บทที่ 6
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูห้องรัวเร็วปานไฟกำลังไหม้บ้าน ทำเอากวิสราที่เพิ่งเคลิ้มหลับได้ไม่ได้นานเพราะถูกเจ้าถิ่นร่างยักษ์บุกรุกถึงเตียงนอนกลางดึกสะดุ้งสุดตัว
“อะไรกันอี๊ก”
หญิงสาวบ่นอย่างไม่สบอารมณ์พลางมองไปรอบๆ ห้องอย่างหงุดหงิด แต่แทนที่จะเจอหอพักรังหนูแสนรักที่คุ้นเคย กลับกลายเป็นห้องพักที่ตกแต่งด้วยสไตล์มินิมัลโคซี่ ซึ่งตอนนี้เป็นภาพพร่ามัวจากการเมาขี้ตา
ภายในห้องเน้นโทนสีอบอุ่น ขาวกับน้ำตาลอ่อนเป็นหลัก เฟอร์นิเจอร์ที่มีก็น้อยชิ้น เน้นวัสดุที่ทำด้วยไม้ มีเพียงเตียงเท่านั้นที่เป็นโครงเหล็กวินเทจสีดำตัดกับผ้าปูที่นอนสีขาว ทุกอย่างดูเข้ากันได้ดีมากขึ้นเมื่อมีต้นไม้เล็กๆ ที่จัดวางตกแต่งไว้ตามมุมต่างๆ ของห้องอย่างลงตัว มีอยู่อย่างเดียวที่ดูผิดที่ผิดทางในสถานที่นี้ที่สุด คือตัวเธอนั่นเอง
“ตายห่า! ลืมไปเลยว่าไม่ได้อยู่ที่หอ”
ในที่สุดกวิสราก็ตื่นเต็มตาและระลึกได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ร่างเล็กผุดลุกจากเตียงทันทีเพื่อจะพุ่งตัวไปเปิดประตูรับหน้าเจ้าของบ้านที่ตอนนี้ก็ยังไม่เลิกเคาะประตูสั่นประสาทเสียที แต่ขาเรียวที่รีบเร่งกลับถูกฉุดรั้งไว้ด้วยเจ้าถิ่นตัวอ้วนกลมที่เดินวนเวียนอยู่บนเตียงพร้อมส่งเสียงเรียกเธอไม่หยุด
“เมี้ยววว”
“อย่าบอกนะ” กวิสราเริ่มคาดคะเนจากอากัปกิริยาที่ตนเห็นจากแมวอ้วน
“เมี้ยววว”
“ให้ตาย ลงเองไม่ได้อีก เวรกรรม แล้วตอนขึ้นไปทำอีท่าไหนกัน มานี่”
แขนกลมกลึงสอดเข้าไปใต้ขาหน้า ก่อนจะยกขึ้นในลักษณะเดียวกันกับการอุ้มเด็ก น้ำหนักตัวที่ค่อนข้างมากของมายเลิฟทำให้ทุกอย่างดูทุลักทุเลไม่น้อย
“เอ้าฮึบ! อื้อหือ...นี่ของดีราชบุรีรึเปล่าเนี่ย แกเป็นแมวสายพันธุ์โอ่งมังกรเหรอ อุ้มทีไหล่แทบหลุด”
กวิสราค่อยๆ ลากๆ เท้าไปยังประตูห้อง ตั้งใจเพียงว่าเมื่อเปิดประตูแล้วจะได้วางมายเลิฟลงบนพื้นหน้าห้อง แต่ไม่ทันได้คิดว่า เมื่อเปิดประตูออกมาจะเจอกับปรินทร์ที่เอาแต่จ้องมองเธอเขม็ง ทำเอาอ้อมแขนเล็กเผลอรัดแมวอ้วนไว้เป็นเกราะป้องกันภัยทันที
“นี่มันใช่เวลามาเล่นกับแมวไหม” เขาเอ่ยเสียงเรียบก่อนเหลือบมองนาฬิกาข้อมือของตนเอง
“ฮะ...” กวิสรายังไม่ทันอธิบายว่าเธอไม่ได้นึกคึกมาเล่นกับแมวตอนตีห้า ปรินทร์ก็เอ่ยตัดบทเธอทันที
“ส่งโทรศัพท์เธอมา”
“จะเอาไปทำอะไร”
“เดี๋ยวนี้”
นัยน์ตาคมกริบที่ซ่อนอยู่หลังกรอบแว่นของปรินทร์ทรงพลังเสียจนทำให้คำว่า ‘เดี๋ยวนี้’ ดูน่ากลัว จนกวิสราหายสงสัยไปเองโดยอัตโนมัติ และยอมบอกว่าสิ่งที่เขาต้องการอยู่ที่ไหน
“อยู่บนที่นอน”
ร่างสูงของปรินทร์เดินผ่านกวิสราซึ่งอุ้มแมวอยู่หน้าประตูเข้าไปในห้องอย่างถือวิสาสะ แล้วหยิบเครื่องมือสื่อสารที่ถูกวางทิ้งไว้ข้างหมอนมาไถสไลดหน้าจอสัมผัสไปมา
“ไม่ตั้งรหัส?” คำถามถูกโยนใส่เจ้าของโทรศัพท์ทันทีที่ปรินทร์เสร็จธุระกับมัน
“ขี้เกียจปลดล็อกบ่อยๆ ไม่มีอะไรสำคัญในนั้นหรอก”
“หลังจากวันนี้ก็ตั้งซะ ไม่ใช่ให้ใครมาหยิบฉวยไปเช็กข้อมูลส่วนตัวได้ง่ายๆ”
กวิสราได้แต่มองตามปรินทร์อย่างหงุดหงิด ยังจะมีหน้ามาว่าเธออีก ก็เขานั่นแหละเป็นคนแรกที่ยุ่งวุ่นวายกับโทรศัพท์ส่วนตัวของเธอ
“ไม่ต้องแอบด่าฉันในใจ แค่เอามาแลกคอนแทกต์ ไว้ตามตัวเวลาจะใช้งาน”
‘ชิ รู้ดี’
“ทุกครั้งที่ฉันโทร. มา อย่าให้เสียงรอสายดังเกินสามครั้ง ไม่งั้นฉันจะปรับเงินเธอ”
‘โอ้โฮ เขี้ยวได้อีก’ กวิสราทำได้เพียงบ่นในใจ ไม่กล้าส่งเสียงออกมาอย่างที่ใจคิด
“ตามมา ฉันจะสั่งงานก่อนออกไปข้างนอก”
กวิสราก้าวตามหลังปรินทร์อย่างว่าง่าย แม้สงสัยว่าเขาจะรีบไปไหนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี
‘คุณพระ!’
แค่เดินเข้ามาในโซนด้านล่างหลังห้องรับแขก กวิสราก็ต้องอุทานในใจกับสิ่งที่ได้เห็น นี่มันบ้านไฮโซหรือที่ทิ้งขยะของเทศบาล!
“ฉันไม่ว่างไปเที่ยว วันนี้ขอเปลี่ยนจากโหมดเพื่อนเที่ยวไปเป็นโหมดคนใช้นะ”
“ได้เหรอ” กวิสราถามเสียงหลง เพราะอยู่ๆ ปรินทร์ก็เปลี่ยนหน้าที่การงานของเธอหน้าตาเฉย เหมือนจ้างมาชงเหล้า แต่ดันยื่นไม้มอปมาให้ มันต่างกันนะเว้ย
“อ้าว ไม่ได้เหรอ ไหนว่าปรับโหมดสถานะได้ตามต้องการ ถ้าไม่ได้ จะได้ฉีกสัญญาและขอเงินคืน”
“ได้สิ สบายมาก”
กวิสรารีบกัดฟันรับคำทันทีเมื่อได้ยินว่าเขาจะขอเงินคืน อารมณ์ตอนนี้เหมือนถูกหลอกมาจริงๆ แต่เธอจะพยายามคิดในแง่ดีว่า มันไม่เลวร้ายอย่างที่คิด อย่างน้อยเธอก็ปลอดภัย แต่เมื่อหันไปเห็นกองงานบ้านด้านหลังอีกครั้ง น้ำตาก็แทบหลั่งเป็นสายเลือด
“ก็ดี แต่ขอสั่งห้ามอย่างเดียว เธอจะทำความสะอาดห้องไหนมุมไหนในบ้านก็ได้ แต่ห้ามยุ่งกับประตูโรงรถ เข้าใจไหม”
“อ่า...ก็ได้อยู่ แต่นี่ เอ่อ...คุณถูกบริษัทรับทำความสะอาดขึ้นแบล็กลิสต์รึไง”
กวิสราไม่รู้จะเลือกใช้คำไหนดีให้ฟังดูซอฟต์ที่สุด แต่เธอก็อยากรู้เหตุผลไงว่า ทำไมบ้านมันวินาศสันตะโรขนาดนี้
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ” ปรินทร์ตัดบททันทีที่ได้ยินคำถาม
‘ถ้าจะตอบแบบนี้ ด่าว่าอย่าเสือกก็ได้ มาขนาดนี้แล้ว อย่ามากั๊กดิเฮ้ย’
แม้ภายในใจจะคิดเช่นนี้ แต่ภายนอกกวิสรากลับทำเพียงยิ้มรับ
“ขอเตือนครั้งสุดท้าย ห้ามเดินไปหลังบ้าน และห้ามยุ่งกับประตูโรงรถเด็ดขาด นอกนั้นทำความสะอาดให้หมด และอย่าลืมให้อาหารมายเลิฟด้วย” ปรินทร์เอ่ยสำทับเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินออกไปขึ้นรถด้วยความรีบเร่ง
พอพูดถึงมายเลิฟแล้วก็เหมือนจะลืมไปว่า...
“โอ๊ยยย ถึงว่า ทำไมยืนเฉยๆ ก็ปวดแขน นี่ก็นิ่งเชียว ร้องให้ปล่อยสักนิดก็ไม่มี ให้อุ้มอยู่ได้ ปัดโธ่! เวลาคนตกใจตอนไฟไหม้แล้วแบกตุ่มน้ำวิ่งหนีได้มันเป็นแบบนี้นี่เอง”
“เมี้ยววว”
เพียงเจ้าของแผ่นหลังกว้างหายลับออกไปจากบ้าน กวิสราก็แทบจะกลับขึ้นไปโดดใส่เตียงนอนอีกครั้ง เพราะความง่วงงุนจากการถูกแมวกวนตอนนอน แต่เมื่อกวาดตามองรอบบ้านที่ตัวเองได้เห็นเต็มตาครั้งแรกก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะมันเลอะเทอะเกินกว่าจะเรียกว่าบ้านคนได้ เมื่อคิดได้ดังนั้น ร่างบางจึงเดินวนหาอุปกรณ์ทำความสะอาดที่คาดว่าถูกซ่อนอยู่
สารพัดกล่องอาหารแช่แข็ง แผ่นโฟมรองอาหารสด ซากถ้วยกระดาษของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขวดน้ำแร่ยี่ห้อดัง รวมไปถึงซองขนมของแมวเหมียว ถูกทิ้งเกลื่อนกลาดไม่เป็นที่เป็นทาง ทำให้กวิสราต้องเดินเก็บกวาดขยะชิ้นใหญ่ลงถุงดำไปรอบๆ บ้าน
“เมี้ยววว”
เสียงร้องเรียกพร้อมอากัปกิริยาคลอเคลียพันแขนขา ทำให้มือบางที่กำลังง่วนอยู่กับงานบ้านต้องหยุดชะงักและให้ความสนใจ
“หิวเหรอ” แม้รู้ว่าถามไปก็คงไม่ได้คำตอบ แต่เมื่อมายเลิฟเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวที่อยู่เป็นเพื่อนเธอในตอนนี้ ก็ทำให้กวิสราอดพูดคุยด้วยไม่ได้
“เมี้ยววว”
เพียงแค่แมวน้อยขานรับอีกครั้ง กวิสราก็วางทุกอย่างในมือลงแล้วเดินตรงเข้าไปในห้องครัว เปิดประตูเคาน์เตอร์ด้านล่างหลายบานเพื่อค้นหาอาหารสัตว์ เพราะปรินทร์ไม่ได้แจ้งรายละเอียดไว้ ทำให้เธอต้องมาควานหาทุกอย่างเอง ใช้เวลาไม่นาน อาหารเม็ดอย่างดีก็ถูกเทลงในชามสเตนเลสใบใหญ่เข้าคู่กับชามใส่น้ำที่อยู่ติดกัน
กวิสรายืนมองแมวในร่างหมูซัดอาหารเม็ดในชามจนจมหายไปทั้งศีรษะ ก่อนจะส่ายหัวแล้วพูดอย่างที่ใจคิด
“มายเลิฟ แกควรลดน้ำหนัก นี่เกลจริงจังนะ”
เมื่อมายเลิฟได้อาหารเช้าแล้วก็ไม่สนใจคำพูดของมนุษย์ตัวจ้อยอีก กวิสราจึงเดินกลับไปทำงานของตัวเองต่อ
หุ่นยนต์เครื่องดูดฝุ่นสามตัวที่กวิสราเจอโดยบังเอิญตอนเก็บกวาดขยะกองโตลงถุงดำ ถูกเปิดเครื่องแล้วนำไปวางตามมุมต่างๆ ของบ้านพักซึ่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ เป็นการลดภาระในการทำงานบ้านได้ดี ก่อนที่ร่างบางจะเดินเข้าไปในโซนห้องครัวเปิดโล่งซึ่งด้านหน้าเป็นมินิบาร์แบบบิลต์อิน เพื่อทำความสะอาดจานชามใช้แล้วที่ล้นออกมานอกอ่าง
“ไง อิ่มแล้วเหรอ”
กวิสราเอ่ยทักมายเลิฟ เจ้าเหมียวตัวยุ่งที่เพิ่งจัดการอาหารเช้าเสร็จ ร่างอวบอ้วนที่กำลังจะเข้ามาคลอเคลียใกล้เธอกลับเบนเป้าหมายไปทางอื่นทันที เมื่อเห็นหุ่นยนต์เครื่องดูดฝุ่นที่ผ่านหน้าไปอย่างฉิวเฉียด มันรีบเดินตามพร้อมใช้เท้าหน้าตะปบเครื่องดูดฝุ่นเป็นระยะ จนหายออกไปจากครรลองสายตาของกวิสราอีกครั้ง
“มีเครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่างเลยแฮะ แต่ดันรกเหมือนบ้านร้าง”
เธอเปรยเบาๆ หลังหันไปเจอเครื่องล้างจานที่ติดตั้งอยู่ด้านล่าง ใหม่เอี่ยมราวกับไม่เคยได้ใช้งานเลยสักครั้ง กวิสราเทเศษอาหารทิ้งก่อนจะนำจานชามลงเครื่อง แล้วเร่งงานในมือตัวเองต่อไป ด้วยความใหญ่โตของบ้าน ทำให้กว่าทุกอย่างจะเริ่มดูเข้าที่เข้าทางบ้างก็ปาไปหลายชั่วโมง
โครก~
กวิสราทำงานจนลืมเวลาไปแล้วจริงๆ หากกระเพาะน้อยๆ ไม่ส่งเสียงร้องประท้วง เธอคงลืมไปเสียสนิทว่ายังไม่มีอาหารใดๆ ตกถึงท้องเลยตั้งแต่เช้า ความปวดมวนบริเวณหน้าท้องทำให้แม่บ้านที่ถูกแต่งตั้งเป็นการชั่วคราวจำต้องวางงานในมือ แล้วไปจัดการหาอะไรยัดลงท้องให้มันหยุดส่งเสียงร้องเสียที
กุก
กัก
เสียงเปิดประตูตู้ต่างๆ ดังขึ้น พร้อมมือเล็กที่ค้นหาของที่ต้องการไปเรื่อย จนกระทั่งพบซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อหนึ่งในตู้เก็บอาการแห้งด้านบน มันยังอยู่ในสภาพดี นับเป็นเมนูที่ดูเหมาะกับคนมีงานรัดตัวและเวลาน้อยเช่นเธอ
“อย่างน้อยก็อิ่มท้องละนะ”
หญิงสาวเอ่ยกับตนเองเมื่อเจอสิ่งที่จะทำให้เธอรอดตายในมื้อนี้ กวิสราไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร จึงเลือกจะมองข้ามโภชนาการต่างๆ แล้วบรรจงฉีกซองและต้มน้ำร้อนทันที ใช้เวลาเพียงไม่นาน ถ้วยขนาดย่อมควันลอยหอมฉุยก็ถูกวางลงบนโต๊ะอาหาร พร้อมแก้วใสที่มีน้ำเปล่าเติมเต็มจนเกือบล้น วางเข้าคู่กันพร้อมรับประทาน
“มายเลิฟหายไปไหน” กวิสราบ่นพึมพำเล็กน้อยเมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาของแมวตัวยุ่งที่ชอบเข้าเดินคลอเคลีย พันแข้งพันขาระหว่างการทำงาน
แต่ความหิวโหยที่มีอยู่มากโขทำให้เธอเลือกที่จะละวางเรื่องสัตว์เลี้ยงของเจ้านาย แล้วเปลี่ยนมาตั้งใจใช้ตะเกียบคีบเส้นเหนียวนุ่มหอมกรุ่น แหล่งรวมโซเดียมชั้นดีเข้าปากคำโต
ฟื้ดดดด
เสียงบางอย่างที่ดูเหมือนจะกำลังตรงเข้ามาใกล้ ทำให้กวิสราต้องเงยหน้าขึ้นจากชามบะหมี่แล้วเหลือบมอง และดูเหมือนมันจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด
พรูดดดด
“แค็กๆๆ”
บะหมี่ที่อยู่คาปากพุ่งออกมาดุจสายรุ้ง กระจายเกลื่อนโต๊ะอาหารที่เพิ่งทำความสะอาดไปหมาดๆ เพราะภาพที่อยู่ตรงหน้าโดยแท้ กวิสราไอหน้าดำหน้าแดงเพราะสำลักบะหมี่ ก่อนจะหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่มเพื่อบรรเทาอาการแสบร้อนของลำคอ แล้วจึงมองค้อนมายเลิฟที่กำลังนั่งบนหุ่นยนต์เครื่องดูดฝุ่นที่เคลื่อนที่ไปมาอย่างไม่รู้ไม่ชี้ ว่าทำมนุษย์เกือบตายเพราะนิสัยประหลาดของมัน
“วิถีแมวอ้วนจริงๆ ฮะๆๆ”
เมื่ออาการดีขึ้น กวิสราจึงได้แต่ส่ายหัวและเริ่มหัวเราะเสียงดังกับภาพโรบอตแมวทำความสะอาดที่เคลื่อนไปมาในบริเวณใกล้ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระดาษทิชชูมาสั่งน้ำมูกอย่างแรงเพราะความระคายเคืองที่เกิดขึ้นในโพรงจมูก เส้นสีเหลืองยาวเกือบหนึ่งฝ่ามือที่ดึงออกมาได้ทำให้หญิงสาวได้แต่ทำหน้าเบ้ พลางบ่นกับตัวเอง
“อุบาทว์จริงๆ ไอ้เกล”
“เมี้ยววว”
“ไม่ต้องมาเห็นด้วยเลย ฮะ...ฮัดชิ้ว!”
กว่างานบ้านทั้งหลัง ยกเว้นการตัดหญ้าสนามหน้าบ้านและเช็ดกระจกซึ่งคิดไว้ว่าจะยกยอดไปทำพรุ่งนี้จะแล้วเสร็จ ก็ปาไปเกือบสองทุ่ม
กวิสราซึ่งทำความสะอาดร่างกายจนหอมฟุ้งเดินไปเก็บผ้าที่แห้งแล้วจากเครื่องมาวางกองไว้ในห้องนั่งเล่นเพื่อเก็บพับเข้าที่ ผ้าชุดสุดท้ายที่หอบออกมาเต็มอ้อมแขนถูกโยนทิ้งลงพื้นทันทีที่หญิงสาวได้ยินเสียงบางอย่าง
‘ทุกครั้งที่ฉันโทร. มา อย่าให้เสียงสัญญาณดังเกินสามครั้ง ไม่งั้นฉันจะปรับเงินเธอ’
“แม่งเอ๊ยยย”
ผ้าปูที่นอนปลอกหมอนซึ่งหอมกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น พร้อมกับที่เจ้าของเสียงหวานสบถลั่นเมื่อเสียงเรียกเข้าดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง ร่างบางพุ่งหลาวไปฉวยโทรศัพท์ที่วางแอ้งแม้งไว้บนโซฟา แล้วกดรับสายด้วยมือสั่นระริก
“เกือบไป ฮู่ว...”
กวิสราปาดเหงื่อทิพย์ที่ไม่มีอยู่จริงบนหน้าผาก แล้วเป่าปากอย่างโล่งอกเมื่อรอดตัวจากการถูกปรับเงินที่รับโทรศัพท์ช้าอย่างหวุดหวิด
“ช้า” เสียงทุ้มดังขึ้นจากปลายสาย
“ถ้าจะให้เร็วกว่านี้ คุณคงต้องกลับมาเก็บศพฉันแล้วละ นี่ก็พุ่งตัวมารับโทรศัพท์จนหน้าเกือบฟาดพื้นแหกหมดแล้ว”
“ทำอะไรไม่รู้จักระวัง” ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“รู้น่า ฉันระ...” กวิสรากำลังจะอธิบายว่าเธอน่ะ ดูแลตัวเองอย่างดี ไม่ต้องให้เขามาเป็นห่วงหรอก แต่ปรินทร์กลับเอ่ยแทรกขึ้นมา จนเธอได้ยินเสียงราวกับใบหน้าตัวเองแตกร่วงหล่นเต็มพื้น
“เดี๋ยวพื้นบ้านฉันเป็นรอย”
“โอ้โฮ บ้านสกปรกขนาดนี้ ยังจะห่วงกลัวพื้นเป็นรอย กลัวมันขึ้นราทั้งหลังก่อนจะดีไหม” กวิสราเผลอหลุดปากออกมาอย่างไม่อาจเก็บงำเพราะความมีน้ำใจอันล้นเหลือของปรินทร์
“แล้วมันขึ้นไหม ราน่ะ”
กวิสราที่เริ่มจะหัวร้อนนิดๆ รีบลุกขึ้นนั่งคุยโทรศัพท์ทันที อย่างตั้งป้อมจะตีฝีปากกับเจ้าของบ้านที่สุดแสนจะกวนประสาท
“ไม่มี”
“นั่นไง แล้วเธอเอาอะไรมาพูด”
“ก็ถ้าคุณยังปล่อยบ้านไว้สภาพนี้บ่อยๆ มันก็ไม่แน่”
“ไม่มีทางกลับไปเป็นแบบนั้นแล้วละ”
“คนมันเคยชิน จะเปลี่ยนนิสัยกันปุบปับได้เหรอคุณ”
กวิสราพูดตามที่คิด ถึงจะฟังดูปรามาสกันกลายๆ แต่เธอพูดความจริง ปรินทร์เป็นคนที่ไม่มีระเบียบวินัยเลยสักนิด จากที่เธอได้มีโอกาสทำความสะอาดครั้งใหญ่ให้บ้านของเขา มีเพียงห้องมายเลิฟกับห้องนอนสองห้องเท่านั้นที่เรียกว่าดูดีและพออาศัยได้ นอกนั้นสภาพรอบบ้านดูไม่จืดเลย
“ก็ถ้ามีคนทำความสะอาดทุกวัน มันก็จะคงสภาพในแบบที่มันควรเป็นตลอดเวลา”
“คุณเนี่ยนะจะทำความสะอาดบ้านทุกวัน”
“เปล่า ไม่ใช่ฉัน เธอต่างหาก”
เสียงปรินทร์ที่อยู่ปลายสายฟังดูยียวน เมื่อรวมเข้ากับเสียงเอี๊ยดอ๊าดที่แว่วมา ทำให้กวิสราเห็นภาพร่างสูงของเขากำลังนั่งหมุนเก้าอี้เล่นสบายๆ ยามสนทนากับเธอ
“ถ้าจะใช้กันขนาดนี้ เพิ่มเงินสักนิดดีไหมคะเจ้านาย”
กวิสราโยนหินถามทางหวังฟลุก เผื่อได้เงินเพิ่มหลังจากการทำงานบ้านอย่างหนักหน่วง แต่ทันทีที่พูดจบ ปรินทร์ก็เหมือนหยิบหินถามทางก้อนนั้นเขวี้ยงใส่ศีรษะเธออย่างแรงด้วยความจริงที่กระแทกหน้าว่า
“ฝันอยู่เหรอ ไอ้ที่ได้ไปก็สร้างบ้านได้ครึ่งหลังแล้วนะ”
ชั้นเชิงต่อรองทางธุรกิจอันแสนอ่อนด้อยของกวิสราทำให้เธอเถียงไม่ออก เพราะดันเห็นด้วยกับปรินทร์อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
“ฉันแค่จะโทร. มาบอกว่าไม่ต้องรอเปิดประตู วันนี้มีเลี้ยงรับรองลูกค้า อาจจะสว่าง”
“โอเค แค่นี้ใช่ไหม” เมื่อเจ้านายสั่งว่าไม่ต้องรอ เธอก็พร้อมเต็มที่ที่จะทำตามอย่างไม่อิดออด จริงๆ ตอนนี้เธอก็เพลียเต็มแก่ แม้ว่าปรินทร์จะไม่โทร. มาบอก เธอก็คงไม่รอ พอพับผ้าเสร็จ เธอก็คงลากมายเลิฟขึ้นไปนอนชั้นบนด้วยกันอยู่ดี
“เดี๋ยว” เขาเอ่ยห้ามราวกับรู้ว่าเธอกำลังจะวางสาย
กวิสราเอียงคอมองนาฬิกาดิจิทัลที่อยู่ใกล้ๆ แล้วปิดปากหาวหวอดๆ ร่างบางที่ไร้ซึ่งแรงดึงดูดใจที่จะคุยกับปรินทร์ต่อเบนสายตาไปหามายเลิฟที่เดินขึ้นมานอนบนตักตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจรู้ เพราะมัวแต่ทุ่มเถียงกับปรินทร์ นิ้วมือเรียวสวยขยับเข้าไปเกาคางแมวตัวอ้วน เป็นบรรณาการให้มันที่ทำตัวเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีของเธอทั้งวัน ถึงจะทำให้เธอต้องสำลักบะหมี่ตอนบ่ายก็เถอะ
“เมี้ยววว”
เสียงร้องครางสุดแสนจะเคลิบเคลิ้มดังขึ้น ทำเอาปลายสายซึ่งเป็นเจ้าของแมวตัวจริงเอ่ยทัก
“มายเลิฟอยู่แถวนั้นเหรอ”
“อาฮะ” กวิสรารับคำ เริ่มลากมือไปจกพุงนุ่มนิ่มของมายเลิฟด้วยความมันเขี้ยว แทนการเกาคางที่ทำให้มันฟิน จนเจ้าของได้ยินเสียงร้อง
“ทำไมมันร้อง ได้ให้อาหารมายเลิฟรึเปล่าวันนี้”
“เรียบร้อย น้ำหนักมันไม่หายไปสักขีด รับรองได้”
เจ้าแมวเริ่มดิ้นหนีมือไปมาจนกระพรวนที่คอส่งเสียงดังต่อเนื่อง ราวกับจะฟ้องว่ามันกำลังถูกหญิงใจคอโหดเหี้ยมประทุษร้าย
‘จะฟ้องพ่อแกเหรอ ไอ้อ้วน’ นัยน์ตากลมโตจ้องจะฟัดมายเลิฟอย่างสนุกสนาน
“ได้แกล้งมันรึเปล่า”
“เปล่านะ”
ไม่ใช่แค่ปฏิเสธ แต่กวิสรารีบปล่อยมือจากหน้าท้องนิ่มย้วยของมายเลิฟทันที ด้วยกลัวปรินทร์จะเข้าใจผิดว่าเธอแกล้งมันจริงๆ
“มายเลิฟเป็นแมวหวงตัว”
“หืม...” กวิสราครางในลำคอ มองแมวตัวอ้วนบนตักที่ทำหน้าสุดฟินเมื่อเธอเปลี่ยนตำแหน่งการเกามาเป็นบริเวณหลังใบหู พลางตั้งคำถามกับตนเองในใจว่า ตรงไหนที่บ่งบอกว่ามันหวงตัว
“มันไม่ชอบเข้าใกล้คนแปลกหน้า”
“...”
“เพราะแบบนั้น ถ้าเธอไม่อยากมีปัญหากับฉัน อย่าทำร้ายมัน”
‘เดี๋ยวนะ ตาบ้านี่รู้จักแมวตัวเองจริงรึเปล่า ถ้าใจง่ายกว่านี้ มายเลิฟก็ถูกหลอกไปขายตัวแล้วนะ’
กวิสราได้แต่คิดในใจ แต่ไม่กล้าแย้งออกไป เพราะรังสีความเป็นทาสแมวตัวจริงที่แผ่ออกมาของปรินทร์ทำให้เธอเลือกฟังเงียบๆ และรอให้เขาวางสายไปเอง
เสียงเครื่องมือสื่อสารที่แผดดังยามดึกสงัดปลุกร่างบางขึ้นมาอย่างไม่ยินยอม แม้จะง่วงงุนและสะลึมสะลือ แต่หญิงสาวก็ยังสามารถควานหาตำแหน่งที่ตั้งของมันแล้วคว้ามารับสายได้
“อืมมม”
“ฉันเอง”
“ฉันเองไหนวะ ฮ้าววว” ริมฝีปากจิ้มลิ้มเปิดกว้าง รับออกซิเจนเข้าปอดเต็มที่แบบไม่สงวนท่าที
“ปรินซ์”
เสียงทุ้มเรียบนิ่งไม่มีวี่แววล้อเล่นอย่างช่วงหัวค่ำทำเอาเธอตื่นเต็มตา
“อ้าว แล้วก็ไม่บอก มาถึงแล้วเหรอคุณ ให้ลงไปเปิดประตูให้ไหม”
“ไม่ต้อง”
“แล้วคุณโทร. มามีอะไร” เข็มสั้นที่ชี้เลยเลขสิบเอ็ดมาเล็กน้อย และเข็มยาวที่ชี้เลขสามของนาฬิกาบนฝาผนัง ทำให้เธอไม่เข้าใจว่าปรินทร์ต้องการอะไรจากเธอในเวลานี้
“ขอโหมดเมียหึงผัวขั้นสุด
“อะ...อะไรนะ”
“ให้ไว ฉันอยู่ทองหล่อ เดี๋ยวมีคนไปรับถึงบ้าน ให้เวลาแต่งตัวสิบห้านาที”
“เอาจริงดิ”
“เออ! นี่มันหน้าที่เธอ มาเคลียร์ปลิงพวกนี้ออกจากตัวฉันให้หมด!”
“เดี๋ยววว อย่าเพิ่งวาง คุณจะให้ฉันไปลุคไหน” ที่ถามก็เพราะตอนนี้เธอไม่รู้แล้วว่า เวลาอยู่ข้างเขาควรจะอยู่ในสถานะไหน
“ขอลุคแบบฟาดได้ฟาด! ฆ่าได้ฆ่า!”
ความคิดเห็น |
---|