บทที่ ๗

 

กลายจักรกับเกศโมฬีเดินทางมาเยี่ยมในตอนสาย สองคนนั้นแปลกใจเมื่อรู้ว่า เอื้อมดาวกลายเป็นคนความจำเสื่อม

“แบบในหนังใช่ไหมวะ ที่นางเอกความจำเสื่อมและจำอะไรไม่ได้” คนสวยตาเป็นประกาย และจ้องหน้าคนป่วยอย่างจริงจัง “นี่แกรู้ปะเอื้อมดาว จริงๆ แกเป็นทายาทเศรษฐีพันล้าน แต่หนีการตามล่า เลยลี้ภัยมาที่เชียงใหม่” 

“อย่ามามั่ว ฉันยังจำเรื่องในอดีตได้ย่ะ แค่มันหายไปสามเดือนเท่านั้นเอง”  

“เหมือนในหนังไง เรื่อง 50 First dates และ แฟนเดย์ ที่ความทรงจำนางเอกหายเป็นช่วงเวลา” กลายจักรดีดนิ้วดังเป๊าะ

“ประมาณนั้นแหละ ก็ไม่น่าเชื่อนะ ว่าโรคนี้มันจะมีอยู่จริง ชื่อภาษาอังกฤษ Transient Global Amnesia เรียกว่าอาการสูญเสียความทรงจำชั่วคราว อย่างที่ยายต๊องเป็นคือย้อนอดีตในความจำระยะสั้นไม่ได้ แต่ความจำระยะยาวปกติ คุณหมอบอกว่ามันก็อาจจะไม่เหมือนในหนังทีเดียว ซึ่งยังไม่มีสาเหตุของโรคแน่ชัด” สิบทิศสมทบตามที่ได้ฟังที่แพทย์บอกมา

“ถ้าโรคนี้เกิดกับช่วงเวลาดีๆ ของชีวิต แล้วดันหายไป ก็น่าเสียดายไม่น้อย” เกศโมฬีเท้าคาง ก่อนจะสบตาคนป่วย “แม้แต่อาจารย์คเชนทร์ แกก็จำไม่ได้งั้นเหรอ” 

พอเจอคำถาม เอื้อมดาวก็หน้าเสีย ได้ฟังเรื่องราวจากสิบทิศ เธอแทบไม่เชื่อเลยว่าตัวเองจะเป็นมือที่สามของคนอื่นอย่างหน้าด้านหน้าทน

‘คบกัน กับอาจารย์คเชนทร์เนี่ยนะ! เป็นไปได้ยังไง’ แค่ช่วงเวลาสามเดือนที่หายไป มันเพียงพอแล้วหรือที่คนแปลกหน้า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในชีวิตกลับกลายมาเป็นคนรัก

‘แต่มันเป็นไปแล้ว คนทั้งคณะก็รู้ และที่มันเด็ดกว่านั้นก็คือ อาจารย์เขาไม่ได้โสด ยังมีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย’

‘เชี่ย...นี่ฉันยอมเป็นเมียน้อย แล้วเมียหลวงเขาไม่มาตบฉันเหรอวะ’

‘แกโดนตบไปแล้ว’

คนเล่าเอ่ย พร้อมกับนำเสนอคลิปเด็ด ตบหน้าวิหาร

เอื้อมดาวแทบจะเป็นลม ทนดูไม่ได้ รีบยกมือปิดตา

‘แล้วทำไมแกไม่เตือนฉันวะไอ้ล่ำ คือถ้าฉันไม่ฟังก็ตบหน้าฉันแรงๆ ก็ได้’

‘เตือนแล้วแกฟังเสียที่ไหน ยังจะตบกับยายเกศด้วยซ้ำ แกเหมือนเป็นอีกคน ภูมิใจว่าการที่ได้คบกับอาจารย์เป็นสิ่งที่พรหมลิขิตชักนำมา เพราะเขาเป็นชายที่สีสะล้อให้แกฟังในความฝัน’

ความฝัน และสะล้องั้นเหรอ คุ้นๆ ว่าเธอเคยพูด เอื้อมดาวพยายามนึก ใช่ ก่อนหน้างานละครเวที เธอฝันว่ามีคนเล่นสะล้อให้ แต่คิดว่ามันเพราะดี และคิดว่าคนที่มาสีให้คือน้องเตชิตเดือนคณะ ไม่เห็นว่ามันเกี่ยวโยงกับอาจารย์หนุ่มตรงไหน

“ขอโทษพวกแกด้วยนะ ที่ฉันทำตัวแย่ๆ” เอื้อมดาวบอกกับทุกคน

“ฉันว่า...แกอาจจะโดนอาจารย์คเชนทร์เล่นของใส่ก็ได้นะ อย่างว่า บางทีเขาอยากจะทำของใส่ฉันก่อน แต่พอดีฉันมีของดีคอยคุ้มกัน ก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายเป็นแกซึ่งขวัญอ่อนอยู่แล้วไง” เกศโมฬีปลอบใจ

“แล้วแบบนี้ ถ้าความทรงจำที่หายไปของแกกลับมา แกจะกลับไปคบกับอาจารย์อีกหรือเปล่า” กลายจักรถาม

เอื้อมดาวส่ายหัว “ไม่...ไม่มีทางแน่ๆ ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเลย พวกแกต้องช่วยฉันให้ออกห่างจากเขานะ” 

“งั้น ฉันก็จะกันอาจารย์ออกจากแกเอง” เกศโมฬีอาสา “แกก็อย่าอยู่คนเดียวล่ะ ให้ไอ้ล่ำคอยดูแลไว้”

“ไอ้สิบทิศมันคอยดูแลเอื้อมดาวอยู่แล้ว แต่แกจะกันท่าอาจารย์ยังไง ในเมื่อเขาไม่เคยมองแกเลย” กลายจักรเอ่ยตรงจนเกศโมฬีหันไปมองตาเขียว

“ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหน ผู้ชายก็ต้องแพ้ให้มารยาหญิงย่ะ” นางเอกละครเอ่ยอย่างมั่นใจ

 

เอื้อมดาวคุยโทรศัพท์กับบิดาผ่านวิดีโอคอล พอเห็นว่าลูกสาวสบายดี ประยงค์ก็โล่งใจ

“ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไรมาก พ่อเชื่อว่าลูกดูแลตัวเองได้ และไม่เคยทำให้พ่อต้องเป็นห่วง”

หญิงสาวทำได้แค่ยิ้ม ก่อนจะบอกลาและวางสาย

ความน้อยใจที่เคยซ่อนอยู่ในซอกหลืบของความคิดบัดนี้ก่อตัวสูงใหญ่คับห้อง แถมยังโอบกอดเธอไว้แน่น เจออุบัติเหตุขนาดนี้ บิดาก็ไม่ยอมมาหา ส่วนแม่และน้องสาวแม้จะดูตกใจเมื่อทราบเรื่อง แต่พอเห็นว่าเธอไม่เป็นอะไรมาก สองคนนั้นก็เอาแต่เล่าถึงเรื่องตัวเอง ไม่มีใครสนใจเธอสักคน

ช่างเถอะ ไม่สนก็ไม่ต้องสน ที่ผ่านมาชีวิตก็เหมือนตัวคนเดียวอยู่แล้ว เธอแข็งแกร่งมาตลอด เพียงแต่แอบน้อยใจ ที่ทุกคนก็ยังมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา

หรือว่าการเป็นคนที่เข้มแข็ง...ไม่สมควรที่จะได้รับความสงสาร

“เป็นอะไร คิดมากเรื่องพ่อหรือเปล่า” สิบทิศถามแทงใจดำ

เอื้อมดาวรีบปรับสีหน้า ก่อนจะแกล้งยิ้ม “เปล่า แค่กังวลว่า ความทรงจำฉันดันหายไปแบบนี้ แล้วเรื่องเรียนที่ผ่านมาจะทำยังไง”

“ไม่น่ามีปัญหาอะไรนะ งานของแกก็ส่งใกล้ครบหมดแล้ว ส่วนเรื่องสอบอะไรเดี๋ยวพวกเราก็ช่วยกันติวให้เอง”

หญิงสาวพยักหน้าอย่างอุ่นใจ อย่างน้อยก็มีแต่เพื่อนที่อยู่กับเธอตลอดเวลา โดยเฉพาะชายหนุ่มบ้าพลังคนนี้

“ฉันจะลงไปซื้อกาแฟ แกจะเอาอะไรไหม” สิบทิศเอ่ย 

“อยากกินชาเขียวปั่นเย็นๆ ซักแก้วว่ะ” 

“จัดไป” เขาเอ่ยพร้อมกับเดินออกจากห้อง เอื้อมดาวนอนเล่นอยู่สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะประตูและเปิดออก 

“ทำไมไปเร็วจังเลยวะ” เธอหันไปมอง แต่ก็ต้องตกใจเพราะคนที่เดินเข้ามากลับไม่ใช่เพื่อนสนิท

“อาจารย์คเชนทร์”

ผู้มาเยือนยกมือขึ้นจุปาก ไม่ให้เธอโวยวาย “ใจเย็นๆ ก่อนนะเอื้อมดาว ฟังผมก่อน”

“อาจารย์คะ ฉันว่าเราไม่ควรเกี่ยวข้องกันดีกว่า ที่ผ่านมาฉันขอโทษที่ทำอะไรไม่ดีไม่งาม เราจากกันด้วยดีเถอะนะคะ”

ยิ่งเธอพูด ชายหนุ่มก็ยิ่งไม่เข้าใจ

“โอเค ตอนนี้คุณแค่ป่วยจากการอุบัติเหตุ แต่ถ้าคุณจำได้ และลองนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา คุณก็จะรู้ว่าความสัมพันธ์ของเรามันสำคัญมาก”

“ฉันไม่เห็นว่าการเป็นเมียน้อยมันสำคัญยังไง” หญิงสาวยืนยัน ให้ตายสิ พอเห็นหน้าเขา เธอก็รู้สึกเกลียดเพิ่มขึ้น หวังว่าที่ผ่านมาเธอกับเขาคงไม่มีอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้นะ

“เอื้อมดาว เอางี้นะ ค่อยๆ นึก นึกถึงสิ่งที่เราสองคนฝันเหมือนกัน เจ้านางทิพย์ เจ้าชายเชียงใหม่ และสะล้อไงล่ะ”

แม้จะไม่อยากนึก แต่สิ่งที่เขาพูดกลับแทรกเข้ามาในสมอง ทว่ามันไม่ได้หอมหวานอย่างที่เขาบอก ตรงกันข้ามมันมีแต่ความเจ็บปวด เสียงร้องไห้คร่ำครวญ

“อาจารย์ออกจากห้องฉันไปเถอะค่ะ”

“เอื้อมดาว”

ประตูห้องพักถูกเปิดออกอีกครั้ง สตรีสองคนเดินกอดอกเข้ามา จ้องหน้าคนป่วยทั้งสองอย่างไม่พอใจ

“บี๋” คเชนทร์หัวเสีย

“ไอ้เราก็รีบมาหาสามีสุดที่รักด้วยความเป็นห่วง ปรากฏว่าไม่ได้นอนอยู่ที่ห้อง แต่กลับหนีมากกเมียน้อยทั้งชุดคนไข้ งามหน้าเสียจริงๆ”

เอื้อมดาวตั้งสติ นี่สินะ ภรรยาของอาจารย์

“คุณคะ คือเรื่องที่ผ่านมา ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้อยากยุ่งกับสามีของคุณ”

ไม่สนคำอธิบายใดๆ รตีปรี่เข้าไปตบหน้าเอื้อมดาวทันที ส่วนเกี่ยวก้อยก็รีบยกโทรศัพท์มาบันทึกภาพเหตุการณ์

เผียะ!

“หยุดเดี๋ยวนี้นะบี๋!” คเชนทร์ตรงเข้าไปขว้าแขนห้าม 

“ปล่อยนะ! ฉันจะสอนยายเด็กนี่ให้หลาบจำ อายุแค่นี้ริอ่านเป็นเมียน้อย ถามจริงๆ เกิดมาไม่มีใครรักหรือไง ถึงได้มาขอเศษความรักจากผัวคนอื่น”

เอื้อมดาวกุมแก้มซ้ายที่ชาจากการถูกตบ ทว่าคำด่าของรตีนั้นเจ็บยิ่งกว่า จนทำให้มีน้ำใสๆ ไหลอาบแก้ม เธอไม่เถียง ไม่ตอบโต้ บางทีที่ผ่านมา เธอคงทำเรื่องเลวทรามเช่นนั้นจริงๆ เจอตบแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ

“ทำอะไรกันน่ะ” สิบทิศที่เพิ่งกลับมารีบวางของในมือ และเข้ามาเอาตัวบังให้เอื้อมดาวปลอดภัย

เจ้าหน้าที่พยาบาลต้องรีบเข้ามาระงับเหตุ และขอร้องให้ฝ่ายคเชนทร์และรตีออกไปก่อน นานทีเดียวกว่าในห้องพักผู้ป่วยจะสงบ

“ฉันไม่น่าปล่อยแกไว้คนเดียวจริงๆ ขอโทษนะ” สิบทิศเอ่ยเพราะรู้สึกผิด

เอื้อมดาวนั่งนิ่ง แววตาหม่นเศร้า แก้มทั้งสองมีแต่คราบน้ำตา

“คนอย่างฉัน มันสมควรที่จะโดนแบบนี้แล้วละ” พูดไม่ทันขาดคำ คนป่วยก็หลั่งน้ำตาร้องไห้เสียงดัง 

สิบทิศรีบเข้าไปโอบกอด อย่างน้อยก็อยากให้รู้ ว่าอ้อมแขนของเขาจะเป็นที่ที่เธอปลอดภัยที่สุด

 

ท่ามกลางแสงตะวันแรงกล้า แมกไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาทำให้ผืนป่าร่มรื่น บางเวลาที่พัดโบกก็เกิดสายลมเย็น เสียงจักจั่นร้องกังวานประสานกับเสียงน้ำตกที่ไหลจากยอดดอยลงมาที่แอ่งกว้าง ก่อเกิดเป็นธารน้ำใส 

ชายหนุ่มถอดผ้าก้อมของตัวเองออก จนเหลือร่างที่เปลือยเปล่า ค่อยๆ ก้าวขาลงไปแตะผืนน้ำ ปลาน้อยใหญ่แหวกว่ายหนีเมื่อร่างแกร่งทิ้งตัวลงแหวกว่ายในธาราฉ่ำเย็น

“ลงมาสิ เจ้านาง น้ำเย็นช่วยคลายร้อนดีแท้” เขาหันไปบอกกับสตรีร่างบางที่ยังนั่งบิดตัวอยู่ที่ริมตลิ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่กล้า ชายหนุ่มจึงขึ้นจากน้ำ เดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วยิ้มหวาน

“หรือเจ้านางไม่ไว้ใจข้า” เขาส่งแววตาเว้าวอน และแน่ละ เป็นอีกครั้งที่เธอต้องยอมจำนน 

หญิงสาวอยู่ในชุดผ้าถุงกระโจมอก รวบผมเกล้าให้เห็นคอระหง และเนินอกอวบอิ่ม เห็นแล้วเขาอยากจะเข้าไปดมดอมและประคองกอด แต่ก็ห้ามอาการไว้ด้วยการถอยตัวลงไปในสระที่ลึกเพียงอก มองร่างบางเดินนวยนาดลงมาด้วยท่าทีหวาดหวั่น เพราะนี่คือครั้งแรกของเธอที่ได้เล่นน้ำตกกับเขาเพียงลำพัง 

ตาสบตา เกิดความวาบหวามจนร่างเล็กทนไม่ไหว ก้มหน้าหลบสายตาคมของชายหนุ่มที่บาดลึกจนใจเจ้านางน้อยเต้นเร่า น้ำเย็นสัมผัสกายช่วยกลบความร้อนรุ่มในอุรา เขาจับมือแถมยังยืนชิดติดใกล้

มือน้อยช่างนิ่ม ผิวของเธอขาวผุดผ่อง ชายหนุ่มเริ่มทำตามใจปรารถนา ใช้มือประคองเอวกิ่ว อีกข้างก็ลูบไล้ที่ไหล่เนียน

“อย่า มันไม่งาม” เธอเอ่ย แต่ก็ทำเพียงเอียงตัวหลบ 

เขารู้ว่าเธอก็พอใจ ที่สุดก็ตัดสินใจยื่นจมูกโด่งของเขาไปดมที่ซอกคอ

“อย่า”

“ข้าขอเถอะ เจ้านาง ข้ารักเจ้านางเหลือเกิน” ไม่รอให้เธอตอบ คนตัวโตจดจมูกไปที่แก้ม ใช้ริมฝีปากจูบที่คอไล่ลงมาถึงเนินอก กลิ่นสาวหอมหวนชวนกำหนัด จนเขาทนไม่ไหว ใช้มือปลดผ้าผืนเล็กที่พันกายออกและโยนไปที่ฝั่ง

“จะทำอะไร” หญิงสาวตกใจที่เห็นเขาทำเช่นนั้น

“เป็นของข้าเถอะเจ้าทิพย์” เขาเอ่ยก่อนจะบดขยี้ริมฝีปากกับเธอ มือก็พยายามปลดเปลื้องอาภรณ์ที่เหลืออยู่ของหญิงสาวจนมันหลุดออก แววตาวาวโรจน์เมื่อเห็นหน้าอกลูกโตที่ชูชัน ตะครุบดูดกินอย่างคนกระหาย เจ้านางร้องคราง เกร็งแขนจิกร่างของเขาด้วยความเสียวสะท้าน เพลงรักบรรเลงขานประสานเสียงจักจั่นกรีดปีก ดังสะท้านไปทั่วป่า

คเชนทร์สะดุ้งตื่นหลังจากความฝันพาเขาไปถึงจุดสุดยอด รสกามอารมณ์นั้นตามมาถึงเตียงนอน จนทำให้ตรงเป้ากางเกงเปียกชื้นด้วยน้ำกามโลกีย์ จึงรีบลุกและเข้าไปทำความสะอาดในห้องน้ำ

อีกแล้ว...ฝันถึงกลางป่า กลางดอย พร้อมกับสัมพันธ์สวาทของเขาและเจ้านาง ช่างหอมหวานและร้อนแรง เสียดายที่เขากับเอื้อมดาวยังไม่มีโอกาสนั้น อยากรู้เหมือนกันว่าเด็กสาวคนนั้นจะมีดีเหมือนเจ้านางทิพย์หรือเปล่าหนอ...

หากพิศดูทรวดทรงองค์เอวของเอื้อมดาว เธอก็ดูซ่อนรูป หน้าอกใหญ่ สะโพกผายงอนงาม ชวนให้เกิดจินตนาการ

ยิ่งคิด ยิ่งเสียดาย เขากับเอื้อมดาวกำลังจะได้เสพสมกันอยู่รอมร่อ แต่อุบัติเหตุบ้าๆ นั่นก็ทำทุกอย่างพังไม่เป็นท่า แถมตอนนี้เด็กสาวดันจำอะไรไม่ได้ หากจะสานต่อก็คงต้องเริ่มใหม่

แต่มันก็คงไม่ยาก เพราะยังไงบุพเพวาสนาก็เข้าข้างเธอและเขาเสมอ...

คเชนทร์กลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดโน้ตบุ๊กเลือกหาไฟล์ที่เป็นจดหมายลาออก ใช่ เขาคิดไว้แล้วว่า หากจะทำให้ทุกอย่างง่าย ก็ต้องเริ่มที่ทำทุกอย่างให้มันถูกต้อง ด้วยการลาออกจากการเป็นอาจารย์ อย่างน้อยก็ยังได้รักกับเอื้อมดาว โดยไม่ต้องมีคำครหา จากนั้นก็ต้องไปคุยกับรตีให้เซ็นใบหย่ากับเขาดีๆ 

ภาพสวาทในฝันยังตามมาในห้วงคะนึง ยากที่จะสะบัดหลุด เมื่อไหร่หนอ เขาและเอื้อมดาวจะได้สมหวังกันเสียที ขณะคิดอะไรเพลินๆ ก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออก พอหันไปมอง ชายหนุ่มก็ได้แต่ถอนหายใจ

“บี๋”

“เห็นหน้าภรรยาแล้วทำไมทำหน้าเซ็งแบบนั้นคะ” รตียิ้มมุมปาก แต่ก็ไม่ใส่ใจรอฟังคำตอบ

ใจจริงคเชนทร์ก็อยากจะตอบไปว่า ‘ใช่’ แต่เลือกที่จะเงียบดีกว่า เพราะไม่อยากทะเลาะกันให้ปวดหัว

รตีเดินทอดสายตาดูรอบๆ ห้อง นานแล้วที่ไม่ได้มาที่นี่ ทั้งๆ ที่มันเป็นบ้านของเธอและเขา คิดแล้วก็สะเทือนใจอยู่เหมือนกัน

“ก้อยล่ะ” ชายหนุ่มถามถึงเพื่อนสนิทภรรยาที่ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ

“อยู่ที่โรงแรม ฉันมาคนเดียว” รตีหันมาทิ้งตัวที่โซฟา “เป็นไงบ้าง” 

“ก็ปกติดี” 

คเชนทร์ออกจากโรงพยาบาลได้ตั้งแต่เมื่อวาน หลังจากแพทย์ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นปกติ ส่วนรถยนต์ที่ประสบเหตุกำลังเข้าอู่เพื่อรอให้เคลมประกันตามขั้นตอน 

“แม่คุณเขาเป็นห่วง อยากให้คุณไปอยู่ที่บ้านมากกว่า” รตีหมายถึงบ้านที่อยู่ริมแม่น้ำปิง อันเป็นบ้านหลังใหญ่ของชายหนุ่มและครอบครัว ส่วนบ้านหลังนี้ปลูกไว้ตอนแต่งงานด้วยกันใหม่ๆ กะเอาไว้เป็นบ้านพักตากอากาศยามที่ได้ขึ้นมาที่เชียงใหม่

“แกก็คงจะพูดอ้อนคุณไปงั้นแหละ ผมบอกแกหลายรอบแล้วว่าผมไม่เป็นอะไร” 

ต่อมแก้ว แม่ของเขาค่อนข้างเอ็นดูรตี และเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ไม่อยากให้ทั้งคู่หย่ากัน รตีเองก็เกรงใจ เพราะไม่เช่นนั้น เธอก็คงฟ้องหย่าเรียกค่าเสียหายเป็นเงินก้อนโตไปนานแล้ว

แต่จริงๆ หลังๆ เธอก็คิด ถ้าทำแบบนั้นน่าจะดีกว่า ทุกอย่างจะได้จบ ต่างคนต่างไปมีชีวิตใหม่ ไม่ใช่ต่างรั้งกันไว้ให้เหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำด้วยกันทั้งคู่

“นี่คุณคิดจะลาออกจริงๆ เหรอนี่” หญิงสาวตาโตเมื่อเห็นไฟล์จดหมายลาออกในคอมพิวเตอร์

“ใช่ ผมไม่อยากทำงานที่มหา’ลัยแล้ว”

“หวังว่าคงไม่ใช่เพราะเด็กนั่นนะ”

“คุณเข้าใจถูกแล้ว เพราะฉะนั้น ก็ปล่อยผมไปซะทีเถอะ”

อดีตภรรยาสาวเดินเข้ามามองหน้า “คุณพูดเหมือนว่าคุณเป็นคนถูกกระทำ ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายเจ็บปวดมาตลอด แต่อาจจะเป็นเพราะผลบุญที่เคยทำมาทำให้ฉันรักษาชีวิตและตัดใจจากคุณได้ แต่ก็นะ จะจากไปเฉยๆ มันก็ง่ายไปหน่อย เอาไว้ถ้าฉันเบื่อ แล้วฉันจะไปเอง”

“คุณทำไปเพื่ออะไรบี๋ ในเมื่อเราสองคนไม่รักกันแล้ว มันก็น่าจะดี ถ้าเราทั้งคู่ต่างไปเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน”

รตีหันไปมองหน้า แววตาสั่นระริก หาใช่ความอาลัยอาวรณ์ไม่ แต่อันเนื่องมาจากความแค้น

“ทำไปเพื่ออะไรน่ะเหรอ” เธอยิ้มมุมปาก “ก็เพื่อพวกผู้ชายอย่างคุณจะได้รู้สำนึกไง ว่าการที่เลิกรักใครแล้วคิดจะทิ้ง มันไม่ได้เป็นเรื่องง่ายๆ ทุกครั้งที่มีปัญหาครอบครัว ผู้ชายก็มักจะลอยตัวเสมอ ฉันไม่ยอมหรอก”

“แต่เรื่องมันผ่านมานานแล้วนะ เลิกเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียทีเถอะ”

“หึ...ผู้ชายควรจะได้รู้ว่า การที่ได้เริ่มชีวิตกับใครสักคนแล้ว ก็ควรจะรับผิดชอบชีวิตคนคนนั้นให้ถึงที่สุด ที่ฉันไม่ยอมปล่อย ก็เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องไปทำแบบนี้กับใครอีกไง” รตีสะพายกระเป๋าขึ้นบ่า และเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี

และก็เป็นอีกครั้งที่คเชนทร์ไม่เข้าใจในตัวอดีตภรรยา

 

“ไอ้ล่ำ อยู่ไหนวะ ยังไม่มาอีก” เอื้อมดาวคุยโทรศัพท์เสียงเบาอยู่ในมุมตึกของคณะ

“เออๆ กำลังออกไป พอดีตื่นสายว่ะ” สิบทิศสารภาพ

หญิงสาววางหู ก่อนจะเดินไปบนทางเท้าเดินด้วยความไม่มั่นใจ ระหว่างนั้นผ่านโต๊ะม้าหินอ่อนตัวไหน ใครๆ ก็จับจ้องและพูดคุยถึงเรื่องเธอ

นี่ไง...เอื้อมดาวปีสอง คนที่หาญกล้าเป็นกิ๊กกับอาจารย์รูปหล่อของภาควิชาดนตรีฯ กลับมาเรียนแล้ว หลังจากหยุดเรียนไปร่วมสองอาทิตย์

หญิงสาวเองก็รู้ว่าตกเป็นขี้ปากของคนทั้งมหาวิทยาลัย แต่จะทำยังไงได้ เพราะเรื่องทั้งหมดเกิดจากการกระทำของเธอทั้งนั้น หาใช่ใครอื่น

แต่อย่างน้อย เธอก็ขอกลับมาเป็นคนเดิมให้เร็วที่สุด แต่งตัวเหมือนเดิม ทรงผมสีดำธรรมชาติ ชุดนักศึกษาถูกต้องตามระเบียบ ไม่แต่งหน้าทางปาก

สาวเซอร์เดินมานั่งที่โต๊ะประจำ สักพักก็มีเสียงทัก

“ว่าไงยายต๊อง” 

เอื้อมดาวจำได้ว่าเป็นเสียงเกศโมฬี แต่เมื่อหันไปมองหน้าก็ต้องชะงัก เพื่อนสาวตัวจี๊ดปรับลุคการแต่งตัวใหม่จนจำแทบไม่ได้ จากเปรี้ยวเข็ดฟันมาเป็นสาวเรียบร้อย กระโปรงจีบรอบ รองเท้าผ้าใบ คุ้นๆ ว่าเคยเห็นที่ไหน

“ทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะ” เอื้อมดาวสงสัย

กลายจักรเดินมาสมทบก่อนจะเฉลย “ก็ที่บอกว่าจะช่วยกันท่าแกจากอาจารย์หน้าหม้อนั่นไงล่ะ”

“ยังไง” สาวต๊องยังไม่เข้าใจ

“ก็ยายเกศวิเคราะห์ ประมวลผลแล้วว่า เป็นไปได้ว่าอาจารย์อาจจะไม่ชอบสาวเปรี้ยวเข็ดฟัน อาจจะชอบแบบแก ก็เลย...”

“เปลี่ยนโฉมให้เข้ากับสิ่งที่อาจารย์ชอบ เพื่อให้ดูเข้าถึงง่าย ไร้เดียงสา อาจารย์จะได้รู้สึกว่าอยากปกป้องและทะนุถนอม” นางเอกละครเอ่ยแทรก คนอย่างเธอเมื่อไม่ได้อย่างใจ ก็มักจะหาทุกวิธีที่จะเอาชนะ

“ฉันรู้ว่าแกมีสิ่งนี้ เขาเลยสนใจแกไง”

เอื้อมดาวไม่ตอบ...แต่ก็แอบเถียง สิ่งที่ทำให้เธอกับอาจารย์คนนั้นมาสนิทกัน ถ้าเดาตามที่สิบทิศเล่าให้ฟัง ไม่น่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกหรอก แต่น่าจะเป็นนิทานฝันหวานที่ชื่อว่าพรหมลิขิตต่างหาก 

‘อาจารย์คเชนทร์จะมาอยู่ในความฝันของฉันได้ไง เขาไม่ใช่น้องเตชิตซะหน่อย’ เธอยังเคยเถียง ตอนที่สิบทิศเล่าความจริงเกี่ยวกับความทรงจำที่ขาดหาย

‘ก็แกบอกฉันเอง ว่ามีความสุขทุกครั้งที่ได้เจอกันในฝัน และบอกอีกว่าเขาก็ฝันเหมือนแก’

‘คนบ้าอะไรจะฝันเหมือนกัน ฉันว่าอาจารย์แกล้งสวมรอย เออออกับฉันไปเรื่อยเปื่อยมากกว่า’ เอื้อมดาวเถียงแบบไม่ยอมรับ ก่อนหน้านั้นเธอก็ยอมรับว่าฝันเรื่องสะล้อและชายแปลกหน้าจริง แต่ก็ไม่ได้ฟันธงว่าจะเป็นอาจารย์คเชนทร์ 

‘หรือไม่ก็อาจจะใช้ทฤษฎีสมคบคิด’ สิบทิศเริ่มหาเหตุผลช่วย 

“เพราะฉะนั้นแล้ว แผนของฉันก็คือ หากอาจารย์นั้นมายุ่งกับแก ก็รีบเรียกฉันได้เลย ฉันจะคอยกันท่าให้เอง รับรองเขาจะต้องสนใจ” เกศโมฬีมั่นใจในแผนการของตน

“ถามจริงๆ นะเกศ” กลายจักรมองเพื่อนตั้งแต่หัวจดเท้าและสงสัย

“อะไร”

“กับการเรียนแกเคยทุ่มเทขนาดนี้ไหมวะ”

“ไอ้จักร ทีพวกแกจะจีบสาวๆ ก็ลงทุนไม่น้อยกว่าฉันหรอกย่ะ”

“อ้าว ตกลงแกจะช่วยเพื่อนหรือจีบอาจารย์กันแน่” อีกฝ่ายย้อน

ก็คงมีแต่สองคนนี้แหละ ที่เหมือนไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ เอื้อมดาวหัวเราะที่เห็นทั้งสองทะเลาะกัน ก่อนที่เกศโมฬีจะบ่นว่าคุยกับกลายจักรแล้วเสียเวลา จึงชวนเอื้อมดาวไปห้องน้ำ

“เนี่ย แม้จะต้องแต่งตัวเชยๆ เหมือนแก แต่ฉันก็รู้สึกอยากเติมแป้งอีกนิด จะได้มั่นใจหน่อย” นางเอกละครที่รับบทเป็นสาวเฉิ่มหยิบแป้งพัฟมาโปะหน้า แต่ก็ยังห้ามใจไม่หยิบลิปสติกสีโปรดออกมาทา

“งั้นฉันเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เกศโมฬีจึงขอทำธุระส่วนตัวเลยดีกว่า เอื้อมดาวจึงเดินออกมารอนอกห้อง กำลังเดินทอดสายตาไปเรื่อยเปื่อย อยู่ๆ ก็ถูกกระชากข้อมือ

“ว้าย!” เธอตกใจ แต่ก็ถูกปิดปาก และพาเข้าไปหลบมุมบันไดที่ร้างผู้คน

“อย่าเสียงดัง”

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก หญิงสาวถูกร่างใหญ่พาตัวมาที่ห้องบันทึกเสียงที่อยู่ใกล้ๆ 

“อาจารย์ปล่อยฉันได้แล้ว” เธอสะบัดแขน มองหน้าเขายังไม่พอใจ

ชายหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะยกมือเป็นเชิงยอมจำนน

“ผมไม่ขออะไรมาก ไม่แตะต้องคุณอีก ขอแค่...ฟังผมเล่นเพลงนี้หน่อย”

หญิงสาวขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาเอ่ย คเชนทร์หยิบเอาสะล้อขึ้นมา และบอกให้เธอนั่งบนเก้าอี้ตรงหน้า

“แค่ฟังให้จบเพลง ผมขอแค่นี้”

เพื่อขจัดความรำคาญ เอื้อมดาวตัดสินใจนั่งลง ชายหนุ่มยิ้มละมุน ก่อนจะทิ้งตัวลงตามและหยิบเครื่องดนตรีมาตั้งท่า 

คเชนทร์คิดไว้แล้ว ในเมื่อการพูดคุยไม่ได้ทำให้หญิงสาวกลับมาเป็นคนเดิม ก็หวังว่าสะล้อนี่แหละ จะทำให้เธอนึกได้

“ถ้าคุณยังจำได้ เสียงสะล้อและความผูกพันในอดีต ทำให้เรามาพบกัน” เขาพยายามรื้อฟื้นความทรงจำ

“วันนี้ ผมมาติดต่อเรื่องลาออกแล้วนะ เผื่อคุณยังไม่รู้” การสร้างสถานะตัวเองให้ขาวสะอาด อาจจะทำให้เอื้อมดาวไว้ใจเขามากขึ้น

“รีบเล่นๆ เถอะค่ะอาจารย์ เพื่อนฉันรออยู่” 

เธอตัดบทจนเขาหน้าเสีย รีบจดคันชักกับสายสะล้อ ความหวังสุดท้ายให้เจ้านางคนดีของเขากลับมา

ทุกตัวโน้ตที่คเชนทร์ขยับนิ้วเต็มไปด้วยความตั้งใจ เอื้อมดาว เธอจะจำได้ไหม...ว่าเธอนั่นแหละที่ชมฉันว่า เล่นสะล้อแล้วมีเสน่ห์กว่าใครคนไหน...

ผู้ฟังนั่งตัวเกร็ง อยากให้เขาเล่นจบๆ จะได้เลิกตอแยเสียที แต่พลันเมื่อเริ่มบรรเลง เธอก็รู้สึกแปลก

 

เสียงสะล้อ          รำพึง     ถึงดวงจิต

เหมือนลิขิต          ชีวิต       ให้คิดถึง

นวลนาฏน้อง       พี่อ้าย    เคยคะนึง

ดาวดึงส์             ปลายฟ้า สัญญาใจ

 

ชายหนุ่มขับลำนำออกมาให้เข้ากับเสียงของเครื่องดนตรี

ฉับพลัน เอื้อมดาวก็เห็นภาพ...ความมืด เปลวเพลิง ความเจ็บปวดจากทั่วทุกสารทิศวิ่งเข้าสู่ร่างกาย หญิงสาวรู้สึกหายใจติดขัดขณะหันไปมองหน้าเขา

“จำอะไรได้บ้างหรือยัง” อาจารย์หนุ่มยิ้มดีใจ แต่เอื้อมดาวก็ส่ายหัว เขาจึงบรรเลงเพลงต่อ

คราวนี้เอื้อมดาวร้อนรุ่ม เสียงแหลมของเครื่องดนตรีเหมือนกันเสียงกรีดร้องของปีศาจ บาดจนแก้วหูจนต้องยกมือขึ้นมาอุด หัวใจแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ 

ทรมานเหลือเกิน ทรมานจนน้ำตาไหล เมื่อทนไม่ไหว หญิงสาวก็กรีดร้องลั่น

“กรี๊ด!”

“เอื้อมดาว เป็นอะไร” คเชนทร์ตกใจ รีบเข้ามาประคองร่างที่สั่นเทา

“พอเถอะค่ะอาจารย์ หยุดเล่นมันเสียที”

“แต่ผมยังเล่นไม่จบ ผมตั้งใจแต่งมันมาเพื่อคุณเลยนะ” 

“ฉันขอร้อง ฉันไม่อยากฟังมัน” พอตั้งสติได้ เอื้อมดาวก็ผุดลุกขึ้นวิ่งหนี อาจารย์หนุ่มรีบวิ่งตามและคว้าแขนไว้ทันที

“เดี๋ยวสิเอื้อมดาว พยายามหน่อยสิ จำไม่ได้หรือไงว่าเราเคย รักกัน”

เอื้อมดาวมองหน้าเขาด้วยความหวาดหวั่น

“จำไม่ได้ค่ะ และอาจารย์ก็อย่ารื้อฟื้นอีก เพราะว่ามันไม่เวิร์ก”

“จะไม่เวิร์กได้ไง ก็คุณนั่นแหละที่เดินเข้ามาหาผม และบอกว่าเราสองคนฝันเหมือนกัน” ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิด

“ฉันไม่รู้ รู้แต่ว่ามันไม่ดี เราควรจะจบความสัมพันธ์แปลกๆ นี้เถอะค่ะ” เธอขอร้อง

เมื่อสิ้นหนทางชายหนุ่มก็เริ่มหัวเสีย ที่สุดก็บีบข้อมือเธอแน่น แล้วผลักตัวเธอชนกับผนังห้อง และยื่นหน้าเข้าไปซุกไซ้

“ปล่อยฉันนะอาจารย์!” 

“ก็ถ้าเธอยังจำอะไรไม่ได้ แล้วรสจูบฉันล่ะ จำได้หรือเปล่า” เขาเอ่ยพร้อมกับบดขยี้ริมฝีปาก 

นาทีนั้นเอื้อมดาวได้ยินเสียงหัวเราะ และร้องไห้ในคราวเดียวกัน เธอทนไม่ไหว รวบรวมกำลังที่มีผลักร่างเขาเต็มแรง แล้วเหวี่ยงมือตบหน้าเขา

เผียะ!

คเชนทร์ได้สติ รู้ตัวว่าทำรุนแรง แต่เอื้อมดาวก็วิ่งหนีออกจากห้องไปแล้ว เขาจึงรีบตามไป 

“ยายต๊อง ไปไหนมายะ ฉันตามหาแทบแย่” เกศโมฬีโวยวายที่ถูกปล่อยให้รออยู่นาน แต่เอื้อมดาวกลับวิ่งผ่านหน้า ไปอย่างรวดเร็ว นางเอกละครยกมือเท้าสะเอวกำลังจะบ่นต่อ แต่พอเห็นอาจารย์รูปหล่อที่ตามมา เธอก็ปรับสีหน้าเป็นแช่มชื่น โบกมือทักทาย แต่อีกฝ่ายก็รีบวิ่งผ่านโดยไม่ชายตามองเธอด้วยซ้ำ

เธอหมุนตัวมองตามหลัง “เฮ้! อาจารย์ค่ะ ไม่ทราบว่าเห็นทรงผมใหม่ฉันหรือยัง โธ่ คงจะน่ารักเกินไปจนจำเราไม่ได้แน่ๆ”


 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น