บทที่ ๙

 

ไออุ่นจากฟ้าเรืองรองส่องแสงทองทักทายในยามเช้า ที่อ่างเก็บน้ำใกล้ๆ มหาวิทยาลัย เอื้อมดาวนั่งขัดสมาธิโดยมีกระดานวาดเขียนอยู่บนตัก ตั้งใจบีบสีเหลืองจากหลอดลงบนจานสี ก่อนจะใช้พู่กันแตะน้ำจนชุ่ม นำไปละลายกับสีแล้วจึงปัดขนแปรงลงบนกระดาษ แต้มวาดให้เหมือนกับทิวทัศน์ตรงหน้า ภาพของเธอคือหนึ่งในผลงานที่นักศึกษาชั้นปีที่สองต้องทำเพื่อส่งเก็บคะแนนส่งท้ายในเทอมนี้

“สีไม่เข้มไปเหรอวะ เติมน้ำอีกหน่อยสิ” สิบทิศที่นั่งข้างๆ บอก 

หญิงสาวเอียงหน้าซ้ายขวาเล็งผลงานตัวเอง ก่อนจะเห็นด้วยกับคำพูดของเขา “เออว่ะ” เธอหันไปจุ่มพู่กันในน้ำเพื่อหยอดลงบนจานสีเพิ่ม แล้วลองแตะลงไปที่กระดาษใหม่ก็เป็นที่พอใจ

“เห็นไหม สีเหมือนวิวตอนนี้เลย” เขายิ้มฟันขาว ก่อนจะก้มหน้าวาดผลงานตัวเองต่อ

“จ้า พ่อคนเก่ง” เอื้อมดาวมองค้อน แต่ก็ต้องยอมรับว่า ชายหนุ่มมีฝีมือทางด้านศิลปะที่แม้แต่อาจารย์ในคณะก็ยังชมอยู่บ่อยๆ นอกจากนี้สิบทิศยังมีความเก่งกาจหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นกีฬาหรือกิจกรรม แถมพอตัดผมใหม่ก็หล่อเฟี้ยว เรียกได้ว่าสาวๆ เดินผ่านก็มีหันหลัง ทำให้ไอ้ล่ำของเธอกลายเป็นหนุ่มเนื้อหอมขึ้นมาทันที

‘ไอ้สิบทิศเนี่ย เห็นอย่างนี้น้องๆ ปีหนึ่งแอบกรี๊ดกันเยอะนะ’ เกศโมฬีเคยบอกให้เธอฟัง ‘อย่างยายฟ้าใสที่เป็นประธานปีหนึ่งน่ะตัวดีเลย ฉันเห็นสายตาเวลามันเจอไอ้ล่ำนะ โอย แรด’ 

เอื้อมดาวฟังก็ได้แต่หัวเราะ แต่ตอนนี้ พอได้เห็นเสน่ห์ของเพื่อนชายยามที่อยู่ลำพัง เธอก็เริ่มเห็นด้วยไม่น้อย

“มองอะไรวะ” ชายหนุ่มถามเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายเอาแต่จ้อง

“เปล๊า” เธอตอบเสียงสูง ก่อนจะสนใจงานตรงหน้า “ได้ยินว่าสาวๆ ปีหนึ่งแอบชอบแกไม่ใช่เหรอ”

“ไร้สาระน่า” เขาตอบสีหน้าเรียบเฉย แต่เอื้อมดาวก็สังเกตว่าใบหน้าและใบหูของเพื่อนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง

“ถ้าแกมีแฟนไปจริงๆ แล้วแกจะดูแลฉันเหมือนเดิมหรือเปล่าวะ” อยู่ๆ เธอก็รู้สึกใจหาย สิบทิศก็ใช่ว่าจะขี้เหร่ วันหนึ่งเกิดตกลงปลงใจไปรักใคร เธอก็คงกลายเป็นหมาหัวเน่า และไม่มีใครต้องการเหมือนเดิม

“พูดอะไรปัญญาอ่อน ฉันยังไม่มีใครหรอก” เขาตอบห้วนๆ เอื้อมดาวจึงยิ้มได้

“นอกเสียจากว่า แกนั่นแหละจะกลับไปเป็นคนเดิม แล้วทิ้งฉันไปเสียมากกว่า”

เอื้อมดาวชะงัก หันไปมองหน้า

“ไม่มีทาง ฉันไม่ทำอีกแน่ บอกกับแกไว้เลยนะว่าฉันคือเพื่อนแกคนเดิม ที่มีเพียงน้องเตชิตเป็นชายในฝันเท่านั้น”

สิบทิศยิ้มและส่ายหัว “ก็ดีแล้ว ว่าแต่แกฝันแปลกๆ อีกหรือเปล่า”

“ไม่เลย ฉันปกติดีทุกอย่าง และตอนนี้ก็ยังฟังเสียงสะล้อได้ ไม่กลัวมันอีก” เอื้อมดาวอมยิ้ม “ว่างๆ แกเล่นสะล้อให้ฉันฟังอีกสิ ฉันว่าแกเล่นเพราะดี ฉันชอบ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ฉันก็เล่นแบบงูๆ ปลาๆ” เจอชมตรงๆ แบบนี้ ชายหนุ่มก็เขิน ทั้งที่ยามว่างเมื่อไหร่ เขาก็ลองเปิดยูทูบศึกษาวิธีการเล่น รวมถึงเมื่ออาทิตย์ก่อน เขายังไปหาตาบุญเป็งเพื่อขอให้สอนวิธีเล่นอย่างจริงๆ จังๆ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอื้อมดาวเท่านั้น

“แล้วถ้าอาจารย์คเชนทร์สีให้แกฟังอีกครั้งล่ะ”

“อย่าพูดถึงชื่อนั้นได้ไหม” เอื้อมดาวหน้าตึง “รู้อยู่ว่านี่คือชื่อแสลงสำหรับฉัน”

“เออๆ ขอโทษว่ะ” สิบทิศหน้าเสีย ก่อนจะนึกได้ว่ามีเรื่องจะชวนเธอ

“นี่ วันศุกร์นี้ ที่บ้านฉันมีงานปอยหลวง ไปเที่ยวด้วยกันไหม”

“ไปๆ” คนฟังตาโต นึกได้ว่าอาทิตย์ก่อนสิบทิศบอกว่า ที่บ้านของเขาจะมีงานสมโภชองค์พระธาตุที่เพิ่งสร้างเสร็จ จัดงานสามวันสามคืน มหรสพครบครัน เอื้อมดาวสนใจกิจกรรมแบบนี้ 

“แกนี่ก็ชอบไปวัดไปวาเหลือเกินนะ” สิบทิศเอ่ย

“ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกว่าอยากทำบุญเยอะๆ โดยเฉพาะกับเพื่อนสนิทมิตรสหาย เหมือนว่าได้ทำสิ่งดีๆ ร่วมกัน มันเป็นโอกาสที่ดี”

“พูดเป็นคนแก่เชียว งั้นก็วันศุกร์เรียนเสร็จช่วงบ่ายเราไปกันนะ”

หญิงสาวรับปาก ก่อนจะนั่งวาดรูปต่ออย่างอารมณ์ดี จนแสงยามเช้าเริ่มเปลี่ยนสี สองคนจึงเก็บของกลับโดยไม่มีทางรู้ว่า ทุกๆ ย่างก้าวตอนนี้มีสายตาคู่หนึ่งจับตาอยู่ เขานั่งนิ่งอยู่ในรถยนต์ที่ซุ่มจอดอยู่ข้างทาง 

คเชนทร์นั่นเอง หลังจากที่กลับมาจากเมืองเปียงฟ้า ก็ได้รู้ที่มาของบุพกรรมที่เกิดขึ้น แม่เฒ่าคำเที่ยงบอกกับเขาว่า มีผู้ไม่หวังดีต้องการให้เขากับเอื้อมดาวพรากจากกัน 

‘เวรกรรมยังไม่หมดสิ้น มีคนไม่ปรารถนาดีต่อพวกท่าน เขากำลังใช้อำนาจมืดทำให้เจ้านางลืมทุกสิ่งอย่าง อย่างที่เคยทำมาแล้วเมื่อชาติปางก่อน’

จะมีใครอีกเล่า ถ้าไม่ใช่ไอ้เด็กสิบทิศนั่น

คเชนทร์ถอนหายใจแรง ไม่พอใจที่เขาต้องเป็นฝ่ายถูกกระทำ

 

เช้าวันศุกร์เอื้อมดาวตื่นขึ้นมาอย่างสบายใจ เธอมีเรียนแค่ช่วงเช้า ส่วนช่วงบ่ายจะไปเที่ยวงานปอยหลวงที่อำเภอสันกำแพง บ้านของสิบทิศ 

“แหม เอะอะชวนกันไปงานบุญ แบบนี้มันจะเกินเพื่อนไปแล้วนะ” เกศโมฬีแซวตามประสาคนปากไว

“บ้าน่า เป็นเพื่อนกัน” เธอบอกปัด

“เพื่อนเหรอ ฉันว่าแกก็น่าจะรู้แล้วมั้ง ว่าไอ้ล่ำมันคิดกับแกเกินเพื่อน เพื่อนที่ไหนชวนกันไปตักบาตร ชวนกันไปทำบุญ นอกเสียจากว่าหวังจะรับรางวัลอุบาสกอุบาสิกาดีเด่นจากทางมหา’ลัย เพื่อนกันต้องชวนกันไปกินเหล้าย่ะ” สาวสวยพูดตามที่เคยประสบ 

“พูดมาก ไม่ไปด้วยกันล่ะ ชวนกลายจักรไปด้วย ไปกันเยอะๆ สนุกดี”

คนสวยส่ายหน้าทันที “ไม่เอาอะ งานบ้านๆ ไม่เหมาะกับสาวสวยราคาแพงอย่างฉันหรอกย่ะ”

“จริงเหรอ ก็ที...สาโทแกยังกินได้เลย” เอื้อมดาวแย้ง

คนสวยหันมาค้อนขวับ “ฉันเป็นสาวสวยราคาแพงที่เป็นมิตรกับเครื่องดื่มทุกประเภท และผู้ชายทุกรูปแบบ...ก็แค่งานแบบนั้นมันไม่ใช่วิถีของฉัน เชิญแกออกเดตกับไอ้ล่ำตามใจเถอะย่ะ”

เอื้อมดาวไม่เก็บมาใส่ใจ เธอกับสิบทิศจริงใจต่อกันเกินกว่าจะคิดเรื่องแบบนั้น แม้ว่าลึกๆ ก็กลัวว่าวันหนึ่ง หากสิบทิศมีแฟนไป เธออาจจะต้องอยู่คนเดียว....

หลังเรียนเสร็จ สิบทิศขับรถยนต์พาเอื้อมดาวกลับบ้านที่สันกำแพง โดยทั้งคู่แวะรับประทานอาหารเที่ยงที่บ้าน พจมานผู้เป็นแม่เตรียมข้าวซอยรสเด็ดเป็นอาหารเลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน ระหว่างเตรียมข้าวของ เกษมหรือพ่อของสิบทิศก็ออกมาทักทาย ก่อนจะขอตัวไปต้อนรับแขกคนอื่นๆ ที่ทยอยเข้ามาที่บ้าน

“ทำไมไม่ชวนกลายจักรกับเกศโมฬีมาด้วยล่ะลูก” คนเป็นแม่ถาม พร้อมยกถ้วยข้าวซอยมาวางบนโต๊ะ ส่วนเอื้อมดาวก็ตักผักกาดดองและหอมแดงซอยใส่ถ้วยใบเล็ก เพื่อใช้เป็นเครื่องเคียง

“ชวนมาแล้วครับ แต่ไอ้จักรมันบอกไม่ว่าง ส่วนยายเกศก็บอกว่าไม่ถนัดงานบ้านๆ” สิบทิศบอก

“แต่ก็ไม่เป็นไรเนาะ ให้เอื้อมดาวเป็นตัวแทนสองคนนั้นละกัน เดี๋ยวไปช่วยแม่เสิร์ฟข้าวซอยให้แขกโต๊ะพ่อทีนะ” พจมานเอ่ย ก่อนจะปรี่เข้าไปเตรียมของในครัวต่อ

เอื้อมดาวรีบตามไปอย่างว่าง่าย สิบทิศมองตามหลังแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม เอื้อมดาวสนิทกับคนที่บ้านจนไม่มีใครรู้สึกว่าเธอเป็น ‘คนอื่น’ เขาดีใจที่ทุกคนเอ็นดูหญิงสาว 

 “ถ้ายังไง วันที่แห่ต้นครัวตานเข้าวัด อย่าลืมมาอีกนะลูก” พจมานย้ำแล้วย้ำอีก  

“ก็ต้องดูก่อนว่า สิบทิศจะพาหนูมาอีกหรือเปล่า” เธอยิ้มและส่งสายตาอ้อนไปยังลูกชายเจ้าของบ้าน

“จะมาไหมล่ะ วันที่แห่ครัวตานก็สนุกนะ ถือเป็นวันพีกของงาน” ชายหนุ่มชวนต่อ และยังอธิบายว่า ต้นครัวตาน คือ การนำเอาสิ่งของ เครื่องใช้ต่างๆ ที่ช่วยกันคิดและทำขึ้นเป็นรูปแบบต่างๆ ไปถวายวัด มีทั้งต้นเล็กๆ ขนาดเพียงคนเดียวยกได้ และต้นใหญ่ที่ต้องใช้คานแบกสี่คน ถึงเวลาก็จะรวมกันแห่ขบวนกันไปเป็นเส้นเป็นสายเต็มถนน พร้อมรถเครื่องเสียงครึกครื้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน 

“ก็รอให้ชวนและให้ไปรับนี่แหละ” สาวน้อยยิ้มตาหยี 

 “เออ แล้วยังไงจะไปรับ”

“เย้ๆ” เอื้อมดาวชูมือด้วยความดีใจ

อยู่ที่บ้านสักพัก ทั้งสองก็ขอตัวเพื่อจะไปเดินเที่ยวในวัด ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของชายหนุ่ม ตลอดสองข้างทาง เอื้อมดาวตื่นเต้นกับตุงหลากสีที่ปักเรียงราย ได้ยินเสียงเครื่องเสียงของวัดที่เปิดเพลงดัง โฆษกเสียงหล่อประกาศถึงกิจกรรมที่กำลังเกิดขึ้น แถวแนวกำแพงวัดมีพ่อค้ามาปักหลักขายของ ทั้งอาหารเครื่องดื่ม ไปจนถึงของเล่นที่ล่อตาเด็กๆ สิบทิศชวนเธอเข้าด้านในเขตอาราม เห็นวิหารตั้งอยู่หลังประตูที่มีสิงห์สองตัวยืนแยกเขี้ยวอย่างน่าเกรงขาม และเจดีย์องค์ใหม่ที่ตั้งตระหง่าน มีราวธงชาติและตราธรรมจักรแขวนระโยงระยาง 

สิบทิศพาเธอไปไหว้พระในวิหาร แล้วออกมาเพื่อไปนมัสการองค์พระธาตุใหม่ที่อยู่ด้านหลัง ทั้งสองยกมือไหว้ หลับตาอธิษฐาน เอื้อมดาวขอให้เธอเจอแต่เรื่องดีๆ ขอให้เจ้ากรรมนายเวรให้อโหสิกรรม ส่วนสิบทิศก็ขอให้หญิงสาวปลอดภัยในทุกๆ เรื่อง...

“นี่ยายต๊อง เราไปปาลูกโป่งกันมั้ย” เขาถาม

“ไม่เอาอะ ฉันปาไม่แม่น เสียเงินฟรีทุกที”

“หรือว่าจะไปดูลิเก” เสียงระนาดรัวถี่จากหลังกำแพงอีกฝั่งแสดงให้เห็นว่า มหรสพการแสดงคงกำลังจะเริ่ม

“ก็เดินไปเรื่อยๆ ก่อนก็ได้” เอื้อมดาวตอบ

ชายหนุ่มพยักหน้า “หรือว่าแกจะชอบฟังซอวะ ฉันว่ามันฟังยากอยู่นา ขนาดฉันเป็นคนเหนือแท้ๆ ยังฟังไม่ค่อยเข้าใจเลย...” 

สิบทิศชะงัก เมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังพูดอยู่คนเดียว หันไปหาคนที่มาด้วยก็พบว่าเธอกำลังยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าวิหาร สายตาจ้องไปยังศาลบนเสาไม้ต้นหนึ่งที่มองเผินๆ เหมือนศาลพระภูมิเจ้าที่ ผิดตรงที่มันถูกสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ ด้วยไม้ไผ่ มุงด้วยใบจาก ด้านมีเครื่องบูชาครบครัน 

“เอื้อมดาว มีอะไรหรือเปล่าวะ” เขาเดินเข้ามาถาม

หญิงสาวราวกับถูกมนตร์สะกด ไม่ได้ยินสิ่งที่เขาถาม ยังคงจ้องตาไม่กะพริบ กระทั่งชายหนุ่มเอื้อมมือไปแตะแขนและเรียกชื่ออีกครั้ง เธอจึงสะดุ้งโหยงหลุดออกจากภวังค์

“มะ...มีอะไรหรือเปล่าวะ” เธอถามกลับ

“ฉันควรจะถามแกมากกว่าเป็นอะไร เรียกตั้งนานสองนานก็ไม่ได้ยิน”

“ฉัน...กำลังมองว่าข้างในมันคืออะไร”

ศาลพระภูมิหลังน้อยมีธูปเทียนบูชาครบครัน แถมยังมีขันโตกอาหารคาวหวานตั้งตรงหน้า แต่น่าแปลกที่เธอไม่เห็นว่า ด้านในจะมีพระพุทธรูปหรือเทพใดๆ ที่ควรเคารพ

สิบทิศมองเข้าไปตาม ก่อนที่เขาจะเอ่ย “ก็นั่นไง พระอุปคุต”

“ตรงไหน ไม่เห็นมี” หญิงสาวขมวดคิ้ว เธอยื่นหน้าเข้าไปอีก “เห็นมีแต่ก้อนหิน” 

ใช่ว่าเธอจะไม่รู้จักว่า รูปปั้นพระอุปคุตเป็นเช่นไร

สิบทิศยิ้มให้ “นั่นแหละคือพระอุปคุต”

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ”

“ก็...ชาวล้านนาเชื่อว่า พระอุปคุตเนี่ย ท่านจะช่วยปกป้องไม่ให้หมู่มารมาทำลายงานพิธีสำคัญๆ ได้ ตามตำนานอย่างที่เคยเล่าให้แกฟังไงว่า พระอุปคุตจำศีลอยู่ที่สะดือทะเล และครั้งหนึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชต้องการจัดงานฉลองสมโภชน์องค์พระมหาเจดีย์ แต่กลัวว่าจะมีเหล่ามารมาวุ่นวาย จึงได้นิมนต์ท่านขึ้นมาจากทะเล เพื่อช่วยคุ้มกันให้งานนี้สำเร็จ”

“แล้วสำเร็จหรือปล่า” เพื่อนรักสงสัย

“สำเร็จดิ ก็สามารถกำราบมารไม่ให้มายุ่งได้ละกัน”

“แต่ยังไงก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับก้อนหินนะ” เธอแย้ง

“ก้อนหินเนี่ย เป็นองค์สมมุติของท่าน คนล้านนาเชื่อว่า ก่อนที่จะมีงานบุญหนึ่งวัน จะต้องมีการอัญเชิญพระอุปคุตมาเป็นประธานงานบุญ โดยจะแห่ขบวนไปที่แม่น้ำสายใหญ่เพื่อนิมนต์ท่านขึ้นจากน้ำ ด้วยการงมก้อนหินก้อนใดก้อนหนึ่งขึ้นมา สมมุติว่าเป็นท่าน แล้วแห่กลับมาที่วัด จัดสร้างหอให้ประทับ ตั้งสำรับบูชา เปรียบได้ว่าพระอุปคุตได้มาอยู่ช่วยปกป้องงานนี้แล้ว และพอเสร็จ เราก็ต้องจัดขบวนแห่พาท่านกลับไปที่แม่น้ำเดิมด้วย”

เอื้อมดาวตั้งใจฟังตาแป๋ว บางจังหวะยังยกมือไหว้อย่างศรัทธา

“แกนี่รู้ดีจังเลย”

“โธ่ ก็บ้านฉันอยู่ข้างวัด เมื่อก่อนก็ยังเคยช่วยหลวงลุงงมพระอุปคุตด้วยนะ” เขาได้ทีอวด

“ดีจังเลย” อยู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกตื้นตัน จนเงียบไปนาน

“เฮ้ย...เป็นอะไรวะ มันต้องซึ้งขนาดนั้นเลยเหรอ”

หญิงสาวสูดหายใจลึก แต่กระนั้นคนมองก็ยังเห็นน้ำในตาสั่นระริก

“ยายบ้าเอ๊ย เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มาอีกก็ได้ จะอินอะไรมากมายขนาดนั้น”

เอื้อมดาวหัวเราะร่วน ก่อนจะชวนเขาออกไปเดินเล่นต่อ แต่ก็ยังไม่วายหันไปมองหอพระอุปคุตอีกครั้ง

                

เอื้อมดาวแต่งตัวเรียบร้อย ตั้งใจจะไปตลาดใกล้ๆ เพื่อหาซื้อของจำพวกข้าวสาร อาหารแห้งต่างๆ เพื่อเอาไปใส่ประดับต้นครัวตานที่บ้านของสิบทิศ

อ้อ และเธอจะไปสั่งแม่ค้าขายดอกไม้ให้ช่วยทำกรวยดอกไม้ หรือ ‘สวยดอก’ ให้ด้วย สิบทิศบอกว่า คนที่นี่เวลาจะทำบุญนิยมใช้กรวยดอกไม้แทนการให้เป็นช่อ เป็นเอกลักษณ์หนึ่งของคนล้านนา เพื่อใช้ในพิธีกรรมต่างๆ ตั้งแต่ไหว้พระ ไหว้ครู หรือแม้แต่ไหว้ผี

ขณะที่เดินออกจากบ้าน กำลังจะปิดประตูรั้ว เอื้อมดาวก็ถูกประชิดรวบตัวและปิดปาก!

หญิงสาวตกใจ ไม่มีโอกาสได้ร้องขอก็ถูกบังคับขึ้นรถยนต์ที่จอดใกล้ๆ เธอถูกผลักเข้าไปด้านในและได้ยินเสียงล็อกประตู ก่อนที่คนที่จับตัวเธอจะเปิดประตูฝั่งคนขับแล้วเข้ามานั่งที่

พอเห็นหน้าเขาชัดๆ เธอก็หัวเสีย “ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้นะคะอาจารย์” 

คนรูปหล่อนั่งนิ่ง ก่อนหายใจแรง ตั้งสติอธิบายเรื่องทุกอย่างให้เธอฟัง

“ฟังผมนะเอื้อมดาว ผมไปเมืองเปียงฟ้ามาแล้ว”

“อะไรคือเมืองเปียงฟ้าคะ”

“ก็ดินแดนที่เราสองคนฝันถึงบ่อยๆ ไง มันมีจริง มันคือเมืองเปียงฟ้า”

หญิงสาวชะงัก ถอนหายใจแรง “อาจารย์ยังไม่เลิกเพ้อเจ้ออีกเหรอคะ มันก็แค่ความฝัน”

“มันไม่ใช่ฝัน มันมีจริง และผมจะพาคุณไป” ใต้แว่นหนาของเขามีแววตามุ่งมั่น

“ไม่ค่ะ” เธอเอ่ยเสียงดังฟังชัด “ปล่อยให้มันเป็นเรื่องความฝันเถอะ ฉันว่าเราควรทำวันนี้ ทำปัจจุบันให้ดีก็พอ”

“หึ” คราวนี้เขาหัวเราะร่วน หยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมา “อยู่กับปัจจุบันงั้นเหรอ งั้นคุณดูนี่ว่าเพื่อนของคุณ นายสิบทิศทำอะไรกับเราไว้”

คเชนทร์เปิดคลิปวิดีโอที่แสดงให้เห็นว่า สิบทิศเดินวนอยู่ที่หน้าบ้านของเขา อยู่ที่รถยนต์ซึ่งจอดที่ตึกภาควิชา หรือแม้แต่พยายามสะกดรอยตามเขาตอนขับรถออกนอกมหาวิทยาลัย

“ไฟล์จากกล้องวงจรปิดในมหาวิทยาลัย รวมถึงที่บ้านของผม เห็นชัดว่านายสิบทิศตามผมไปทุกที่ ป้วนเปี้ยนอยู่ที่รถของผม ซึ่งก็สอดคล้องกับผลสืบคดีของตำรวจที่บอกว่ารถที่พุ่งลงจากดอย ไม่น่าจะไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่อาจจะเป็นฝีมือของผู้ไม่หวังดี”

“ไม่จริง” เอื้อมดาวหน้าซีด แต่ภาพในมือถือก็ไม่ได้โกหก 

“หลักฐานชิ้นเด็ด ถ้าส่งถึงมือตำรวจ เพื่อนคุณไม่น่าจะรอด” คเชนทร์เอ่ยเสียงเรียบ 

เอื้อมดาวนั่งนิ่ง ปล่อยให้เขาพูดต่อ

“แต่ถ้าคุณยอมสงบ แล้วไปกับผมแต่โดยดี ผมก็จะไม่เอาเรื่อง”

เอื้อมดาวไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องปล่อยให้ชายหนุ่มหมุนพวงมาลัย พาเธอไปตามใจปรารถนา

 

แรกทีเดียว เอื้อมดาวเข้าใจว่าเมืองเปียงฟ้าที่เขาอ้างถึงน่าจะอยู่แถวๆ เวียงกุมกาม หรือไม่ก็เชิงดอยสุเทพ แต่ผิดคาดเมื่อคเชนทร์บอกว่าต้องขับรถไปทางทิศเหนือ ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบสี่ชั่วโมง

เมื่อกลับไม่ได้ไปไม่ถึง เธอจึงโทรศัพท์บอกสิบทิศว่าคืนนี้มีธุระด่วน ไม่สามารถไปร่วมงานแห่ครัวตานได้แล้ว แม้ชายหนุ่มจะสงสัย แต่เธอก็กลบเกลื่อนว่าไม่มีอะไร เพื่อให้เขาไม่ต้องเป็นห่วง หลักฐานที่คเชนทร์มีเสี่ยงเกินไปหากสิบทิศทำอะไรบ้าบิ่นลงไปอีก

คิดแล้วก็ปวดหัว ไอ้ล่ำนะไอ้ล่ำ ทำอะไรไม่เห็นยอมบอกกันบ้างเลย อย่าบอกนะว่าคืนนั้นแกดันไปตัดสายเบรกรถอาจารย์...

คเชนทร์ขับรถอย่างมีความสุข เขายิ้มและอารมณ์ดีตลอดทาง พยายามเล่าถึงเมืองเปียงฟ้าที่ไปเจอมา และได้คุยกับร่างทรงของกับผีเจ้านายที่ต้องการให้เขาและเอื้อมดาวกลับไปที่นั่น

“ผมว่าคุณอาจจะจำเรื่องราวที่หายไปได้ ถ้ากลับไปที่นั่น”

เอื้อมดาวไม่พูดมาก ได้แต่พยักหน้าเออออ เพราะตราบใดที่จำอะไรไม่ได้ เธอก็ยังรู้สึกไม่ถูกชะตาอาจารย์หนุ่มอยู่ดี

กว่าจะมาถึงเขตอำเภอเวียงแหงก็เกือบจะบ่ายสี่โมง คเชนทร์จอดรถที่ใต้ต้นหางนกยูงฝรั่งที่เดิม ชี้ชวนให้เธอดูแนวกำแพงเก่าของเมือง

“แนวกำแพงก็คล้ายๆ เมืองเชียงใหม่ เพราะเมืองเปียงฟ้าเองก็เคยเป็นหนึ่งในเมืองลูกหลวงของล้านนา ประเพณีวัฒนธรรมต่างๆ จึงไม่ต่างกันเลย” ชายหนุ่มรำพันถึงประวัติของเมืองตามที่ศึกษามา ว่าเมืองเก่าแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อประมาณเจ็ดร้อยปีที่ผ่านมา เคยเป็นเมืองขึ้นของล้านนาและพม่า ก่อนล่มสลายกลายเป็นเมืองร้างที่ถูกลืม 

จากแนวกำแพง เขาพาเธอขึ้นเนินไปถึงซากเจดีย์เก่า ซึ่งเป็นเขตวัดในตัวกำแพงเมือง และพาไปยังจุดที่เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามด้านล่าง เมืองนี้ตั้งอยู่บนที่สูง อาจจะเพราะเป็นชัยภูมิที่ทำให้ข้าศึกบุกเข้ามาหาได้ลำบาก

“หน้าผาตรงนี้ เป็นที่ที่ผมและคุณมักจะฝันว่าเรานั่งเล่นสะล้อด้วยกันไง”

เอื้อมดาวกอดอก มองความงดงามด้านล่าง แสงตะวันเริ่มอ่อนลง สีของแนวป่าเปลี่ยนเป็นแดงอมส้ม นกกาใหญ่น้อยเริ่มบินกลับรัง บางตัวเกาะกิ่งไม้ส่งเสียง ขณะที่ท้องฟ้าเริ่มมีลูกแก้วสีขาวปรากฏ ถ้าเก็บเอาภาพนี้ไปวาดส่งอาจารย์ สิบทิศคงให้เธอใช้สีอีกเฉดแน่ๆ 

“พอจะจำได้หรือเปล่าครับ” คเชนทร์ถาม 

“คะ” เอื้อมดาวหลุดออกจากภวังค์ แม้เขาจะพูดอะไรแต่เธอก็ไม่ได้คล้อยตาม ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ

“ยังจำไม่ได้สินะ ใช่ มันยังมีน้ำตกอีกที่หนึ่งที่ผมยังหาไม่เจอ ที่นั่นสวยงาม เราเคยร่วมรักกันอย่างมีความสุข”

“จำไม่ได้ค่ะ และก็ไม่ได้ฝันบ้าๆ อะไรอีกแล้ว”

“เอาละ ผมเข้าใจ แต่เดี๋ยวหากเข้าพิธีผูกขวัญแล้ว คุณก็จะจำทุกอย่างได้เอง”

หญิงสาวขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด “เดี๋ยวนะคะ พิธีอะไรนะคะ”

เขาไม่เห็นบอกว่าจะต้องมาเข้าพิธีอะไรด้วย ยังไม่ทันได้คำตอบ ก็ได้ยินเสียงแว่วตามลม

“เจ้านาง...เจ้านาง...กลับมาแล้ว”

เสียงลอยลมเพรียกหา อาจจะเป็นเสียงนกกางเขนดง แต่หูตัวเองกลับแปรเสียงแว่วจนได้ยินเป็นเสียงอื่น

“ทุกอย่างน่าจะพร้อมแล้ว” คเชนทร์กระซิบ ก่อนจะพาเอื้อมดาวกลับมาที่กลางเมืองเก่า ที่นั่นมีหญิงชราหลังงุ้มในชุดสีขาวยืนอยู่กลางซากปรักหักพังคล้ายกับวิหาร มีเสารายล้อมจำนวนสิบต้น ลึกเข้าไปเป็นผนังที่มีองค์พระประธานไร้เศียรตั้งอยู่ แววตาของคนแก่ที่มองเธอซ่อนความรู้สึกไว้มากมาย

“นี่คือยายคำเที่ยง เป็นร่างทรงของเจ้าแม่ปาระมา ผีเจ้านายที่คนที่นี่นับถือมานาน”

เอื้อมดาวยกมือไหว้ คำเที่ยงยิ้มและยังมองหน้าเธออยู่อย่างนั้น ก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นมาแตะที่แก้ม เอื้อมดาวจะถอยหนี แต่คเชนทร์ก็ส่ายหัวเป็นเชิงว่าทุกอย่างปลอดภัย

“เจ้านางทิพย์ดารา กลับมาแล้วจริงๆ” น้ำตาของคำเที่ยงไหลอาบแก้ม เธอลูบคลำใบหน้าเอื้อมดาว ก่อนจะเก็บมือไปเช็ดน้ำตาให้ตัวเองแล้วเอ่ยเสียงดัง

“ที่แห่งนี้คือศาลาวิหารหอคำ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ใช้ประกอบพิธีกรรมสำคัญของเมืองเปียงฟ้า”

พระจันทร์ดวงเดิมเริ่มเปล่งประกายส่องแสงสวย ราวกับแก้วงาม ขณะที่ด้านล่างตรงซากวิหารหอคำ มีเทียนใหญ่น้อยจุดเรียงราย 

แสงสีส้มสะท้อนใบหน้าของเอื้อมดาวที่นั่งนิ่งเคียงข้างคเชนทร์ โดยมีพานบายศรีขนาดใหญ่ตั้งตรงหน้าระหว่างหนุ่มสาวทั้งสอง

หญิงชรานั่งตรงกันข้าม หลับตาพนมมือ ท่องคาถาปากขมุบขมิบ ก่อนจะหยิบเส้นฝ้ายที่ขมวดอยู่ในพานบายศรีออกมามัดมือให้ทั้งคู่

พริบตาที่เส้นฝ้ายนั้นสัมผัสผิว เอื้อมดาวรู้สึกร้อนรุ่ม มีลมพัดมาเอื่อยๆ จนเทียนไหววูบสั่นระริก นอกเหนือเขตวิหารหอคำเห็นเงาต้นไม้เรียงแถวเป็นแนวยาว เหมือนเงาคนนับร้อยมายืนดู

“คู่บารมีแห่งเมืองเปียงฟ้าทั้งสอง พร้อมหรือยังที่ข้าจะพาไปพบกับเรื่องราวในอดีต” เสียงแหบพร่าของยายเฒ่าทรงพลัง

“ย้อนยังไงเหรอคะ” ในหัวเอื้อมดาวยังเต็มไปด้วยคำถาม

คเชนทร์เอื้อมมาจับแขน และเอ่ยเสียงเบา “เชื่อมั่นในตัวผมนะ เชื่อมั่นในพรหมลิขิต แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับมาดั่งคำสัญญา”

 “จงหลับตา แล้วข้าจะพาสูเจ้าทั้งสองไปพบกับบุพกรรมที่เคยร่วมทำกันมา” หญิงชราเอ่ยแค่นั้นก่อนจะหลับตาลงก่อน

เอื้อมดาวหวั่นใจ แต่ก็ยอมฝืนใจทำตาม 

เอาให้มันเสร็จๆ ไปดีกว่า ว่าแต่จะให้เธอนึกถึงอะไรเล่า ไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติไหน เธอก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปผูกพันอะไรกับเขา 

ทุกอย่างรอบตัวเงียบสงบ หรีดหริ่งเรไรที่เคยร้องก้องบัดนี้เก็บปีกเงียบเสียง นกกลางคืนที่เคยบินโฉบร้องหาคู่ก็หาย จิตใจของเอื้อมดาวยังไม่นิ่ง พาเธอคิดไปเรื่อยเปื่อย คิดถึงสิบทิศที่ตอนนี้คงเสียใจที่เธอผิดนัด ไม่ยอมไปร่วมแห่ต้นครัวตาน 

ขอโทษนะไอ้ล่ำ ฉันมันคนงี่เง่าที่ทำให้แกต้องลำบากอยู่เรื่อย

ดวงจิตเหมือนลิงป่า อยากให้มันนิ่ง มันก็ไม่นิ่ง คิดเรื่องนี้ โผล่ไปเรื่องนั้น คิดไปถึงครอบครัวที่ไม่รัก คิดไปถึงว่าตัวเองทำไมใจง่าย ยอมให้อาจารย์หนุ่มพามาทำพิธีกรรมประหลาดนี้ได้

“เอื้อมดาว เอื้อมดาว” 

มีเสียงเรียกทำให้หญิงสาวลืมตาตื่น เธอค่อยๆ เปิดเปลือกตา เห็นคเชนทร์อยู่ตรงหน้า เพียงแต่รอบตัวของเขามีสีเงินระยิบ ไม่สิ ตัวของเธอก็เป็นแบบนั้นด้วยเช่นกัน ช่างน่าประหลาดใจแท้

“นี่มันในฝันเหรอ หรือว่าเราตายแล้ว” เธอถามก่อนจะเริ่มเห็นว่า ตอนนี้พวกเธอไม่ได้อยู่บนซากของเมืองเก่า แต่มันคือใต้อาคารที่งดงาม

“ไม่ใช่ฝันหรอก พิธีผูกขวัญกำลังพาท่านทั้งสองมาดูอดีตชาติ” หญิงชราปรากฏตัวขึ้น ลักษณะทางกายเช่นเดียวกับเธอและเขา

“ผมมั่นใจว่ายายคำเที่ยงต้องทำได้แน่ๆ” อาจารย์หนุ่มยิ้มแป้น

ในวิหารหอคำ เริ่มปรากฏผู้คนที่ทยอยเข้ามาด้านใน พวกเขานั่งหมอบ รอการปรากฏตัวของชายชรามาดองอาจ ที่เดินเคียงข้างกับสตรีสูงศักดิ์ เพื่อเริ่มพิธีกรรมบางอย่าง

“นั่นคือเจ้าอ้ายเมือง เจ้าหลวงแห่งเมืองเปียงฟ้า และชายา” คำเที่ยงบอก

ทุกคนที่หมอบกราบยกมือไหว้ ขณะเจ้าหลวงและชายาเดินผ่าน ที่ตามหลังคือหญิงสาวหน้าตาสวย แต่งกายงดงามแบบล้านนา เอื้อมดาวเบิกตาโพลงทันทีที่ได้เห็นใบหน้านั้น

ช่างเหมือนกับเธอไม่ผิด!

“อย่าได้แปลกใจ เพราะนั่นคือเจ้านางทิพย์ดารา ธิดาคนเดียวของเจ้าหลวง ซึ่งก็คือท่านยังไงเล่า” คำเที่ยงแลตาพร้อมกับยิ้มให้เอื้อมดาว

“เห็นหรือยัง เอื้อมดาว คุณมีตัวตนจริงๆ” คเชนทร์ดีใจที่ในที่สุดก็พิสูจน์ได้ว่า เรื่องความฝันไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ

“ใช่ นี่คือเรื่องจริงของเมืองเปียงฟ้า เจ้านางทิพย์ดารางดงามกว่าดาวดวงไหน” คำเที่ยงมองเจ้านางอย่างภูมิใจ

เอื้อมดาวหยิกแขน ขยี้ตา พยายามจะปลุกตัวเองให้ตื่น แต่ก็ไม่เป็นผล หรือว่าหญิงชราคงจะมีมนตร์คาถา สร้างภาพมายามาหลอกได้

ในศาลายังมีเหล่าเชื้อพระวงศ์แต่งกายงดงามเดินเข้ามานั่งอีกจำนวนหนึ่ง แต่คนที่เด่นและเป็นที่จับจ้องมากที่สุดก็คือเจ้านางทิพย์ดารา

“พวกเขากำลังทำอะไรกัน” เธอกันไปถาม

“คืนวันเพ็ญพุธ เมืองเปียงฟ้ามีพิธีต้องตักบาตรเที่ยงคืนและบูชาพระอุปคุต” คำเที่ยงตอบ

“แล้วตัวผมล่ะครับยาย ผมอยู่ที่ไหน”

หญิงชราหันไปมองหน้าชายหนุ่มพร้อมด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าขวัญน่ะหรือ”

“ครับ” ชายหนุ่มหันไปคุยกับเธออย่างภาคภูมิใจ “ผมคือเจ้าชายเชียงใหม่ที่คาดว่าจะมาเที่ยวที่เมืองเปียงฟ้าในฐานะอดีตเมืองลูกหลวง”

ภาพตรงหน้าแปรเปลี่ยน เหมือนกับฉากละครเวที วิหารหอคำที่งดงามมลายหาย กลายเป็นโรงไม้ขนาดใหญ่ ด้านในมีเหล่าคชสารน้อยใหญ่กว่าร้อยเชือก

ช้างเผือกงายาวเกือบเมตรเดินแหวกออกมาจากฝูง โดยคนที่นั่งถือขอสับคือหนุ่มรูปงาม มองยังไงก็มีหน้าตาเหมือนคเชนทร์

ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม ทว่ายังแปลกใจอยู่ที่เขาไม่ได้แต่งตัวงดงามเหมือนชาติเชื้อขัตติยะ ทว่าดูซอมซ่อไม่มีราคา

“เดี๋ยวนะ นั่นคือผมหรือเปล่า” เขาถาม

หญิงชราเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะหัวเราะดังก้อง คเชนทร์และเอื้อมดาวต่างสงสัย

“ใช่ นั่นและสู ไอ้ขวัญ”

“ผะ...ผมคือเจ้าชายเชียงใหม่ใช่ไหม” เขาถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

คำเที่ยงยิ้มกริ่ม ดวงตามองเขาอย่างเย้ยหยัน

“เจ้าน่ะหรือ หาใช่เจ้านายจากเมืองไหน แต่เป็นคนเลี้ยงช้างในคุ้มหลวงต่างหากเล่า” หญิงชราเอ่ยพร้อมกับหัวเราะก้อง 

ชายหนุ่มอ้าปากค้าง แทบจะล้มทั้งยืน


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น