาวสบตาเขาวูบหนึ่ง คิดว่าเขาเป็นคนหน้าตาดี แต่เธอก็ไม่คุ้นหน้าเขาเสียเลย

“แกรู้จักหรือเปล่า อาจารย์คนเมื่อกี้” เธอหันไปถามเพื่อนหนุ่มยังยืนหน้าบึ้ง

“อาจารย์ใหม่คณะเราไง เพิ่งมาสอนเทอมนี้มั้ง เห็นพวกสาวๆ กรี๊ดกันน่าดู” เขาตอบตามที่รู้ “เป็นไงล่ะ เห็นแล้ว จะเก็บไว้เป็นหนุ่มๆ ในคอลเล็กชันด้วยหรือเปล่า” 

หญิงสาวส่ายหน้า “ก็หล่อดี แต่ไม่สเปกเท่าไหร่ ฉันว่าแกหล่อกว่าอีก” 

เธอเอ่ยพร้อมกับยิ้มยั่ว เล่นเอาคนตัวโตไม่กล้าสบตา เสยผมยาวรุงรังแก้เก้อ แถมเดินหนีเข้าบ้านไปซะงั้น

น่าขำ คนอย่างไอ้ล่ำ พอชมก็มีอายเหมือนกันวุ้ย

 

เอื้อมดาวลืมตา ใช้เวลาสักพักก็รู้ว่าตัวเองกำลังอยู่บนกูบหลังช้าง หลังคาทำจากไม้ไผ่สานโค้งเพื่อบังแดด  ข้างๆ มีสตรีร่างท้วมคอยพัดวีคลายร้อน

เห็นทิวทัศน์ของแนวป่าที่เขียวขจี สายลมยามเช้าพัดแผ่ว ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ ผีเสื้อน้อยบินว่อน ถลาเข้าใกล้ หญิงสาวยกมือขึ้นให้มันเกาะ เธอยิ้มและเป่าให้มันบินขึ้นฟ้า จนสายตาเห็นสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าเขาตรงหน้า

“พี่คำแพง ถึงแล้ว น้ำตก” เธอแปลกใจที่ตัวเองพูดภาษาเหนือ

คนนั่งข้างชะเง้อตาม ส่วนเอื้อมดาวแอบมองคนที่กำลังบังคับคชสาร เขาหันมายิ้มและส่งแววตาหวานประสานสบ หัวใจที่เหี่ยวเฉาก็สดใส ราวกับถูกฝนทิพย์...

 

“ล่ำ ตกลงสะล้อของอุ้ยเป็งได้หรือยังวะ” หญิงสาวเอ่ยถาม ขณะทิ้งตัวลงนั่งที่ม้าหินอ่อนหน้าตึก

“ยายต๊อง เราเพิ่งจะไปสั่งอุ้ยเป็งทำเมื่อวานนี้ วันนี้แกก็มาถามจะเอาแล้ว ไม่เร็วไปเหรอวะ” สิบทิศขมวดคิ้ว

“เราไปเมื่อวานเองเหรอ ทำไมฉันรู้สึกว่ามันนานแล้วนะ” เอื้อมดาวอย่างเลื่อนลอย 

“สภาพอย่างนี้...แสดงว่ายังไม่หยุดเรื่องความฝันบ้าๆ นั่นอีกละสิ” หนุ่มตัวโตใช้มือประสานใต้คางและสังเกตเพื่อน เอื้อมดาวหน้าซีด ใต้ตาคล้ำเหมือนอดนอน 

“ใช่ว่ะ ฝันอีกแล้ว” เอื้อมดาวสารภาพ “แต่คราวนี้ฉากเปลี่ยนว่ะ ฉันกับเขาอยู่บนหลังช้าง แถมยังมีคนรับใช้คอยพัดวีอยู่ข้างๆ ด้วย”

“เออ ไฮโซว่ะ มีบ่าวไพร่คอยดูแล แล้วตกลงจำหน้าเขาได้หรือยัง”

คนถูกถามส่ายหน้า “ไม่ได้ จำได้แค่ว่าเขาหล่อ เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นเจ้าชาย และพอฉันสะดุ้งตื่น มันก็เลยทำให้ฉันนอนไม่หลับยาวเลยทีนี้”

“มองฉันไงก็ไม่ใช่ฉันเหรอวะ” เขายังมีแก่ใจล้อเล่น

“ไม่ใช่แน่นอน อย่างแกจะเป็นเจ้าชายได้ไง”

สิบทิศยิ้มมุมปาก “เอางี้ ฉันว่าแกลองหาอะไรทำก่อนนอนดีไหม อย่างอ่านหนังสือ ดูหนัง หรือไม่ก็แดกเบียร์ให้เมาๆ พอหัวถึงหมอนจะได้ไม่ต้องฝันอะไรอีก”

คนฟังนิ่ง แต่ก็ส่ายหน้าช้าๆ “ไม่รู้สิ บางทีฉันก็รู้สึกว่า มีความสุขดีที่ได้ฝันถึง”

“มีความสุข แต่ดูสภาพแกสิ ให้ไอ้กลายจักรมันแต่งเป็นผู้หญิง เผลอๆ จะสวยกว่าแกด้วยซ้ำ”

“ปากคอเราะรายจังเลย” เอื้อมดาวพองลมในปากเหมือนคนงอน

“หรือว่าจะลองไปทำบุญดีไหม เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น” 

ชายหนุ่มเสนอ แต่สาวเซอร์ยังไม่ทันได้ตอบ เกศโมฬีก็เดินหน้าตึงเข้ามา ก่อนจะโยนกระเป๋าลงกลางวงสนทนา เล่นเอาทุกคนตกใจ

สาวสวยนั่งลง และเริ่มคาดคั้น “ยายต๊อง เมื่อวานไปทำอะไรมา”

“ทะ..ทำอะไร” เอื้อมดาวพยายามคิด 

“ภาควิชาดนตรีฯ เขาลือกันให้แซ่ดว่าแกสองคนไปมีเรื่องชกต่อยกับอาจารย์คเชนทร์เหรอ”

นานทีเดียวกว่าเอื้อมดาวจะนึกออก “อ้อ ฉันผิดเองแหละ แต่ไม่มีอะไรหรอก ขอโทษแล้ว อาจารย์ก็ไม่ติดใจเอาความ”

“อาจารย์เข้าไปประคองกอดแกด้วย” เกศโมฬีถามต่อ ใช้นิ้วมือเคาะโต๊ะรอคำตอบอย่างร้อนใจ

“ก็เหมือนจะเป็นอย่างงั้นนะ มันเป็นช่วงบังเอิญนะ ไม่มีอะไรหรอก”

คนคาดคั้นยังไม่วางใจ “พวกอีสายไหมมันนินทาแกน่าดูว่า พอเห็นอาจารย์รูปหล่อใจดีก็ทำเป็นแข้งขาอ่อน แกล้งเซล้มให้เขาประประคอง”

“บ้า หล่อเหรอวะ ไม่เท่าไหร่นะ” เอื้อมดาวนึกถึงใบหน้าคู่กรณีก็คิดว่าไม่ได้สะดุดตาเธอขนาดนั้น

คราวนี้ดาวคณะตกรอบทำหน้าสงสัย “ไม่หล่อได้ไงยะ อาจารย์คเชนทร์เพิ่งย้ายมาใหม่ หล่อระดับตัวท็อป รวยระดับไฮโซเชียงใหม่เชียว”

นึกถึงใบหน้าหล่อๆ และแววตาของเขาแล้วเอื้อมดาวก็ไม่เถียง แต่น่าแปลกที่เธอกลับไม่รู้สึกถูกชะตากับเขาเท่าไหร่

“ไม่สเปกว่ะ ฉันว่าน้องเตชิต น้องอะตอมของฉันหล่อกว่าอีก สงสัยไม่ชอบคนแก่”

เกศโมฬียิ้มเยาะ “ให้มันจริงเถอะ ระวังตัวไว้นะ เพราะอีสายไหม อีใบหม่อน อีม่อนฝ้าย หวงอย่างกับอาจารย์เป็นผัวตัวเอง อย่างพวกมันต้องเจอฉันนี่”

“ตามสบายเลยย่ะ อย่ามายุ่งกับน้องเตชิตกับอะตอมของฉันละกัน”

“นี่พวกแก กับเรื่องอื่นจริงจังเท่านี้หรือเปล่า งานของอาจารย์ปารย์ที่สั่งไว้เสร็จหรือยัง” สิบทิศแทรกกลางวงสนทนาด้วยความหมั่นไส้

“เรียบร้อยแล้วย่ะ แล้วนี่ รับไปคนละบัตรเลย” เกศโมฬีหยิบตั๋วบางอย่างจากกระเป๋ามาวางตรงหน้าเพื่อนทั้งสอง

“อะไร” สิบทิศถาม

“กลางเดือนหน้า ชมรมการแสดงของฉันจะมีละครเวทีสุดยิ่งใหญ่อลังการเรื่อง มะเมียะ ฉันรับบทเป็นมะเมียะ สาวพม่าผู้เป็นรักแท้ของเจ้าชายหนุ่มรูปงามของเมืองเชียงใหม่ ก็เลยเอาบัตรมาให้” สาวสวยพูดเป็นเชิงให้ทุกคนรู้ว่าเธอรับบทนางเอก

“ฟรีเหรอ” สิบทิศถาม

“ไม่ฟรีย่ะ คนละสามร้อย จ่ายมาเลย ไอ้จักรมันเอาไปแล้ว เหลือแต่พวกแกสองคนนั่นแหละ” นางเอกคนใหม่แบมือและกระดิกขาเร่ง

“จริงๆ ก็น่าจะให้เพื่อนฟรีก็ได้นะ อุตส่าห์ได้เป็นนางเอกทั้งที” ชายหนุ่มยังกวนต่อ เขารู้ว่าเกศโมฬียอมทุ่มทุนทรัพย์โดยหวังจะได้บทนางเอก เพื่อลบล้างการถูกตราหน้าว่าเป็นดาวคณะตกรอบ

“โอย นี่ก็จ่ายค่าเครื่องเสียง ค่าฉากไปแล้ว นี่ยังไม่นับค่าสนับสนุนชมรมอีก ให้ฉันได้มีทุนคืนบ้างสิยะ” เกศโมฬีบ่นยาว แต่สิบทิศก็ยังไม่ยอมจ่ายเงิน ส่วนเอื้อมดาวนั้นหยิบบัตรมามองดูอย่างสนใจ 

ละครเวทีของชมรมการแสดงของมหาวิทยาลัย งานนี้เธอต้องไม่พลาด

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น