บทที่ ๔

 

ในห้องกว้างของคุ้มหลวง หญิงสาวผู้สูงศักดิ์นั่งสูงกว่าใครในห้อง ดวงตาจับจ้องชายหนุ่มที่กำลังเล่นสะล้อ แขนของเขาแกร่งด้วยมัดกล้าม นิ้วเรียวสวยกดไล่เสียงก่อเกิดเป็นทำนองไพเราะ คนที่นั่งฟังต่างเคลิบเคลิ้ม แม้แต่นางรับใช้ที่กำลังพัดวีข้างๆ 

เมื่อเพลงจบ เธอจึงเอ่ยชม นักดนตรีน้อมรับอย่างสุภาพ 

“ข้าเคยฝึกเล่นสะล้อมาตั้งแต่ยามเล็ก ตอนที่อยู่เวียงเชียงใหม่”

“เวียงเชียงใหม่หรือ” เจ้านางเอ่ย พลางนึกถึงแดนไกลที่เขาเอ่ยชื่อ เคยได้ยินมานาน นพบุรีศรีนครพิงค์ เมืองใหญ่แสนเจริญ เต็มไปด้วยวัดวาอารามงามตา ที่นั่นมีพ่อค้าแม่ค้ามาจากทั่วทุกสารทิศ จำหน่ายผ้าไหม ผ้าฝ้าย เครื่องประดับมากมายที่บ้านเมืองของเธอไม่มี

“ข้าอยากจะไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพสักครั้ง” น้ำเสียงคนพูดระคนความน้อยใจ เธอเป็นถึงหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ แต่ถูกตีกรอบเข้มงวด ไปไหนไม่ได้อย่างใจนึก

ชายหนุ่มมองหน้า ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสะกดให้เธอหยุดนิ่ง ก่อนเขาจะเอ่ยเสียงเบา ตั้งใจให้เธอได้ยินคนเดียว

“หากเจ้านางอยากไป ข้าพาไปได้”

เจ้านางหลบสายตานั้น เกรงเขาจะรู้ว่าเธอไหวหวั่น ทั้งที่ในใจคิดว่า หากเขาเป็นพญาครุฑ เธอก็พร้อมยอมให้เขาบินฉุดไปเสีย แต่แล้วอยู่ๆ ภายในห้องก็มืดลง หญิงสาวตกใจ หันไปมองรอบกายก็พบแต่ความว่างเปล่า

จนกระทั่ง ไฟเริ่มเปิดออกทีละดวง คุ้มงามแปรเปลี่ยนเป็นสถานที่หนึ่ง ด้านหน้ามีเวทีใหญ่ มีเสียงดนตรีแว่ว ต้นเสียงมาจากเวทีเล็กที่อยู่ด้านขวามือ เธอหันไปมอง ไฟดวงใหม่ที่สว่างกว่าส่องให้เห็นชายคนเดิมในชุดพื้นเมืองสีแดง กำลังก้มหน้ามองเครื่องสายที่ตัวเองบรรเลง มือซ้ายขยับ มือขวาชักคันสีไปมา 

“อาจารย์คเชนทร์” เอื้อมดาวเอ่ยชื่อเขา พร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ๆ ชายหนุ่มเหมือนรู้ว่าเธอกำลังมอง จึงเงยหน้าขึ้นมาสบตา

ช่างรูปงามเหลือเกิน งามที่สุด ราวกับเทวดามาช่วยปั้นแต่ง เอื้อมดาวคิด ระหว่างนั้นคเชนทร์วางเครื่องดนตรี ก่อนจะลุกขึ้นเดินลงเวทีมาหาใกล้ๆ พร้อมกับยื่นมือมาให้

“ในที่สุด พรหมลิขิตก็พาให้เรากลับมาเจอกัน เจ้านาง” 

เขาเอ่ยเป็นภาษาเหนือ แต่เอื้อมดาวก็เข้าใจและยื่นมือไปจับมือเขาไว้แน่น เขาดึงตัวเธอเข้ามากอด เธอหลับตาพริ้ม ได้กลิ่นกายชายหนุ่มที่หอมเหมือนทุ่งหญ้า

พลันก็ต้องสะดุ้งตื่น...

เสียงนาฬิกาที่ห้องรับแขกตีดัง ทำเอาเธอสะดุ้งและได้สติ 

อีกแล้ว...เอื้อมดาวถอนหายใจเสียดายในความฝัน คว้าหมอนข้างมากอดไว้แน่น หวังทดแทนอ้อมกอดที่สูญหาย ที่หน้าอกข้างซ้ายรู้สึกเจ็บ นึกถึงใบหน้าของเขาแล้วอยากจะอยู่ใกล้ๆ อยากกอด อยากจะหอมแก้ม อยากจะเป็นของเขาคนเดียว 

หญิงสาวคิดถึงภาพลวงในนิทรา ในฝันเธอเป็นเจ้านาง ชายปริศนาเป็นคนเชียงใหม่ เขาอาจจะเป็นเจ้าชาย เหมือนเจ้าน้อยสุขเกษม...

เอื้อมดาวกุมขมับ สับสนกับฝันอันแสนสุข ทว่าตื่นมากลับเจ็บปวด...

 

กว่าเอื้อมดาวจะเรียนเสร็จก็เกือบหกโมงเย็น หันไปมองสิบทิศ เพื่อนตัวล่ำยังเอาแต่หน้าบึ้ง คงยังงอนเรื่องเมื่อคืนไม่หาย เดินออกจากห้องเรียนมาที่ม้าหินอ่อนโต๊ะประจำที่หน้าตึกคณะ เธอก็ชวนเขาคุยเรื่องภาพวาดที่กำลังจะส่งอาจารย์ แต่เขาก็ทำเป็นพูดน้อย ถามคำ ตอบคำ

“เออ ถ้าไม่อยากคุย ก็ไม่ต้องคุย!” เอื้อมดาวเอ่ยรำคาญ จนกลายจักรและเกศโมฬีตกใจ

“แกก็ไม่ได้สนใจฉันอยู่แล้วนี่” สิบทิศยั่วต่อ

อีกฝ่ายหันไปเก็บกระเป๋า และเดินหน้างอจากไปทันที

“นี่พวกแกทะเลาะกันเหรอ” เกศโมฬียื่นหน้าถามเสียงเบา แน่สิ แม้จะเป็นเพื่อนที่หาเรื่องกันบ่อยๆ แต่ก็ไม่ยักจะเห็นคู่นี้โกรธกันจริงๆ สักครั้ง 

“ไม่รู้โว้ย!” สิบทิศเอาเสียงดังเข้าข่ม เดินหงุดหงิดจากไปอีกคน

“อะไรวะ ปกติตบหัว ด่าพ่อ ล้อแม่ ก็ไม่เห็นสองคนนี้มันจะโกรธกัน” แม้แต่กลายจักรก็ยังแปลกใจ

“ถ้าให้ฉันเดานะ ไอ้สิบทิศมันคงไปสารภาพรักกับยายต๊อง แต่ยายนั่นไม่เล่นด้วย ทุกอย่างก็เลยพัง บอกแล้ว มิตรภาพมักจะก่อเกิดความรัก แต่ความรักมักไม่ได้จบลงด้วยมิตรภาพ” นางเอกละครเชิดหน้าเหมือนคนเข้าใจโลก

“แต่ให้ฉันเดานะ” ชายหนุ่มขอวิเคราะห์บ้าง หญิงสาวหันไปตั้งใจฟัง

“ยายเอื้อมดาวคงเมนส์มา หงุดหงิดพาลไปเรื่อย”

เกศโมฬีกลอกตามองบนพร้อมถอนหายใจแรง เนี่ยแหละหนาผู้ชาย ไม่เคยมองอะไรซับซ้อน กูรูในชีวิตรักอย่างเธอเข้าใจดี

 

เอื้อมดาวขับรถมอเตอร์ไซค์ออกจากคณะ บรรยากาศยามโพล้เพล้ทำให้รอบกายดูวังเวง แปลกใจที่ถนนในมหาวิทยาลัยตอนนี้กลับร้างผู้คน รถราที่เคยขวักไขว่ก็ไม่มีให้เห็นสักคัน

แสงสุดท้ายของวันค่อยๆ ลดสี เงามืดของราตรีกำลังเข้ามาเยือน ขณะที่ขับผ่านภาควิชาดนตรีและศิลปะการแสดง เธอก็ได้ยินเสียงหนึ่งแทรกมากับสายลมที่พัดผ่านหน้า

เสียงสะล้อ...

เอื้อมดาวเหยียบเบรก และหันมองรอบๆ ก็พบแต่ความว่างเปล่า กระทั่งได้ยินเสียงกลองดัง หันไปมองที่ถนน เธอก็เห็นขบวนแห่บางอย่างกำลังเคลื่อนที่มา

ทุกอย่างเหมือนในฉากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ มีคนตีกลองสะบัดชัยนำหน้า ตามมาด้วยผู้หญิงแต่งตัวชุดล้านนา ซึ่งต่างถือพานใส่จำพวกหมากพลูและเครื่องบูชาพระ ที่ตามหลังมาคือชายกำยำสี่คนกำลังแบกเสลี่ยง ด้านบนมีสตรีท่าทีสูงศักดิ์นั่งเชิดหน้า เอื้อมดาวพยายามจะมองหน้าคนบนเสลี่ยง แต่เงามืดก็อำพรางไม่ให้เห็นชัด ขบวนแห่นั้นมุ่งตรงไปทางทิศใต้ จนหายไปลับตา

วันนี้มหาวิทยาลัยคงมีงานสำคัญแน่ๆ 

กระทั่งรอบกายเริ่มมีผู้คนเดินไปมา ถนนที่เคยโล่งก็เปลี่ยนกลับมาคึกคัก หญิงสาวหันไปพบนักศึกษาสองคนที่กำลังเดินมาบนทางเท้า จึงจอดรถและเดินเข้าไปถาม

“ขอโทษนะคะ เมื่อกี้เขามีขบวนอะไรเหรอ”

สองคนหันไปมองหน้ากัน ก่อนที่คนหนึ่งจะตอบ “ขบวนอะไรเหรอคะ”

“ก็เมื่อกี้ไง ที่มีกลองแห่นำหน้า และก็มีคนแบกเสลี่ยงตาม”

“ไม่มีนะคะ” เพื่อนอีกคนช่วยตอบ

“ขบวนออกจะใหญ่โต แถมเสียงกลองก็ดังลั่นถนน” เอื้อมดาวย้ำ

สองสาวได้แต่ยิ้มเจื่อน นึกถึงเรื่องผีที่เล่าสืบต่อกันมาในมหาวิทยาลัยว่า มักมีคนเห็นขบวนแห่ไร้หัวของเจ้านางในช่วงยามเย็น คิดแค่นั้นทั้งคู่ก็ขนลุกซู่ รีบสะกิดกันเดินหนี เอื้อมดาวตะโกนถามตามหลัง แต่พวกเธอก็ไม่สนใจ 

สักพักก็ได้ยินเสียงสะล้อดังขึ้นอีก แต่คราวนี้เสียงมาจากด้านในตึกสูงของภาควิชาดนตรีและศิลปะการแสดง หญิงสาวราวกับต้องมนตร์สะกด เดินตามไปทันที ในตึกที่แสนวังเวงยังได้ยินเสียงเพลงแว่ว เอื้อมดาวพยายามค้นหา จะถามใครก็ไม่มีใครเดินผ่าน กระทั่งเห็นผู้หญิงชุดไทยล้านนาเดินผ่านหน้า

นั่นไง แถวนี้ต้องมีขบวนงานแห่อะไรสักอย่าง เธอรีบเดินตามก่อนผู้หญิงคนนั้นจะหายเข้าไปในห้องขวามือ ในห้องนั้นมีแสงสว่าง ทำให้ไม่น่ากลัว แต่ยังร้างผู้คน เสียงดนตรีดังชัดขึ้นเรื่อยๆ เอื้อมดาวตัดสินใจเดินเข้าไปด้านใน ก็พบว่ามันเป็นห้องสตูดิโอสำหรับบันทึกเสียง

ในนั้นว่างเปล่า แล้วผู้หญิงชุดล้านนาล่ะ สงสัยไปก็เปล่าประโยชน์ ตอนนี้ได้ยินแต่เสียงสะล้อดังมาจากลำโพงที่แขวนอยู่บนผนัง เอื้อมดาวจึงเดินเลียบเคียง ก่อนจะเห็นว่ามีห้องกระจกอีกห้องที่กั้นอยู่ ในนั้นมีคนกำลังนั่งสีสะล้อ หัวใจเต้นโครมครามเมื่อเห็นชายหนุ่ม

อาจารย์คเชนทร์...อีกแล้ว ภาพตรงหน้าราวกับถอดมาจากความฝัน เอื้อมดาวถือวิสาสะทิ้งตัวลงที่เก้าอี้หน้ากระจก เพื่อมองให้เต็มตา 

เสียงเพลงไพเราะ มีอานุภาพทำให้หัวใจสั่น นี่แหละกระมัง ในวรรณคดีเรื่องดังอย่างพระอภัยมณี สตรีทั้งเรื่องถึงได้หลงรักพระอภัยมณีที่มีเพียงเครื่องดนตรีเป็นอาวุธ 

ชายหนุ่มเมื่อเล่นเพลงจบก็เก็บเครื่องดนตรี แปลกใจเมื่อเห็นว่าอีกฝั่งของกระจกมีคนคุ้นตานั่งมองเขาอยู่ จึงกดเปิดไมโครโฟนเพื่อทักทายจากด้านใน

“เอื้อมดาว”

พอเขาจำชื่อเธอได้ หญิงสาวก็หัวใจพองโต

“เข้ามาก่อนสิ” 

แม้จะรู้สึกเขิน แต่พลังงานบางอย่างก็สั่งให้หญิงสาวก้าวเท้าเข้าไปตามคำเชิญ

“ไปไงมาไงเนี่ย” เขายิ้มหวานเหมือนอย่างเคย

“คือหนูได้ยินเสียงสะล้อจากข้างนอก ฟังแล้วเพราะดี ก็เลยตามมาค่ะ”

คราวนี้เขาชะงัก หันไปรอบๆ ห้อง “น่าแปลกนะ ห้องนี้ก็เก็บเสียงดี เธอยังได้ยินอีกเหรอ”

เขาพูดถูก ห้องบันทึกเสียงมิดชิดและห่างจากถนน 

“นั่นสิคะ แล้วทำไมหนูถึงได้ยิน หรืออาจจะเป็นเพราะเสียงของขบวนแห่ด้วยก็ได้”

ยิ่งพูด เขาก็ยิ่งงง นักศึกษาสาวจึงรีบถามเปลี่ยนเรื่อง “แล้วอาจารย์กำลังทำอะไรอยู่เหรอคะ”

“อ๋อ พวกนี้น่ะเหรอ ก็กำลังบันทึกเสียงสะล้อน่ะ ทำซาวด์ให้เด็กๆ ชมรมการแสดง อย่างงานฟ้อนที่งานขันโตกต้อนรับน้องใหม่ของมหา’ลัยผมก็เป็นคนทำนะ ไม่รู้ได้ฟังหรือเปล่า”

“ได้ฟังค่ะ ฟังปุ๊บเล่นเอาฉันกลายเป็นช่างฟ้อนเลย” เอื้อมดาวเอ่ยติดตลก ทำให้ชายหนุ่มมีสีหน้าแปลกใจ

“แล้วอาจารย์ทำให้มหา’ลัยฟรีเลยเหรอคะ” 

เขาพยักหน้า “ก็ถือว่าเป็นการสอนนักศึกษาไปด้วยน่ะ ผมชอบแต่งเพลง เล่นดนตรี มีช่องยูทูบลงผลงานตัวเองด้วยนะ” ชายหนุ่มบอกช่องทางติดตามให้เธอลองเข้าไปฟังด้วย

“พอดีช่วงนี้หนูเองก็กำลังสนใจเครื่องดนตรีชิ้นนี้อยู่” เธอชี้ไปยังสะล้อที่วางใกล้ๆ 

คเชนทร์แปลกใจ “สะล้อน่ะเหรอ”

เอื้อมดาวพยักหน้า “ค่ะ หนูว่าเสียงมันเพราะดี กำลังพยายามฝึกเล่น”

“เอาสิ ลองสีดูก็ได้นะ” เขาหยิบมันส่งให้เธอ

เอื้อมดาวค่อยๆ ยื่นมือไปจับ ทันทีที่ได้สัมผัส ก็รู้สึกเหมือนมีไฟร้อนวิ่งผ่านจากเครื่องดนตรีเข้าสู่ปลายนิ้ว แต่ก็พอทนไหว รีบคว้ามันมาตั้งท่า

“นั่นแหละ ไม่เลวเลย” เขาชม “เส้นข้างในคือเส้นเสียงโด ข้างนอกคือเส้นเสียงซอล” 

เอื้อมดาวลองหมุนและสีเครื่องดนตรีตาม ชายหนุ่มขยับเก้าอี้มาใกล้ จับมือขวาเธอให้จับคันชักในท่าทางที่ถูกต้อง เอื้อมดาวหน้าแดงระเรื่อ เมื่อมือแกร่งของเขาสัมผัสปลายนิ้ว

“นั่นแหละถูกแล้ว ส่วนนิ้วมือข้างซ้ายเนี่ยจะไล่ไปตามเสียง นิ้วชี้ก็โด นิ้วกลางก็เร นิ้วนางก็ฟา” 

เขาขยับเข้ามาใกล้จนทำให้เอื้อมดาวเห็นชัด ใบหน้าชายหนุ่มเนียนสะอาด ไฝฝ้าสักเม็ดก็หาไม่เจอ ภายใต้แว่นสายตามีแววตาเป็นประกายสดใส เธอชอบจมูกของเขาที่โด่งเป็นสัน ที่สำคัญกลิ่นกายของเขาหอมเหมือนทุ่งหญ้า เหมือนในความฝันอีกแล้ว... 

หญิงสาวอารมณ์กระเจิง แทบไม่มีสมาธิฟังในสิ่งที่เขาสอน

“อาจารย์คะ” ที่สุดก็ยอมเป็นเด็กดื้อ วางเครื่องสายในมือลง และจ้องหน้าเขา

“ครับ” เขามีท่าทีตระหนก

“อาจารย์ว่า เราเคยรู้จักกันหรือเปล่า”

ใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันเพียงช่วงไหล่ เอื้อมดาวแววตาสั่นระริก คเชนทร์หายใจแรงจนเธอสัมผัสได้ ทุกอย่างเหมือนสะกดให้ทั้งสองดึงดูดเข้าหากัน

“ผมคิดว่าเคยนะ” เขาเอ่ย และยังโน้มตัวเข้ามาใกล้อีก

เอื้อมดาวใจสั่น แต่ก็ยังไม่ถอย “ที่ไหนคะ”

เขานิ่งไปนาน ก่อนจะตอบ “อาจจะเป็น...ในฝัน”

เธอใจเต้นระรัว ดวงตาเบิกโพลง ส่วนอาจารย์หนุ่มหายใจแรงขึ้น และขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ ริมฝีปากสีแดงสดของเขาเผยอออก เอื้อมดาวได้สติตัดสินใจลุกขึ้น

“อาจารย์ล้อกันเล่นหรือเปล่า”

เขาเบือนหน้าไปทางอื่น ก่อนจะยิ้มและทำเป็นเก็บของ

“ผมพูดจริงๆ”

เอื้อมดาวเงียบ ยังไม่อยากจะเชื่อตามที่เขาเอ่ย  

“เอื้อมดาว พอจะรู้จักร้านอาหารที่ชื่อเฮือนดาราหรือเปล่า” อยู่ๆ เขาก็ถามเปลี่ยนเรื่อง 

หญิงสาวคิด “รู้จักสิคะ ก็อยู่ติดน้ำปิง ใกล้ๆ สะพานนวรัฐ”

“พรุ่งนี้พาผมไปที่นั่นหน่อยได้ไหม พอดีผมจะไปคุยงาน” เขามองหน้าเธอ แววตาเว้าวอน

“ความจริงอาจารย์ก็มีคนติดตามเยอะแยะแล้วนี่คะ” เมื่อวันก่อนเธอยังเห็นนักศึกษาสาวตามหลังกันเป็นพรวน

“เราจะคุยกันเรื่องสะล้อด้วย เอื้อมดาวกำลังสนใจเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ”

เธออ้ำอึ้ง

“ไปด้วยกันเถอะ ถือว่าเป็นโอกาสขอโทษที่ทำให้ตกใจเมื่อวันก่อนด้วย”

สมองยังครุ่นคิด ทว่าหัวใจกลับสั่งให้ปากขยับ “ได้ค่ะ”

คเชนทร์ขอเบอร์โทรศัพท์ของหญิงสาวไว้ ก่อนที่ประตูห้องบันทึกเสียงจะถูกเปิดออก สามสาวเจ้าถิ่นตาโต เมื่อเห็นอาจารย์รูปหล่ออยู่กับผู้หญิงคนอื่น

“อะไรกัน เธอเข้ามาได้ไง” สายไหมจ้องเอาเรื่อง

“ไม่มีอะไรหรอก เอื้อมดาวก็แค่มาติดต่อเรื่องงานให้ผม” เขารีบแก้ต่าง

“งาน งานอะไร” ใบหม่อนหันไปถามคนที่เอาแต่เงียบ

“มีคนจะจ้างให้ผมทำดนตรี เอาเป็นว่าขอบคุณนะเอื้อมดาว เดี๋ยวผมจะโทร. หาเขาเอง”

“ค่ะ” หญิงสาวจำเป็นต้องตอบตามน้ำและรีบขอตัวกลับ ท่ามกลางสายตาที่ไม่พอใจของสามสาว แต่หนุ่มแว่นหนากลับส่งยิ้มละมุน

แค่นี้เอื้อมดาวก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว...

 

สายลมเย็นพัดโชยมาจากหน้าต่าง ทำผ้าม่านลายลูกไม้ขยับคลอเคลียตุ๊กตาเซรามิกที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน เอื้อมดาวเช็ดผมที่เปียกออกมาจากห้องน้ำ เดินไปปิดหน้าต่าง พลันก็ได้ยินเสียงข้อความดัง จึงหยิบโทรศัพท์มาเปิดดู อาจารย์คเชนทร์นั่นเอง เขาขออนุญาตแอดไลน์เพื่อไว้ติดต่อกับเธอได้สะดวก

เอื้อมดาวส่งสติกเกอร์รอยยิ้มแทนคำตอบ ไม่นานเขาก็ส่งลิงก์เพลงที่เขาเพิ่งอัดเมื่อตอนหัวค่ำมาให้ เอื้อมดาวจึงกดฟังทันที

เธอหันมาเช็ดผมต่อ ปล่อยให้เสียงดนตรีลื่นไหลไปตามทำนอง พลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย รู้สึกถึงความสุข แววตา รอยยิ้ม จมูก ไม่สิ ทุกอย่างที่เป็นของเขายามที่ได้พานพบ

เพลงนั้นยาวกว่าห้านาที เป็นการผสานกันระหว่างเครื่องดนตรีล้านนาอย่างสะล้อ กับดนตรีคลาสสิกแสนไพเราะ ยิ่งฟังยิ่งสุข สุขจนบางครั้งเธอน้ำตาริน แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นไปได้มากมายเพียงนี้ เธอกดฟังซ้ำๆ แม้กระทั่งตอนกำลังจะเข้านอน 

ทันทีที่ปิดไฟ เอื้อมดาวก็เห็นภาพผู้หญิงชุดล้านนาบนเสลี่ยง คนที่เธอเดินตามในตึกภาควิชาดนตรีและศิลปะการแสดงปรากฏตัวนั่งหันหลังอยู่ที่ปลายเตียง ร่างนั้นค่อยๆ หันมาพร้อมกับยิ้มให้อย่างมีความสุข เอื้อมดาวเพ่งมอง แล้วเห็นว่าคนคนนั้นมีหน้าตาเหมือนเธอ

“เจ้านาง” เอื้อมดาวเอ่ยเรียก ผู้หญิงปลายเตียงจึงลุกขึ้น และค่อยๆ คลานเข้ามาหา หน้าตายังยิ้ม

เอื้อมดาวตกใจ แต่ก็ไม่กลัว ก่อนที่จะยอมให้เจ้านางพุ่งตัวเข้ามาแทรกในร่าง จากนั้นภาพในห้องนอนก็แปรเปลี่ยนเป็นที่หน้าผาแสนงาม เหมือนที่เคยฝัน

ชายหนุ่มที่หน้าตาเหมือนคเชนทร์นั่งข้างๆ กุมมือเธอไว้แน่น เอื้อมดาวดีใจ รีบโผกอดด้วยความคะนึงหา

“เจ้ารักข้าบ้างหรือเปล่า” เธอถาม

เขาปล่อยตัวเธอจากอ้อมกอด ก่อนจะเชยคางขึ้นมาพิศ “รักขนาด รักมากที่สุดเจ้า”

“สัญญา” เธอยกนิ้วก้อยขึ้นมา เขารีบใช้นิ้วก้อยของตัวเองคล้องตอบ

“ข้าจะรักเจ้านางจนวันตาย จะรักทุกๆ ชาติไป”

เธอยิ้มเปี่ยมสุข เขายื่นหน้ามาจุมพิต มีสายลมชุ่มเย็นโอบกอด

 

สิบทิศกับกลายจักรนั่งที่ม้าหินอ่อนตัวเดิม มองน้องๆ ปีหนึ่งซ้อมเชียร์ลีดเดอร์อยู่ที่ลานกว้างหน้าตึก 

“น้องปุยฝ้ายนี่น่ารักดีว่ะ” กลายจักรเอ่ยออกมาก่อนจะหันไปถามความคิดเห็นเพื่อน “แกว่าถ้าฉันจีบ น้องเขาจะเล่นด้วยไหมวะ”

กลายจักรแอบส่งตาหวานให้เป้าหมาย แต่เมื่อไม่ได้ยินคำตอบก็หันไปมองหน้าเพื่อน

“ไอ้สัสทิศ! กูถามนี่ไม่เคยให้ความร่วมมืออะไรเลย”

เสียงดังทำเอาคนตัวใหญ่กว่าชะงัก และหันไปมองหน้าคนถาม “ถามอะไรวะ” 

แน่ล่ะ ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ สิบทิศจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เอาแต่คิดไปเรื่องอื่น

หนุ่มเจ้าสำอางส่ายหน้า หมดอารมณ์จะคุยต่อ ก่อนที่จะเห็นเพื่อนหญิงอีกคนเดินกรีดกรายเข้ามาหา 

“นี่ไอ้จักร แกไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ แล้วมานั่งอะไรตรงนี้ยะ” หญิงสาวมองลอดแว่นกันแดด “อ้อ มาส่องน้องๆ สินะ” 

ความจริงแล้วเธอไม่ควรสงสัยพฤติกรรมของกลายจักรที่หน้าหม้อได้ทุกสถานการณ์

“อ้าว ล่ำ แกก็ยังไม่ไปอีกเหรอ”

คำถามของนางเอกละครทำเอาสิบทิศสงสัย

“จะให้ฉันไปไหน”

เกศโมฬีเดินเข้ามาใกล้แล้วกอดอก “ก็มีนัดกับยายต๊องไม่ใช่เหรอ”

ยิ่งพูด ชายหนุ่มก็ยิ่งไม่เข้าใจ “เปล่า ไม่ได้นัดกันไว้นี่”

อีกฝ่ายยกมือทาบอกด้วยความตกใจ “นี่ยายต๊องมันกล้าโกหกฉันเหรอเนี่ย”

“มีอะไรหรือเปล่ายายเกศ” กลายจักรถามแทน

“ก็วันนี้ ยายต๊องมันมาหาฉันที่บ้านตั้งแต่ตอนเช้า ชวนไปเลือกซื้อเสื้อผ้า บอกว่าอยากเปลี่ยนโฉมตัวเองให้สวยแบบฉันบ้าง ก็อย่างว่า ฉันมันไอดอลของผู้หญิงยุคใหม่ มีความเก๋ เปรี้ยว เซ็กซี่ในตัว ที่ทำให้ใครหลายคนอยากจะเป็นแบบอย่าง...”

“ยายเกศเข้าเรื่องซะที” กลายจักรตัดบทด้วยความรำคาญ 

“ก็...นั่นแหละ ยายนั่นบอกว่ามีนัดกับแก บอกว่ามีธุระปะปังด้วยกัน ฉันยังแซวเลยว่าแต่งตัวแบบนี้จะไปออกเดตกันหรือเปล่า ตกลงไม่ได้ไปด้วยกันเหรอ”

สิบทิศส่ายหัว

“ตายจริง หรือว่ายายนั่นแอบมีแผน” เกศโมฬีทำเสียงจึ๊กจั๊กในปาก และบ่นยาวอีกมากมายที่โดนผู้หญิงอย่างเอื้อมดาวหลอก

สิบทิศนั่งนิ่ง คิดมากไปอีก เขากับเอื้อมดาวงอนกันตั้งแต่คืนวันตักบาตรเที่ยงคืน จนตอนนี้ความสัมพันธ์ก็ยังไม่ได้กลับมาเหมือนเดิม อันที่จริง เครื่องดนตรีที่สั่งทำกับบุญเป็ง เขาตั้งใจจะชวนหญิงสาวไปรับด้วยกัน แต่นั่งรอตั้งแต่เช้า เอื้อมดาวก็ไม่โผล่มาเสียที โทร. หาก็ไม่รับ ตามหาก็ไม่เจอ

ไปไหนของแกนะ ยายต๊องเอ๊ย...

 

บริกรยกจานอาหารออกจากครัว มุ่งตรงไปยังลูกค้าโต๊ะแรกที่นั่งอยู่ตรงเฉลียงริมน้ำปิงอันเป็นมุมที่ดีที่สุดของร้าน เฮือนดาราเป็นร้านอาหารฟิวชันฟูด ตกแต่งสไตล์รีสอร์ต เน้นลูกค้าระดับสูง นี่เองจึงทำให้หญิงสาววัยสิบเก้านั่งตัวเกร็ง จนชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามสังเกตได้

“เป็นอะไรเอื้อมดาว”

“คะ” เธอยิ้มแห้งๆ ก่อนจะตอบ “คือไม่ถนัดร้านอาหารหรูเท่าไหร่ค่ะ” นี่ยังไม่นับการแต่งตัวที่เปลี่ยนไปจากเดิม ที่เธอขอร้องให้เกศโมฬีช่วยเลือกซื้อชุดสวยๆ เพื่อจะใส่มากินข้าวกับคเชนทร์เย็นนี้

“ทำตัวสบายๆ ไม่ต้องเกร็ง” เขายิ้มให้อย่างเอ็นดู เพ่งพิศสาวน้อยที่วันนี้ดูแปลกตา เธอสวมชุดเดรสสั้นสีชมพูสดใส หน้าผมก็ดูจัดแต่งมาอย่างลงตัว “มั่นใจในตัวเองหน่อย”

เอื้อมดาวพยักหน้า ชายหนุ่มผายมือให้เธอรับประทานอาหารที่บริกรยกมาเสิร์ฟ

“แล้วเรื่องงานของอาจารย์ล่ะคะ” เธอถามถึงเรื่องธุระที่เขาอ้างให้มาด้วย

“ไม่มีหรอก ผมแค่อยากจะมากินข้าวที่นี่เฉยๆ”

เอื้อมดาวชะงัก

“บางทีมันก็เบื่อๆ น่ะ ไม่รู้จะชวนใครก็เลยชวนคุณดีกว่า”

แววตาคมกริบแทงทะลุหัวใจอีกแล้ว แต่เอื้อมดาวไม่ต่อว่าเขาสักนิด แถมยังยิ้มให้อีกต่างหาก

“อ้อ แล้วเมื่อวาน เล่าให้ฟังหน่อยสิว่าทำไมถึงเข้ามาในห้องบันทึกเสียงได้” คเชนทร์อยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้

เอื้อมดาวเม้มริมฝีปาก ตัดสินใจเล่าเรื่องที่ประสบให้เขาฟัง “ฉันได้ยินเสียงสะล้อ และเจอขบวนแห่ ก็เลยคิดว่าที่ภาควิชาของอาจารย์มีงานอะไรหรือเปล่า แต่ถามใครก็ไม่มีใครรู้ ก็เลยตามไปดู จนได้ยินอาจารย์สีสะล้ออยู่ในห้อง”

ชายรูปหล่อพยักหน้าเข้าใจ แต่แววตาเป็นประกายนั้นกลับฉายการครุ่นคิดบางอย่าง

“เหมือนว่าคุณจะชอบสะล้อเหลือเกินนะเอื้อมดาว” 

“ใช่ค่ะ ฉันรู้สึกผูกพันกับมัน ก็คงตั้งแต่เห็นอาจารย์เล่นที่งานละครเวที” ใจจริงก็อยากจะบอกว่า มันต่อเนื่องกับความฝันตั้งแต่งานขันโตกที่ทำให้คนอย่างเธอเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง และเขาก็เป็นอีกหนึ่งปริศนาที่ทำให้เอื้อมดาวต้องมานั่งอยู่กับเขาที่นี่ เวลานี้

“ถามตรงๆ นะคะอาจารย์”

ชายหนุ่มตวัดสายตามองหน้า แม้จะร้อนผ่าวไปทั่วกาย แต่เอื้อมดาวจะไม่ถอยอีกต่อไปแล้ว

“ที่อาจารย์บอกว่าฝันถึงฉัน เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”

เขาเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ย “ใช่ ผมฝัน ฝันถึงคุณมาตลอด เอื้อมดาว”

เอื้อมดาวตกตะลึงเมื่อได้ยินคำตอบ ส่วนอีกฝ่ายก็โล่งใจที่ได้บอกความจริง

คเชนทร์ไม่รู้ว่า เหตุการณ์ประหลาดนี่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ยังไง ตั้งแต่เกิดจนอายุย่างเข้าสามสิบ ชีวิตของเขาสมบูรณ์แบบทุกอย่าง ชายหนุ่มเป็นคนเชียงใหม่ตั้งแต่กำเนิด จบมัธยมปลายก็ไปเรียนต่อด้านดนตรีที่นิวยอร์ก แถมพ่วงด้วยปริญญาโทอีกใบ 

พอกลับมาที่เมืองไทย จึงมาสมัครเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยในเชียงใหม่ สอนหนังสือและทำงานฟรีแลนซ์ที่รักไปด้วย ทำให้คเชนทร์มีความสุขกับชีวิตปัจจุบัน

ส่วนเรื่องหัวใจ ชายหนุ่มเป็นคนหน้าตาดี แต่ปัจจุบันเขาถือว่าตัวเองโสด ไร้พันธะทางใจ มีผู้หญิงมากมายที่ต้องการจะจับเขาเป็นคู่ครอง แต่หัวใจของชายหนุ่มกลับไม่พร้อม ยังคงตามหาใครบางคนที่ยังไม่เคยเจอ

ตั้งแต่ย้ายกลับมาอยู่ที่เชียงใหม่ คเชนทร์มีเรื่องแปลกอย่างหนึ่งที่ไม่ได้บอกใคร นั่นคือความฝันประหลาด ก็แน่ละ เรียนจบถึงเมืองนอกเมืองนา จะมางมงายกับเรื่องความฝันนั้นก็ใช่ที่

อาจจะไม่ได้ฝันทุกวัน แต่ฝันนั้นก็ไม่เคยจางหาย และภาพในนิทราก็มักจะตามมาหลอกหลอน...เขากำลังสีสะล้อให้สตรีนางหนึ่งฟัง เขาไม่รู้ว่าคือใคร จนกระทั่งได้พบเอื้อมดาวตอนที่เกิดอุบัติเหตุนั่นแหละ สัญชาตญาณบางอย่างบอกกับคเชนทร์ว่า เอื้อมดาวคือผู้หญิงคนนั้น

 “แล้วอาจารย์รู้หรือเปล่าคะ ว่าฉันเองก็ฝันถึงอาจารย์เหมือนกัน ฝันถึงยุคอดีตที่ฉันแต่งตัวเหมือนเจ้าหญิงล้านนา โดยมีอาจารย์เล่นสะล้อให้ฉันฟัง”

คเชนทร์ตกใจเมื่อได้ยินเธอเอ่ยเช่นนั้น เหมือนฉากในนิยายน้ำเน่า แต่กลับเกิดขึ้นจริง...

“แสดงว่าเธอคือเจ้านางทิพย์สินะ” 

เอื้อมดาวดีใจจนตัวสั่น “ใช่ค่ะ และอาจารย์...อาจจะเป็นเจ้าชายจากเมืองเชียงใหม่”

แม้ชายหนุ่มจะฝัน แต่ก็รู้ข้อมูลพอๆ กับเธอ เจ้านางทิพย์ เจ้าชายเชียงใหม่ หน้าผา กูบช้าง คำหวาน และสะล้อ

“นี่ถ้าใครมานั่งฟังเรื่องของเรา ต้องคิดว่าเราบ้าแน่ๆ ไม่เคยรู้จักกัน แต่ดันฝันเหมือนกันเปี๊ยบ”

“แต่ฉันยอมรับนะคะว่า ในฝันนั้นฉันมีความสุขมาก” 

“ผมว่าในอดีต เราสองคนอาจจะเคยอยู่ด้วยกันรักกันมาก่อน” เขาเอ่ยออกมาพร้อมกับจ้องเธอ “หรือที่ใครๆ มักเรียกมันว่า พรหมลิขิต”

เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม หญิงสาวหน้าแดง

 

เอื้อมดาวถือแก้วกาแฟร้อนเดินเข้าไปในตึกของภาควิชาดนตรีและศิลปะการแสดง มุ่งตรงไปยังห้องของอาจารย์ที่ง่วนตัดต่อเพลงอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์

“รอนานไหมคะ” เธอถามพร้อมกับวางแก้วกาแฟไว้ที่โต๊ะ 

ตั้งแต่ได้กินข้าวเปิดอกคุยกันเมื่อวันก่อน ระดับความสัมพันธ์ของเอื้อมดาวและคเชนทร์ก็สนิทกันมากขึ้น แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเรียกว่าพรหมลิขิตหรือไม่ แต่เธอและเขาก็พร้อมจะหาคำตอบไปด้วยกัน

“ไม่นานหรอกครับ” เขายิ้มพร้อมกับหยิบกาแฟแก้วโปรด

“งั้น เดี๋ยวฉันไปเรียนก่อนนะ” เธอบอกพร้อมกับโบกมือลา เขาส่งยิ้มและโบกมือให้เช่นกัน

เอื้อมดาวเดินยิ้มออกมาจากห้อง ระหว่างนั้นก็เดินสวนทางกับสายไหม ใบหม่อน และม่อนฝ้าย 

เธอส่งยิ้มให้ แต่สามสาวกลับเชิดหน้าใส่ เอื้อมดาวจึงเลือกที่จะไม่สนใจ ระหว่างนั้นไม่ทันระวัง เธอก็ถูกใครคนหนึ่งเดินเข้ามาชนอย่างจัง

“ว้าย!” เธอร้องลั่น รู้สึกว่ามีบางอย่างอุ่นเลอะเต็มหน้าอก กาแฟร้อนๆ นั่นเอง

“ขอโทษค่ะพี่ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” อีกฝ่ายเป็นนักศึกษาปีหนึ่งที่ถือแก้วเครื่องดื่มในมือ รีบขอโพยขอโพยด้วยความรู้สึกผิด

“เดินระวังหน่อยสิคะ” เอื้อมดาวหัวเสีย แต่จะเอาเรื่องไปก็เปล่าประโยชน์ เธอจึงเดินหลบไปล้างเนื้อตัวที่ห้องน้ำ

เห็นทีต้องกลับบ้านไปเปลี่ยนชุดเสียแล้ว เพราะบัดนี้กระจกที่อ่างล้างมือฉายภาพเสื้อนักศึกษาเลอะคราบกาแฟเป็นทางยาว เธอใช้กระดาษทิชชูเช็ดหวังให้มันจางลง 

เอื้อมดาวถอนหายใจแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ปิดประตูและนั่งทำธุระส่วนตัวจนเสร็จ แต่เมื่อจะออกจากห้องก็พบว่า ประตูเปิดไม่ออก...

หญิงสาวทั้งเขย่า เคาะ แต่มันก็เปิดไม่ได้

“ช่วยด้วยค่ะ!” เธอตะโกน หวังให้ใครด้านนอกได้ยิน กระทั่งได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา “ช่วยด้วยค่ะ ฉันเปิดประตูไม่ได้”

เธอเงียบเพื่อฟังปฏิกิริยาจากอีกฝั่ง แต่ไม่ทันตั้งตัวก็ถูกน้ำสาดเข้ามาจนตัวเธอเปียก

“นี่ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!” เธอโวยวาย แต่ตอนนี้นอกจากน้ำถังเย็นๆ ยังมีน้ำจากสายยางฉีดตามมาอีก

“ปล่อยฉันออกไปนะ” เอื้อมดาวเคาะประตู 

“เฮ้ย! ทำอะไรน่ะ” 

มีเสียงตะโกนที่คุ้นหูดังลั่น ตามด้วยเสียงกรีดร้องวิ่งหนี ไม่นานประตูห้องน้ำของเธอก็ถูกเปิดออก

สิบทิศตกใจเมื่อเห็นสภาพเพื่อนรักเหมือนลูกนกตกน้ำ เอื้อมดาวหน้าเสียก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำด้วยความโมโห

 

หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เอื้อมดาวก็เดินออกมาจากห้องนอนลงมายังห้องรับแขกชั้นล่าง สิบทิศที่นั่งเล่นเกมรอแลตามอง ก่อนจะวางมือถือ

“เป็นไงบ้างล่ะ” 

“หมายถึงเรื่องไหนล่ะ”

“ก็บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

หญิงสาวส่ายหัว ดวงตาแดงก่ำอาจจะเพราะโกรธและตกใจ อย่างว่า คนอย่างเอื้อมดาวแม้จะทำตัวแปลก แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกับใคร

“เจ็บใจนิดหน่อย” เธอตอบสั้นๆ 

“ไปมีปัญหากับใครมาหรือเปล่าวะ” เขาถาม แต่เธอก็ปฏิเสธ ทั้งๆ ที่เดาไม่ยากเลยว่าการถูกจับขังในห้องห้องน้ำนั้นเป็นฝีมือของพวกสายไหมแน่ๆ ส่วนสิบทิศก็บอกว่า เห็นเธอไปที่ตึกภาควิชาดนตรีฯ ก็เลยตามไป และได้ยินคนพวกนั้นหัวเราะเสียงดังที่ห้องน้ำก็รู้สึกผิดปกติ จึงตามเข้าไปดู  

“ฉันว่าแกเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ” สิบทิศพูดตรง หันไปมองไปที่ชั้นวางรองเท้าของเพื่อน เมื่อก่อนเต็มไปด้วยรองเท้าผ้าใบลุยๆ บัดนี้เริ่มมีรองเท้าส้นสูงวางแทน ยังไม่นับการแต่งเนื้อแต่งตัว ผมดำขลับก็ดัดย้อมสี แต่งหน้าทาปาก เสื้อผ้ากระโปรงนักศึกษาก็เข้ารูป เดินไปทางไหนก็มีแต่คนเหลียวมอง ไม่น่าเชื่อว่าไม่กี่วัน ยายต๊องของเขาจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ 

“ยังไง” เธอถามกลับ

“ก็...แต่งตัวเยอะขึ้น”

“เป็นผู้หญิง ก็แต่งตัวนิดหนึ่งหรือเปล่าวะ” เอื้อมดาวเช็ดผมที่ยังไม่แห้งต่อ

“ก็เมื่อก่อนไม่เห็นจะชอบ”

“คนเรามันเปลี่ยนกันได้” หญิงสาวยืนยัน “ทำไม หรือว่าแกไม่ชอบ”

ชายหนุ่มยักไหล่ “เปล่า เพียงแต่ว่ามันดูไม่ใช่ตัวแกเท่าไหร่ ฉันอาจจะยังไม่ชินมั้ง”

“คนอย่างฉันจะสวยบ้างไม่ได้หรือไงวะ” เอื้อมดาวตอบ พลางนึกไปถึงใบหน้าอาจารย์หนุ่มและคนรอบข้างของเขาที่ล้วนมีแต่คนสวย แล้วเธอเป็นสาวเฉิ่มเชยอยู่เฉยๆ จะเอาอะไรไปสู้กับคนอื่น

“เห็นเขาลือทั้งคณะว่า แกกับอาจารย์ไปกินข้าวด้วยกันที่เฮือนดาราเหรอ”

คำถามนั้นทำให้เธอหยุดกึก รู้สึกหงุดหงิดใจที่ถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว

“มีแต่พวกปากไม่ดี ขี้นินทา คณะนี้” เอื้อมดาวบ่น 

“ไหนแกเคยบอกว่า ไม่สนอาจารย์คนนี้ไง” 

หญิงสาวไม่สบตา เบือนหน้าไปทางอื่น “ฉันกับเขาคุยกันเรื่องธุระ และ...ความฝันที่ฉันเจอ” อย่างน้อยสิบทิศก็เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด เธอยังอยากจะเล่าความจริงให้เขาฟัง

“เป็นไงบ้างล่ะ เขาเชื่อที่แกพูดไหม”

เอื้อมดาวหันไปมองหน้าสิบทิศ แววตาวาวโรจน์ “ตรงกันข้ามเลยเว้ย อาจารย์คเชนทร์ก็ฝันเหมือนฉันเปี๊ยบ”

“หา...อะไรนะ” เพื่อนสนิทยกมือขึ้นมากุมขมับ

“แกอาจจะไม่เชื่อ แต่เรื่องมันมหัศจรรย์มากกว่านั้น อาจารย์บอกว่าตั้งแต่มาสอนที่นี่ ก็ฝันว่าได้เล่นสะล้อให้ใครคนหนึ่งฟังเหมือนกัน และพอได้เห็นหน้าฉัน ก็รู้เลยว่าฉันคือคนที่ฝันถึง”

“แล้วแกก็โง่เชื่อเหรอ”

“ไอ้ล่ำ แกอย่ามองว่าฉันโง่สิ อาจารย์เขาก็ตอบทุกอย่างเหมือนที่ฉันฝันได้หมด ทั้งชื่อ ทั้งสถานที่ ฉันกับเขาเลยคิดว่า อาจเป็นเพราะอดีตชาติ”

เมื่ออีกฝ่ายยังยืนกระต่ายขาเดียว สิบทิศก็ไม่พูดขัดใจ “ฉันว่าอาจารย์แกก็เป็นคนใจดีนะ แต่ดีเกินไป จนน่ากลัว”

“หึ...แกก็อิจฉาอาจารย์ละสิ เอาจริงๆ ฉันว่า คนที่น่ากลัวคือแกมากกว่ามั้ง” 

“เออ ฉันรู้ ว่าฉันเองมันอสูร เขามันเทพบุตร แต่แค่อยากให้ระวังตัวไว้หน่อยละกัน”

“ฉันรู้น่า” เอื้อมดาวรับปาก ไม่ชอบที่สิบทิศทำตัวขี้ระแวง 

อาจารย์คเชนทร์จะเป็นคนไม่ดีได้ยังไง ในเมื่ออาทิตย์นี้เขายังชวนเธอไปทำบุญไหว้พระธาตุประจำปีเกิดอยู่เลย


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น