๑๐
“ไหนอาจารย์บอกว่าตัวเองเป็นเจ้าชายไง” เอื้อมดาวได้ทีถาม ขณะที่อีกฝ่ายยังอึ้งกับภาพตรงหน้า
“นั่นสิ ไหนบอกว่าผมเป็นเจ้าชายจากเชียงใหม่ไง” เขาหันไปถามความจริงจากร่างทรง
คำเที่ยงหยุดหัวเราะ และหันไปมองหน้า “สูเข้าใจไปเอง ข้าก็ไม่อยากจะขัด”
ภาพตรงหน้าเห็นนายขวัญ หนุ่มเลี้ยงช้าง กำลังแอบมองเจ้านางทิพย์ดารายามที่นั่งเสลี่ยงผ่าน
“ดูสิ นิยายรักของดอกฟ้ากับหมาวัด มันจะจบลงเช่นไรหนอ”
เอื้อมดาวเห็นตัวเองที่เป็นสตรีสูงศักดิ์ ชม้อยชม้ายชายตาให้ชายหนุ่มแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
“เอาเลยยาย มาถึงขนาดนี้ เล่าต่อให้สุด” หญิงสาวไม่กลัว บางทีความจริงอาจจะทำให้ความฝันบ้าๆ ของเขาพังลงมาได้
คำเที่ยงยิ้มกริ่ม มองหน้าชายหญิงทั้งคู่ ก่อนที่ร่างของเธอจะค่อยจางหายและกลายร่างเป็นเงาสีดำที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
หนุ่มสาวอ้าปากค้าง
“ถ้าอย่างนั้นสูเจ้าทั้งสองจงตั้งใจฟัง” ฉากตรงหน้าหมุนเปลี่ยนอีกครั้ง
เมืองเปียงฟ้า
หลังจากเจ้าอ้ายเมือง เจ้าหลวงปัจจุบันได้ปกครองเมืองเปียงฟ้าอย่างผาสุกมาเป็นเวลากว่าสามสิบปี ยามนี้สถานการณ์บ้านเมืองรอบด้านกลับระอุไปด้วยไฟสงคราม
เมืองม่านต้องการสร้างอาณาจักรให้แข็งแกร่ง เพื่อใช้เป็นกำลังในการต่อต้านการล่าอาณานิคมของประเทศตะวันตก จึงส่งแม่ทัพฝีมือดีบุกตีเมืองน้อยใหญ่รอบข้าง ขณะที่ฝ่ายล้านนาก็มีนโยบายสวามิภักดิ์กับประเทศสยาม สถานการณ์เช่นนี้เมืองเปียงฟ้ากำลังถูกบังคับให้เลือกข้าง ซึ่งเจ้าอ้ายเมืองไม่เห็นด้วย พระองค์ต้องการให้เมืองเปียงฟ้าเป็นอิสระ ไม่ต้องเป็นเมืองขึ้นของใคร จึงมีแผนการที่จะให้เจ้าทิพย์ดารา ธิดาคนเดียวไปอภิเษกสมรสกับเจ้าเชียงทอง เจ้าชายเมืองเวียงหมอก เมืองที่เป็นมิตรไมตรีที่ดีต่อกันมาตลอด ด้วยหวังว่าหากสองเมืองเป็นทองแผ่นเดียวกัน จะสามารถสู้รบตบมือกับทั้งเมืองม่านและล้านนาได้
ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปได้ดี แต่แล้วเจ้าอ้ายเมืองก็เสด็จสวรรคตกะทันหัน สร้างความเสียใจให้ชาวเมือง เจ้าหล้าฟ้าคำพระอนุชาจึงเสด็จขึ้นครองราชย์แทน และทำให้เจ้าทิพย์ดาราถูกลดยศลำดับในพริบตา
เมืองเวียงหมอกมีเงื่อนไขว่า เจ้าชายต้องสมรสกับราชธิดาเมืองเปียงฟ้าเท่านั้น นั่นเท่ากับว่า คนที่จะต้องถูกส่งตัวไปเป็นเจ้านางเมืองเวียงหมอกก็คือ ‘เจ้าแก้วจันตา’ ธิดาของเจ้าหล้าฟ้าคำนั่นเอง
ในเมื่อชีวิตมันเล่นตลก จากลูกกษัตริย์มาเป็นเพียงหลานสาว ตำแหน่งว่าที่ชายาเจ้าชายเมืองใหญ่ก็ถูกสลับสับเปลี่ยนตัว ทิพย์ดาราเป็นเจ้าหญิงที่ถูกลืม เธอเก็บความน้อยเนื้อต่ำใจไว้ในอ้อมอก
ในวันที่ทุกคนต่างพร้อมใจกันไปส่งเจ้าแก้วจันตาขึ้นขบวนช้าง เพื่อไปถวายตัวที่เมืองเวียงหมอก เจ้าหญิงที่ถูกลืมนั่งร้องไห้อยู่ที่ริมน้ำ ใครคนหนึ่งก็เข้ามานั่งข้างๆ พร้อมกับยื่นอ้อยควั่นรสหวานมาให้ชิม
“เจ้าทิพย์ดารา คนงามอย่างท่านไม่ควรที่จะต้องมาเสียใจ”
“เจ้าเป็นใคร” เจ้าหญิงไว้ตัว เกรงว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ประสงค์ดี แม้ว่าเขาจะดูดีไม่น้อย ตาเรียวเล็ก จมูกโด่งเป็นสัน และใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์
“ข้าชื่อขวัญ เป็นคนเลี้ยงช้างคนใหม่”
คำแนะนำตัวของชายหนุ่มทำเธอหยามเหยียด แต่เมื่อพิศมองดูตัวเองเวลานี้ ชายหนุ่มยังมีค่ามากกว่าเธอนัก
อย่างน้อยเหล่าช้างใหญ่น้อยในคุ้มหลวงก็ยังต้องการเขา...แต่เธอสิ ไร้คนสงสารและเห็นใจ...
นั่นเป็นนิยายรักบทแรกที่เกิดขึ้น ความผูกพันก่อตัวขึ้นเงียบๆ ทุกครั้งที่เธอเศร้า เขาก็มักจะปรากฏตัวอยู่ข้างๆ ชายหญิงเหมือนดึงดูดกันราวกับแม่เหล็กชั้นดี ดวงตาของเขาซ่อนความอ่อนโยนไว้มากมาย และเธอเองก็รู้สึกว่า ตัวเองมีคุณค่าเมื่อได้อยู่กับเขา
นายขวัญคือหยาดฝนรดฉ่ำ ในวันที่หัวใจเธอแห้งผาก จนก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ลับๆ ระหว่างหลานสาวเจ้าหลวงกับคนเลี้ยงช้าง
แต่หนทางรักของทั้งสองยากที่จะสมหวัง โดยเฉพาะการเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ของเมืองเปียงฟ้า
“แม้วันนี้จะยังไม่ได้ไปเป็นเจ้านางเมืองเชียงทอง แต่อีกไม่นาน ข้าก็อาจจะต้องถูกส่งตัวไปถวายเจ้าชายเมืองอื่น” เธอตัดพ้อ เกิดเป็นสตรีสูงศักดิ์ หน้าที่ย่อมอยู่เหนือความรัก
เขาทำหน้านิ่งก่อนจะทิ้งตัวลงคุกเข่า คว้ามือของทิพย์ดารามาจุมพิต หญิงสาวหน้าแดงระเรื่อ พูดอะไรไม่ออก
“ถ้าเจ้านางไม่รังเกียจ ข้าพร้อมจะพาท่านไปเริ่มต้นชีวิตใหม่”
“กล้าดีเช่นไร ในเมื่อเจ้าเป็นแค่เพียงคนเลี้ยงช้าง” เธอถาม
“แม้ข้าจะเป็นคนเลี้ยงช้าง แต่พ่อข้าเป็นถึงเศรษฐีใหญ่อยู่ในเมืองเชียงใหม่ ข้าจะพาท่านหนีไปที่นั่น”
ทิพย์ดาราเบิกตาโพลง ช่วงเวลาที่หลงทางอยู่ในทางที่มืดมน อยู่ๆ ชายหนุ่มก็เหมือนเป็นเทพบุตรที่ชี้ให้เห็นแสงสว่างให้
“จริงหรือ...นายขวัญ” เธอเอ่ยด้วยความดีใจ
“ถ้าเจ้านางจะยอมเสียสละยศถาบรรดาศักดิ์ มาเป็นยอดดวงใจของข้า...”
“ข้ายินดี” เจ้าหญิงตอบโดยไม่คิดมาก “ในเมื่อเวลานี้ไม่มีใครสนใจข้าอยู่แล้ว ได้โปรดพาข้าและแม่ไปอยู่ในเวียงเชียงใหม่ด้วยเถอะ”
หนุ่มร่างใหญ่ยิ้มและลุกขึ้นโอบกอดเธอไว้แน่น ทิพย์ดารายิ้มอย่างเป็นสุข ในเมื่อรอบตัวมีแต่ความวุ่นวาย และไม่มีใครสนใจเธอ ดังนั้นเธอจะขอไปอยู่ดินแดนใหม่ที่มีแค่เธอและเขา
ภาพทั้งหมดดับลง คเชนทร์ยืนนิ่ง ยังคงตะลึงเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นแค่คนเลี้ยงช้าง
“เจ้าหญิงคนงามกับบ่าวเลี้ยงช้าง ลักลอบได้เสียเป็นเมียผัว ไม่อายฟ้าอายดิน ผีปู่ผีย่า” ร่างของคำเที่ยงปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“ไม่ใช่คู่บารมี แต่เป็นคู่เวรคู่กรรม” เอื้อมดาวเอ่ย
“แต่ว่า...มันก็คือความรักไม่ใช่เหรอ คุณก็เห็นนี่เอื้อมดาว ว่าแม้ผมจะเป็นแค่คนเลี้ยงช้าง แต่ก็เป็นลูกเศรษฐีจากเชียงใหม่” ชายหนุ่มยังหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง
“ลูกเศรษฐีแล้วมาเลี้ยงช้างทำไม เป็นฉันนอนกระดิกเท้ากินน้ำพริกหนุ่มกับแคบหมูอยู่เชียงใหม่นู่น” เอื้อมดาวเถียง
“แล้วสะล้อล่ะ ผมเล่นสะล้อให้เธอฟังใช่ไหม” คเชนทร์ยังถามหาหลักฐานในการยืนยันความรัก
ภาพตรงหน้าเปลี่ยนฉาก ทำให้เห็นว่าที่โรงละครของคุ้ม เจ้าทิพย์ดารากำลังนั่งสีสะล้อ
“เจ้านางเองก็เล่นสะล้อได้ไพเราะเช่นกัน เพราะถูกอบรมกิริยามารยาทให้เป็นกุลสตรีที่ดี” คำเที่ยงมองอย่างซาบซึ้ง ก่อนที่ภาพจะเปลี่ยนเป็นการเล่นสะล้อของนายขวัญบนหลังช้าง
“และสู...ก็เล่นได้ไพเราะ จึงใช้มันสื่อรัก ยามที่เจ้านางเศร้า ไอ้ขวัญคนนี้มันก็สีเพลงหวานคอยปลอบ”
“นั่นไงเอื้อมดาว ทุกสิ่งที่ผมทำไป เพราะความรักทั้งนั้น” เขาพยายามอธิบาย “ไม่แน่ ทั้งเจ้านางและนายขวัญอาจจะมีส่วนสำคัญให้เมืองเปียงฟ้านั้นปลอดภัยจากข้าศึก”
“จะเป็นไปได้ไง ฝ่ายหนึ่งก็คนเลี้ยงช้าง ฝ่ายหนึ่งก็เจ้านางตกยาก แถมยังคิดแต่จะหนีไปเมืองเชียงใหม่” เอื้อมดาวเถียง
“นั่นสินะ” คำเที่ยงกลายร่างเป็นควันสีดำ โพยพุ่งเลื้อยขึ้นบนอากาศ ภาพตรงหน้าเปลี่ยนเป็นคุ้มของเจ้าคนงามอีกครั้ง
เจ้าทิพย์ดาราเหลียวซ้ายแลขวา ค่อยๆ เดินลงมาจากคุ้มของตน มุ่งตรงไปยังโรงเลี้ยงช้าง
หนุ่มกล้ามใหญ่ดวงตารีเล็กยิ้มกว้างเมื่อเห็นเจ้าหญิงเดินมา เขาก้มตัวอย่างนอบน้อม ก่อนจะจับข้อมือของเธอจูงเข้าไปในห้องพักของเขา ทิพย์ดาราทำบ่ายเบี่ยงพอเป็นพิธี แต่กลิ่นชายที่โลมเล้าทำให้เธอใจสั่นและยอมเป็นลูกไก่ในกำมือ
“ข้ามาหาท่านแต่เช้าวันนี้ แค่จะมาถามว่า เมื่อไหร่จะพาข้าหนีไปจากเปียงฟ้าเสียที” เธอถามสิ่งที่หนุ่มเลี้ยงช้างเคยสัญญา
ไม่สิ...เขาไม่ได้เป็นหนุ่มเลี้ยงช้างธรรมดา นายขวัญเป็นถึงลูกชายพ่อเลี้ยงเมืองเชียงใหม่ที่มาบวชเรียนที่เมืองเปียงฟ้า สึกมาได้ไม่นานก็มาขอสวามิภักดิ์กับเจ้าหล้าฟ้าคำช่วยดูแลช้างศึก ระหว่างที่ตัดสินใจเรื่องอนาคตของตัวเอง ใครจะรู้ว่าพรหมลิขิตสะกิดให้เขาต้องตาต้องใจเจ้าหญิงผู้หยิ่งทะนงอย่างเธอได้
ขวัญยื่นหน้าไปหอมแก้มนวล เจ้าหญิงเอียงแก้มหลบ
“ตอนนี้ กองทัพโป่สมิงจากเมืองม่านส่งทัพมาประชิด อีกไม่นานคงจะบุกเข้ามาเมืองเปียงฟ้าแน่ และเมื่อนั้นข้าจะถูกจับไปเป็นเชลยศึก และเราอาจจะ...”
หนุ่มเลี้ยงช้างหน้าซีด เขากำมือเธอไว้แน่น
“อย่าคิดมาก เจ้าทิพย์ดารา ตราบใดที่ข้ายังอยู่ จะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องท่านได้แม้แต่ปลายก้อย”
“ท่านจะทำยังไงต่อไป”
“ข้าเคยบอกท่านแล้ว หากถึงเวลาที่ทุกอย่างพร้อม ข้าจะพาท่านกับเจ้าแม่นั่งช้างล่องไปเวียงเชียงใหม่ เพื่อไปหาพ่อกับแม่ข้าในปางช้าง”
“ข้าจำได้ แล้วเมื่อใดล่ะ ข้าเกรงว่ามันอาจจะสายเกินไป”
“ท่านพร้อมเมื่อไหร่ ข้าก็พาท่านไปจากที่นี่ทันที”
“ถ้างั้น คืนพรุ่งนี้ท่านพาข้าไปได้เลย ข้าพร้อมแล้ว”
เขาทำหน้าครุ่นคิดจนเธอสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่า”
“มีบางอย่างที่ข้าต้องการ”
“อะไร”
“การหนีไปเชียงใหม่ ข้าต้องการกุญแจอยู่สองดอก ดอกแรกเป็นของประตูโรงเก็บช้างที่ลุงเกี๋ยงเป็นคนเก็บไว้ เพื่อจะได้พาพลายข้าวก่ำออกมา และดอกที่สองก็คือประตูหลังคุ้มใกล้ต้นโพธิ์ เราต้องหนีออกไปทางนั้น ข้าเป็นแค่คนเลี้ยงช้าง ไม่สามารถเอามันมาได้ คงต้องให้เจ้านางหามันมาให้ข้า” เขาให้เหตุผล
“ประตูคุ้มหลังใกล้ต้นโพธิ์ มันมีด้วยหรือ” เธอสงสัย
“มันเคยเป็นประตูที่ใช้ขนอาวุธ แต่เลิกใช้ไปนานแล้ว เราต้องออกไปทางนั้นจะได้ไม่มีใครเห็น”
“แล้วมันเก็บไว้ที่ไหน”
“ได้ยินมาว่า มันอยู่ในห้องของท่านอินถา ขุนนางคนสนิทของเจ้าหลวง”
“ได้ คืนพรุ่งนี้ หลังพระจันทร์ขึ้น ข้ากับแม่จะมาหาท่านที่หน้าโรงเลี้ยงช้าง พร้อมกุญแจสองดอกนั้น” เจ้าทิพย์ดารารับปาก นายขวัญยิ้มซื่อ พร้อมกับเอียงหน้าจุมพิตและพลอดรักกันอย่างหวานชื่น ราวกับโลกนี้มีเพียงเขาและเธอ
“บทรักหวานๆ นี่ไม่ต้องเอามาให้เห็นบ่อยก็ได้นะคะยาย ฉันเลี่ยน” เอื้อมดาวแทรกขึ้นมาเพราะทนไม่ไหวที่ต้องเห็นฉากพลอดรักของตัวเอง “วันๆ ไม่เห็นทำอะไรเพื่อบ้านเมือง นอกจากจะชวนกันหนี”
“แต่ผมว่า มันต้องมีอะไรบางอย่างที่ทั้งคู่ทำแบบนั้น” คเชนทร์ยังเชื่อความรู้สึก
ควันดำของร่างทรงผีเจ้านายลอยละล่องพร้อมกับเสียงหัวเราะ ก่อนจะคลุมรอบตัวให้มืดมิด
ฉากแปรเปลี่ยนเห็นดวงตะวันเลื่อนลงมาใกล้ขอบดอย ภูเขาสีเขียวกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม แสงยามเย็นสาดส่องเข้ามาในห้องเจ้าทิพย์ดารา
เจ้านางนั่งใจหาย คืนนี้แล้วสิที่เธอจะต้องเดินทางไปกับนายเลี้ยงช้างคนนั้น ทว่ายิ่งใกล้ถึงเวลา เธอยิ่งกลับกระวนกระวายใจ
ทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไรหนอ เมืองพิงค์ที่จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ คนที่นั่นจะต้อนรับเธอหรือเปล่า เธอคงต้องปรับตัวมากทีเดียวในการเป็นคนธรรมดาสามัญชน
ทิพย์ดาราเดินไปชะเง้อมองที่หน้าต่าง รอให้ดวงตะวันลาลับ หากดวงเดือนลอยขึ้นบนฟ้า หนุ่มเลี้ยงช้างจะพาเธอออกไปจากคุ้ม แต่ทั้งนี้ เธอไม่ลืมภารกิจที่นายขวัญร้องขอ นั่นคือการนำเอากุญแจสองดอกที่จะปลดปล่อยชีวิตของเธอออกมาด้วย
หญิงสาวเดินมุ่งไปยังโรงเลี้ยงช้าง ขณะที่บ่าวไพร่คนอื่นๆ แยกย้ายกันทำธุระจนเหลือเพียงไม่กี่คน ไม่ยากที่เธอจะใช้อำนาจของตัวเองขอเข้าไปด้านใน
“ข้าอยากจะขอตรวจสอบดูจำนวนช้างในคุ้ม ว่ามันได้อยู่ดีกินดีกันหรือไม่ ยามศึกสงคราม เจ้าอาบอกให้ทุกคนช่วยกันเป็นหูเป็นตา” เธอให้เหตุผลโดยอ้างถึงเจ้าหล้าฟ้าคำ คนเฝ้าประตูจึงไม่อาจปฏิเสธ
เมื่อปลอดคน เจ้าทิพย์ดารารีบคว้ากุญแจที่แขวนไว้ด้านในสุด มันอยู่ตรงตามที่นายขวัญบอก
เสร็จภารกิจกุญแจดอกแรก ทิพย์ดาราเดินปรี่ไปยังห้องของอินถาอันเป็นขุนนางผู้สัตย์ซื่อ ผู้คุมด้านการรบทุกอย่างเคียงคู่กับเจ้าหล้าฟ้าคำ
เธอใช้เวลาไม่นานในการแกล้งถามเรื่องการศึก รวมถึงขบวนถวายตัวของแก้วจันตา เมื่ออินถาเห็นถึงความเป็นห่วงเป็นใยจากเจ้านาง จึงยินดีบอกเรื่องราวทั้งหมด โดยมิได้สังเกตว่าหลานสาวเจ้าหลวงแอบหยิบกุญแจเก่าดอกหนึ่งออกไปด้วย
ทิพย์ดารากุมกุญแจสองดอกไว้แน่น มือชุ่มไปด้วยเหงื่อ เกรงจะมีคนเห็น แต่ก็คิดในใจว่า ยังไงเสียมันก็แค่ประตูเก่าที่ไม่มีใครสนใจ หากพาตัวเองพ้นประตูนั้นไป ทุกอย่างก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม คงไม่มีใครสังเกตเจ้าหญิงและช้างที่หายไปหนึ่งเชือก ในช่วงเวลาที่ไฟสงครามกำลังระอุ
ภาพถูกตัดเปลี่ยนมาตอนที่ประตูหลังคุ้มถูกเปิดออกอย่างยากลำบาก เพราะร้างราจากการใช้งานมานาน ขวัญใช้มีดฟันกิ่งไม้และกาฝากที่ขึ้นอยู่เต็ม แผ้วถางทางให้กุญชรตัวใหญ่นั้นเดินออกไปได้
เมื่อพ้นประตู ชายหนุ่มจึงค่อยขึ้นช้างและหันมองเจ้าหญิงที่นั่งอยู่บนกูบ ทิพย์ดารายังคงสะอื้นไห้อยู่อย่างนั้น เพราะมารดาไม่ยอมเดินทางมาด้วย
“เจ้าทิพย์ดารา ทำใจให้สบาย จากนี้ไปท่านไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้ว ใครที่มันคิดจะทำร้ายท่าน จะมีข้าไอ้ขวัญคนนี้คอยปกป้อง”
คำพูดนั้นทำให้เธออุ่นใจ
“ข้าไม่แน่ใจ ว่าสิ่งที่ทำอยู่ มันดีหรือไม่” เจ้านางเอ่ยพร้อมกับหันไปมองด้านหลัง ไฟในคุ้มส่องสว่างระเรื่อท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาล
“เชื่อข้าเถอะเจ้าหญิง หนทางข้างหน้าท่านจะอยู่สุขสบาย โดยมีข้าคอยเคียงข้าง” เขาให้คำสัญญา
พลายข้าวก่ำค่อยๆ พาสองชีวิตออกประตู ผ่านคูเมืองและหายเข้าไปในป่ามืด
“พอเถอะค่ะยาย ฉันว่าฉันทนดูไม่ไหวแล้ว ไม่ต้องเอาอดีตชาติแย่ๆ มาให้พวกเราเห็น ถ้าเป็นไปได้ลบทิ้งได้เลย ฉันไม่อยากจำ” เอื้อมดาวเอ่ยออกมาเพราะไม่อยากเห็นภาพต่อไปแล้ว
เสียงหัวเราะของคำเที่ยงดังก้อง จนทำให้ทั้งคู่หลุดออกจากพิธี กลับมาอยู่ที่วิหารหอคำตามเดิม แต่หญิงชราร่างทรงกลับหายไปแล้ว
“เห็นหรือยังคะอาจารย์ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เราคิดไปเองทั้งนั้น ไม่เห็นทำอะไรเพื่อบ้านเมืองเลย” เอื้อมดาวส่ายหัวพร้อมกับลุกขึ้น เธอไม่สนพิธีกรรมอะไรอีกต่อไปแล้ว
“แต่คุณก็น่าจะเห็นถึงความพยายามในความรักของเรานะ”
“พยายามที่จะทำเพื่อตัวเองมากกว่า คนอะไร บ้านเมืองเต็มไปด้วยสงคราม ยังจะหนีเอาตัวรอดเพียงคนเดียว” แม้เจ้านางจะหน้าเหมือนตัวเอง แต่เอื้อมดาวก็ไม่ได้เข้าข้าง
“แต่อย่างน้อย เราสองก็ได้ครองรักกันอย่างสมหวัง”
“เลิกเพ้อเจ้อเถอะค่ะอาจารย์ ตอนนี้ฉันก็ยังจำเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับอาจารย์ไม่ได้เหมือนเดิม อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ปล่อยมันผ่านไปเถอะ ที่สำคัญหากอาจารย์รักฉันจริง ควรพยายามทำชาตินี้ให้ดีดีกว่า อย่าขี้โกงด้วยการใช้โควตาจากอดีต”
คเชนทร์เถียงไม่ออก ทุกอย่างรอบตัวกลับมาเป็นปกติ เทียนรอบกายดับหมด เสียงหริ่งเรไรระงม พร้อมกับเสียงสัตว์กลางคืนที่ร้องก้องป่าชวนวังเวง
เอื้อมดาวเริ่มกลัว พิธีกรรมประหลาดนั้นคงใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงได้
“กลับกันเถอะค่ะ” เธอเอ่ยพร้อมกับเดินนำไปที่รถ เธออยากกลับบ้าน และไม่ขอเจอเขาอีก
คเชนทร์เดินตามหลัง ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าเธอกับเขาจะแอบหนีออกจากเมือง แต่ทั้งหมดก็เพื่อความรักไม่ใช่หรือ...
ค้างคาวกลุ่มใหญ่บินว่อนราตรี ยามที่มันเคลื่อนผ่านพระจันทร์ เห็นเป็นจุดสีดำเคลื่อนไหว น้ำค้างลงหนา เกาะค้างบนยอดไม้ ก่อนจะร่วงหล่นบนพื้นเสียงดังเปาะแปะ อากาศที่เย็นลงทำให้เอื้อมดาวห่อไหล่ระหว่างยืนรอชายหนุ่มที่รถ เวลาตอนนี้น่าจะประมาณห้าทุ่ม
เมื่อทั้งสองเปิดประตูเข้ามาในรถ คเชนทร์ก็ไม่พูดอะไร แต่เอื้อมดาวก็ไม่สนใจ ต่อให้รื้อฟื้นอดีตชาติแบบสามมิติ เธอก็ไม่อิน
“ผมว่าทั้งเจ้านางและนายขวัญ คงได้ครองรักกันที่เชียงใหม่แน่ๆ เราถึงได้มาเจอกันที่นี่ และเริ่มมีจิตที่ผูกกัน” เขายังไม่เลิกตื๊อ หญิงสาวรีบยกมือเป็นเชิงห้าม
“พอเถอะค่ะอาจารย์ รีบกลับกันเถอะ ฉันเพลียเต็มทนแล้ว”
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก “แต่ผมว่าเราน่าจะไปลายายคำเที่ยงเสียหน่อย”
“ลาที่ไหนล่ะคะ ยายคำเที่ยงหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้”
คเชนทร์กำลังจะสตาร์ตรถ แต่แล้วก็มีแสงไฟวูบวาบอยู่ด้านนอก เอื้อมดาวหันไปยังกระจกด้านข้างก็ต้องสะดุ้งโหยง เพราะปรากฏร่างของชายหนุ่มใบหน้าเหลืองซีดแนบชิดกับกระจกหน้าต่างรถ
“กรี๊ด!”
“เดี๋ยวนะ” คเชนทร์คุ้นๆ หน้าเขา ก่อนจะพบว่าแสงไฟบนหน้าที่เห็นคือแสงไฟฉายในมือ อีกฝ่ายเคาะกระจก เมื่อเห็นว่ารู้จักจึงยอมลดกระจกลง
ชายหนุ่มมีคนติดตามอีกห้าคน พวกเขามีสีหน้าโล่งใจที่เจอคเชนทร์และเอื้อมดาว
“มีคนเห็นว่ามีรถยนต์ขึ้นมาที่เขตเมืองเก่า แล้วยังไม่ลงมา ผมและลูกบ้านเลยชวนกันออกตามหา พวกคุณปลอดภัยดีนะ” เขาเอ่ยถึงสาเหตุที่ต้องเดินขึ้นมายังเขตเมืองเก่าในเวลาวิกาลที่มักไม่มีใครทำ
“ปลอดภัยดีครับ พอดีผมมาทำพิธีกับยายคำเที่ยง” คเชนทร์ตอบ
กลุ่มผู้ใหญ่บ้านขมวดคิ้ว ก่อนจะมองหน้ากันเหลอหลา “คำเที่ยงไหนเหรอพ่อหนุ่ม”
“ก็คนที่เป็นร่างทรงเจ้าแม่ปาระมาไงครับ เธอให้พวกเรามาทำพิธีผูกขวัญ แต่เรียบร้อยแล้ว เรากำลังจะกลับ”
ผู้ใหญ่บ้านสมพรหน้าซีด กวาดไฟฉายไปรอบๆ แสงสีส้มตัดความมืดเป็นทางยาว แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ
“จะเป็นไปได้ยังไงกันครับ ในเมื่อยายคำเที่ยงแกนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลมาเกือบเดือนแล้ว”
“อะไรนะ” เอื้อมดาวร้องเสียงหลง กลืนน้ำลายฝืด เหลียวมองรอบกาย ตอนนี้ทุกอย่างรอบตัวก็ดูน่ากลัวไปหมด
“แน่ใจนะผู้ใหญ่ เพราะแกเป็นคนจัดเตรียมพิธีให้เราทุกอย่างตรงวิหารหอคำ” คเชนทร์ชี้ไปยังสถานที่ประกอบพิธีเมื่อครู่ เหล่าลูกน้องของผู้ใหญ่ยิงลำแสงของไฟฉายไปตามที่พูด ก็พบว่าบัดนี้ทุกอย่างมืดมิด ไม่มีพิธีกรรมอะไรทั้งนั้น
“ผมเป็นผู้ใหญ่บ้านนะครับ รู้ว่ามีใครเข้าออกหมู่บ้าน เช้านี้ก็ยังคุยกับลูกสาวยายคำเที่ยงอยู่ ผมว่าคุณสองคนรีบกลับไปเถอะ” สีหน้าของผู้ใหญ่บ้านและลูกน้องก็ดูหวาดกลัวไม่ต่างกัน
ทันทีที่สตาร์ตรถติด เอื้อมดาวก็บอกให้เขาเร่งเครื่องออกจากหมู่บ้านให้เร็วที่สุด
“เป็นไงล่ะ ดูทรงแล้วฉันว่าเรื่องของเราไม่มีอะไรหรอก นอกจากโดนผีหลอก” หญิงสาวกอดอกพยายามช่วยเขามองทางข้างหน้า เพราะเกรงว่าจะเห็นอะไรผิดปกติอีก
“เจ้าแม่ปาระมาอาจจะอยากบอกเล่าเรื่องทั้งหมดให้เรารู้ จึงแปลงกายเป็นยายคำเที่ยงไงล่ะ”
“เพื่ออะไรล่ะคะ” เธอย้อนคนที่ยังงมงาย
“เพื่อให้เห็นว่า เราสองคนรักกันเพียงใด”
“ถูกแล้ว” เสียงแหบพร่าของใครไม่รู้ดังขึ้น
เอื้อมดาวตาตื่น หันไปมองหน้าชายหนุ่ม “เมื่อกี้ใครพูด”
ชายหนุ่มก็ตอบไม่ได้ กระทั่งเขาเห็นว่ามีผีเสื้อตัวเล็กเกาะอยู่ที่กระจกส่องหลัง เอื้อมดาวเพ่งมอง แมลงตัวนั้นเกาะนิ่ง และเริ่มขยับปีก
“ทำไมรีบกลับล่ะ พวกสูควรจะได้เห็นมันต่อ”
เสียงมาจากผีเสื้อ และตอนนี้ตัวของมันเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหัวขยับไปมาและกลายเป็นศีรษะของหญิงชราที่หมุนคอได้รอบทิศ นางหันหน้ามาสบตา หัวเราะลั่น พร้อมๆ กับร่างที่ขยายจนปีกโตพอๆ กับฝาหม้อบังทัศนวิสัยตรงหน้า
“กรี๊ด!”
เอื้อมดาวกรีดร้องด้วยความกลัว คเชนทร์พยายามตั้งสติ แต่รถก็เสียหลักพุ่งลงข้างทางซึ่งเป็นร่องน้ำเกษตรกรรมของชาวบ้าน
“ช่วยด้วย! ผีหลอกๆ” หญิงสาวสติแตก รีบเปิดประตูรถและวิ่งออกไปยังกลางถนน พยายามค้นหาโทรศัพท์ในกระเป๋า
“เดี๋ยวสิ เอื้อมดาว” คเชนทร์ตะโกนตามหลังด้วยความเป็นห่วง แต่กว่าจะปลดเข็มขัดนิรภัย และพาตัวเองออกจากรถได้ เอื้อมดาวก็วิ่งกระเจิดกระเจิงไปแล้ว
“ไอ้ล่ำ ช่วยด้วย ฉันถูกผีหลอก!” หญิงสาวเอ่ยตะกุกตะกักเมื่อปลายสายกดรับ
“อะไร ผีหลอกอะไรที่ไหน”
“ผียายคำเที่ยง แกมาช่วยฉันที ฉันอยู่ที่เมืองเปียงฟ้า...”
เอื้อมดาวจะพูดต่อ ทว่าตรงหน้าก็พบกับหญิงชราที่กำลังเอ่ยถึงยืนแสยะยิ้ม
“ยายคำเที่ยง ปล่อยพวกเราไปเถอะ” หญิงสาวร้องขอ
หญิงชรายิ้ม ก่อนจะเอ่ยเสียงแหบและกรีดมือฟ้อนรำไปมา ท่ามกลางแสงเดือนขาว
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ข้าไม่ใช่ยายแก่คำเที่ยงหรอก ข้าคือเจ้าแม่ปาระมา ผีบรรพบุรุษของเมืองเปียงฟ้าที่รอคอยวันนี้มานาน”
“อย่า ได้โปรด ฉันอยากกลับบ้าน”
“จะรีบไปไหนล่ะ เจ้านาง ไม่อยากฟ้อน ไม่อยากรำ ไม่อยากฟังเสียงสะล้อแล้วเหรอ”
ราวกับมนตร์เนรมิต เพราะตอนนี้เอื้อมดาวได้ยินเสียงดนตรี สะล้อ ซอ ซึง ขับขานกังวานทั่ว
หญิงแก่หลังค่อมฟ้อนรำกลางแสงเดือน บางจังหวะแอ่นหลังปล่อยผมยาวสยายลงคลอเคลียกับพื้น
“กรี๊ด!!” เธอขนลุกเกรียวตั้งแต่ท้ายทอยลามไปถึงสันหลัง ตัดสินใจวิ่งจนทำโทรศัพท์หล่นลงกับพื้น
คเชนทร์วิ่งตามหลังมา เมื่อเห็นนาฏกรรมของคำเที่ยงก็ชะงัก แต่ด้วยความเป็นห่วงจึงรีบตามเอื้อมดาวไปต่อ
“ช่วยด้วยค่ะ!” หญิงสาวตะโกนขอความช่วยเหลือ ยกมือไหว้วอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ น้ำตาไหลพรากด้วยความกลัว
“เอื้อมดาว รอก่อน!” อาจารย์หนุ่มวิ่งตามมาทัน
“เพราะคุณคนเดียวอาจารย์คเชนทร์ เพราะคุณยึดติดกับความฝัน อดีตชาติบ้าๆ ทำให้เราต้องมาเจอเรื่องแบบนี้” เอื้อมดาวโวยวาย เริ่มคุมสติไม่อยู่
“ใจเย็นๆ ผมอยู่นี่แล้ว คุณไม่ต้องกลัวอะไร”
เมื่อเห็นสีหน้าและวาจาของคเชนทร์ที่เอ่ยออกมานั้น แวบหนึ่งในสมองเธอรู้สึกว่า ช่างเหมือนกับสีหน้าของคนเลี้ยงช้างยามเอ่ยกับเจ้าหญิง
ใครอาจจะมองว่ามันคือคำหวาน แต่สำหรับเธอ มันคือวาจาที่ชวนสะอิดสะเอียน
“อย่า ฉันไม่ใช่เจ้าหญิงหน้าโง่คนนั้น อย่ามาใกล้ฉัน”
“เอื้อมดาว ใจเย็นๆ” เขาพยายามปลอบ แต่หญิงสาวกลับหมุนตัววิ่งหนีหายไปในเงามืด
เอื้อมดาววิ่งไปในแนวต้นกล้วย แสงเดือนส่องฉาบทาให้ทุกอย่างเป็นสีหม่น บางครั้งมีลมพัดจนใบตองขยับไหวเหมือนมีใครกวักมือเรียก หญิงสาวพยายามเพ่งไปตามทางที่แสงจันทร์ส่องลอดกิ่งใบทำให้พื้นดินลาย ไม่ทันตั้งตัว เธอก็สะดุดจนร่างร่วงลงไปในที่ต่ำ
“กรี๊ด!”
เสียงร้องของหญิงสาวทำให้คเชนทร์รู้พิกัดแล้วรีบวิ่งตาม แนวป่ากล้วยที่พลิ้วไหวกับแรงลมต้องแสงเดือนหม่น ชวนวังเวง
“เอื้อมดาว!” เขาตะโกนเรียก แต่กลับไร้เสียงตอบรับ ใจคอเริ่มไม่ดี
หรือเธอจะได้รับอันตราย ชายหนุ่มกำลังชั่งใจว่าจะเข้าไปตามหาหรือกลับไปเรียกผู้ใหญ่บ้านให้มาช่วย แต่ระหว่างที่กำลังจะเดินไปข้างหน้า ร่างของเขาก็ร่วงลงไปเช่นกัน
ความคิดเห็น |
---|