4

บทที่ 4


บทที่ 4

 

เพียงแค่คิดเรื่องเก่าๆ คนในความทรงจำก็โทรศัพท์เข้ามาพอดี ทำให้กวิสรายิ้มออก

“แพร เกลกำลังคิดถึงแพรเลยนะ”

“ฮึก ฮึก ฮือ...” แทนที่กวิสราจะได้ยินเสียงหวานเป็นเครื่องปลอบใจหลังจากถูกพายุใหญ่อย่างคนเป็นพ่อซัดมา สิ่งที่เธอได้รับกลับเป็นน้ำตาที่ทะลักทลายออกมาอย่างไม่คิดจะกลั้นของแฟนสาว

“แพรเป็นอะไร”

“เกล...แพรกลัว ความตายมันเจ็บมากไหม” เสียงหวานปลายสายสั่นเครือจนคนที่ได้ฟังรู้สึกเจ็บปวด

“แพร! อยู่ไหน!”

สองเท้าที่เคยเดินทอดน่องเปลี่ยนมาเป็นวิ่งจนสุดกำลังเพื่อออกไปหารถแท็กซี่บนถนนใหญ่ให้เร็วที่สุด เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นล้อมกรอบใบหน้าหวาน กิริยาหันรีหันขวางวิ่งหารถเป็นที่สะดุดตาของผู้คนในละแวกนั้น

“แพร! เกลถามว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน!”

“บนดาดฟ้าหอพัก”

เพียงแค่ได้ยินสถานที่อยู่ของแพรไหม ก็ทำเอากวิสราหนาวไปถึงหัวใจ

“แพรลงมา! เดี๋ยวเกลจะไปหาที่ห้อง”

แต่เหมือนเสียงขอร้องของกวิสราจะไปไม่ถึงแพรไหมที่อยู่ปลายสาย เพราะเธอยังคงเอาแต่เล่าเรื่องที่กวิสราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์

“เกลรู้ไหม วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับแพรที่มหา’ลัย”

“พี่คะ ไปราชพฤกษ์” กวิสรารีบบอกคนขับแท็กซี่อย่างรวดเร็วเมื่อเธอหารถขึ้นได้ในที่สุด

“พวกมันมาตามทวงหนี้แพรถึงโรงอาหารมหา’ลัย ต่อหน้าเพื่อนของแพรเกือบทั้งคณะ”

“แพรใจเย็นๆ ฟังเกลก่อน”

“ใจเย็นเหรอ! เกลบอกให้แพรใจเย็นได้ยังไง ในเมื่อตัวเองไม่ได้โดนเหมือนแพร! วันนี้มันขู่จะฆ่าแพรแล้ว!”

“แพร...”

“แต่เพื่อนมันอีกคนก็บอกว่าจะไม่ฆ่าแพรนะ มันบอกว่าอย่างแพรทำเงินให้มันได้เยอะ สักปีสองปีพวกมันก็ได้กำไรแล้ว แต่มันจะขอลองทดสอบสินค้าก่อน ขนาดแพรโง่ๆ ยังรู้เลยว่าพวกมันหมายถึงอะไร”

“แพร ลงมารอเกลที่ห้องก่อน ขอร้อง” กวิสราพยายามอ้อนวอนให้แพรไหมฟังเธอ

“ไม่! จะรอให้พวกมันลากแพรไปฆ่าเหรอ ไม่เอาหรอก ให้แพรตายเองดีกว่า ทุกอย่างจะได้จบที่แพร ตอนนี้แพรทั้งกลัวทั้งอับอาย แพรอยากตายให้มันพ้นๆ ไปซะ ฮือ...”

เสียงปลายสายของแพรไหมตอนนี้เข้าขั้นวิกฤติแล้ว บ้างร้องไห้ บ้างหัวเราะเกรี้ยวกราด แค่ฟังก็รู้ว่ากำลังคลุ้มคลั่ง ยากที่จะบอกให้ใจเย็นลงได้ แล้วการจราจรบนท้องถนนยามเย็นก็ไม่เป็นใจให้กวิสราแม้แต่น้อย มีเพียงเลขบนมิเตอร์เท่านั้นที่ขยับ แตกต่างจากล้อของรถยนต์ที่เอาแต่จอดแช่อยู่ที่เดิม ทำให้กวิสราตัดสินใจจะลงกลางทางและนั่งมอเตอร์ไซค์ไปหาแพรไหมแทน

“พี่คะ ชิดซ้ายจอดเลยค่ะ เดี๋ยวหนูไปต่อเอง”

ไม่มีคำต่อว่าจากผู้ให้บริการแม้แต่น้อย ดูเขาออกจะถูกใจด้วยซ้ำที่เธอไม่ดันทุรังพาเขาไปฝ่ารถติด

ความกดดันจากเรื่องราวรอบด้าน และเสียงร่ำไห้ไม่ยอมหยุดของแพรไหม ทำให้กวิสราเกิดอาการลน มือไม้ที่พยายามจะหยิบเงินในกระเป๋าคาดอกสั่น จนเธอทำข้าวของเกือบทุกอย่างหล่นลงบนตัก

กวิสรายื่นธนบัตรใบหนึ่งให้คนขับรถ แล้วรีบโกยข้าวของที่หล่นออกมาลงไปในกระเป๋าอีกครั้ง แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่สะดุดตาเธอ มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมาอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ แต่ในเวลานี้มันกลับทำให้เธอหายร้อนรนและดูนิ่งขึ้น แม้ยังคงได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดของแพรไหมอยู่ปลายสายก็ตาม

‘ถ้าเปลี่ยนใจยังไงก็ขอให้ติดต่อมา’

เสียงของชายที่ให้นามบัตรแก่เธอในร้านกาแฟวันนั้น กวิสรายังคงจำขึ้นใจ แล้วก็จำได้ด้วยว่าเธอวางกระดาษแผ่นเล็กไว้บนโต๊ะ ไม่ได้หยิบกลับมาด้วย แล้วมันมาอยู่ในกระเป๋าของเธอได้อย่างไร

“แพร ตั้งใจฟังเกลนะ”

“อะไร”

“หนี้สี่แสนของแพร เกลจะเป็นคนเคลียร์เอง”

 

สองวันต่อมา

สวนสาธารณะใจกลางกรุง ซึ่งเปรียบเสมือนปอดขนาดใหญ่ของคนเมืองในเวลายามเย็นนั้น คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่รักสุขภาพ และบรรดาครอบครัวที่เลือกจะใช้เวลาอยู่ด้วยกัน กวิสรานั่งมองภาพเหล่านั้นแล้วอดรู้สึกไม่ได้ว่า ตัวเองเป็นสิ่งแปลกปลอมหนึ่งเดียวของสถานที่แห่งนี้

เปาะ

แปะ

ความเปียกชื้นที่สัมผัสร่างกายยามนี้ทำให้กวิสรารู้ว่าฝนแรกของฤดูกาลมาไวกว่าที่คิด แต่แทนที่เจ้าตัวจะรีบหาที่กำบัง กลับเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย แล้วหวนคิดถึงการตัดสินใจในครั้งนี้ของตนเองว่า

เธอกำลังทำสิ่งที่ถูกอยู่รึเปล่านะ

ความรู้สึกสั่นสะเทือนภายในกระเป๋ากางเกงด้านขวาทำให้กวิสราล้วงเครื่องมือสื่อสารขึ้นมากดรับ

“ว่าไงแพร”

“เกล เงินในบัญชีแพร มาจากเกลใช่ไหม” เสียงหวานฟังดูมีชีวิตชีวา นั่นแสดงว่าสิ่งที่เธอทำลงไปคงถูกแล้วละนะ

“อือ”

“เกลไปหามาจากไหน ลำบากมากไหม”

“ไม่หรอก แพรอย่าคิดมาก”

“แพรไม่รู้จะขอบคุณเกลยังไงเลย แต่แพรสัญญาว่าจะรีบหามาคืนเกลนะ”

“แพรไม่ต้องคืนหรอก เกลยกให้ ขอแค่ช่วยรักษาสัญญากับเกลเพียงข้อเดียวก็พอ”

“ได้ เกลจะให้แพรสัญญาอะไร บอกมาได้เลย ร้อยข้อแพรก็ทำได้”

“เกลขอแค่แพรอย่าทำแบบครั้งนี้อีก ขอให้จำทุกอย่างเป็นบทเรียนราคาแพง และต่อไปนี้...ก็ดูแลตัวเองดีๆ นะ”

“โธ่เอ๊ย นึกว่าอะไร ต่อให้เกลไม่ขอ แพรก็ไม่กล้าแล้วละ บอกเลยว่าเข็ดไปจนวันตาย”

“ดีแล้ว”

“เกล”

“ว่าไง”

“ก่อนหน้านี้ที่แพรทำตัวไม่ดีใส่เกลตลอด แพรขอโทษนะ แพรจะไม่ทำแบบนั้นอีก”

“ไม่เป็นไร สำหรับแพร เกลไม่เคยถือ”

“พรุ่งนี้แพรไปหาเกลที่ร้านพี่ทิวนะ”

“ไม่ได้หรอก”

“ทำไม เราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ” เสียงหวานที่ดูเอาแต่ใจนิดๆ ดังขึ้น ทำให้คนฟังได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น

“เกลลาออกจากร้านพี่ทิวแล้ว”

“อะไรนะ”

ก่อนที่แพรไหมจะโวยวายไปมากกว่านี้ กวิสราก็เอ่ยบางอย่างขึ้นมาที่ทำให้ปลายสายได้แต่นิ่งเงียบไป และเธอกดตัดสายทิ้งพร้อมปิดเครื่องมือสื่อสารทันทีที่พูดจบ

“แพร เราเลิกกันเถอะ”

‘เกลไม่ดีพอที่จะอยู่เคียงข้างแพรแล้ว’

สายฝนที่ตอนแรกเริ่มจากตกปรอยๆ พอให้เย็นชื่นใจ ยามนี้กลับตกหนักราวกับรับรู้ถึงพายุที่อยู่ภายในใจของกวิสรา สวนสาธารณะร้างไร้ผู้คนภายในพริบตา เหลือเพียงร่างเล็กที่ยังคงนั่งก้มหน้าอยู่บนม้านั่งในสภาพเปียกโชก

ฝนตกก็ดี จะได้ไม่มีใครเห็นว่าน้ำตาเธอไหล

กวิสราคิดหาแง่ดีของการมานั่งตากฝนอยู่ได้ไม่นาน สายฝนที่สาดกระหน่ำใส่ตัวเธอก็หยุดลงกะทันหัน พร้อมกับการมาถึงของใครบางคนที่เธอนัดไว้

กึก

กึก

รองเท้าหนังสีดำมันเงาขัดกับสถานที่โดยสิ้นเชิงปรากฏอยู่เบื้องหน้าเธอ เมื่อไล่ระดับสายตาขึ้นไปมองก็พบเข้ากับบุคคลที่เธอไม่คุ้นเคย ชายร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีดำสนิท ถือร่มสีดำเช่นเดียวกันกับสีชุด ทำให้กวิสรารู้ว่า ผู้ที่มาหยุดพายุฝนให้เธอคือเขานั่นเอง

ภายใต้ร่มคันใหญ่ เขาที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเธอดูเยือกเย็นและสงบนิ่ง นัยน์ตาคมกริบหลังกรอบแว่นไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้ยามที่เขายื่นมือมาตรงหน้าเธอ

“มากับฉัน”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น