บทที่ 2
เช้าวันต่อมา
แครก...
ครืด...
เสียงไม้มอปกระทบพื้นดังไปมารอบๆ ร้าน ท่าทางกระฉับกระเฉง หากใครได้มองใบหน้าของคนถูพื้นสักนิดจะรู้ได้เลยว่า มีเพียงกายหยาบที่ยังคงขยันขันแข็งไม่เปลี่ยน
“เป็นไรไอ้เกล ทำท่าทำทางเหมือนหมาที่บ้านตาย”
“เกลไม่เคยเลี้ยงหมาเหอะพี่ทิว” กวิสราทำปากยู่ใส่เจ้านาย ก่อนจะหันไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
“แน่ะ ไอ้นี่ คนอุตส่าห์เป็นห่วง เอากาแฟไหม พี่ชงเผื่อ” ทิวไผ่เปิดเครื่องชงกาแฟให้ตัวเอง ก่อนจะหันมาถามความต้องการของลูกน้องในร้าน
กวิสราหันมามองแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ เนื่องจากเมื่อคืนเธอนอนไม่ค่อยหลับ ส่วนหนึ่งก็เพราะเอาแต่ซัดกาแฟไม่ยั้ง แต่เมื่อมองร่างสูงที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ก็ได้แต่คิดว่า มีเจ้านายที่ไหนใจดีแบบทิวไผ่บ้างนะ
“แล้วตกลงเป็นอะไร เมื่อวานไปหาแฟนมาไม่ใช่เหรอ ทำไมซึมขนาดนี้” ร่างสูงยกแก้วกาแฟร้อนออกมานั่งดื่มบนเก้าอี้สูงหน้าเคาน์เตอร์ ชวนกวิสราคุยพลางละเลียดชิมเครื่องดื่มทีละนิด
“พี่ทิวอย่ารู้เลย ช่างมันเหอะ”
“บอกหน่อยน่าเกล พอดีอยากเสือกเรื่องชาวบ้านยามเช้า”
“เออ ก็ได้ๆ เห็นแก่ที่พี่ทิวชอบสอดรู้สอดเห็นนะ” กวิสราหันมายืนคุยกับทิวไผ่เต็มตัว อ้อมแขนยังคงกอดไม้มอปไม่ห่างกาย
“เล่ามาดิ๊”
“ก่อนจะเล่า พี่ทิวพอจะมีเงินให้เกลยืมบ้างไหม”
แม้ปากจะถามไปแบบนั้น แต่แววตากลับเหม่อลอยเพราะรู้คำตอบอยู่แล้ว แกล้งถามไปอย่างนั้นเองเพื่อเปิดประเด็นที่จะเล่า แต่แค่คิดถึงเรื่องเมื่อวาน เธอก็ท้อที่จะเล่าเช่นกัน
“จะเอาเท่าไหร่” ทิวไผ่ลุกขึ้นยืนแล้วล้วงกระเป๋ากางเกง หวังจะหยิบเงินให้ลูกน้อง
“สักสี่แสน”
พรวดดด
กาแฟที่เพิ่งดื่มไปอึกใหญ่ถูกพ่นออกมาเต็มพื้นร้าน เพราะทิวไผ่สำลักกาแฟอย่างแรง
“ไอ้เกล! นี่จะยืมเงินหรือเรียกสินสอด”
ทิวไผ่โวยวายลั่นร้าน แล้วลงมือขยี้หัวลูกน้องตัวแสบเป็นการลงโทษ แต่กวิสรากลับมองแต่ผลงานที่ทิวไผ่ทิ้งไว้บนพื้น แล้วโวยวายเจ้านายเสียงดังไม่แพ้กัน
“พี่ทิววว เกลเพิ่งถูพื้นเสร็จนะโว้ย”
สงครามที่ไม่มีทีท่าจะสิ้นสุดกลับหยุดลงทันทีเมื่อมีเสียงดังขึ้นนอกร้าน
ปี๊นนนน
เสียงแตรรถดังสนั่นไปทั่วจนคนทั้งสองผงะออกจากกัน
“ไอ้เกล พ่อเอ็งมาแล้ว ให้ไวเลย”
ไม่ต้องให้สั่งซ้ำสอง ไม้มอปถูกโยนทิ้งลงพื้นทันที กวิสรารีบล้างมือเพื่อทำเครื่องดื่ม ทว่าอารามรีบร้อนเพราะมัวแต่คุยกับทิวไผ่ เมื่อทำเครื่องดื่มเสร็จ กวิสราจึงรีบวิ่งแจ้นไปส่งที่รถทันทีโดยลืมบางอย่างเสียสนิท
ขาเรียวที่กำลังจะเดินเข้าร้านถูกรั้งไว้ด้วยเสียงเรียกของคนขับรถ
“คุณครับ ขอข้อความด้วยครับ” ชายสูงอายุรีบเปิดประตูรถยนต์มาเรียกกวิสราเอาไว้
“คะ?” กวิสราถามอย่างไม่เข้าใจ
“ข้อความข้างแก้วที่คุณเขียนทุกวันน่ะครับ ขอด้วย”
“อ๋อ ขอโทษด้วยค่ะที่ลืม” มือข้างหนึ่งรับแก้วกาแฟคืน ขณะที่มืออีกข้างรีบล้วงเข้าไปในกระเป๋าผ้ากันเปื้อน แต่กลับไม่เจอสิ่งที่หา มีเพียงของสองสามอย่างที่ไม่น่าจะใช้แทนกันได้
“คือเกลไม่ได้พกปากกาติดตัว รอก่อนได้ไหมคะ เดี๋ยวเกลวิ่งไปหยิบในร้านก่อน”
วันนี้เธอเบลอมากจนทำงานผิดพลาดเสียแล้ว ปากกาที่เคยมีติดตัวตลอด ดันไปวางลืมที่ไหนกัน แต่ของอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกลับใส่มาแทนเสียได้
“สายแล้ว”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นภายในรถ แม้จะไม่ดังมาก แต่ยามสายของวันหยุดที่ไม่มีรถราขวักไขว่ก็ทำให้กวิสราได้ยินอย่างชัดเจน
“ไม่เป็นไรครับ พอดีเจ้านายลุงน่าจะรีบไปบริษัท ไว้เป็นพรุ่งนี้แล้วกันนะครับ”
“งั้นช่วยรับเงินคืนไปด้วยค่ะ” กวิสรารีบยื่นธนบัตรคืนให้ทันที
“ไม่เป็นไรครับ คุณเก็บไว้เถอะ ขอตัวนะครับ”
“ลุงคะ งั้นเกลฝากถือแก้วสักครู่” กวิสราตัดสินใจทำบางอย่างทันที เมื่อเห็นว่านี่มันไม่ถูกต้อง กาแฟก็ไม่เอา ยังจะมายกเงินให้เธออีก
“จะทำอะไรครับ” ชายสูงวัยรับแก้วกาแฟเจ้าปัญหามาอย่างมึนงง
กวิสราควานหาบางอย่างในกระเป๋าผ้ากันเปื้อน จากนั้นจึงเดินไปยืนส่องกระจกปรอทของประตูหลัง แล้วลงมือทาลิปมันสีอ่อนลงบนริมฝีปาก
“ขอแก้วกาแฟด้วยค่ะ” กวิสราก็ไม่รู้ว่าทำแบบนี้แล้วลูกค้าจะยอมรับเครื่องดื่มของเธอไหม แต่อย่างน้อยก็ถือว่าได้ลองละนะ
ริมฝีปากอ่อนนุ่มทาบลงไปบนกระดาษครอบแก้วทันทีเมื่อมันถูกส่งมาให้ จนบนกระดาษเกิดเป็นรูปริมฝีปากจากสีอ่อนจางของลิปมัน แต่มือที่กำลังจะส่งให้คนขับรถกลับชะงักทันที เมื่อกระจกรถด้านหลังลดลงมาฉับพลัน แล้วมือแกร่งของคนที่นั่งอยู่ด้านในก็เอื้อมมาคว้าแก้วเครื่องดื่มไปจากมือเธออย่างรวดเร็ว ก่อนกระจกจะเลื่อนปิดทันที โดยที่เธอยังไม่ทันได้เห็นใบหน้าของเขาสักนิด แต่อย่างน้อยก่อนที่กระจกจะปิดสนิท กวิสราก็อวยพรเขาได้จนจบ
“ตะ...ตั้งใจทำงานนะคุณ”
“ทำไมออกไปส่งกาแฟนานจังเกล มีอะไรรึเปล่า” ทิวไผ่ละจากการถูพื้นแล้วหันมาถาม ก่อนจะปล่อยไม้มอปที่อยู่ในมือให้กวิสรา เพราะเจ้าตัวใช้แรงดึงมันออกไปจากมือเขา
“เปล่าพี่ ก็ปกติ แล้วจะถูทำไมพื้นน่ะ เอามา เกลทำเอง”
“งั้นก็มาต่อเรื่องที่เราคุยค้างกันไว้ดีกว่า”
“โธ่ ยังไม่ลืมอี๊กกก” กวิสราลากเสียงยาวเหยียดอย่างอ่อนใจกับความอยากรู้อยากเห็นของเจ้านาย
“สี่แสนคืออะไรบอกมา เกลไม่น่ามีปัญหาเรื่องเงินนี่นา แทบจะกินนอนอยู่ที่นี่แล้ว จะเอาเงินไปทำอะไรเยอะแยะ”
“ตกลงนี่พี่ทิวกำลังถาม หรือแอบบ่นว่าเกลเป็นกาฝากที่ร้านกันแน่”
“เกลอย่าโยกโย้ ไม่เห็นพี่เป็นพี่แล้วเหรอ”
“เฮ้อ ก็ไม่มีอะไร แพรเขาแค่ขอยืม” กวิสราถอนหายใจแรงก่อนจะยอมบอก
“ว่าแล้ววว เวลาแทงหวยไม่เห็นถูกแบบนี้”
“แต่เรื่องที่แพรจะเอาไปทำอะไร เกลขอไม่บอกนะ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เกลบอกได้แค่ว่ามันคอขาดบาดตายจริงๆ”
“ที่ทำหน้าเป็นหมาหงอยอยู่นี่ก็เพราะไม่มีให้เขายืมละสิ”
“อืม เกลมีไม่เฉียดแสนเลยพี่”
“บุญของเอ็งที่ไม่มีให้เขายืม” ทิวไผ่พูดอย่างที่ตัวเองคิด
“ก็กำลังพยายามหาให้อยู่นี่ไง”
“จะบ้าเหรอเกล! หยุดคิดไปเลยนะ พี่ขอเตือน อย่าลงไปยุ่งเรื่องนี้เด็ดขาด ไอ้ซื้อของแพงๆ ให้แพรเป็นครั้งคราว พี่พอรับได้ แต่นี่มันมากเกินไป”
“รู้น่า เต็มที่ก็คงถอนเงินในบัญชีที่มีอยู่ให้ไปก่อน”
“โว้ยยย จะให้ทำไม! ไม่คิดถึงตัวเองเลยรึไง ไหนจะค่าเทอม ค่าหอ ค่ากินค่าอยู่อีก”
“นี่ก็จะสิ้นเดือนแล้วไงพี่ทิว ไม่กี่วันเงินเดือนเกลก็ออก หน่วยกิตของเกลก็ถูก เหลืออีกปีเดียวก็จบแล้ว ให้แพรไปก่อน เกลเก็บใหม่ได้”
“มันเป็นเงินของเกล พี่ก็ไม่อยากยุ่ง แต่รู้ตัวใช่ไหมว่า ถ้าให้แล้วมีเปอร์เซ็นต์สูงที่จะไม่ได้คืน”
“เกลก็ไม่ได้หวังว่าจะได้คืน”
“งั้นก็ตามใจ ถือว่าพี่เตือนแล้ว แต่อย่าให้มันมากไปกว่านี้”
“ขอบคุณพี่ทิวที่เข้าใจ เกลสัญญาว่าเรื่องจะไม่ลามมาเดือดร้อนถึงพี่เด็ดขาด”
“เต็มที่ก็แค่ไม่มีข้าวกินกับที่ซุกหัวนอน พี่รับเลี้ยงแกไหวน่า”
“แล้วผมล่ะพี่ทิว รับเลี้ยงผมอีกคนได้มั้ย”
“เหี้ย!” การปรากฏตัวของเคทำเอาทั้งทิวไผ่และกวิสราตกใจจนเผลอสบถคำหยาบเสียงดังพร้อมกัน
“พวกพี่นี่แม่ง ใจร้ายว่ะ ด่าน้องเฉย”
“ก็แล้วทำไมมานั่งแอบฟังแบบนี้ล่ะโว้ย พวกกูก็ตกใจเป็นนะครับ” ทิวไผ่ตอบตามความรู้สึก
“ผมก็นั่งจัดสต๊อกอยู่ด้านล่างหลังเคาน์เตอร์ตั้งนานแล้ว แต่พวกพี่ไม่สังเกตเอง มัวแต่คุยกัน ตอนพี่เกลเข้ามาชงกาแฟก็รีบจนแทบจะเหยียบหัวผมแล้ว” เคพูดแล้วหยิบอุปกรณ์ขึ้นมามิกซ์ชาเขียวไว้ทำหัวเชื้อเครื่องดื่ม
“อ้าวเหรอ ขอโทษนะเว้ย วันนี้มันเบลอๆ น่ะ” กวิสรายอมขอโทษรุ่นน้องในร้านอย่างว่าง่าย
“ไม่เป็นไรพี่ ผมก็ขอโทษด้วยที่ดันมาได้ยินพวกพี่คุยเรื่องส่วนตัวกัน”
“ช่างมันเหอะ กับเค พี่ไม่ถือ”
กวิสราตอบปัดพลางเดินเอาไม้มอปไปล้างเก็บ จากนั้นจึงเดินเข้าหลังเคาน์เตอร์เพื่อช่วยเคเตรียมของขาย ทั้งไข่ไก่ กะละมัง ไม้ตี แป้ง มีวางไว้พร้อมอย่างรู้งาน
“ให้พี่ตีแป้งวอฟเฟิลเหรอ”
ถึงที่ร้านจะขายกาแฟเป็นหลัก แต่ก็ยังมีของกินเล่นที่ทำสดๆ หลายอย่างให้ลูกค้าเลือกกินเข้าคู่กับเครื่องดื่ม นอกเหนือจากเค้กซึ่งมีร้านเจ้าประจำมาส่งให้ถึงตู้
“อือ เดี๋ยวชาเขียวกับพวกน้ำสลัดผมตีเอง เพราะพี่ทิวบอกว่าพี่เกลตีวอฟเฟิลเนื้อเนียนสุดแล้วในร้าน” เคตอบเสียงซื่ออย่างที่เคยได้ยินมา โดยมีทิวไผ่นั่งหัวเราะอยู่ที่บาร์
“ไม่ต้องมาหลอกใช้งานกันด้วยคำชมเลย” กวิสราทำปากยู่ใส่เจ้านายอย่างรู้ทัน
“อะไรเล่า ก็พี่พูดเรื่องจริง เกลเป็นมือวางอันดับหนึ่งของร้านนี่”
“พี่ทิว ร้านเรามีกันแค่สามคน ไม่นับพี่ที่เป็นเจ้าของร้าน กับเคที่เพิ่งรับเข้ามาเมื่อปลายปีที่แล้ว ก็เหลือแค่เกลคนเดียวเหอะ มือวางอันดับหนึ่งบ้าบออะไร”
“เกลียดคนรู้ทันว่ะ” ทิวไผ่หัวเราะร่วนเมื่อถูกกวิสราจับไต๋ได้
“ว่าแต่ผมถามได้ไหมว่าพี่เกลจีบพี่แพรติดได้ไง ในเมื่อโคตรแตกต่างกันขนาดนี้”
คำถามนั้นแม้แต่ทิวไผ่ซึ่งรู้จักกวิสรามาหลายปียังไม่กล้าถาม แต่ความเป็นเด็กของเค ทำให้ไม่ค่อยคิดอะไรมาก จึงกล้าถามทะลุกลางปล้องขึ้นมาอย่างง่ายดาย
“อยากรู้เหรอ” กวิสราถามยิ้มๆ
“อย่าว่าแต่ไอ้เคเลย จริงๆ พี่เองก็อยากรู้นะว่าเกลไปจีบแพรมันติดได้ไง หัวสูงขนาดนั้น”
“จีบเจิบที่ไหนกันเล่า แพรมาขอเป็นแฟนเกลเองต่างหาก ตั้งแต่ ม. สอง พูดแล้วจะหาว่าคุย ตอนนั้นเกลยังผมยาวอยู่เลย” เสียงหวานติดจะโอ้อวดนิดๆ อย่างคนต้องการกลั่นแกล้ง เพราะกวิสรารู้ว่าทั้งสองคนยังโสดสนิท
“นี่หน้าตาคนไม่อยากจะคุยนะเนี่ย อีกนิดจะเรียกว่าข่มแล้ว” ทิวไผ่แขวะเข้าให้เมื่อถูกเจ้าตัวดีโชว์เหนือใส่เรื่องผู้หญิง
“จริงดิพี่เกล”
“เออ จะหลอกทำไมล่ะ”
“ก็มันแปลก” เคเอ่ยย้ำอย่างไม่เชื่อถือ
“แปลกตรงไหน”
“แปลกทุกตรงนั่นแหละ พี่ยังเคยคิดว่าเกลตามจีบแพรแบบถวายหัวเลยด้วยซ้ำ กว่าจะได้เป็นแฟนกัน” ทิวไผ่สรุปให้ และเคก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“เปล่าทำอะไรเสียหน่อย ก่อนหน้าจะเป็นแฟนกันก็เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันมาก่อน”
“อ๋อ~ แล้วพี่เกลรู้ตอนไหนว่าตัวเองชอบผู้หญิง ถึงกล้าคบกับพี่แพร”
“พี่ไม่เคยบอกว่าชอบผู้หญิงนะเค”
“ฮะ!” สองหนุ่มประสานเสียงกันเพราะตกใจกับความจริงที่ได้รู้
“แล้วพี่ก็ไม่เคยชอบผู้ชายด้วย”
“อะไรของพี่เกลวะ” เคส่ายหน้ากับข้อมูลที่พลิกไปพลิกมาจนจับต้องอะไรไม่ได้เลย
“แล้วก็ยอมเป็นแฟนกับเขา แค่เพราะแพรขอคบเนี่ยนะ”
กวิสราตอบคำถามของทิวไผ่นั้นด้วยการยักคิ้ว
“พี่เกลแม่งโคตรใจง่ายเลยว่ะ”
“พี่ไม่ได้ใจง่ายเว้ย แต่แพรเป็นคนสำคัญ อย่าว่าแต่เป็นแฟนเลย ให้เป็นหมูเป็นหมาก็ยังได้ ในเมื่อเขาอยากได้แฟน พี่ก็เป็นให้ไง” กวิสราตอบยิ้มๆ
“โง่ได้อีก” ทิวไผ่ซึ่งนั่งฟังมานานอดด่าไม่ได้
“รู้ตัวหรอกน่า” กวิสรายักไหล่อย่างไม่คิดมากกับสิ่งที่ตนเป็น
“แล้วพี่เคยรู้สึกดีกับใครไหม ที่เป็นผู้ชายน่ะ”
เคซึ่งเดินไปเก็บชาเขียวที่ผสมเสร็จแล้วเข้าตู้แช่เริ่มตั้งคำถามใหม่อีกครั้ง พร้อมกับทำงานในส่วนของตัวเองต่อไป มือแกร่งเทน้ำมันถั่วเหลืองจากแกลลอนลงไปในกะละมังไข่แดงที่กวิสราแยกไข่ขาวไว้ให้ เขาเทมันรวมกับเครื่องปรุงอื่นๆ เพื่อเตรียมตีน้ำสลัด
“จริงๆ ก็เหมือนจะเคยมีนะ แต่นานมากแล้ว เลือนรางจนแทบจำไม่ได้ แต่ก็สัมผัสได้ว่ารู้สึกดี”
ก่อนที่เคจะได้ถามต่อว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ทิวไผ่ก็เอ่ยขัดขึ้น
“เกล โทรศัพท์ดัง”
“ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละพี่ทิว เกลเตรียมของเสร็จเดี๋ยวค่อยโทร. กลับ”
หลังจากนั้นทุกคนก็เลิกคุยกัน เพราะลูกค้าเริ่มทยอยเข้าร้านไม่ขาดสาย แต่โทรศัพท์ของกวิสราก็ยังดังไม่หยุด จนทิวไผ่ต้องถือวิวาสะกดปิดเสียงเอง กระทั่งช่วงบ่ายลูกค้าทยอยออกจากร้านจนหมด ความอดทนของเจ้าของร้านก็หมดลง
“โทร. จิกอะไรขนาดนี้ พ่อเป็นไก่เหรอ!”
“พี่ทิวด่าแฟนพี่เกลเหรอ”
“เปล่าโว้ย ด่ามึงนี่แหละ โทร. เข้าเครื่องอยู่ได้”
“โทร. ตอนไหนวะพี่ ผมก็เดินเสิร์ฟกาแฟล้างแก้วอยู่ข้างพี่เนี่ย”
“ก็ตอนที่มึงไม่รู้ตัวไง”
“พี่ทิว เกลขอโทษ คราวหน้าเกลจะปิดโทรศัพท์ก่อนเข้างานนะ วันนี้แพรคงเครียดน่ะ” แทนที่จะฟังทิวไผ่กับเคเถียงกัน กวิสรากลับเอ่ยขอโทษเอง เพราะรู้ว่าตัวเองสร้างปัญหา
“เออ พี่ผิดเองแหละ เกลอย่าคิดมากเลย ปกติแพรมันไม่เคยโทร. มากวนเกลแบบนี้อยู่แล้ว พี่แค่หงุดหงิด ขอออกไปธนาคารแป๊บนะ ฝากดูร้านด้วย”
อากัปกิริยาหัวเสียทั้งหมดของทิวไผ่เป็นเพราะเธอเอง กวิสรารู้ตัวดี เขาคงหงุดหงิดมากจริงๆ และเธอต้องรีบจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่คนรอบข้างจะเดือดร้อนไปมากกว่านี้
หลังจากเลิกงานกะเช้า กวิสราก็มายืนมองบ้านขนาดกลางตรงหน้าด้วยความลำบากใจ สามปีแล้วที่เธอไม่ได้กลับมาที่นี่สักครั้ง แต่เมื่อได้รับโทรศัพท์ของแพรไหมหลังเลิกงาน กวิสราก็จำต้องทิ้งศักดิ์ศรีที่แบกมานานหลายปี เพื่อลองเสี่ยงกับความเมตตาของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าพ่ออีกสักครั้ง
ความคิดเห็น |
---|