บทที่ ๑

 

ยามอรุณรุ่ง

นกกระจิบคู่รักส่งเสียงเจื้อยแจ้ว สะบัดปีกแปรงขนอยู่บนต้นหางนกยูงฝรั่งที่กำลังออกดอกบานสะพรั่ง ก่อนจะกระพือปีกหนีด้วยความตกใจ เมื่อมีกระรอกสีเทาโผล่เข้ามา สัตว์สี่เท้าวิ่งๆ หยุดๆ ไปตามกิ่งไม้ พร้อมกับมองเข้าไปผ่านหน้าต่างบ้านหลังงาม

สายลมยามเช้าลอดเข้ามาในห้อง ทำผ้าม่านลูกไม้สีขาวขยับปลิว เผยให้เห็นสาวน้อยในชุดนักศึกษาสีขาว กระโปรงจีบรอบสีดำ กำลังหมุนตัวอยู่ที่หน้ากระจกเงา เธอมีดวงตากลมโตสดใส ปากนิด จมูกหน่อย แก้มนวลเป็นสีชมพูระเรื่อโดยไม่ต้องเสริมแต่ง ซึ่งแม้จะมีใครบอกว่าเธอหน้าตาดี แต่ ‘เอื้อมดาว’ ก็ไม่ได้ใส่ใจในการแต่งหน้าแต่งตัวเท่าไรนัก หญิงสาวเลือกทาเพียงแป้งตลับและลิปกลอส ส่วนทรงผมก็รวบมัด ไม่ได้ย้อมดัดตามแฟชั่นวัยรุ่น

ร่างเล็กหมุนตัวอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเรียบร้อย จึงหยิบย่ามผ้าฝ้ายใบเดิมที่เธอโปรดปรานเป็นพิเศษ เพราะเป็นงานฝีมือจากชาวบ้านที่แม่แจ่ม ต่อให้ใครเอากระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงมาแลกก็ไม่ยอม 

เจ็ดโมงครึ่ง เอื้อมดาวเดินออกจากห้อง แสงสีทองของวันใหม่ส่องทักทายมาทางหน้าต่างซ้ายมือก่อนจะถึงทางลงบันได เธอหยุดมองทิวทัศน์ด้านนอก ผืนป่าสีเขียวชอุ่มถูกสีเหลืองของแสงตะวันแต้มแต่ง ที่เห็นอยู่ไกลลิบๆ คือแสงทองของพระธาตุดอยสุเทพ เอื้อมดาวชอบมองทุกอย่างผ่านหน้าต่างนี้ มันทำให้เธอรู้สึกว่า มีความหวังที่งดงามรออยู่

สาวน้อยมีความสุข คิดไม่ผิดที่ตัดสินใจมาเรียนไกลถึงที่นี่...

‘เชียงใหม่’ เมืองงามที่เธอตกหลุมรักตั้งแต่ตอนเด็กครั้งที่ได้ติดตามครอบครัวจากกรุงเทพฯ มาเยี่ยมคุณปู่คุณย่า บ้านไม้หลังใหญ่ครึ่งปูน หลังคาเป็นทรงกาแลแกะสลักไม้ตรงชายคาอย่างประณีตตามแบบสมัยนิยมเมื่อยี่สิบปีก่อน นอกจากนี้ด้านหลังบ้านยังมีสวนผลไม้ ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ คุณปู่คุณย่าบอกเสมอว่า ถ้าเธอมาอยู่เชียงใหม่ ท่านทั้งสองจะยกบ้านหลังนี้ให้ 

พอมองทิวทัศน์ยามเช้าจนอิ่มใจ หญิงสาวจึงเดินลงบันไดมาที่ห้องรับแขก หันไปยิ้มและยกมือไหว้เจ้าของบ้านทั้งสองบนกรอบรูปที่ติดผนัง

“หนูไปเรียนก่อนนะคะ”  

คุณย่าจากไปด้วยโรคมะเร็งตับ ตอนที่เธอเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาต้อนต้น คุณปู่เมื่อต้องอยู่คนเดียวก็เกิดภาวะซึมเศร้า ท่านตรอมใจและเสียชีวิตตามหลังจากนั้นอีกสามปี บ้านหลังนี้จึงไม่มีใครอยู่ 

เมื่อเอื้อมดาวเรียนจบมัธยมปลาย เธอสอบติดคณะวิจิตรศิลป์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ จึงไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะบอกกับครอบครัวว่า จะมาเรียนต่อและอยู่ที่บ้านของคุณปู่คุณย่า แน่นอนว่าไม่มีใครคัดค้าน 

อันที่จริง...เรียกว่าไม่สนใจน่าจะดีกว่า เพราะแม้เอื้อมดาวจะเป็นลูกคนโต แต่สถานะของเธอในครอบครัวกลับไม่ค่อยมีตัวตนสักเท่าไหร่ 

‘ประยงค์’ ผู้เป็นพ่อ ทำงานเป็นหัวหน้ากองของหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง มีชีวิตธรรมดาไม่หวือหวา นั่นเองที่ทำให้ ‘สายหยุด’ แม่ของเธอเกิดความเบื่อหน่าย ตัดสินใจกู้หนี้ยืมสินเพื่อไปทำงานกับญาติที่อเมริกา ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีกว่าที่คิด ทำงานที่เมืองนอกไม่กี่ปี คุณแม่ของเธอก็ปลดหนี้ทุกอย่าง ทั้งของตัวเองและสหกรณ์ออมทรัพย์ของสามี แถมยังมีเงินเก็บไว้ใช้จุนเจือครอบครัวอีกด้วย

ส่วน ‘พราวมุก’ น้องสาวของเธอ แรกทีเดียวบิดาอยากให้เรียนต่อด้านบัญชี เรียนจบมา จะได้ฝากฝังให้เข้ารับราชการ ทว่าวัยรุ่น พอเห็นเส้นทางที่มารดาเดินไปแล้วมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าอยู่ในประเทศ พราวมุกก็เริ่มมีใจเอนเอียงที่จะขอไปอยู่กับแม่ที่เมืองนอก จบมัธยมปลายก็มีโครงการว่าจะไปเรียนต่อที่นั่น โดยมีแผนที่จะบินไปหาแม่ปลายเดือนนี้ ทุกคนไม่ขัดเพราะพราวมุกเป็นเด็กน่ารัก ช่างพูดช่างเจรจามาตั้งแต่เด็ก อยู่ที่ไหนใครก็ตามใจ แถมผลการเรียนก็โดดเด่นกว่า จึงเป็นอีกเหตุผลที่เอื้อมดาวมักจะกลายเป็นคนที่ถูกลืม  

แต่อย่างไรก็ตาม หญิงสาวก็ไม่เคยนึกอิจฉาน้อง ไม่โกรธ ไม่แค้น ซึ่งนี่แหละเป็นข้อดีของเธอ 

เอื้อมดาวหยิบรองเท้าผ้าใบคู่เดิมมาใส่ เพื่อนผู้หญิงในคณะหลายคนตำหนิที่ยังเห็นเธอยังสวมรองเท้าคู่นี้ เพราะว่าขึ้นปีสองแล้ว พวกเธอสามารถแต่งตัวได้ตามใจ ไม่ได้มีกฎเคร่งครัดเหมือนปีหนึ่ง แต่เอื้อมดาวตอบเพียงว่า รองเท้าคู่นี้ใส่สบายเท้า และเหมาะกับสไตล์ผู้หญิงที่เรียนด้านศิลปะ

เธอเรียกว่าความเซอร์ แต่มีบางคนบอกว่ามันยิ่งกว่าคำว่า ‘เฉิ่ม’

ปิดประตูรั้วแล้วสาวเซอร์ก็จูงมอเตอร์ไซค์ฮอนด้ารุ่น Super Cub ซึ่งเป็นรุ่นที่เหมือนรถคันเก่าของคุณปู่ สตาร์ตรถและขับออกไป เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกวัน

หญิงสาวบิดคันเร่งมุ่งหน้าไปทางมหาวิทยาลัย ผ่านแมกไม้เขียวขจีของสองข้างทาง ดอยสุเทพตรงหน้าตั้งตระหง่านตัดกับท้องฟ้าสีสดใสสบายตา ขับรถเข้ามาถึงย่านชุมชน เธอก็ส่งยิ้มทักทายคนไปทั่ว ราวกับ ‘เบลล์’ นางเอกในฉากเปิดตัวของการ์ตูนเรื่อง โฉมงามกับเจ้าชายอสูร 

แต่แล้วเอื้อมดาวก็ต้องเบรกรถตัวโก่ง เหตุเพราะมีชายร่างใหญ่กำลังเดินตรงมาขวางหน้า

“ไอ้บ้า! อยากตายหรือไง” สาวน้อยแสนเซอร์โวยวาย “ทางเท้ามีทำไมไม่เดิน คนขับรถมาเร็วๆ ไม่ทันมอง เกิดพุ่งชนขึ้นมาจะทำยังไง” 

สาวตัวเล็กลงจากรถไปยืนกอดอกบ่นด่าคนตัวใหญ่อีกฉอดๆ จนคนละแวกนั้นหันมามอง ขณะที่ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่นาน ก่อนจะเสยผมที่ยาวประบ่าเผยให้เห็นแววตาคมกริบ จมูกโด่งเป็นสัน ใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นเดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ เขาเดินไปที่รถของเอื้อมดาว ก่อนจะจ้องหน้าหญิงสาว

ไทยมุงจ้องตาไม่กะพริบ กระทั่งเขาก้าวขาขึ้นรถเพื่อขับ เอื้อมดาวจึงกระโดดนั่งซ้อนท้าย ทั้งคู่จึงขับรถจากไป หญิงสาวยังบ่นเป็นชุด 

“จะบ่นอะไรมากมาย ไม่อายคนเขาหรือไงวะ” ชายหนุ่มค่อยๆ ผ่อนคันเร่งเมื่อเห็นว่าพ้นเขตชุมชนแล้ว

“หือ...เมื่อกี้มีคนมองเราด้วยเหรอ” คนขี้บ่นยังไม่รู้ตัว คิดว่าที่ทำอยู่เป็นเรื่องปกติ ทุกวันที่มีเรียนตรงกัน เอื้อมดาวมักแวะรับเขาไปด้วยทุกครั้ง เพราะบ้านของชายหนุ่มอยู่ทางผ่านไปมหาวิทยาลัยพอดี

“เสียงดังเป็นเจ๊กตื่นไฟขนาดนั้น ใครก็มองสิ”

“อะไรกัน คนแถวนี้ก็น่าจะชินแล้วหรือเปล่าวะ ฉันก็มารับแกแบบนี้มาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วนะ” เอื้อมดาวยักไหล่ไม่ยี่หระ ภาพเธอกับเขาซ้อนรถมอเตอร์ไซค์กันน่าจะเป็นภาพที่ใครละแวกเห็นจนชินตา

ชายคนนี้คือ ‘สิบทิศ’ หนุ่มเชียงใหม่โดยกำเนิด ครอบครัวทำธุรกิจผ้าไหมอยู่ที่อำเภอสันกำแพง แต่ก็มีบ้านเก่าอีกหลังอยู่แถวหลังมหาวิทยาลัย ชายหนุ่มมีส่วนสูงร้อยแปดสิบเซนติเมตร ตัวใหญ่กล้ามโต บ้าพลัง เล่นกีฬาได้ทุกชนิด เป็นคนหน้าดุ พูดน้อย ต่อยหนักมาก แถมมีดีกรีเป็นพี่ว้ากของรุ่น 

ถึงจะดูสายโหด แต่สิบทิศก็ดันอยู่ในโหมดเพื่อนสนิทของเอื้อมดาว เธอเรียกเขาว่าไอ้ล่ำ เพราะตัวใหญ่ ถึก ล่ำเป็นควาย ส่วนเขาก็เรียกเธอว่ายายต๊อง เพราะชอบเพ้อเจ้อ พูดจาปัญญาอ่อน

สิบทิศดูน่าเกรงขาม แต่คนที่เขาจะยอมให้เสมอมีเพียงเอื้อมดาวเท่านั้น มีหลายครั้งที่ชายหนุ่มเกิดอาการหัวร้อน คุมอารมณ์ไม่ได้ ต้องมีคนไปขอความช่วยเหลือจากเอื้อมดาว ขานั้นพอรู้ข่าวก็ถลกกระโปรงมาด่ามาเตือน ถ้ายังไม่ฟังก็ซัดฝ่ามือ ตบตีจนชายหนุ่มต้องถอยหนี สร้างความขบขันให้คนทั้งคณะ 

แต่นั่นเป็นกรณีที่สิบทิศเป็นคนผิด ในทางกลับกัน หากมีใครมาหาเรื่องชายหนุ่ม ก็เป็นเอื้อมดาวอีกนั่นแหละที่สู้ไม่ถอย เคยมีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่ง ทั้งสองไปซื้อของที่ตลาดหน้ามหาวิทยาลัย และดันไปเจอกลุ่มเด็กอาชีวะมาหาเรื่องสิบทิศ ชายหนุ่มยังไม่ทันได้ยกหมัด เอื้อมดาวก็สวมวิญญาณสก๊อยตัวแม่ ทั้งตบ ทั้งต่อย จนเหล่าเด็กแว้นหนีแตกกระเจิง กลายเป็นตำนานที่ทุกคนต่างพูดถึง

คนหนึ่งก็บ้าพลัง อีกคนก็ทั้งต๊องและเพี้ยน สมน้ำสมเนื้อกันดี 

“หยุดก่อน ไอ้ล่ำ” อยู่ๆ เอื้อมดาวก็ตะโกนลั่นจนชายหนุ่มต้องรีบเหยียบเบรก รถยังไม่ทันจอดสนิท หญิงสาวก็กระโดดลง และวิ่งปร๋อไปที่ดงดอกหญ้าข้างทาง “มาถ่ายรูปให้หน่อย วันนี้แดดสวย” 

เพื่อนรักเอ่ย สิบทิศจึงไม่ปฏิเสธ รีบลงมาถ่ายรูปให้ ใช้เวลาเกือบสิบนาทีสำหรับการโพสท่า แต่เมื่อหยิบโทรศัพท์มาเช็กภาพ เธอก็บ่นอุบว่าฝีมือการถ่ายของสิบทิศไม่ได้เรื่อง เพราะเธอดูอ้วน ขาสั้น มีคางสองชั้น ก่อนที่จะบ่นยาวไปกว่านี้ ชายหนุ่มก็บอกว่าอยากกินกาแฟ เอื้อมดาวจึงยอมซ้อนรถไปต่อ

ที่ร้านกาแฟในมหาวิทยาลัย สิบทิศยกแก้วเอสเปรสโซขึ้นมาจิบ ทอดตามองสระน้ำขนาดใหญ่ตรงหน้า สายลมยามเช้าทำให้อารมณ์ดี ผิดกับเพื่อนรักที่กำลังทำคิ้วขมวด วุ่นอยู่กับการเลือกรูปไม่เสร็จ

“รูปไหนก็ลงๆ ไปเถอะน่า ยังไงแกก็ไม่สวยสักรูปแหละ”

เอื้อมดาวมองตาเขียว ก่อนจะตั้งใจใช้แอปพลิเคชันแต่งรูปยืดขาตัวเองให้ยาวและบีบหน้าให้เรียวได้รูป

“ทีเมื่อก่อนไม่เห็นสนใจเรื่องนี้” สิบทิศเอ่ยตามตรง เป็นไปได้ว่าผู้หญิงพอขึ้นปีสองอาจจะรักสวยรักงามมากขึ้น

“แกจะไปจะรู้อะไร เราเป็นรุ่นพี่แล้ว ต้องมีภาพลักษณ์ที่ดูดี และปีนี้นะเว้ย น้องเตชิต ดาราซีรีส์ที่ฉันเป็นแฟนคลับ มาเรียนคณะเราด้วย และเมื่อคืนเขาก็กดติดตามไอจีฉันแล้ว ฉันก็ต้องดูดีไว้หน่อยสิวะ” เพื่อนรักเอ่ยอย่างดีใจ

สิบทิศถอนหายใจ “สภาพแบบนี้ น้องเขาคงประทับใจอยู่หรอก ผมนี่สระครั้งล่าสุดเมื่อไหร่วะ”

“ไอ้ล่ำ” เอื้อมดาวขู่เสียงต่ำ ชายหนุ่มจึงสนใจกาแฟตรงหน้าต่อ

อันที่จริงเขาก็รู้นิสัยเพื่อนรักดีว่าเป็นติ่งซีรีส์วายพันธุ์แท้ พอมีนักแสดงตัวจริงมาเป็นรุ่นน้องในคณะ เอื้อมดาวจึงคึกคักเป็นพิเศษ 

“เออ นี่แล้วงานเลี้ยงขันโตก แกจะแต่งตัวยังไงวะ” สิบทิศหันไปถามเรื่องงานบายศรีผูกข้อมือรับขวัญน้องใหม่ประจำปีที่จะมีขึ้นอาทิตย์หน้า

“ก็ใส่เสื้อของคณะไง” เธอหมายถึงชุดพื้นเมืองที่ใส่ตอนรับน้องเมื่อตอนปีหนึ่ง

“อ้าว ไม่แต่งแบบจัดเต็มไปเลยสิ เผื่อน้องเตวิด...”

“เตชิต” หญิงสาวมองค้อนที่เขาพูดชื่อศิลปินที่รักผิด 

“เออ นั่นแหละ ไอ้เด็กนั่นเห็นจะได้ประทับใจ”

“ฉันไม่กล้าว่ะ” เอื้อมดาวเสียงเบา แม้อยากจะสวย แต่ก็ไม่เคยมั่นใจในตัวเอง

“เฮ้ย นานทีปีหน เดี๋ยวฉันยืมชุดของแม่ให้ ซิ่นราคาเป็นหมื่นเลยนะเว้ย”

จริงๆ แล้ว เอื้อมดาวก็คุ้นเคยกับครอบครัวของสิบทิศพอสมควร ไปสวัสดีพ่อกับแม่ของตั้งแต่อยู่ปีหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไปมาหาสู่กันประจำ แวะกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ เรื่องที่จะให้ยืมชุดผ้าไหมราคาแพงจึงไม่ต้องห่วง

เรื่องความสนิทสนมของทั้งคู่ทำให้ผู้ใหญ่ทางนั้นยังแอบแซว ว่าเธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่สิบทิศพามาที่บ้าน มีความลึกซึ้งเกินเพื่อนหรือเปล่า ซึ่งทั้งสองก็ทำได้เพียงหันมองหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะลั่นและบอกว่า ‘ไม่มีทาง’

“จะดีเหรอวะ” 

อีกฝ่ายแบ่งรับแบ่งสู้ ทว่าสิบทิศก็ยังคะยั้นคะยอขณะที่แอบคิดในใจ 

หากยายต๊องแต่งชุดล้านนาแบบจัดเต็ม คงตลกดีไม่น้อย

 

ทันทีที่นักศึกษาสาวในชุดเจ้านางผู้สูงศักดิ์ก้าวเข้ามาในงาน บรรดาเพื่อนพี่น้องร่วมคณะต่างหันมามองด้วยความตกตะลึง บางคนอ้าปากค้าง บางคนเผลอทำแก้วพลาสติกในมือหล่น แต่นั่นคือห้าวินาทีแรก เพราะหลังจากนั้น พวกเขาหัวเราะลั่น จนทำให้เจ้านางน้อยประหม่า

“ไอ้ล่ำ พวกบ้านี่หัวเราะอะไรกันวะ หรือว่าฉันไม่สวย” เอื้อมดาวกระซิบถาม

คืนนี้เธอเกล้าผมมวยเหน็บดอกไม้ไหว แต่งหน้าขาววอก ปัดแก้มชมพู เปลือกตาสีเขียวเหมือนนกแก้ว ทาปากแดงแปร๊ด สวมเสื้อปั๊ดตีนสั้นแบบไทลื้อสีแดงสด ผ้าซิ่นลายน้ำไหลของเมืองน่าน แถมยังใส่รองเท้าส้นสูงสีทองอร่าม

“ฉันว่าก็สวยดีออกนะ” หนุ่มมาดขรึมตอบ แต่ก็แอบหันไปขำ “แกก็ชอบอะไรที่เป็นเหนือๆ อยู่แล้วนี่ มั่นใจหน่อยสิ เพื่อน้องเตชิตของแกไง” 

ขืนบอกความจริง เอื้อมดาวอาจไม่มั่นใจ เพราะฉะนั้นต้องเอาหนุ่มๆ เข้ามาล่อ

ได้ผล เอื้อมดาวเชิดหน้า แววตาวาวโรจน์ “ใช่ วันนี้ฉันต้องส่งกำลังใจให้น้องเตชิตในการประกวดเดือนด้วย แต่งตัวจัดเต็มแบบนี้ เขาต้องเห็นฉันชัดแน่”

สิบทิศยกนิ้วโป้งให้ ก่อนจะได้ยินเสียงวี้ดว้ายเข้ามาแทรกจังหวะสนทนา

“ตายแล้ว แม่ย่านางที่ไหนเข้าสิงหล่อนให้แต่งตัวแบบนี้ยะ ยายต๊อง” 

เกศโมฬี เพื่อนในก๊วนเดินเข้ามาพร้อมด้วยสีหน้าขบขัน จนเอื้อมดาวถอนหายใจ อย่างว่า เพื่อนสาวคนนี้มักจะเยาะเย้ยดูถูกเธอเสมอ ไม่ว่าจะกระดิกตัวทำอะไร 

เกศโมฬีปากจัด มีความมั่นใจสูง และไม่สนโลก ขนาดวันนี้ธีมงานขันโตกจัดเป็นแนวพื้นเมืองล้านนา ยังแต่งตัวเหมือนจะไปเที่ยวผับ ทุกคนก็ฮือฮาว่าเกศโมฬีแสนเก๋ แหวกขนบ ทั้งๆ ที่แม่นี่อาจจะคิดเพียงว่าเลิกงานแล้วจะไปดื่มต่อที่ผับแถวย่านนิมมานเหมินทร์ 

หญิงสาวเป็นคนสวย ครอบครัวมีหุ้นใหญ่ในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในเชียงใหม่ เรียกได้ว่าฐานะดีเลยดูเจ๋ง เธอเคยเป็นตัวแทนของรุ่นประกวดดาวคณะ แต่ต้องมาตกรอบแรก เพราะดันบอกว่าพระธาตุประจำจังหวัดเชียงใหม่คือพระธาตุดอยตุง

 “ทำไมยะ ไม่สวยเหรอ” เจ้านางลองถามความคิดเห็น

อดีตดาวคณะ (ตกรอบ) สะบัดผมที่ย้อมสีทองอร่าม เม้มริมฝีปากบางเฉียบ กวาดสายตาดูเอื้อมดาวตั้งแต่หัวจดเท้า ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ก็ได้อยู่ ฉ่ำอยู่ แต่เพราะมันเป็นแกแต่งไง ก็เลยไม่คุ้น”

เอื้อมดาวชักงง ตกลงอีกฝ่ายชมหรือด่า เคยได้ยินมาว่า คำว่า ‘ได้อยู่’ ในความหมายแฝงมันคือไม่ได้ไม่ใช่เหรอ แต่ก็เอาเถอะ เธอไม่เคยถือสาหาความ อย่างน้อยเกศโมฬีก็เป็นเพื่อนผู้หญิงเพียงคนเดียวในรุ่นที่ยอมคบกับเธอ ส่วนคนอื่นๆ มักจะมองว่าเอื้อมดาวเหมือนเป็นผู้หญิงที่ประหลาด

“แต่งแบบนี้ กะจะมามัดใจน้องเตชิตละสิ อย่ามาหวัง” เกศโมฬีรู้ทัน 

“ก็ต้องจัดเต็มสิ น้องภาควิชาเราหล่อขนาดนี้ และฉันก็เป็นแฟนคลับตัวยงด้วยเหมือนกัน” เอื้อมดาวจ้องตาตอบ

“เฮอะ ก็แค่แฟนคลับ น้องเตชิตคงสนใจเนาะ นี่ ฉัน รุ่นพี่สาวแซ่บ ว่าที่นางเอกละครของชมรม ยังไงน้องเขาก็ต้องสนใจกว่า” ถึงจะไม่ใช่สาววาย แต่เกศโมฬีบ้าผู้ชายเป็นงานอดิเรก

“จะยืนคุยกันอีกนานไหม ไปหาที่นั่งกันเถอะ” สิบทิศตัดบท ก่อนจะเดินนำสาวๆ ไปยังวงขันโตกที่ว่างอยู่มุมขวาของเวที

ไม่นานนัก ‘กลายจักร’ เพื่อนชายในกลุ่มอีกคนก็เข้ามาสมทบ เขามองเอื้อมดาวก่อนจะหัวเราะลั่นอีกราย

“ไอ้จักร หยุดเลยนะ” เจ้านางหลงยุครีบปราม

“งามจ้า งามขนาด” 

ชายหนุ่มยิ้มหวาน แต่แววตาเจ้าเล่ห์ แน่ละ เอื้อมดาวไม่เชื่อเขา

กลายจักรเป็นหนุ่มลำพูน ตัวสูง ผิวขาว ตี๋ หน้าตาดีแบบพิมพ์นิยม ทว่าภายใต้มาดดีนั้น เขาเป็นคนปากร้ายแบบไม่เกรงใจใคร 

จะว่าไป เพื่อนๆ ในกลุ่มของเธอแต่ละคนก็ล้วนเป็นอสรพิษ สิบทิศเหมือนโจรป่าขี้โมโห เกศโมฬีที่เหมือนนางร้ายในละคร และกลายจักรคือหนุ่มสำอางจอมเจ้าเล่ห์ คงมีแต่เธอเองแหละกระมังที่เป็นดั่งสาวน้อยโลกสวย บอบบางน่าทะนุถนอม

“นี่ช่างร้านไหนแต่งหน้าให้แกวะ ฉันจะไปเผาร้านมันตอนนี้เลย” กลายจักรยังหัวเราะคิกคัก 

“พูดมาก ไปหาอะไรมาให้กินทีซิ ฉันหิวแล้ว” เอื้อมดาวหลับตาสวนกลับ 

สิบทิศหันไปสะกิดชวนให้กลายจักรลุกจากที่นั่งเพื่อไปหาอาหารตามซุ้มต่างๆ ไม่นานสองหนุ่มก็กลับมาพร้อมกับอาหารและเครื่องดื่มในมือ

เกศโมฬีสนใจแต่ถ่ายเซลฟีรูปตัวเองกับบรรยากาศในงาน ตั้งใจจะโพสให้แฟนคลับในโลกโซเชียล ส่วนเอื้อมดาวจิ้มลูกชิ้นทอดเข้าปากด้วยความหิว แต่พอเห็นสองหนุ่มซุบซิบแบบมีเลศนัยจึงถาม

“ทำอะไรกัน”

กลายจักรยิ้มแห้งๆ ก่อนจะหยิบเอาขวดชาเขียวออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

“ฉันได้ของดีมา”

มองก็รู้ว่าข้างในไม่ใช่น้ำดื่มตามภาชนะที่บรรจุ เพราะมันมีสีขาวขุ่นแปลกตา

“น้ำขาว หรือสาโทไง อร่อยมาก” เขาค่อยๆ เทลงแก้วใบเล็กที่เตรียมมา ปากก็สาธยายว่าได้มาจากกลุ่มเพื่อนผู้ชายที่แอบนำเข้ามาในงานด้วย 

“แกนี่มันเลวจริงๆ ในเขตมหา’ลัยแท้ๆ ยังกล้ากินอีก” เอื้อมดาวบ่น 

แต่แล้วเกศโมฬีที่เร็วกว่าใครกลับคว้าแก้วนั้นมากระดกกินจนหมด

“อร่อยดีนะ” ดาวคณะยิ้มร่า และส่งสายตาไปยั่วเอื้อมดาว “ไม่กินก็อย่าบ่น ยายอ่อน”

คนถูกท้าทายเลือดขึ้นหน้า “เทมา ฉันจะกิน”

สิบทิศสะดุ้ง กลายจักรจัดไปตามคำขอ เอื้อมดาวยกแก้วดื่มรวดเดียวหมด รสชาติเปรี้ยวอมหวานทำให้หญิงสาวประหลาดใจไม่น้อย

“อร่อยเหมือนกันแฮะ”

“ใช่ไหมล่ะ” กลายจักรหัวเราะดัง ก่อนจะวางแก้วแล้วรินใหม่เพื่อให้เพื่อนได้ลองอีก คราวนี้สิบทิศไม่ยอมให้ใครหยิบไปได้

ดวงเดือนลอยขึ้นเหนือฟ้า ส่องแสงขาวมายังลานกิจกรรมหน้าคณะวิจิตรศิลป์ สถานที่จัดงานรับขวัญน้องใหม่ประจำปีนี้ โคมและประทีปถูกนำมาตกแต่งตั้งแต่ทางเดินเข้างานเรื่อยไปจนถึงเวที ส่องแสงระยิบระยับ 

บนเวทียังมีร่มและตุงกระดาษประกอบฉาก เมื่อถึงเวลา พิธีกรซึ่งเป็นกะเทยแต่งตัวชุดล้านนาอลังการก็ออกมาทักทายแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน ก่อนที่จะเปิดตัวด้วยการแนะนำผู้เข้าประกวดดาวและเดือนประจำปีนี้

ท่ามกลางเสียงปรบมือกรีดร้องของกองเชียร์ เอื้อมดาวและเกศโมฬีก็เริ่มอยู่ไม่สุข

“เฮ้ยแก เราไปให้กำลังใจน้องเตชิตกัน” ดาวคณะตกรอบชวน เอื้อมดาวพยักหน้ายอมสงบศึก จูงมือกันไปหน้าเวทีโดยพลัน

สิบทิศและกลายจักรมองตามหลัง ก่อนจะส่ายหัวพร้อมกัน 

“ไอ้ทิศ มึงชอบยายเอื้อมดาวหรือเปล่าวะ” หนุ่มสำอางถาม แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะร่วนในลำคอ

“แกก็ดูเอาสิ ว่ามันมีอะไรให้หลงรักวะ”

กลายจักรขบคิด “มองดีๆ มันก็น่ารักเหมือนกันนะ ติดตรงที่ไม่ค่อยแต่งเนื้อแต่งตัวเท่าไหร่”

“ต๊องและปัญญาอ่อนขนาดนั้น ต้องเพ่งนานๆ หน่อยว่ะ ถามทำไม หรือว่าแกชอบ”

“เปล๊า” กลายจักรเสียงสูง “ก็เห็นสนิทกัน นึกว่าจะมีอะไรในกอไผ่”

สิบทิศส่ายหัว “เป็นเพื่อนกันน่ะดีแล้ว” 

เมื่อเพื่อนยืนยัน อีกฝ่ายก็เข้าใจ หันไปเทสาโทให้แล้วชนกันอีกครั้ง ขณะเดียวกันพิธีกรก็ประกาศเชิญหนุ่มสาวผู้เข้าประกวดเดือนคณะออกมาในชุดนักศึกษา ได้ยินเสียงกรีดร้องของสาวๆ ที่หน้าเวที โดยเฉพาะเสียงของเอื้อมดาวและเกศโมฬี

“แค่ปรากฏตัวออกมารอบแรก ผู้เข้าประกวดดาวเดือนปีนี้ก็สร้างความคึกคักให้กับพวกเราไม่น้อย ตอนนี้เราพักชมการแสดงสักครู่ รอบหน้าเราจะมาพบกับรอบแนะนำตัวของดาวเดือนปีนี้กันค่ะ” พิธีกรประกาศเพื่อสลับเป็นการแสดงชุดแรกของค่ำคืน

ช่างฟ้อนสิบคนสวมเสื้อลูกไม้คอตั้งสูงแขนหมูแฮม นุ่งซิ่นลายลุนตยา ซึ่งเป็นการแต่งตัวที่ได้แรงบันดาลใจแบบเจ้าดารารัศมี พระราชชายา ทยอยออกมาตั้งแถว เมื่อพร้อม เสียงเพลงบรรเลงสะล้อซอจากเครื่องเสียงก็ดังขึ้น เหล่านางรำก็กรีดกรายตามจังหวะ

ทุกอย่างกำลังดำเนินไป แต่แล้ว จู่ๆ เดือนบนฟ้าก็หลบหายเข้ากลีบเมฆ มีลมพัดแรง เทียนไหววูบและดับไปในที่สุด ตุงโบกพัดแกว่งแรงเหมือนกับคนตัวสูงเดินโยกเยก และแล้วไฟในงานก็ดับพรึบ! 

มีเสียงกรีดร้องเพราะความตกใจ เหล่านักแสดงจำเป็นต้องหยุดค้าง สักพักก็เริ่มมีคนชี้ให้มองบนฟ้า เพราะพระจันทร์ที่โผล่ออกมาจากเมฆดำ จากที่เคยสว่างสดใส บัดนี้กลับแดงฉาน

เหมือนโลหิตฉาบทา…

สองหนุ่มที่นั่งดวลสาโทมองหน้ากัน รู้สึกถึงความไม่ปกติ รอบตัวมืดมิด มีลมพัดแรงต่อเนื่อง จนเกือบห้านาทีกระแสไฟฟ้าจึงกลับมา พร้อมๆ กับลมประหลาดที่ค่อยๆ สงบลง สตาฟจัดงานจึงจุดไฟที่โคมให้กลับมาสว่างอีกครั้ง พิธีกรประกาศให้ช่างฟ้อนตั้งแถว เพื่อเริ่มการแสดงใหม่ 

เสียงเพลงดัง ทุกอย่างกลับมาปกติ สิบทิศแหงนมองฟ้า จันทร์สีแดงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวอย่างน่าฉงน ในใจของชายหนุ่มนึกเป็นห่วงเอื้อมดาว จึงชะเง้อไปที่หน้าเวที แปลกใจที่เห็นทุกคนหันไปดูบางอย่างที่ไม่ใช่ช่างฟ้อนด้านบน แต่เป็นสาวชุดแดงที่กำลังกรีดนิ้ว แอ่นกายอยู่ที่หน้าเวที 

“เอื้อมดาว!” เขาหลุดปากออกมา กลายจักรจึงมองตามก่อนจะหัวเราะลั่น

“ยายต๊องนั่นทำอะไรเนี่ย”

คนในงานเริ่มหัวเราะขบขัน แต่สิบทิศกลับรู้สึกแปลกๆ จึงรีบเดินเข้าไปหา เมื่อไปถึง ก็เห็นว่าหญิงสาวหลับตาพริ้ม จีบนิ้ว ตวัดวงแขน ราวกับนางรำในราชสำนัก

“เอื้อมดาว ทำอะไร” เขาถาม 

เกศโมฬียืนกอดอกดูห่างๆ ยิ้มมุมปาก

“จะมีอะไร ก็เมาน่ะสิ” หญิงสาวนึกได้ รีบยกโทรศัพท์มือถือมาบันทึกวิดีโอ หวังจะเอาไว้แบล็กเมล์เพื่อน

สิบทิศเคยเห็นคนเมา แต่อาการของเอื้อมดาวมันไม่น่าจะใช่ ในที่สุดจึงตัดสินใจเอื้อมมือไปเขย่าร่าง

“ยายต๊อง!”

เอื้อมดาวหยุดชะงัก และหันมาเบิกตาโพลงให้ สิบทิศเห็นเต็มตาว่าหญิงสาวไม่มีลูกตาดำ!

“กรี๊ด!” 

ร่างบางร้องลั่น ก่อนจะล้มตัวแน่นิ่ง ทุกคนต่างหัวเราะชอบใจ แต่สิบทิศกลับหัวใจเต้นแรง!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น