5

บทที่ 5



บทที่ 5

 

สี่วันก่อนหน้านี้

“ขอโทษนะครับ มันออกจะดูเป็นการเสียมารยาทไปสักนิด แต่ผมขอรบกวนเวลาของพวกคุณสักครู่ได้ไหมครับ”

“มีอะไรคะ” แพรไหมซึ่งกำลังนั่งซับน้ำตาคงไม่สามารถเอ่ยถามความต้องการของผู้ที่มารบกวนได้ หน้าที่นี้จึงตกเป็นของกวิสราไปโดยปริยาย และดูเหมือนเขาก็พอใจที่เธอเป็นผู้ต่อบทสนทนาเอง

“พอดีผมบังเอิญได้ยินว่าพวกคุณกำลังมีปัญหาเรื่องเงิน เลยอยากมาลองชวนไปร่วมงานด้วยกัน”

“พวกเรายังเรียนหนังสือกันอยู่ คงไม่รบกวนคุณจะดีกว่า”

กวิสราตัดบทสนทนาทันทีด้วยความไม่ไว้ใจ แค่ฟังคนอื่นคุยกันก็เสียมารยาทมากพอแล้ว ชายหนุ่มที่ดูเจ้าสำอางคนนี้ยังมายื่นงานให้พวกเธอทำง่ายๆ ถึงที่ โดยอาศัยจังหวะที่คนอื่นเดือดร้อน ยิ่งทำให้ไม่น่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก

“แต่ผมมีงานที่พวกคุณสามารถเก็บเงินล้างหนี้ได้สบายๆ นะ”

“งานอะไรคะ”

กวิสราซึ่งกำลังจะเอ่ยปัดอีกครั้งกลับต้องชะงัก เพราะแพรไหมซึ่งนั่งฟังอยู่หยุดร้องไห้ทันที พร้อมกับให้ความสนใจงานที่ถูกเสนออย่างเต็มที่

“รู้จักงานเพื่อนเที่ยวไหมครับ”

แค่ชายแปลกหน้าพูดประโยคสั้นๆ กวิสราก็โมโหจนแทบจะเอากาแฟที่ดื่มอยู่สาดใส่หน้า

“เราไม่สนใจค่ะ เชิญคุณเก็บไว้ทำเองเถอะ แพร ลุก!” เธอฉุดข้อมือแพรไหมให้ลุกขึ้นเพื่อเดินออกจากร้าน แต่ร่างบางกลับขืนตัวไว้อย่างดื้อดึง

“เกล ปล่อยก่อน แพรสนใจงานนี้” คนที่ติดหนี้พนันจนตามืดบอด แม้มีแสงสว่างเพียงเล็กน้อยตรงปลายอุโมงค์ เธอก็จะลองคว้ามันไว้ แม้ต้องเสี่ยงมากก็ตาม

“สามชั่วโมง ห้าพันบาท ลักษณะงานก็เหมือนออกเดตทั่วไปครับ”

ชายแปลกหน้ายังคงเพิ่มเติมข้อมูลของงานให้โดยที่กวิสราไม่ได้ร้องขอ แต่ยิ่งทำให้แพรไหมอยากได้งานมากขึ้นไปอีก

“ถ้าแพรสนใจจะสมัคร ต้องทำยังไงคะ” แพรไหมสะบัดข้อมือออกจากแฟนสาว แล้วถามรายละเอียดการสมัครเพื่อตัดสินใจ

“คุณสมัครไม่ได้ครับ พอดีฐานลูกค้าของเราต้องการสเปกแบบนั้น” เขาผายมือไปยังกวิสราอย่างให้เกียรติ

“ลูกค้าเป็นผู้หญิงเหรอ” แพรไหมถามอย่างขัดใจเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่สามารถทำงานนี้ได้

“รายละเอียดส่วนนี้ ทางเราคงจะบอกไม่ได้ครับ มันเป็นการรักษาความลับของลูกค้า ตกลงคุณสนใจมาร่วมงานกับเราไหมครับ”

“ไม่!” กวิสราตอบทันทีแบบไม่ต้องคิด

“ทางเรามีแบบระบบเหมาจ่ายด้วยนะ ถ้าคุณตรงสเปกลูกค้าจริงๆ อาจถูกจ้างเป็นรายเดือน รับเงินก้อนโตเลยนะคุณ โอนก่อนเริ่มงาน ล้างหนี้สี่แสนให้คุณแพรได้สบายๆ เลย” ข้อเสนอสุดเย้ายวนถูกยื่นมาให้อีกครั้ง

“เราไม่สนใจ!” กวิสราโมโหจนควันออกหู คนประเภทไหนกันที่แอบฟังคนอื่นจนเก็บข้อมูลได้ละเอียดขนาดนี้

ตอนนี้แพรไหมจะเดินตามเธอออกมาไหม กวิสราไม่ได้สนใจแล้ว เพราะรู้ว่าเป้าหมายการก่อกวนครั้งนี้คือตัวเธอเอง จึงรีบจ้ำเท้าเพื่อออกจากร้านกาแฟสุดหรูให้ไวที่สุด แต่ก็ไม่เร็วมากพอ จึงยังได้ยินชายเสียมารยาทพรีเซนต์งานของตัวเองจนหยดสุดท้าย

“ถ้าเปลี่ยนใจยังไงก็ขอให้ติดต่อมา”

ตอนนั้นเธอหันหลังเดินหนีมาด้วยความมั่นใจ ประหนึ่งกำลังถูกตื๊อให้ทำประกันฉบับที่สามร้อยของชีวิต แต่ใครจะไปคิดว่า ไม่กี่วันต่อมาเธอต้องโทร. ติดต่อไปหาเขาจริงๆ

 

ปัจจุบัน

“มากับฉัน”

“ไปไหน แล้วคุณเป็นใคร”

“ถ้าเธอชื่อกวิสราก็ตามมา” ฝ่ามือใหญ่ที่ยื่นมาถูกเก็บกลับข้างตัวเหมือนเดิม โดยที่ยังไม่ได้ฉุดให้หญิงสาวลุกขึ้นแต่อย่างใด

“แต่ว่า คนที่ฉันนัด เขา...”

“ถ้าจะนั่งอยู่ตรงนี้ต่อ ก็โทร. ไปคืนเงินและยกเลิกสัญญาซะ”

ร่างสูงพูดจบก็หมุนตัวกลับ พร้อมออกเดินทันทีไปยังเส้นทางเดิมที่เพิ่งเดินมา เมื่อปราศจากร่มคันใหญ่ กวิสราก็ถูกสายฝนที่ยังคงลงเม็ดหนักเทกระหน่ำใส่อีกครั้ง

แผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆ เคลื่อนห่างออกไปเรื่อยๆ ทำให้กวิสราตัดสินใจคว้ากระเป๋าเป้ใบใหญ่ขึ้นสะพายหลัง แล้ววิ่งตามร่างสูงที่เดินนำลิ่วไปไกล

“เดี๋ยวก่อนคุณ รอด้วยยย”

 

รถยนต์สัญชาติเยอรมันคันงามหักเลี้ยวเข้าหมู่บ้านชื่อดัง โดยไม่ต้องผ่านการตรวจบัตรที่ป้อมยาม ตัวรถจอดลงหน้าบ้านเดี่ยวหลังงามที่อยู่สุดซอย บรรยากาศรอบด้านดูร้าง ไร้ผู้คนอาศัย

มีบ้านเพียงหลังเดียวที่เปิดไฟหน้าบ้านทิ้งไว้ คือบ้านที่ลูกค้าของกวิสราเพิ่งเปิดประตูรถ เดินตัวปลิวเข้าไปด้านใน ทิ้งให้เธอยืนเลิ่กลั่กอยู่ข้างรถกับสัมภาระใบโต มองประตูรั้วบ้านปิดลงอัตโนมัติ คล้ายกำลังมองอิสรภาพของตัวเองที่ใกล้จะหมดสิ้นเต็มที

“ฮัลโหล”

เมื่อคนที่พามาไม่ยอมอธิบายอะไรสักอย่าง นอกจากโยนสัญญาว่าจ้างส่วนของเขาให้เธอดู และมีชื่อเธอที่เซ็นตกลงไว้ท้ายสัญญาตัวโต กวิสราจึงต้องหาคนที่น่าจะตอบคำถามเธอได้ดีที่สุด เครื่องมือสื่อสารที่เพิ่งปิดไปไม่นานจึงถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง

“อาร์มพูดครับ” และปลายสายก็รับทันทีเมื่อสัญญาณดังได้เพียงครั้งเดียว

“คุณอาร์ม งานไม่เห็นเหมือนที่ตกลงกันไว้เลย”

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าตอนนี้ผมกำลังเรียนสายกับใครครับ”

“คุณอาร์ม นี่เกลเอง เมื่อวานเราเพิ่งเซ็นสัญญาว่าจ้างกันไป”

“อ๋อ ครับ อะไรที่คุณเกลบอกว่าไม่ตรงตามสัญญา”

“ก็นี่ลูกค้าผู้ชายนี่! ไหนบอกว่าลูกค้าเกลเป็นผู้หญิง”

“เท่าที่จำได้ ผมไม่เคยแจ้งนะครับว่าคุณเกลต้องเทกแคร์ลูกค้าที่เป็นสุภาพสตรี ลองกลับไปดูสัญญาหน้าสามอีกครั้งได้ครับ ไม่มีการระบุเพศลงในสัญญาแน่นอน”

“แต่คุณอาร์มบอกให้เกลมาดูแลคุณปิ๊งนี่”

กวิสราเริ่มหัวร้อนนิดๆ กับความโยกโย้ของนายหน้าจัดหางานที่เธอได้เจอที่ร้านกาแฟ และแทนที่เธอจะได้รับคำอธิบายว่าการดีลงานเกิดการผิดพลาดในจุดไหน กลับได้ยินแต่เสียงหัวเราะร่วนของปลายสาย

“คุณเกลฟังผิดแล้วครับ ลูกค้าชื่อคุณปรินซ์ ปรินทร์ กาญจนโชติวณิช เป็นผู้ชายครับ ไม่ได้ชื่อคุณปิ๊ง”

“อะไรนะ! ถ้าอย่างนั้นเกลขอยกเลิกสัญญาค่ะ เพราะเกลเข้าใจผิดไปเองว่าตัวเองจะได้ดูแลลูกค้าที่เป็นผู้หญิง”

ก็ไหนว่าลูกค้าชอบรูปลักษณ์ภายนอกแบบนี้ของเธอ ใครจะไปคิดว่าจะได้ดูแลผู้ชาย และตอนเซ็นสัญญา ชื่อของลูกค้าก็ยังไม่ได้ถูกระบุลงไป มีเพียงชื่อเธอกับอาร์มเท่านั้น เพราะปรินทร์เป็นลูกค้า จึงได้สิทธิ์เซ็นสัญญาเป็นคนสุดท้าย

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา เดี๋ยวผมโทร. แจ้งลูกค้าเอง”

กวิสราถึงกับถอนหายใจเมื่อได้ยินนายหน้าพูดแบบนั้น อย่างน้อยก็ยกเลิกได้ ส่วนเรื่องหนี้ไว้เธอค่อยคิดหาวิธีพาแพรไหมหนีจากเจ้าหนี้อีกทีแล้วกัน

“คุณเกลครับ ยังอยู่ในสายรึเปล่า”

“ยังอยู่ค่ะ คุณอาร์มพูดต่อได้เลย” กวิสรายกกระเป๋าขึ้นมาสะพายหลัง แล้วเดินออกห่างจากตัวรถเพื่อหาทางกลับที่พักของตัวเอง

“ผมจะเรียนว่า ให้คุณเกลเข้ามาพบผมที่บริษัทตอนเก้าโมงเช้านะครับ”

“ได้ค่ะ”

“เตรียมเงินสดมาคืนผมด้วยนะครับ ค่าว่าจ้างสี่แสน กับค่าปรับฐานผิดสัญญาอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เป็นหกแสนบาทพอดี อย่าเลตนะครับ ใกล้สิ้นเดือนแล้ว ฝ่ายบัญชีงานยุ่ง และผมติดลาพักร้อนอีกเดือนหนึ่ง อยากเคลียร์งานทุกอย่างให้เสร็จก่อนบินไปพักผ่อน”

“อะไรนะ!” กวิสราร้องออกมาด้วยความตกใจอีกครั้งเมื่อได้ยินจำนวนเงิน

“โอ๊ย คุณเกลตะโกนใส่หูผมทำไมครับ”

“ค่าปรับบ้าบออะไรเยอะแยะขนาดนั้น ทำไมเกลถึงไม่เห็น”

“มันระบุอยู่ในช่วงท้ายของสัญญาไงครับ ไปเปิดดูได้เลย”

กวิสรารีบวางกระเป๋าสะพายลง ดีที่ฝนหยุดตกแล้ว เธอจึงหยิบแฟ้มใสที่มีสัญญาอยู่ด้านในออกมาเปิดดูได้ นัยน์ตากลมโตกวาดไปทั่วแผ่นกระดาษสีขาวสามแผ่นก็ยังหาเงื่อนไขนั้นไม่เจอ จนสุดท้ายสายตาก็ไปสะดุดกับช่วงท้ายของกระดาษที่มีตัวอักษรเล็กมาก ถึงเล็กที่สุด จนแทบมองไม่เห็นอยู่ถึงสามบรรทัด ระบุไว้ว่าให้เธอเป็นผู้ชดใช้ทั้งหมดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากผิดสัญญาหรือทำทรัพย์สินของลูกค้าเสียหาย

“นี่มันตั้งใจโกงกันนี่!” กวิสราแผดเสียงใส่เครื่องมือสื่อสารด้วยความโมโห

“คุณเกลอย่าพูดถึงขนาดนั้นเลยครับ เมื่อวานผมก็เตือนให้อ่านทวนสัญญาอีกครั้งแล้วนะครับ ถือเป็นความสมัครใจทั้งสองฝ่ายจะดีกว่า”

กวิสราเกาศีรษะอย่างอับจนหนทาง เพราะสิ่งที่นายหน้าพูดเป็นเรื่องจริงทั้งหมด เธอสะเพร่าเอง

“ก็แล้วทำไมค่าปรับมันต้องแพงขนาดนี้ด้วย คุณอาร์มช่วยคุยให้เกลหน่อยไม่ได้เหรอคะ ยังไม่ทันได้เริ่มงานเลย”

“การเหมาจ่ายถึงสามเดือน ก็เท่ากับว่าต้องย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันภายใต้ชายคาที่ผู้ว่าจ้างจัดสรรมาให้ ถ้าไม่ทำสัญญาให้ครอบคลุม หากเจอคนไม่ซื่อสัตย์ คนที่จะเสียหายคือบริษัทกับตัวลูกค้านะครับ ค่าปรับมันก็ต้องสมน้ำสมเนื้อกับเรตค่าจ้างที่ลูกค้าต้องควักเงินจ่าย ต้องขออภัยจริงๆ ที่ผมไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องสัญญาว่าจ้างได้”

ทำไมยิ่งฟัง กวิสราก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโง่มากขึ้นเรื่อยๆ กันนะ การก้าวเข้ามาในโลกของผู้ใหญ่มันช่างน่ากลัวจริงๆ

“ถึงมันจะจริงอย่างที่คุณพูด แต่แบบนี้เกลก็แย่น่ะสิ เหมือนมาทำงานเพื่อเป็นหนี้เพิ่มขึ้น แล้วระยะเวลาที่ระบุไว้ก็ตั้งสามเดือน ระหว่างนี้ถ้าวันไหนเกิดลูกค้าไม่พอใจอะไรขึ้นมา เกลก็มีแต่เสียกับเสียน่ะสิ”

“แต่ถ้าคุณเกลทนได้ถึงครึ่งหนึ่งของสัญญา แล้วเกิดมีปัญหา หรืออยากยกเลิกสัญญาขึ้นมา เงินสี่แสนก็ตกเป็นของคุณเกลทันที เพราะถือว่าลูกค้าได้ใช้บริการไปแล้วเกินครึ่ง เท่ากับระยะเวลาที่คุณเกลต้องทนจริงๆ ก็แค่เดือนกว่าๆ เองนะครับ”

“เฮ้อ ยังไงเขาก็เป็นผู้ชายนี่นา”

ในที่สุดกวิสราก็หลุดความกังวลที่แท้จริงของตัวเองออกมา เพราะต่อให้บอกว่าจ้างมาเป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวก็จริง แต่ในความเป็นจริง ใครจะกล้าเชื่อกันเล่าว่าจะไม่มีอะไรเกินเลย ในเมื่อเขายอมเสียเงินเยอะขนาดนั้น ถึงจะรู้สึกว่ารสนิยมเขาแปลกๆ ก็เถอะ

“ถ้าคุณเกลกังวลเรื่องอย่างว่าละก็ หายห่วงได้เลยครับ เพราะคุณปรินทร์เขาไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอน”

“ทำไมคุณดูมั่นใจในตัวลูกค้าคนนี้นักล่ะ สนิทกันมากเหรอ” กวิสราถามอย่างคาใจกับการการันตีลูกค้าจนออกนอกหน้าของปลายสาย

“เอ่อ...คือยังงี้นะครับ คุณปรินซ์เขาเป็นลูกค้าประจำน่ะ”

“อะไรนะ”

“ไม่ว่าทางเราจะส่งใครไปก็มีแต่ถูกส่งกลับมาทั้งหมด ไม่เคยมีใครอยู่กับคุณปรินซ์ได้พ้นหนึ่งคืนสักคน เพราะทุกคนล้วนทำผิดสัญญากันเองทั้งนั้น”

“หมายความว่ายังไงกันแน่”

“เดี๋ยวคุณเกลก็จะเข้าใจเองตอนเริ่มงาน พยายามอย่าผิดสัญญาข้อหลักจนถูกไล่กลับเหมือนคนอื่นก็พอครับ”

“สัญญาข้อไหนคะ” รายละเอียดข้อห้ามยิบย่อยขนาดนั้นใครจะไปจำได้เล่า เธออ่านไปแค่รอบเดียวเอง และนี่เลยกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตของเธอ

“ก็ข้อที่ว่า อย่าเสนอตัวให้ลูกค้าถ้าเขาไม่ได้เรียกร้อง เรามีหน้าที่เอนเตอร์เทนเท่าที่ลูกค้าสั่งให้ทำน่ะครับ”

ถึงนายหน้าจะพยายามพูดอ้อมๆ แต่กวิสรากลับเข้าใจนัยของประโยคนั้นได้ดี จึงรีบปฏิเสธทันควัน

“บ้า! ใครจะอยากไปปล้ำเขา”

“ถ้าคุณเกลคิดได้แบบนั้นผมก็สบายใจ ตกลงจะรับทำงานต่อใช่ไหมครับ”

ไม่รู้ทำไม กวิสราถึงได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกนายหน้าต้อนเข้าคอกที่มองไม่เห็นกันนะ

“เฮ้อ...ตกลงค่ะ” สุดท้ายกวิสราก็ยอมเอ่ยปากตกลงจนได้ เพราะเธอไม่มีเงินชดใช้ค่าผิดสัญญาที่งอกออกมาถึงสองแสน

“ผมยินดีที่เราได้ร่วมงานกันนะครับ อีกหนึ่งเดือนหลังกลับจากพักร้อน ผมจะโทร. มาอัปเดตสถานการณ์อีกครั้ง ระหว่างนั้นก็...เอาตัวรอดให้ได้นะครับคุณเกล”

‘แน่ใจนะว่านี่คือการอวยพร’

น้ำเสียงระริกระรี้ของปลายสายที่ปิดดีลสำเร็จทำเอาคนฟังอย่างกวิสราทำปากยู่อย่างไม่พอใจ ก่อนจะยอมวางสายแต่โดยดี

“นึกว่าจะยืนอยู่ตรงนั้นทั้งคืน”

เสียงทุ้มดังค่อนขอดทันทีที่กวิสราเดินมาถึงจุดที่เขายืนพิงกรอบประตูดูเธอคุยโทรศัพท์อยู่พักใหญ่

“ตกลงเอาไง จะกลับก็ได้นะ แต่ฉันไม่ไปส่ง” ร่างสูงถามคล้ายไม่ยี่หระกับการจะอยู่หรือไปของเธอ

กวิสราเกือบจะเชื่อแล้ว ถ้าไม่เห็นเขาเอาแต่ยืนเฝ้าเธออยู่เป็นนาน สงสัยกลัวโดนเชิดเงินสี่แสนละมั้ง

“คุณจะให้ฉันพักที่ไหน”

“ด้านบน ประตูสีขาว” ปรินทร์อธิบายลักษณะห้องพักสั้นๆ แต่กวิสรากลับยืนหันรีหันขวางเหมือนมองหาอะไรสักอย่าง จนเจ้าของบ้านต้องเอ่ยกระตุ้นอีกครั้ง

“ยืนเฉยทำไม”

“ตัวเปียก” กวิสราอธิบายสั้นๆ แล้วก้มลงมองพื้น ให้เจ้าของบ้านหลังนี้เข้าใจว่าเธอกำลังกังวลอะไร

“แล้ว?”

เสียงทุ้มที่ตอบกลับมาไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใจสิ่งที่เธอจะสื่อสารเลยสักนิด แล้วนี่จะถามคำตอบคำกันแบบนี้อีกนานไหม

“ก็นี่มันพื้นพรม ในสัญญาระบุว่า ถ้าฉันทำข้าวของนายจ้างเสียหาย ฉันต้องเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด ค่าจ้างซักพรมของบ้านทั้งหลังฉันไม่มีปัญญาจ่ายหรอกนะคุณ พอมีประตูทางเข้าด้านหลังบ้างไหม...คะ”

กวิสรารีบลงท้ายด้วยถ้อยคำสุภาพทันที เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในฐานะอะไร

“ประตูหลังน่ะมี แต่ฉันไม่ชอบเข้าทางด้านหลัง เลยสั่งให้ปิดตายไปแล้ว พอดีถนัดเข้าแต่ด้านหน้าน่ะ แต่ถ้าเธอชอบประตูหลัง ฉันจะยอมพิจารณาอีกทีแล้วกัน”

ตอนนี้กวิสราไม่รู้แล้วว่าปรินทร์กำลังพูดถึงประตูบ้านหรือประตูคนกันแน่ มันกำกวมจนชวนคิดว่ามีนัย แต่คนพูดกลับทำหน้านิ่งคล้ายกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ

“ตกลงมีทางเข้าอื่นที่เลี่ยงพรมไหม...คะ” กวิสรายังคงคีปลุคลูกจ้างผู้แสนดี กัดฟันถามเข้าประเด็นอย่างสุภาพ

“ถ้าเธออยากจะเดินเข้ามาโดยไม่ให้พรมบ้านฉันเลอะ ก็ถอดเสื้อผ้าที่เปียกทิ้งไว้หน้าบ้าน แล้วเดินเข้ามาตัวเปล่าสิ”

ปรินทร์พูดจบก็เดินหายเข้าไปในบ้านเลย โดยไม่ยืนรอดูด้วยซ้ำว่ากวิสราจะแก้ผ้าเดินเข้าบ้านจริงอย่างที่เขาแนะนำหรือเปล่า ทิ้งให้คนฟังได้แต่อ้าปากค้าง มองตามแผ่นหลังกว้างอย่างตกใจ

‘ฮะ! ได้เหรอวะ พูดยังงี้ก็ได้เหรอ!’

“เออ ก็คงได้แหละ จ่ายตังค์แล้วนี่ แต่ฝันไปเถอะ ใครมันจะไปบ้าทำตาม” กวิสราคิดเองเออเอง ก่อนจะสรุปเองเบาๆ

ร่างเล็กยืนบิดชายเสื้อที่ชุ่มน้ำอยู่หน้าบ้าน โดยพยายามจัดการตัวเองให้อยู่ในสภาพที่เปียกชื้นน้อยที่สุด จากนั้นจึงแบกเป้ใบใหญ่ขึ้นหลัง แล้วค่อยๆ ย่องเข้าไปในบ้านอย่างระมัดระวัง เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสองของบ้าน ก็ต้องยืนงงกับประตูห้องทั้งสามบาน เพราะทุกบานล้วนแล้วแต่เป็นสีขาว

“แล้วมันห้องไหนเนี่ย”

“มายืนเกะกะอะไรแถวนี้ หลบไป” เสียงทุ้มติดจะรำคาญนิดๆ ดังขึ้นข้างใบหูเล็ก

“เฮ้ยยย”

กวิสราซึ่งยืนงงอยู่ตรงบันไดหลุดอุทานเสียงดัง แล้วถอยกรูดไปชิดผนังด้านหนึ่งด้วยความตกใจ เมื่อปรินทร์ที่ไม่รู้มาจากไหนเดินมายืนซ้อนหลังเธอ มือเล็กยกขึ้นปิดใบหูตัวเองที่สัมผัสลมหายใจของชายหนุ่มเมื่อครู่

‘ผลุบๆ โผล่ๆ เป็นผีเลยเว้ย!’

ปรินทร์โน้มหน้าลงมาใกล้ใบหน้าหวานที่ตอนนี้ซีดเผือดจนเห็นได้ชัด พลางเขม้นมองและคาดเดา

“เธอแอบด่าฉันในใจเหรอ”

“ปละ...เปล่า”

“แล้วไป”

นัยน์ตาคมหลังกรอบแว่นยังไม่ละไปจากร่างบาง ปรินทร์เอาแต่จ้องมองโดยไม่ยอมพูดอะไรต่อ ทำให้คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดต้องเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมา

“ห้องฉันอยู่ตรงไหนคะ” กวิสรารีบถาม รีบหลบสายตาคมลงด้านล่าง

“ห้องเธออยู่ด้านซ้าย ห้องฉันอยู่ด้านขวา ส่วนห้องใหญ่ตรงกลางเป็นของมายเลิฟ”

“มายเลิฟ? ที่รัก?”

“ใช่ ห้องมายเลิฟ แต่เธอห้ามเข้าไปโดยพลการ ต้องรอให้เจ้าของห้องอนุญาตก่อน”

อ้าว มีแฟนแล้วจะมาจ้างเธอทำไม...กวิสราได้แค่คิด แต่ไม่ได้ถามออกไป เพราะไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขา แต่ถ้าเป็นแบบนี้เธอก็คงพอจะสบายใจได้แล้วใช่ไหม อย่างน้อยบ้านหลังนี้เธอกับเขาก็ไม่ได้อยู่กันสองคน และอีกคนนั่นก็เป็นคนรักของเขาด้วย

“ได้ค่ะ” ความสบายใจเล็กๆ ทำให้กวิสรารับคำอย่างไม่ต้องแกล้งทำสุภาพอีกต่อไป

“ว่าแต่...” ปรินทร์พูดค้างไว้พลางกวาดตามองกวิสราตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า

“มีอะไรคะ”

“เธอไม่เห็นถอดเสื้อผ้าก่อนเข้าบ้านเลยนี่ ฉันอุตส่าห์ให้คำแนะนำดีๆ”

“บ้าเหรอ! ใครมันจะไปทำ ถ้าคุณอยากทำ ก็เชิญทำเองเลย” กวิสราตวาดแหวอย่างลืมตัว

“อ้าว ได้เหรอ” ปรินทร์ถามยิ้มๆ

“ได้สิ นี่บ้านคุณ” กวิสราเอ่ยประชดเข้าให้ เพราะมั่นใจว่าเขาไม่มีทางกล้าแน่นอน

“แล้วก็ไม่บอก”

พรึ่บ

เสื้อผ้าที่อยู่บนกายแกร่งเริ่มหลุดออกทีละชิ้น เริ่มจากสูทตัวนอก ตามมาด้วยเนกไทสีแดงเข้ม เมื่อกระดุมเม็ดที่สามถูกปลดออก แผงอกขาวพร้อมไหปลาร้าลึกได้รูปเผยออกมา กวิสราก็รีบกระเถิบออกห่างทีละนิดพลางถามเสียงสั่น

“คะ...คิดจะทำอะไรน่ะคุณ”

“อ้าว ก็เธอหาเรื่องแกล้งให้ฉันโป๊ เพราะอยากรู้ว่าเป๊ะไม่ใช่รึไง”

ไม่ต้องรอให้ปรินทร์ถอดหมดทุกชิ้น กวิสราก็รีบชิ่งหนี เตรียมจะเข้าห้องทันที แต่กลับถูกรั้งตัวไว้อีกครั้ง

“เกล” นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินปรินทร์เรียกชื่อเธอ

“คะ”

“นั่นห้องฉัน”

“อ๊ายยย”

เสียงร้องที่สมกับเป็นผู้หญิงในรอบสิบปีดังขึ้น ก่อนร่างเล็กจะรีบวิ่งสวนไปอีกทางเพื่อเข้าห้องหนีความอับอาย ท่ามกลางเสียงหัวเราะลั่นของปรินทร์

อย่าว่าแต่สามเดือนเลย แค่คืนเดียว เธอก็สภาพร่อแร่ลูกผีลูกคนแล้ว!

 

กลางดึก ร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียงควีนไซซ์มีอาการกระสับกระส่ายคล้ายคนหายใจไม่ออกและแน่นหน้าอก เปลือกตาขยับยุกยิกอย่างคนที่ใกล้จะตื่น

‘หะ...หายใจไม่ออก’

ตอนนี้กวิสรารู้สึกตัวแล้ว เพียงแต่ยังไม่ยอมลืมตา เพราะหวาดกลัวบางสิ่ง

‘ที่นี่มีผีด้วยเหรอ ฮือ...ช่วยด้วย ผะ...ผีอำ!’

แม้กวิสราจะพยายามสวดมนต์ไปไม่รู้กี่จบ อาการแน่นหน้าอกคล้ายถูกผีอำก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย เธอจึงกลั้นใจข่มความกลัว ลืมตาขึ้นมอง และด้วยความขี้ขลาดเพราะต้องนอนแปลกที่จนก่อนเข้านอนไม่อาจทำใจปิดไฟได้ จึงทำให้พบสาเหตุของการหายใจไม่ออกทันทีที่ลืมตา

บนหน้าอกเธอในตอนนี้ มีแมวลายสลิดหน้ามึนตัวอวบอ้วนที่หน้าตาไม่มีความไฮโซใดๆ ซุกซ่อนอยู่เลยนอนทับอยู่ แล้วบนปลอกคอที่สวมก็มีตัวหนังสือตัวเล็กๆ เขียนว่า

My love

“อะ...อีมายเลิฟ ฉันจะปิ้งแก! โทษฐานที่ทำให้กลัว ฮือ...”

“เมี้ยววว”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น