บทที่ ๘

 

ขณะจอดรถมอเตอร์ไซค์ สิบทิศก็ต้องแปลกใจเมื่อเอื้อมดาววิ่งหน้าตาตื่นมาหา 

“เฮ้ย เป็นอะไรวะ”

“แก พาฉันไปที” หญิงสาวน้ำหูน้ำตาไหล

“ไปไหน” ชายหนุ่มยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

“ไปที่ไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ที่นี่” 

พอเห็นอาจารย์หนุ่มเดินตามหลังมา เขาก็เริ่มพอจะเดาออก คิดจะไปเอาเรื่องแต่เอื้อมดาวก็คว้าแขนไว้

“อย่า รีบไปกันเถอะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าเขาแล้ว”

ชายหนุ่มรีบสตาร์ตรถ และขับพาเธอออกจากมหาวิทยาลัยทันที

ในร้านกาแฟที่ขัวเหล็ก สองหนุ่มสาวนั่งทอดสายตาดูสายน้ำปิงจากหน้าต่าง เอื้อมดาวหยุดร้องไห้และอาการดีขึ้นแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิบทิศก็พอรู้ วิ่งออกมาจากตึกคณะแบบนี้ คงจะโดนอาจารย์ตัวดีมาตอแยอีกแน่

“ดีขึ้นหรือยัง เจอชาเขียวปั่นใส่วิปครีมเยอะๆ” อย่างน้อยเครื่องดื่มของโปรดก็คงจะช่วยให้เพื่อนสนิทสบายใจขึ้น

หญิงสาวยกแก้วขึ้นมาดูดหลอด “ไม่อยากจะคิดเลยนะแก ว่าถ้าไม่เจออุบัติเหตุเสียก่อน ฉันกับอาจารย์คเชนทร์คงได้เสียเป็นเมียผัวกันไปแล้ว”

“ก็ถือว่าดวงแกยังดีที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มกัน ให้มีสติกลับมา”

หญิงสาวคิดตาม คุ้นๆ ว่าคเชนทร์เคยบอกว่าตอนเกิดอุบัติเหตุมีเรื่องประหลาดอยู่

“อาจารย์คเชนทร์บอกว่ามีสัตว์ตัวใหญ่ขวางถนนอยู่ หรือว่านั่น อาจจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยคุ้มครองฉัน ขนาดเจออุบัติเหตุขนาดนั้น ฉันยังไม่เป็นอะไรมาก แถมทำให้ฉันได้สติ กลับมาเป็นคนเดิม”

“สิ่งศักดิ์สิทธิ์แปลงร่างเป็นสัตว์ตัวใหญ่ อยากรู้จังว่าเป็นสัตว์อะไร” เขาพูดหวังให้เธอผ่อนคลาย ใจจริงก็ไม่เชื่อหรอก คิดว่าอาจารย์หน้าหม้อคงปั้นเรื่อง หรือไม่ก็เมา

“อาจจะเป็นแมวก็ได้ เพราะฉันชอบแมว” เอื้อมดาวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

พอเห็นเธออารมณ์ดีขึ้นมา สิบทิศก็สบายใจขึ้น

“แมวเหรอ จริงสิ คืนนั้นฉันก็เจอแมวด้วยนะ” ชายหนุ่มตัดสินใจเล่าเรื่องแมวประหลาดที่โผล่มาตอนที่บ้านให้เธอฟัง เอื้อมดาวรู้สึกประหลาดใจ 

“แล้วจะไปไหนต่อ” เขาถาม

“ไม่รู้ว่ะ แกไม่มีธุระอะไรใช่ไหม ฉันไม่อยากอยู่คนเดียวว่ะ กลัวว่าไอ้อาจารย์มันจะบุกมาหา”

“งั้น ทำหมูจุ่มกินกันไหม ที่บ้านแก”

คนถูกชวนตาเป็นประกาย “โอเคเลย อยากกินมานานแล้ว ชวนเกศกับจักรมากินด้วยเนาะ”

เมื่อตกลงกันได้ สิบทิศจึงพาหญิงสาวซ้อนท้าย เพื่อไปเตรียมของสำหรับเย็นนี้

ที่ตลาด ทั้งสองซื้อหมูหมัก หมูสามชั้น หมึกกรอบ เต้าหู้ปลา ไข่ไก่ และผักอย่างผักกาดขาว ผักบุ้ง ขึ้นฉ่าย แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำหมูจุ่มกันได้ง่ายๆ บ้านของเอื้อมดาวมีเตาไฟฟ้า เพียงแค่ตั้งหม้อน้ำเดือดใส่ผงปรุงรส แค่นี้ก็ได้ซุปส่งกลิ่นหอมน้ำต้มกระดูก เกศโมฬีอาสาจะซื้อน้ำจิ้มมาให้ ส่วนกลายจักรจะเป็นเครื่องดื่ม ซึ่งสิบทิศต้องรีบห้ามว่าขออย่าเป็นพวกแอลกอฮอล์ เพราะปาร์ตีวันนี้แค่อยากช่วยให้เอื้อมดาวไม่เหงาเท่านั้น 

ถึงเวลานัด ทุกคนมาตรงเวลา เมื่อทุกอย่างพร้อม เพื่อนทั้งสี่ก็เริ่มบรรเลงมื้อเย็นอย่างอร่อย และสนทนากันสนุกสนาน เกศโมฬีบอกเน้นกินแต่ผัก เพราะมื้อเย็นเธอไม่ทานอาหารหนักๆ กลายจักรรีบเบะปากใส่

“คืนก่อนตอนผับเลิกก็ยังไปกินข้าวเหนียวไก่ทอด แถมต่อด้วยขนมจีนที่กาดหลวง” หนุ่มสำอางตอกย้ำ

เกศโมฬีเชิดหน้าไม่สนใจ “เรื่องกินมันเรื่องรองย่ะ จริงๆ ฉันก็ไปอ่อยผู้ชาย แกก็รู้นักท่องเที่ยวมักจะไปรีวิวเมนูอาหารดัง ฉันก็ไปดักรอไว้ เผื่อจะเจอเนื้อคู่”

“ฉันก็ชักสังเวชแกนะ ทั้งรุกทั้งรับ ลองเปลี่ยนเป็นสาวแรดสาวหวาน ทำไมยังหาแฟนไม่ได้ซะทีวะ ขนาดยายต๊องที่เอ๋อๆ ยังมีอาจารย์คเชนทร์ตามจีบ หรือดวงแกจะต้องโสดจนตายวะ”

“ไอ้บ้า ปากเสีย ดวงความรักของฉันอาจจะรอเจ้าชายรูปหล่ออยู่ก็ได้”

“ไม่มีหรอก เจ้าชายรูปหล่อมันคือฉันโว้ย” กลายจักรเถียง

“อี๋” อีกฝ่ายเบะปาก “ดูทรงแล้วน่าจะเป็นอสุรกายปากหมามากกว่า”

“ว่าแต่ไหนว่าจะลองแต่งตัวแบบยายต๊องไม่ใช่เหรอ ทำไมเย็นนี้จัดเต็มแล้วล่ะ” หนุ่มสำอางสงสัย เพราะตอนนี้นางเอกละครแต่งหน้าทำผมสวย สวมเสื้อยืดสุดเปรี้ยว กางเกงขายาวแฟชั่น

“อันนั้นมันเป็นการแสดง เรียนจบก็กลับมาเป็นตัวตนเดิมสิยะ เนี่ยนัดเพื่อน ม. พายัพไว้ที่ร้านเดิม” 

“จริงเหรอ ไปด้วยคนดิ” กลายจักรตาลุกวาว มั่นใจว่าต้องมีสาวๆ เพียบ

“ไม่ได้ ไปกับแกเมื่อไหร่ ไม่มีใครมาจีบฉันเลย ทุกคนเข้าใจว่าเป็นผัวฉันหมด”

“ถ้าทุกคนคิดแบบนั้น ฉันว่าฉันเป็นฝ่ายเสียหายมากกว่านะ”

อีกมากมายที่ทั้งคู่เถียงกันตลอดกินหมูจุ่มด้วยกัน ทำเอาเอื้อมดาวหัวเราะอารมณ์ดี ทำให้สิบทิศเองค่อยสบายใจขึ้นมาบ้าง เวลาผ่านไปจนสามทุ่มซึ่งสมควรแก่เวลา กลายจักรและเกศโมฬีก็ขอตัวกลับ เพราะมีนัดไปต่อที่อื่นตามประสาคนชอบเที่ยว

“นี่สิบทิศ ฉันกลับก่อนนะ ไม่ล้างจาน ไม่หารค่าหมูจุ่มนะ เพราะเป็นแขก” 

“แขกดอยสินะ” กลายจักรเอ่ยลอยๆ แต่สาวสวยก็ไม่สน หิ้วกระเป๋าไปบอกลา ก่อนจะพบว่าเจ้าของบ้านนอนหลับสนิทที่โซฟาเสียแล้ว

“ดูท่าจะเหนื่อยน่าดูนะ” เกศโมฬีหันมาคุยกับสิบทิศ “ฉันก็อยากช่วยเอื้อมดาวนะ แต่ก็จนปัญญาจริงๆ ว่ะ เนี่ยลงทุนแต่งตัวให้เชยๆ เหมือนยายต๊องแล้ว แต่อาจารย์เขาก็ไม่สน”

“ยังไงพวกเราก็คงต้องช่วยกัน ไม่ให้อาจารย์คเชนทร์มายุ่งกับเธอก็พอ” กลายจักรพูดบ้าง

“อืม” สิบทิศพยักหน้า “พวกแกกลับเหอะ ยังไงฉันก็จะเฝ้ายายต๊องอีกสักพัก”

“อย่างน้อยเอื้อมดาวก็ยังมีแกนะ แม้ว่าเรื่องอาจารย์คเชนทร์มันจะเป็นเรื่องประหลาด แต่ก็ยังมีแกคอยดูแล ไม่เหมือนพ่อของยายต๊อง...”

เกศโมฬีตบปากเพื่อนชายอัตโนมัติ และยังเถียงกันไปมาระหว่างเดินออกจากบ้าน สิบทิศจึงปิดประตู และนั่งดูโทรทัศน์ข้างๆ เอื้อมดาว พอรู้สึกว่าอากาศเริ่มเย็น เขาก็เดินไปหาผ้ามาห่มให้ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาเล่นเกมต่อ

บางทีเอื้อมดาวอาจจะรู้ ตราบใดที่สิบทิศยังอยู่ แม้ยามหลับตา ก็ไม่อาจมีเรื่องใดมาทำร้ายเธอได้แน่นอน 

 

ผ่านเรื่องเลวร้ายไปเกือบเดือน สภาพจิตใจของเอื้อมดาวค่อยๆ ดีขึ้น เธอไม่พบกับอาจารย์คเชนทร์อีก พยายามหลีกหนีทุกวิถีทาง โดยยังมีสิบทิศและเพื่อนในกลุ่มคอยช่วยกันท่า ไม่ยอมให้ต้องอยู่เพียงลำพัง

หญิงสาวไม่ฝันถึงอดีตอีกแล้ว แต่เธอไม่อยากฟังเสียงสะล้ออีก เธอบอกกับสิบทิศว่า ยามที่ได้ยินครั้งใด ราวกับถูกปีศาจร้ายดูดความสุขไปหมด

‘เสียงมันบาดจิต เหมือนมีพิษแทรกซึมทุกๆ ตัวโน้ต ได้ยินแล้วใจสั่น รู้สึกทุกอย่างในชีวิตมันเลวร้าย’ เอื้อมดาวให้เหตุผลแก่เขา

แต่สิบทิศเองก็ยืนยันว่า ก่อนหน้านี้ แววตาของเธอตอนที่ได้ฟังอุ้ยเป็งเล่นสะล้อมันเต็มไปด้วยความสุขจริงๆ 

‘ฉันว่าเพราะอาจารย์คเชนทร์นั่นแหละทำให้แกเกลียดสะล้อ’

‘ความจริงฉันเองก็อยากจะกลับมาฟังเสียงเพราะๆ จากสะล้อให้ได้เหมือนเดิม’ หญิงสาวสารภาพ สิบทิศก็อยากให้เธอสมหวังเช่นนั้น

เอื้อมดาวและเกศโมฬีเดินออกจากห้องหลังเรียนคาบเช้าเสร็จ ตั้งใจจะไปหาอาหารกลางวันกินกัน ส่วนสิบทิศกับกลายจักรบอกว่ามีประชุมกับชมรมรักบี้ฟุตบอล จะตามมาทีหลัง

สองสาวเลือกที่นั่งเพื่อเมาท์มอยกันตามประสาผู้หญิง นานพอสมควรกว่าสิบทิศและกลายจักรจะเดินเข้ามานั่งด้วย สองหนุ่มมีท่าทีพิรุธจนสาวๆ สังเกตได้

“มีอะไรหรือเปล่าเนี่ย” เอื้อมดาวสงสัย

สิบทิศแกล้งกระแอมก่อนจะปรบมือดัง กลายจักรหันซ้ายขวา กวักมือเรียกบางอย่างออกมาจากมุมตึก และเมื่อสิ่งนั้นเดินเข้ามาในโรงอาหารก็สร้างความฮือฮาให้ทุกคน

“แมวเหมียว” เอื้อมดาวตาโต มาสคอตตัวการ์ตูนแมวชื่อดังเดินมุ่งมาหาเธอ ก่อนจะหยิบบางอย่างที่ซ่อนไว้จากด้านหลังออกมายื่นให้ มันคือคัปเค้กก้อนเล็กและมีเทียนจุดอยู่

“สุขสันต์วันเกิดนะยายต๊อง” สิบทิศเอ่ยอย่างเขินอายที่ต้องมาทำอะไรตรงกันข้ามกับบุคลิกตัวเอง ส่วนกลายจักรรีบร้องเพลงอวยพรให้พร้อมกับเสียงปรบมือดังลั่นโต๊ะ

เอื้อมดาวปลื้มปริ่ม ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าวันนี้เป็นวันเกิดตัวเอง พอจบเพลงจึงก้มลงเป่าเทียน และกอดมาสคอตแมวที่แสนน่ารัก

“ขอบใจนะไอ้ล่ำ ไม่นึกเลยว่าแกก็ทำอะไรน่ารักๆ เป็น” เธอชมไม่ขาดปาก

“ไม่หมดแค่นี้นะ ยังมีอีก” กลายจักรหลิ่วตา ก่อนจะสะกิดให้แมวเหมียวตัวใหญ่ถอดหัว และเมื่อเผยให้เห็นหน้าคนที่อยู่ด้านใน...

“กรี๊ด!!” เกศโมฬีเก็บทรงไม่อยู่ กรีดร้องลั่นโรงอาหาร เอื้อมดาวอ้าปากค้าง แล้วรีบโผกอดหนุ่มในฝันไว้แน่น

“น้องเตชิต!”

“ฝีมือไอ้ทิศมันแหละ ใช้อำนาจในการเป็นพี่ว้ากบังคับน้องเตชิตให้มาเซอร์ไพรส์วันเกิดให้แก” กลายจักรเฉลย

“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี” น้องปีหนึ่งยิ้มหวาน โดนสองสาวทั้งกอดและถ่ายรูปอยู่นาน 

เห็นเพื่อนรักกลับมาเป็นแฟนคลับของรุ่นน้องดาราซีรีส์วาย สิบทิศก็รู้สึกสบายใจ นี่แหละ ยายต๊องคนเดิมของเขา ตัวจริง เสียงจริง

เอื้อมดาวยิ้มเปี่ยมสุขเมื่อชายหนุ่มกลับมาส่งที่บ้านหลังเลิกเรียน หลังเกิดเรื่องสิบทิศอาสาเป็นฝ่ายขับรถรับส่งเพื่อนรัก จนกว่าจะมั่นใจว่าทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ

“ขอบใจนะล่ำ ที่ทำทุกอย่างให้ฉัน”

“ก็อยากให้แกลืมเรื่องที่ผ่านมาไง”

หญิงสาวพยักหน้า เดินนำเข้าไปในบ้าน นานทีเดียวกว่าสิบทิศจะตามเข้ามา

“มัวทำอะไรอยู่วะ” หญิงสาวสงสัย

ในมือของชายหนุ่มมีเครื่องดนตรีซึ่งพอเธอเห็นก็เดินถอยฉาก

“แกเอาสะล้อมาทำไม”

“ก็มันเป็นของแกไง”

หญิงสาวเม้มริมฝีปาก “แกเอาไปเก็บเหอะ ฉันไม่อยากได้มันแล้ว”

ชายหนุ่มถอนหายใจ “พูดตรงๆ นะ ฉันว่า หากแกกลับมาเป็นคนเดิมจริงๆ ก็ต้องลืมทุกอย่างที่เกี่ยวกับอาจารย์ได้ ฉันยังอยากให้แกฟังเสียงสะล้อได้เหมือนเดิม”

เอื้อมดาวยังมองอย่างเคืองขุ่น เห็นเครื่องดนตรีชนิดนี้เมื่อใด ก็เหมือนเห็นหน้าคเชนทร์ไปด้วย แต่ที่สิบทิศพูดก็มีส่วนถูก หากจะลืม ก็ต้องไม่มีอะไรค้างคาในใจ

“แล้วใครจะเป็นคนสี” 

สิบทิศยิ้มกริ่ม และมานั่งตั้งท่าอยู่ที่โซฟารับแขก

“แกเล่นมันได้ด้วยเหรอ”

“ก็พองูๆ ปลาๆ แหละ พอรู้ว่าแกอยากเล่น ฉันก็เลยอยากฝึก เผื่อจะได้มาสอนแกไง”

เอื้อมดาวเงียบ ก่อนอมยิ้มและมองหน้าเขา สิบทิศเมื่อโดนจ้องก็หน้าแดงจนต้องเสไปทางอื่น 

“เอาละ พร้อมหรือยัง” เขาถามแก้เขิน หญิงสาวพยักหน้า

มือใหญ่ของสิบทิศดูเก้ๆ กังๆ แต่เมื่อจดคันสะล้อลงกับสายก็ก่อเกิดเป็นเสียงไพเราะ ในสมองของเอื้อมดาวรู้สึกเหมือนมีแสงสว่างวาบ เธอหยุดนิ่งเหมือนถูกสะกด และแล้วก็เห็นถึงภาพของชีวิตใหม่ เห็นดินที่แห้งผากได้รับหยาดฝน เห็นดอกไม้ที่ผลิบานรับแสงตะวันแรก และเห็นคืนที่มืดมิดมีแสงจันทราส่องแสง

สิบทิศเล่นได้ไม่คล่องนัก แต่ก็ทำให้คนที่เคยเกลียดเสียงสะล้อยิ้มกริ่ม น้ำตาไหลด้วยความอิ่มเอม 

“เป็นไงบ้าง อยากฟังต่อไหม” ชายหนุ่มชะงัก เมื่อเห็นเธอร้องไห้

“เล่นมันต่อให้จบเถอะ เพราะดีว่ะ” 

รอยยิ้มอาบน้ำตาแสดงว่าเธอพอใจเหลือเกิน เมื่อได้ยินเสียงเพลงสะล้อบรรเลงจากเขา

                

ในห้องนอนที่เปล่าเปลี่ยว 

คเชนทร์นั่งจิบไวน์ไปสองแก้วแล้ว พยายามเปิดเพลงฟัง หวังให้ช่วยคลายความหงุดหงิดในใจ เหตุเพราะตัวเองยังเอาแต่คิดถึงนักศึกษาสาวยิ้มหวานคนนั้น...

ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องราวทั้งหมดจะกลับตาลปัตร จากคนที่เคยรักกันมาดีๆ วันนี้แค่เสี้ยวหน้าเธอก็ไม่อยากจะเห็น เขาพยายามทุกวิถีทางที่จะง้องอน แต่หญิงสาวก็ปฏิเสธ ตั้งท่ารังเกียจอย่างไม่ไยดี 

เอื้อมดาวกลับไปสนิทกับเพื่อนชายในคณะคนนั้น วันก่อนเขายังเห็นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์หัวร่อต่อกระซิก บางทีเขาก็แอบคิด นายสิบทิศคนนั้นอาจจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด

ยิ่งคิด ยิ่งเครียด อาจารย์หนุ่มเทเครื่องดื่มลงแก้ว ก่อนจะยกดื่มจนหมด ตอนนี้สิ่งที่ทำให้เขาและเอื้อมดาวเจอกันได้ก็คงมีแต่ความฝันเท่านั้น

ใช่...คงมีแต่ความฝันที่ไม่เคยทอดทิ้งเขาไปไหน ยามหลับตา เขายังเป็นเจ้าชาย ส่วนเธอก็เป็นเจ้าหญิง ได้สมรสกันในความฝันอันฉ่ำหวาน

เมื่อเครื่องดื่มหมดขวด อาจารย์หนุ่มก็ฟุบหลับที่โต๊ะทำงาน หน้าต่างห้องนอนเปิดโล่ง ด้านนอกเห็นดวงดาราแจ่มชัด สายลมโชยเข้ามาในห้อง ทำผ้าม่านไหวพลิ้ว ขับกล่อมให้ชายหนุ่มหลับสบาย ยามนั้นยังเห็นเจ้านางทิพย์ของเขา ปล่อยผมยาวสยายนอนกอดก่ายในอ้อมอก สุขใจเหลือเกิน

“ข้าอยากจะไปเชียงใหม่แล้ว” เธอออดอ้อนกระซิบที่ข้างหู

เขายิ้มก่อนจะเชยคาง พิศมองใบหน้าหวานให้เต็มตา บรรจงจูบที่หน้าผาก “ข้าจะพาเจ้านางไป”

ร่างเล็กสะบัดหน้าหนี เหมือนมีบางอย่างทำให้เธอน้อยใจ “ในเมื่อที่เมืองเปียงฟ้าแห่งนี้ ไม่มีใครต้องการข้าแล้ว ข้าก็อยากจะไปเสียที”

“ข้าจะพาไป ข้าสัญญา” เขาย้ำคำมั่น ก่อนจะลูบไล้กายสาว

ในความเงียบงัน เสียงนกกลางคืนที่ร้องอยู่โพ้นดอยดังเข้ามาให้ได้ยินถึงในห้อง คเชนทร์สะดุ้งตื่นจนเผลอปัดแก้วไวน์ล้ม 

“บ้าจริง!” เขาสบถ รีบหาผ้ามาซับน้ำที่เลอะก่อนจะชะงัก เมื่อนึกถึงความฝันเมื่อครู่ จึงรีบหาปากกากับกระดาษมาจด

‘เมืองเปียงฟ้า’

ใช่...เมื่อกี้เจ้านางเอ่ยชื่อเมืองนี้ออกมา อยู่ที่ไหน จังหวัดอะไร คเชนทร์ตื่นเต้น รีบเปิดหน้าจอโน้ตบุ๊ก พิมพ์ค้นหา หวังว่าสิ่งที่เจ้านางเอ่ยในความฝันน่าจะพอมีอะไรบางอย่างให้ค้นหาความจริงได้

ชายหนุ่มเบิกตาโพลงเมื่อเห็นผลลัพธ์ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์

เมืองเปียงฟ้ามีอยู่จริง!

พลันเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เบอร์ของสายไหมโชว์หรา

“ครับ ว่าไงสายไหม”

“อาจารย์คะ เรื่องที่อาจารย์ขอร้องให้พวกเราเป็นธุระให้ เรียบร้อยแล้วนะคะ”

เขาใจเต้นโครมคราม “แล้วมันเป็นเหมือนที่ผมคิดไว้หรือเปล่า”

“ใช่ค่ะ ยังไงหนูจะส่งไฟล์ทั้งหมดให้อาจารย์นะคะ”

ไม่นานเสียงข้อความก็ดังขึ้น คเชนทร์รีบเปิดมันดูก่อนจะยิ้มกริ่ม อย่างน้อยสิ่งที่เขาสันนิษฐานไว้ก็เป็นจริง

 

คเชนทร์จับพวงมาลัยไว้แน่น บังคับคันเร่งให้อยู่ในจังหวะสม่ำเสมอ เมื่อกำลังขับรถขึ้นถนนที่สูงชัน 

หลังจากค้นหาเมืองเปียงฟ้าเจอ อาจารย์หนุ่มวิเคราะห์จากปัจจัยหลายๆ อย่าง มั่นใจได้ว่าน่าจะเป็นเมืองเดียวกับที่เขาฝันถึง เมืองเก่าซ่อนตัวอยู่อำเภอเวียงแหง ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่เกือบสองร้อยกิโลเมตร ติดกับชายแดนประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ที่นั่นเป็นเมืองเก่ากว่าเจ็ดร้อยปี เคยเป็นเมืองลูกหลวงของล้านนาในยุคพญาเม็งราย และเป็นรัฐอิสระตั้งแต่ยุคอยุธยา ก่อนจะล่มสลายครั้งพม่าเข้าบุกยึดก่อนปลายรัชกาลที่สี่ ปัจจุบันยังพอมีซากสิ่งก่อสร้างหลงเหลือ ส่วนประวัติศาสตร์อื่นๆ นั้นแทบหาไม่พบ

คเชนทร์ขับรถเกือบสี่ชั่วโมงก็มาถึง ถามชาวบ้านแถวนั้นก็รู้ว่าเป็นเมืองเก่าที่ตั้งอยู่บนเนินสูง อาจารย์หนุ่มขับรถผ่านแนวซากกำแพงเก่าที่ขาดการบูรณะ สภาพไม่ต่างจากกองดินเก่าๆ 

แม้จะไม่เคยมาที่นี่ แต่สิ่งแวดล้อมบางอย่างเหมือนกับที่เขาฝันถึง ชายหนุ่มจอดรถไว้ใต้ต้นหางนกยูงฝรั่ง เดินขึ้นเนินจนเจอแนวกำแพง หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูป ตามข้อมูลที่ค้นได้น้อยนิดพบว่า เมืองเก่าแห่งนี้ถูกปล่อยให้ร้างมานาน เพิ่งจะมีการก่อสร้างหมู่บ้านได้ไม่ถึงห้าสิบปี

บนซากปรักหักพังมีฐานของวัดวาอาราม เจดีย์เก่า มันผุพังและเต็มไปด้วยกาฝากจนไม่งามตา ระหว่างที่คเชนทร์ถ่ายรูป อยู่ๆ ดวงตะวันบนฟ้าก็หายลับเข้ากลีบเมฆ รอบตัวจึงดูอึมครึมขึ้นมา

มีลมพัดผ่านมาวูบหนึ่ง ทำเอาฝุ่นดินปลิวว่อน ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาบังหน้า ก่อนจะเห็นเงาคนอยู่ไกลๆ พยายามเพ่งมองแต่ว่าเงาปริศนาก็หายไปเสียแล้ว

“คุณ จะไปทางไหน” 

ตกใจ เพราะมีเสียงหนึ่งทักมาจากด้านหลัง คเชนทร์รีบหันไปหา พบว่าเป็นชายฉกรรจ์ผิวเข้ม แต่งกายเหมือนคนหาของป่า พูดคุยกันไปมาเขาก็แนะนำตัวว่าชื่อสมพร เป็นผู้ใหญ่บ้านที่นี่

“พอดีผมมาเที่ยวเรื่อยเปื่อยน่ะครับ”

เจ้าถิ่นทำหน้าแปลกใจ แน่ละ หมู่บ้านไกลปืนเที่ยง ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวอยากจะมา แถมซากเมืองเก่าเหล่านี้ทางราชการก็ไม่ได้ให้ความสนใจ ปล่อยรกร้างเป็นแค่เศษดิน

“ที่นี่ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก”

“ตรงนี้คือเมืองเปียงฟ้าใช่ไหมครับ” อาจารย์หนุ่มลองถามเพื่อความมั่นใจ

ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า “ใช่ ก็มีอย่างที่เห็นแหละ อ้อ และเดินลงเนินฝั่งนู้นไปอีกหน่อย จะมีศาลเจ้าแม่ปาระมา ผีเจ้านายของที่นี่ ลองไปไหว้ขอพรสิ”

ชายหนุ่มขอบคุณเขา แล้วเดินไปตามทางที่สมพรบอก ผ่านซากวิหารเก่า แนวกอไผ่หนา สายลมพัดเอื่อยจนได้ยินเสียงกอไผ่เสียดสีเหมือนคนสีซอ หลังม่านกำแพงป่าเจอสิ่งก่อสร้างเป็นอาคารไม้หลังเก่าซ่อนอยู่ ลักษณะเป็นศาลายกเสาสูงประมาณหนึ่งเมตร อาจารย์หนุ่มกำลังลังเลว่าจะขึ้นไปบนศาลาดีหรือเปล่า ทว่าหูก็ได้ยินเสียง

“เจ้าขวัญ...เจ้าขวัญ”

เสียงนั้นเบา แหบพร่า คเชนทร์เงี่ยหู หวังจะได้ยินเสียงนั้นอีก แต่เมื่อทุกอย่างเงียบสงัดจึงหมุนตัวกลับ พลันก็ตกใจจนตัวโยน เพราะมีใครบางคนยืนอยู่ข้างหลัง

“โอย...ยาย ผมตกใจหมด”

นอกเหนือจากโผล่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง หญิงชราที่โผล่มายังมีผมสีขาวโพลน ผิวหนังเหี่ยวย่น ยืนหลังโก่งและถือไม้เท้าคอยพยุง ชวนให้ระแวง

“มาแล้วกา เจ้าขวัญ” เสียงของนางแหบ แต่แววตากลับวาวโรจน์

อาจารย์หนุ่มทวนคำ “อะไรนะครับยาย” 

“ข้ารอมานานเมินแล้ว วันที่เจ้าขวัญจะกลับมาที่นี่” เธอเอ่ยพร้อมกับน้ำตาไหลพราก สร้างความแปลกใจให้ผู้มาเยือน

เมฆดำลอยหาย ดวงตะวันดวงเดิมกลับมาส่องสว่าง ล้วงแสงลอดเข้ามายังช่องไม้ไผ่ที่ตีเป็นลูกกรงของตัวศาลา หญิงชรานั่งคุกเข่าต่อหน้าแท่นพิธี จุดเทียนพนมมือไหว้ คเชนทร์สังเกตว่าบนศาลาแห่งนี้มีแท่นบูชาที่มีเพียงพานบายศรีเก่า และขันเงินที่ใส่หมากพลู พื้นไม้ที่นั่งอยู่ก็เต็มไปด้วยฝุ่นดูไม่สะอาด 

“เมื่อกี้คุณยายเรียกผมว่า เจ้าขวัญเหรอครับ”

คนแก่ลืมตา ก่อนจะหันมาจ้องหน้าชายหนุ่ม

“ใช่ เจ้าขวัญ”

“เอ่อ เขาคือใครหรือครับ”

“เจ้าขวัญ เจ้าราชบุตรหนุ่มรูปงามจากเชียงใหม่ที่เดินทางมายังเมืองเปียงฟ้าแห่งนี้ไงเล่า”

คำตอบนั้นทำเอาคเชนทร์สะดุดนิ่งไปหลายวินาที ก่อนจะรวบรวมสติ

“คุณยายเป็นใครกันเหรอครับ” 

หญิงชรายิ้มละมุน “ข้าคือคำเที่ยง เป็นร่างทรงของเจ้าแม่ปาระมา ผีบรรพบุรุษที่คนที่นี่นับถือ”

“ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า คุณยายก็พอจะรู้เรื่องของผมสินะ”

คำเที่ยงหันไปหยิบหมากในเชี่ยนมาเคี้ยวหยับๆ ก่อนจะแลตามองหน้าชายหนุ่ม

“เจ้าแม่กระซิบบอกข้า ว่าอีกไม่นานเจ้าขวัญจะกลับมา”

คเชนทร์ขนลุกทั้งตัว การได้มาเจอคำเที่ยงเหมือนเจอส่วนจิ๊กซอว์ที่สำคัญ

“ใช่ครับ ผมฝัน ฝันว่ามาที่นี่บ่อยๆ กับเจ้าหญิงเปียงฟ้า เธอชื่อเจ้าทิพย์...”

“ทิพย์ดารา” หญิงชราเอ่ยแทรก “เจ้าทิพย์ดารา เป็นเจ้านางแห่งเมืองนี้ ข้าเองก็รอให้เจ้านางกลับมาที่นี่เช่นกัน”

“ทำไมเหรอครับ”

“ความรักของทั้งคู่จะได้สมหวังเสียที” คำเที่ยงเอ่ยตาเป็นประกาย “เจ้าขวัญกับเจ้าทิพย์ดารา ทั้งสองรักกัน เป็นดั่งคู่บารมีของเมืองเปียงฟ้า แต่เพราะศึกเมืองม่านครั้งนั้นทำให้ทั้งคู่ต้องพรากจาก คงเหลือแต่คำสัญญาที่มีต่อกัน ที่จะช่วยให้ท่านทั้งสองได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ใช่ไหมล่ะ”

พระเจ้า หญิงชราเอ่ยทุกคำราวกับล่วงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องของเขา

“คือคุณยายครับ จะว่าไปผมก็เจอเจ้าทิพย์แล้ว และเธอก็ฝันเหมือนกันกับผม”

คำเที่ยงยิ้มปากแดง “แล้วทำไมเจ้านางถึงไม่มาด้วย”

“มันเกิดเรื่องนิดหน่อย ทำให้เธอจำอะไรไม่ได้อีกแล้ว” คเชนทร์ตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดของเขาและเอื้อมดาวให้ร่างทรงได้ฟัง

“น่าสงสารเจ้าทิพย์ดารานัก” ร่างทรงทำหน้าผิดหวัง

“มันพอจะมีวิธีทำให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมไหมครับ”

หญิงชราหลับตานิ่งคิด ปากก็ท่องคาถาพึมพำ

“เวรกรรมยังไม่หมดสิ้น มีคนไม่ปรารถนาดีต่อพวกท่าน เขากำลังใช้อำนาจมืดทำให้เจ้านางลืมทุกสิ่งอย่าง อย่างที่เคยทำมาแล้วเมื่อชาติปางก่อน”

คนไม่ปรารถนาดี เท่าที่คเชนทร์นึกได้ ตอนนี้ก็คงมีแต่คนคนนั้นเพียงคนเดียว

นายสิบทิศ...

“แล้วผมต้องทำยังไง” มาถึงขั้นนี้แล้ว จะให้เขาไปบุกป่าลุยน้ำที่ไหน คเชนทร์ก็ยอม ขอให้ได้เอื้อมดาวคนเดิมกลับมา

“คืนวันเพ็ญหน้า ท่านต้องพานางมาหาข้า เพื่อเข้าพิธีสู่ขวัญ ขอบารมีเจ้าแม่ปาระมา ช่วยเบิกเนตรให้เจ้าทิพย์ดาราได้ความทรงจำกลับคืน และท่านกับนางก็จะกลับมาครองรักกันอีกครั้ง”

คเชนทร์เหมือนได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เขานึกไว้ไม่มีผิดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันต้องมีเหตุและผล คืนวันเพ็ญหน้า นับเวลาก็อีกไม่ถึงครึ่งเดือน ยังพอมีเวลา

“ถ้าพาเธอมาที่นี่ได้ ทุกอย่างก็จบใช่ไหมครับ”

หญิงชราลืมตาโพลง ก่อนจะยิ้มละมุน

“แม่นแล้ว เจ้าขวัญกับเจ้านางทิพย์ดารา ก็จะได้ครองรักกันดั่งคำสัญญา ตลอดไป...”


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น