บทที่ ๖

 

กลายจักรถือแก้วกาแฟมานั่งที่ม้าหินอ่อนตัวเดิม เมื่อเห็นว่าเกศโมฬีที่นั่งอยู่ก่อนแล้วเอาแต่จ้องไปทางอื่น ชายหนุ่มจึงใช้มือจี้สะเอวไปหนึ่งที อีกฝ่ายร้องเสียงหลงหันมามองตาเขียว

“มองอะไรอยู่เหรอวะ” หนุ่มหล่อถาม พร้อมกับชะเง้อมองตาม

เกศโมฬียกมือขึ้นมาจุปาก และชี้ไปยังคนที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ที่โต๊ะหน้าบอร์ดประชาสัมพันธ์ของคณะ โดยไม่สนว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาให้ทุกคนจับกลุ่มกันนินทา

“เพียงไม่กี่วัน ยายต๊องก็กลายเป็นคนดังไปแล้ว” เกศโมฬีพูดประชดประชัน ข่าวฉาวของเอื้อมดาวกลบกระแสการเป็นนางเอกละครเวทีของเธอไปทันที

ที่น่าแปลกอีกอย่างก็คือ สาวเฉิ่มเปลี่ยนเป็นคนละคน จากสาวโลกสวยกลายเป็นผู้หญิงที่ไม่ยอมใครง่ายๆ ไม่สนใจอะไรอีก แม้แต่เพื่อนๆ ในกลุ่มที่พยายามจะเตือน

“แล้ว...เอื้อมดาวยังแอบคบอาจารย์คเชนทร์อยู่หรือเปล่าวะ” กลายจักรถามต่อ หลังจากเกิดเรื่องทะเลาะกัน เอื้อมดาวก็พาตัวออกจากกลุ่ม ไม่แวะเวียนมาหา หรือแม้แต่กับสิบทิศก็ไม่สนิทกันเหมือนเดิม

“ก็ยังมีคนเห็นว่าแอบไปไหนด้วยกันอยู่นะ หึ ไม่น่าเชื่อเลยว่ายายเอื้อมดาวจะแรดเงียบขนาดนี้ เมื่อก่อนแอ๊บเป็นสาวเซอร์ แต่พอมีคนหล่อๆ มาจีบก็รีบงาบ เฮ้อ ฉันว่าฉันเร็วแล้วนะ ยังเร็วไม่ทันมันจริงๆ” เกศโมฬีบ่นยาวที่ถูกแย่งเรตติง

คลิปตบหน้าวิหารสร้างความฮือฮาให้โลกโซเชียล ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปาก แยกเป็นฝั่งทีมเมียหลวงและทีมกิ๊กนักศึกษา

แต่ถึงใครจะรักจะชัง เอื้อมดาวก็ไม่สน ยังเชิดหน้ามาเรียนได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“คุณรตีเป็นภรรยาของอาจารย์คเชนทร์ เห็นว่าแยกกันอยู่ที่กรุงเทพฯ บินตรงเพื่อมาตบโดยเฉพาะ ไม่รู้ว่าใครที่คาบข่าวไปฟ้องนาง ก็คงพวกยายสายไหมนั่นแหละ” หญิงสาวเอ่ยตามที่ได้ยินมา

“อาจารย์คเชนทร์มีอะไรดีวะ หน้าตาก็งั้นๆ เอ...หรือว่าเปย์ไม่อั้น” กลายจักรวิเคราะห์ไปเรื่อยเปื่อย

“บ้า ในสายตาผู้หญิง เขาถือว่าเพอร์เฟกต์มากๆ ทั้งรูปหล่อ ใจดี พูดเพราะ เรียกว่าตรงข้ามกับไอ้สิบทิศทุกอย่าง ไม่แปลกหรอกที่ยายต๊องเลือกที่จะเล่นด้วย เฮ้อ! สงสารก็แต่ไอ้สิบทิศ นี่แหละหนาที่เขาบอกว่าอย่าได้แอบรักเพื่อนสนิท” นางเอกละครรำพัน

“ไอ้สิบทิศมันไม่ได้รักยายต๊องเสียหน่อย ฉันถามมันแล้ว” ชายหนุ่มยืนยัน

“โอย...ระดับนี้ ต่อให้ฉันนั่งเครื่องบินแล้วมองลงมาก็ยังดูออกเลยว่า ไอ้ล่ำมันแอบรักเพื่อน” เกศโมฬีจีบปากจีบคอ

“หมายถึงฉันหรือเปล่า”

“ใช่ หมายถึงแกนั่นแหละ” เกศโมฬีชะงัก ก่อนจะหันไปมองคนถาม จนต้องเป็นฝ่ายยิ้มเจื่อนเพราะคนที่กำลังนินทาดันโผล่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง

“มาตั้งแต่เมื่อไหร่ยะ” หญิงสาวโวยวายกลบเกลื่อน ก่อนจะตาโตเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของชายหนุ่ม “ไอ้ล่ำ แกไปทำอะไรมาเนี่ย”

แม้แต่กลายจักรก็ยังแปลกใจ เพราะชายหนุ่มที่เคยไว้ผมยาวถึงบ่า ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดรกรุงรัง บัดนี้ถูกแปลงโฉมเป็นคนละคน

สิบทิศตัดผมสั้นรองทรง หน้าตาเกลี้ยงเกลาดูสะอาด เกศโมฬีเพ่งตามองอย่างไม่เชื่อ

“ทำไม มันดูไม่ดีเหรอ” สิบทิศไม่มั่นใจ เพราะตั้งแต่มาเรียนปีหนึ่ง เขาก็ไม่เคยตัดผมอีกเลย

“เปล่า มันดูดีมาก หล่อกว่าไอ้จักรอีก นี่ถ้าทำตัวอย่างนี้ แกมีแฟนตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว” หญิงสาวพูดตามเนื้อผ้า จริงๆ เธอก็เคยบอกสิบทิศหลายครั้งแล้วว่าเขาเป็นคนหน้าตาดี แต่ควรจะไปตัดผมโกนหนวดเคราเสียก่อน

สิบทิศยิ้มเขิน เขาอยากจะลองเปลี่ยนตัวเองบ้าง เผื่อว่าจะมีใครหันมามอง...

กลายจักรซึ่งถูกพาดพิงกำลังจะอ้าปากเถียง แต่สายตาดันไปสะดุดเห็นผู้หญิงสามคนที่เดินมาตามทางเดิน จึงสะกิดให้เพื่อนทั้งคู่มองตาม

“สายไหม ใบหม่อน ม่อนฝ้าย พวกนางจะไปไหนกัน” เกศโมฬีสงสัย ปกติสามสาวมักจะขลุกตัวอยู่ใต้ถุนของตึกคณะมากกว่าจะมาที่ลานหน้าตึก

ทั้งสามเดินผ่านโต๊ะม้าหินอ่อน มุ่งไปที่บอร์ดประชาสัมพันธ์ที่มีคนกำลังเป็นข่าวนั่งอยู่คนเดียว และนั่นยิ่งทำให้สายตาทุกคู่ที่อยู่ละแวกนั้นจับจ้องมากกว่าเดิม

“ขอนั่งด้วยคนสิ” สายไหมเอ่ยเสียงดัง ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งโดยไม่รอให้ใครอนุญาต

เอื้อมดาวเงยหน้าขึ้นจากมือถือ ก่อนจะถอนหายใจอย่างรำคาญ “ต้องการอะไร”

“ก็แค่อยากทักทายคนดัง แค่นั้น” ใบหม่อนกอดอก

“เราซื้อกาแฟมาฝาก” ม่อนฝ้ายยื่นแก้วกาแฟให้

“ไม่เอา” เอื้อมดาวเสียงแข็ง

“ว้า ไม่รักษาน้ำใจกันเลย” ใบหม่อนตัดพ้อ

“ถ้าไม่กิน ฉันจะเอาไปทิ้งละนะ” ม่อนฝ้ายบอก

“เชิญ” เอื้อมดาวตอบโดยไม่สนใจ แต่แล้วอยู่ๆ ก็รู้สึกเย็นที่ผม ก่อนจะมีน้ำไหลย้อยลงมาจนเปียกแก้มทั้งสองข้าง

ทุกคนต่างตกใจ ม่อนฝ้ายยิ้มมุมปาก พร้อมกับเทเครื่องดื่มที่เหลือลงจนหมด 

“อุ๊ย ขอโทษที พอดีฉันนึกว่าเธอเป็นขยะ” 

สายไหมหัวเราะลั่น เอื้อมดาวปาดน้ำกาแฟที่เปื้อนไปทั่วผมและใบหน้าเลอะลงมาถึงเสื้อ น้ำแข็งและหลอดดูดค้างอยู่บนหัว

“แย่แล้ว ยายต๊องกำลังจะมีเรื่อง” กลายจักรร้องเสียงหลง

“เราไม่เข้าไปช่วยหน่อยเหรอวะ” เกศโมฬีแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่อยากให้เอื้อมดาวโดนรุม

สิบทิศกำลังจะลุกขึ้น แต่แล้วก็ต้องหยุด เพราะเอื้อมดาวยืนขึ้นและหมุนตัวไปตบหน้าม่อนฝ้ายเต็มแรงจนแก้วกาแฟร่วงจากมือ

เผียะ!

ทุกคนอ้าปากค้าง

ใบหม่อนได้สติแล้วเหวี่ยงมือตอบโต้ แต่เอื้อมดาวก็คว้าแขนไว้ แววตาคนถูกหาเรื่องแข็งกระด้าง ก่อนจะบีบข้อมือของอีกฝ่ายไว้แน่น

“โอ๊ย!” ใบหม่อนร้องเสียงหลง รีบสะบัดแขนออก จังหวะนั้นก็ถูกเอื้อมดาวตบเข้าไปเต็มหน้าจนเซ และยังเหวี่ยงมือใส่หน้าสายไหมจนล้มคว่ำไปอีกทาง

ตบหน้าแบบสามต่อ เข้าฮอส ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์

“แก แกกล้าตบฉันเหรอ” สายไหมชี้หน้าจะเอาเรื่อง

“เออ เข้ามาอีกสิ รอบนี้จะไม่มีแค่ตบแล้วนะ จะมีถีบด้วย ฉันไม่ยอมให้พวกแกมารุมฝ่ายเดียวหรอก”

สามสาวชะงัก สิบทิศจึงรีบเข้าไปห้ามทัพ โดยมีกลายจักรกับเกศโมฬีตามหลังมาด้วย 

“พอเถอะ อย่ามีเรื่องกันเลย” เขาสบตากับเพื่อนสนิท 

“ตัดผมใหม่เหรอ หล่อดีนี่”   เอื้อมดาวพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเก็บของและเดินสวนทางออกไป กลายจักรและเกศโมฬีต้องรีบเดินหลบฉากให้

“ยายต๊องมันต้องโดนผีเข้าแน่ๆ” นางเอกละครเอ่ยเสียงสั่น แทบไม่น่าเชื่อว่าเอื้อมดาวคนซื่อจะกล้าตบแก๊งสาวภาควิชาดนตรีฯ แบบเรียงเบอร์

สิบทิศมองตามหลัง แม้จะยังไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่เอื้อมดาวกำลังทำอยู่ แต่ก็อดเป็นห่วงเธอไม่ได้อยู่ดี

 

เทพธิดาแห่งราตรีคลี่ผ้าไหมสีดำปกคลุมเต็มผืนฟ้า แล้วหยิบเอาดวงดารามาปักสอย เกิดเป็นแสงระยิบระยับวับวาว เสริมแต่งให้ค่ำคืนนี้งดงาม แนวเขาสูงตระหง่านเป็นเงาทะมึนไกล บนยอดมีองค์เจดีย์พระธาตุดอยสุเทพสะท้อนแสงไฟอยู่ลิบๆ เอื้อมดาวชื่นชมความงามนั้น และเพิ่งสังเกตว่า ชายหนุ่มที่ชวนเธอมารับประทานอาหารค่ำไม่ได้มองไปที่ทิวทัศน์ด้านนอก กลับเอาแต่จ้องหน้าเธออยู่อย่างนั้น 

“มองอะไรคะ”

“มองดาว” เขาตอบพร้อมกับขยับแว่นกลบอาการเขิน

เอื้อมดาวอมยิ้ม “มองดาวก็ต้องแหงนหน้าขึ้นฟ้าสิคะ”

“ดาวบนฟ้าไม่สวยเท่าดาวบนดินนี่นา” คเชนทร์เอ่ย แววตาเป็นประกายสะท้อนแสงเทียนวับแวมบนโต๊ะอาหาร

“อี๋ ฟังพูดเข้า น้ำเน่าสุดๆ” หญิงสาวทำจมูกย่น แต่คำพูดเชยๆ นั้นกลับทำเธอหน้าแดง

วันนี้คเชนทร์ชวนเธอมาร่วมดินเนอร์ด้วยกันไกลถึงนอกเมือง เป็นร้านอาหารติดเชิงเขา ทางขึ้นดอยม่อนแจ่ม ไกลหน่อย แต่บรรยากาศและการตกแต่งสวยงาม ที่สำคัญ ไม่มีคนรู้จักที่มาเห็นแล้วเอาเรื่องของเธอและเขาไปนินทาให้รำคาญใจ

ถึงตอนนี้ ต่อให้ใครจะตราหน้าว่าเธอเป็นคนผิด เธอก็ไม่สน อุปสรรคมีแค่ใบทะเบียนสมรส เพราะสิ่งสำคัญที่สุด คือความรักและบุพเพสันนิวาสต่างหาก จากนี้ไปไม่มีอะไรจะมาแยกเธอและเขาได้ ทุกอย่างช่างเป็นใจ ขนาดบนฟ้าก็ยังมีแต่ดวงดารา ไร้แสงจันทรามากลบแสงให้เลือนหาย

“ผมสัญญานะเอื้อมดาว ผมจะทำทุกอย่างให้ถูกต้องเหมาะสม ไม่ทำให้คุณต้องกลายเป็นขี้ปากใครแน่ๆ” เขาให้คำมั่นจากใจ แม้ที่ผ่านมาจะแยกทางอยู่กับรตี แต่ก็ไม่คิดที่จะรักใครได้อีก ลึกๆ คเชนทร์รู้สึกว่าในหัวใจว่ายังรอใครบางคนอยู่

พรหมลิขิตแห่งเสียงเพลงและความฝันทำให้ได้มาเจอเอื้อมดาว เขาถึงรู้ว่าเธอคือรักแท้ที่เขาเฝ้าตามหามานาน...

“อาจารย์จะทำยังไงต่อไปคะ”

“ก็...” เขานิ่งคิด “ผมจะลาออกจากมหา’ลัย เพราะไม่อยากได้ชื่อว่า แอบคบกับลูกศิษย์”

“จะดีเหรอคะ” เอื้อมดาวเป็นห่วง

“ผมตัดสินใจแล้ว ผมก็ยังมีงานฟรีแลนซ์ที่ทำอยู่ ที่บ้านก็ยังมีธุรกิจรีสอร์ตที่เชียงดาวที่รอให้ผมไปสานต่อ ส่วนเรื่องบี๋ผมจะทำให้เธอยอมเซ็นใบหย่าให้ได้ ต่อให้หมดตัวก็ยอม”

คนฟังยิ้มกว้างเมื่อเห็นความตั้งใจของเขา

“คุณจะได้อยู่ในฐานะคนรักของผมได้อย่างเต็มภาคภูมิ ไม่ต้องอายใคร”

“ขอบคุณนะคะ ที่ทำทุกอย่างเพื่อฉัน”

ตาสบตา ยิ้มประสาน หัวใจส่งสัญญาณว่าเขาต้องการเธอเหลือเกิน อยากหอมแก้ม อยากโอบกอด ลูบไล้ผิวกาย ถ้าเป็นไปได้ คเชนทร์อยากจะกลืนกินเธอทั้งตัว เพื่อไม่ให้ใครแย่งชิงไปได้ด้วยซ้ำ 

 “คืนนี้ อยู่กับผมได้ไหม” เขาบอกความต้องการพร้อมกับเอื้อมมาจับมือเธอไว้แน่น 

เอื้อมดาวรู้สึกร้อนรุ่ม

“ได้ค่ะ”

ตัดสินใจแล้ว จากนี้ไป โลกใบนี้จะมีเพียงแค่เขาเท่านั้น...

 

สิบทิศกดโทรศัพท์หาเป็นครั้งที่สาม แต่เอื้อมดาวก็ไม่ยอมรับสาย ชายหนุ่มถอนหายใจและวางมือถือลงบนโต๊ะ

แม้พยายามตัดใจไม่ให้เป็นห่วง แต่ก็ทำไม่ได้ วันนี้ตั้งใจแวะไปหา แต่บ้านของหญิงสาวก็ปิดเงียบ คาดว่าคงจะออกไปไหนกับอาจารย์คนนั้นแน่ 

สายตาของชายหนุ่มมองเครื่องดนตรีที่เพิ่งเอาไปซ่อมมา เห็นแล้วก็ปวดใจที่มันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เพื่อนรักเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้

บางที...ถ้าไม่มีสะล้อ เอื้อมดาวก็คงไม่ฝัน และไม่คิดไปเองว่าคเชนทร์เป็นชายในฝันด้วย 

จะเป็นไปได้ไหมหนอ...หากว่าเขาเล่นสะล้อได้ เอื้อมดาวจะสนใจเหมือนอาจารย์รูปหล่อคนนั้น....

ชายหนุ่มหยิบมันขึ้นมามอง พลิกไปมา ตัดสินใจลองหยิบคันชักมาสี เสียงที่ดังแว่วลอยเข้าโสตประสาท อยู่ๆ ก็ทำให้สิบทิศรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด เขาตั้งสติและลองสีมันอีก ชักอยากจะเล่นมันให้เป็นเพลง...

...

“เมื่อกี้อาจารย์ได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่าคะ” เอื้อมดาวหันมาถามอาจารย์หนุ่มที่ตั้งใจขับรถลงจากดอย

“เสียงอะไรเหรอ” เขาสงสัย เพราะไม่ได้เปิดเพลงในรถ ตั้งใจมองทางตรงหน้าที่แสนคดเคี้ยว

“เสียงเหมือน...เสียงสะล้อ” เธอเอ่ย

“คุณเผลอหลับไปหรือเปล่า เลยได้ยินเสียงสะล้อที่ผมสีให้ฟังในความฝัน” เขายิ้ม ก่อนจะเอื้อมมือมากดเปิดเครื่องเสียงในรถเพื่อผ่อนคลาย 

...

การเล่นดนตรีเมื่อครู่ ทำให้ทุกอย่างรอบตัวเงียบผิดปกติ สิบทิศแปลกใจ วางสะล้อและเดินไปเปิดหน้าต่าง ท้องฟ้าดารดาษไปด้วยหมู่ดาว หริ่งเรไรที่เคยร้องระงมเมื่อครู่กลับเงียบเสียงราวกับกริ่งเกรงเสียงสะล้อจากเขา

“อะไรกัน นี่กูเล่นไม่เพราะขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย” ชายหนุ่มนึกขำ 

“เมี้ยว” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง สิบทิศหันไปมองก็พบสัตว์สี่ขายืนอยู่ที่เตียงนอน ดวงตาสีฟ้าของมันเป็นประกาย จ้องหน้าเขาอยู่อย่างนั้น  

“แมวใครวะเนี่ย” ถามพร้อมกับเหลียวซ้ายแลขวา มั่นใจว่าไม่ได้เปิดประตูหน้าต่างให้สัตว์เลี้ยงของใครหลงเข้ามาได้แน่

สัตว์สี่ขาร้องหง่าวออดอ้อน ราวกับคุ้นเคยกันมานาน ชายหนุ่มจึงเข้ามาอุ้มมันมากอด 

“หลงทางมาละสิ” เขาลูบหัวมันเบาๆ แมวตัวนี้เป็นแมวไทยเพศเมียพันธุ์วิเชียรมาศ รูปร่างสวยงามตามตำรา ตาสีฟ้า ขนสีขาว มีแต้มสีน้ำตาลที่ใบหน้า หู เท้า หาง มันหลับตานิ่งในอ้อมกอด ไม่นานก็ขยับและเดินลงไปที่เตียง มุ่งไปยังเครื่องดนตรีที่วางอยู่ และหันมามองหน้าเขา

“เออ เมื่อกี้ฉันเป็นคนสีสะล้อเองแหละ”

“เมี้ยว” มันจ้องหน้า

“ทำไม ไม่เพราะเหรอ” ชายร่างใหญ่เริ่มรู้สึกเขิน ทว่าแมวไทยตัวนั้นกลับเดินวนและนั่งนิ่งและมองหน้าเขาอยู่อย่างนั้น

“อย่าบอกนะ ว่าแกมาที่นี่ เพราะได้ยินเสียงสะล้อเลยอยากฟังต่อ”

แมวเปลี่ยนท่าจากนั่งมาเป็นหมอบและยังจ้องเขาตาแป๋ว

“ก็ได้ๆ ถือว่าแกเป็นแฟนเพลงคนแรกของฉันละกัน” สิบทิศหันไปค้นหาวิธีเล่นสะล้อจากโน้ตบุ๊ก ก่อนจะหยิบเครื่องดนตรีออกมาสีเป็นทำนอง แม้จะยังดูติดขัด แต่เขาคงไม่สังเกตว่า แมววิเชียรมาศยังตั้งใจฟัง ทั้งที่แววตามันสั่นระริก

...

เอื้อมดาวหันมาเพลิดเพลินกับเสียงเพลงสากลในรถ พยายามลืมเสียงประหลาดเมื่อครู่ ทว่าหูก็ได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง...

เธอตั้งสติ เงี่ยหูฟังว่ามันอาจจะมาจากลำโพง ทว่าไม่ใช่ เสียงสะล้อนั้น ดังขาดๆ หายๆ เหมือนคนที่เพิ่งหัดเล่น

“นั่นไง อาจารย์ได้ยินไหมคะ”

“อะไร” 

“เสียงสะล้อ มันดังอีกแล้ว”

“เอื้อมดาว เมาหรือเปล่าเนี่ย” เขาแซว หญิงสาวดื่มไวน์ไปหนึ่งแก้วน่าจะพอมีอาการ

หญิงสาวมีเหงื่อซึมกาย เสียงสะล้อนั้นทำให้รถที่เย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศกลับร้อนระอุยิ่งกว่าเปลวเพลิง

“แอร์เสียเหรอคะอาจารย์”

คเชนทร์แปลกใจ รีบกดลดอุณหภูมิ 

หญิงสาวหน้าซีดเผือด เหงื่อไหลเป็นทาง เสียงสะล้อยังดังให้ได้ยินเป็นระยะ 

คเชนทร์เป็นห่วง ยื่นมือไปแตะหน้าผากก็พบว่าตัวเธอเย็นเฉียบ “ไม่สบายหรือเปล่า”

“อาจารย์คะ ระวัง!” เอื้อมดาวร้องลั่น

คเชนทร์หันกลับไปมองถนน ไฟหน้ารถจับเข้ากับวัตถุประหลาดบางอย่างที่ขวางทาง เขารีบหักพวงมาลัยหลบ!

 

เสียงแมวร้องดังอยู่บนหลังคาทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งตื่น ก่อนจะพบว่ามีเสียงโทรศัพท์ดังต่อเนื่อง สิบทิศกดรับสายด้วยความงัวเงีย เสียงจากปลายสายทำให้ต้องรีบกระโจนลงจากเตียงทันที

เอื้อมดาวประสบเหตุรถยนต์พลิกคว่ำลงจากเขา เจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินติดต่อหมายเลขล่าสุดที่โทร. เข้ามาทางมือถือของเธอ 

ชายหนุ่มรีบขับรถไปยังโรงพยาบาล จึงได้ทราบความจริงว่า หญิงสาวเกิดอุบัติเหตุกับอาจารย์คเชนทร์ แพทย์เวรกำลังรักษาอาการให้ทั้งคู่ อาจารย์หนุ่มมีอาการแน่นหน้าอกกำลังรอเอกซเรย์   ส่วนเอื้อมดาวหัวแตก แพทย์สั่งให้ทั้งคู่นอนแยกดูอาการคนละตึก

ชายหนุ่มปิดประตูเข้าไป ก็พบว่าหญิงสาวกำลังนั่งร้องไห้อยู่บนเตียง

เมื่อเห็นหน้าเพื่อน เอื้อมดาวก็เบ้หน้า ร้องเสียงดังกว่าเดิม “แก...ฉันรถคว่ำ”

“เออ เห็นอยู่” เขาเดินเข้าไปใกล้ 

เอื้อมดาวน้ำตาพรั่งพรู พร้อมโผเข้ากอด 

“หมอบอกว่าฉันสลบไป ทำไมฉันจำอะไรไม่ได้เลย” คนป่วยสะอื้น

สิบทิศเข้าใจว่าหญิงสาวอาจจะช็อก จึงค่อยๆ เรียบเรียงเหตุการณ์ให้

“แกกับอาจารย์คเชนทร์ไปกินข้าวกันที่ร้านอาหารทางขึ้นม่อนแจ่ม ตอนกลับเกิดอุบัติเหตุรถพุ่งตกดอย”

เอื้อมดาวตั้งใจฟัง ก่อนจะถามต่อ “คเชนทร์ ใครวะ”

สิบทิศชะงัก ก่อนจะสูดลมหายใจลึก “อาจารย์คเชนทร์ไง ที่หล่อๆ”

“แล้ว...ฉันไปกับเขาทำไม ฉันรู้จักเขาเหรอ”

“นี่แกจะมาอำฉันอะไรอีก” สิบทิศเริ่มไม่สนุกด้วย

“ไม่ได้อำ ฉันจำอะไรไม่ได้ ฉันไม่เคยรู้จักคนที่ชื่อคเชนทร์นี้เลย แล้วแกไปไหนมา ทำไมไม่อยู่กับฉัน เออ แล้วไปตัดผมตอนไหนวะ ทำไมไม่บอกกันบ้างเลย”

สิบทิศเม้มริมฝีปาก ก่อนจะเดินไปกดกริ่งเรียกพยาบาล ถ้าเอื้อมดาวไม่โกหก เกรงว่าอาจจะมีความผิดปกติกับเธอแน่

แปดโมงเช้า เอื้อมดาวเข้ารับการตรวจเช็กร่างกายอย่างละเอียดอีกรอบ แพทย์เวรอ่านฟิล์มเอกซเรย์สมอง ก่อนจะแจ้งความคืบหน้าให้หนุ่มสาวที่รออยู่

“เป็นไปได้ว่าคนไข้อาจจะได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง จนทำให้สูญเสียความทรงจำไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง”

“ความจำเสื่อมเหรอครับ” สิบทิศถาม

“ก็ไม่เชิงนะครับ เพราะหลังจากได้ซักประวัติและตรวจดูอาการคนไข้แล้ว ดูเหมือนว่าความทรงจำในช่วงสามเดือนที่ผ่านมานั้นหายไปหมด ส่วนก่อนหน้านั้นก็ยังจำทุกอย่างได้เหมือนเดิม”

“แสดงว่าเธอจะจำเรื่องเมื่อวานไม่ได้ใช่ไหมครับ”

นายแพทย์พยักหน้า “เป็นเคสที่เจอได้น้อยมากๆ ต้องอาศัยเวลาสักพัก ความทรงจำทั้งหมดก็จะกลับมา”

“ที่ฉันจำได้ล่าสุดก็คือ...เรากำลังดูละครเวทีของยายเกศ” เอื้อมดาวเอ่ยด้วยความเครียด เกิดอะไรขึ้นกับเธอ พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก โดยเฉพาะกับผู้ชายที่เธอนั่งรถไปด้วย สิบทิศเอารูปในมือถือให้ดูจึงพอจำได้ว่า เขาคือคนที่เคยเกือบจะขับรถชนเธอตอนนั้น และที่เหลือก็คือความว่างเปล่า...

“ผมจะสั่งยาและให้นอนพักที่นี่สักสองคืนก่อนละกัน หากมีอะไรผิดปกติก็รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ได้เลยนะครับ นี่เคราะห์ยังดีนะที่ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรอื่นเลย จะมีก็แค่หัวแตก”

เมื่อเสร็จสิ้นการตรวจ สิบทิศจึงเข็นรถพาเอื้อมดาวกลับมาที่ห้อง

“เกิดอะไรขึ้นกับฉันวะล่ำ สมองของฉันดันลบความทรงจำทั้งหมดในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา แล้วแกดูตัวฉันสิ ทำไมถึงย้อมผมสีแปร๋นขนาดนี้ แถมเสื้อผ้าที่ใส่ตอนเกิดเหตุอีก หรือว่าฉันโดนผีเข้าวะ” เอื้อมดาวบ่นกับหน้ากระจกในห้องพัก หลังจากเห็นสภาพตัวเองที่เปลี่ยนไปในรอบสามเดือน

“แกเฮี้ยนยิ่งกว่าผีอีก” 

ทันใดนั้นประตูห้องพักก็เปิดออก ผู้มาเยือนสวมชุดคนไข้เหมือนกับเอื้อมดาว เขายิ้มทันทีเมื่อเห็นเธอ

“เอื้อมดาว เป็นไงบ้าง”

หญิงสาวตกใจ รีบหลบไปอยู่ด้านหลังสิบทิศอัตโนมัติ 

“อะ...อาจารย์คเชนทร์...ไม่เป็นไรแล้วค่ะ”

“โล่งอกไปที” คเชนทร์เดินเข้าไปใกล้ แต่เธอก็เอาแต่หลบตา

“โกรธผมหรือเปล่า” เขาเอ่ยหน้าเศร้า “แต่คุณก็น่าจะเห็นเหมือนผม มีตัวอะไรไม่รู้ขวางอยู่กลางถนน ตัวมันขยายใหญ่ได้ ผมตกใจเลยต้องหักพวงมาลัยหลบ” 

คเชนทร์เล่าเหตุการณ์ว่า นอกจากผู้โดยสารที่บ่นว่าได้ยินเสียงสะล้อในรถ ดันมีสัตว์อะไรสักอย่างเหมือนเสือตัวใหญ่นั่งขวางอยู่กลางถนน แสงไฟหน้ารถสะท้อนตาสีฟ้าเรืองแสง แถมตัวก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คเชนทร์ตกใจจึงต้องหักพวงมาลัยหลบ รถยนต์พุ่งลงร่องข้างทาง โชคยังดีที่มันลึกไม่ถึงหนึ่งเมตร ทำให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างไม่ลำบาก

สัตว์ขวางกลางถนนงั้นเหรอ...เอื้อมดาวพยายามนึกตามที่เขาพูด แต่ก็จำอะไรไม่ได้

“อาจารย์คะ ฉันไม่รู้นะคะว่าฉันไปกับอาจารย์ได้ยังไง”

คเชนทร์สะดุด “พูดอะไรเอื้อมดาว หรือว่ามีใครมาพูดอะไรให้ไม่สบายใจหรือเปล่า” เขาหันไปมองหน้าสิบทิศ

“เปล่าหรอกค่ะ”

“สมองเอื้อมดาวได้รับการกระทบกระเทือนครับ เธอจำช่วงเวลาสามเดือนที่ผ่านมาไม่ได้” สิบทิศเอ่ยช้าๆ

“ล้อกันเล่นหรือเปล่าเนี่ย” คเชนทร์ยังไม่เชื่อ

“เป็นเรื่องจริงครับ คุณหมอเพิ่งบอกเมื่อกี้นี้เอง และนั่นเท่ากับว่า เอื้อมดาวจำอาจารย์ไม่ได้ด้วย”

คเชนทร์ขมวดคิ้วพยายามจะถามต่อ แต่หญิงสาวก็เอาแต่หลบหน้าหนีเกาะแขนชายหนุ่มไว้แน่น บอกว่าต้องการพักผ่อน สิบทิศจึงสบโอกาสผายมือเชิญเขาออกจากห้อง แวบหนึ่งสังเกตได้ว่า ใบหน้าเพื่อนชายของเอื้อมดาวมีรอยยิ้มเยาะของผู้ชนะ...

คเชนทร์ยอมกลับไปโดยดี แต่ยังพยายามโทรศัพท์มาหา จนเอื้อมดาวต้องปิดเครื่อง

“เอาตรงๆ นะล่ำ ฉันกับอาจารย์คนนั้น...เป็นอะไรกันหรือเปล่า” เพื่อนรักถามหาความจริงด้วยความหวาดหวั่น

สิบทิศนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ เตียงผู้ป่วย “แกพร้อมจะรับฟังความจริงหรือเปล่าละ”

แม้จะยังหวั่นใจ แต่หญิงสาวก็พยักหน้า อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น