บทที่ 7
“ไอ้ปรินซ์! กลับบ้าน!!!”
เสียงแปดหลอดถูกตะโกนออกมาจนสุดพลัง หากไม่ใช่ว่าบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในซอยเปลี่ยว บ้านข้างๆ คงจะปารองเท้าข้ามกำแพงเข้ามาแล้ว
“แบบนี้ก็ไม่ดีเนอะมายเลิฟ ถ่อยเกิ๊นนน มันไม่ใช่แนว”
เสียงหวานดังขึ้นงุ้งงิ้งเมื่อเจ้าตัวหันไปคุยกับผู้ช่วยซักซ้อมบทกิตติมศักดิ์ ผิดกับเสียงตะโกนเมื่อครู่ราวฟ้ากับเหว ทุกอย่างเกิดขึ้นเพื่อต้องการทดสอบบางอย่างก่อนต้องไปเจอสถานการณ์จริง แม้จะลองอะไรหลายอย่าง แต่กวิสราก็ยังดูไม่พอใจการทดสอบของตัวเองนัก
หลังจากคิดไม่ตก หญิงสาวก็ตีลังกาม้วนหน้าไปนอนแผ่บนที่นอนอย่างยอมแพ้ ขยี้ศีรษะดีดดิ้นอยู่บนเตียงอย่างจนปัญญา
“โว้ย ทำไงดีวะ สั่งให้ทำแต่ละอย่าง คนต้องทำตามจะบ้าตายอยู่แล้ว”
แม้จะนอนศีรษะห้อยตกลงมาข้างเตียง แต่สายตาก็ยังคงมองเห็นเวลาบนนาฬิกาในมุมหัวกลับ ตอนนี้เธอเหลือเวลาอีกแค่สามนาทีเท่านั้นสำหรับการแต่งตัวเพื่อไปฟาดใครที่ไหนก็ไม่รู้
ถึงอยากจะหลีกเลี่ยงสักแค่ไหน แต่สี่แสนที่ได้รับมาก็ยังคงค้ำคออยู่ดี ยิ่งได้เห็นข้อความที่เด้งขึ้นมาจากคนที่นัดหมายไว้ว่ามาถึงแล้ว ร่างบางจึงจำต้องดีดตัวลุกออกจากเตียง
“เอาก็เอาวะ” เธอเอ่ยขึ้นอย่างตัดใจก่อนจะรีบลงไปที่ประตูหน้าบ้าน
“ตามที่พี่เกลออร์เดอร์มาเลยพี่ ฟาดได้ฟาด กุ๊กกิ๊กบอกมา”
กวิสราเอื้อมมือไปรับถุงกระดาษใบใหญ่จากเค รุ่นน้องที่ร้านกาแฟ แล้วส่งเงินค่าใช้บริการตามระยะทางให้ เขาเป็นผู้ที่เธอโทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือยามดึก ใช่ว่าเธอไม่เกรงใจเขา แต่เพราะรู้ว่าเคทำงานขี่แกร็บไบค์ในเวลานี้ ซึ่งเป็นช่วงที่เขาว่างหลังจากปิดร้านกาแฟแล้ว จึงมารับงานนอกได้
การกระทำของทั้งคู่ตกอยู่ในสายตาพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้านที่ขี่จักรยานตามมาสังเกตการณ์ รุ่นพี่สาวจึงต้องรีบคุยธุระให้เสร็จเพราะความเกรงใจ
“ฝากขอบใจเพื่อนเราด้วย เดี๋ยวเสร็จธุระพี่พาไปเลี้ยงข้าวตอบแทนนะ”
“มันคงไม่อยากกินข้าวหรอก มันคงอยากกินพี่มากกว่า แค่รู้ว่าพี่เกลขอความช่วยเหลือ ก็ระริกระรี้รีบหาของมาถวายใส่พานให้”
เพียงแค่นึกถึงเพื่อนสาวที่พักอยู่หอเดียวกัน เคถึงกับส่ายหัว เพราะแม่นางหวีดรุ่นพี่ที่ร้านกาแฟของเขาหนักมาก กุ๊กกิ๊กเป็นสาวมั่นที่เปิดเผยรสนิยมทางเพศอย่างออกหน้าออกตา ติดแค่ว่ากวิสรามีแพรไหมอยู่แล้ว เพื่อนของเขาเลยไม่กล้าเดินหน้าจีบแบบเต็มตัว
“ไอ้เค นิสัยไม่ดี ชอบว่าเพื่อน”
“ผมพูดเรื่องจริงนี่ พี่เกลก็รู้ว่าเพื่อนผมมันคิดกับพี่แบบไหน”
“โทษทีนะเคที่รบกวน”
“ไม่เป็นไรพี่ ผมก็รับจ๊อบอยู่แล้ว ว่าแต่พี่เถอะหายไปไหน ลาออกทำไม แล้วนี่บ้านใคร กว่าจะเข้ามาข้างในได้โคตรยากเลย พี่เกลรู้ไหมว่าพี่ทิวแกอารมณ์ไม่ดีเลยตั้งแต่พี่หายไป” ชายหนุ่มพูดพร้อมปรายตามองพนักงานรักษาความปลอดภัยด้านข้าง ให้กวิสรารู้ว่าเพราะอะไรถึงเข้ามายาก
“พี่สบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง นี่บ้านคนรู้จัก เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วอาจจะกลับไปของานพี่ทิวแกทำเหมือนเดิม ถ้าตอนนั้นที่ร้านยังไม่ได้รับใครใหม่น่ะนะ แต่พี่ขอร้อง เคห้ามบอกใครนะว่าพี่อยู่ที่นี่ ทั้งพี่ทิว ทั้งแพร โดยเฉพาะแพร อย่าให้รู้เด็ดขาดเลย”
“ได้พี่ ถ้ามีอะไรที่ผมพอช่วยได้ก็ติดต่อมาแล้วกัน”
“ขอบใจมากนะ”
หลังจากส่งเคกลับไป กวิสราก็วิ่งขาแทบขวิดเข้าบ้านเพื่อรีบไปแต่งตัว ตอนนี้ไม่เหลือเวลาโอ้เอ้อีกแล้ว แต่เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในถุงกระดาษ เธอก็อยากจะกัดลิ้นตายให้มันพ้นๆ ไปเสีย
แสงไฟของรถยนต์ที่จอดรออยู่หน้าบ้านทำให้กวิสราต้องเร่งทำทุกอย่างให้ไวที่สุด ก่อนจะออกจากห้องก็ยังไม่ลืมอุ้มมายเลิฟเข้าไปไว้ในห้องนอนของมัน โดยต้องระวังไม่ให้ขนแมวติดตามเสื้อผ้าไปด้วย
รองเท้าถูกสวมเป็นขั้นตอนสุดท้าย ร่างบางหมุนตัวเช็กความเรียบร้อยหน้ากระจกตรงทางเดินหนึ่งรอบ แล้วก็รับสภาพที่เห็นไม่ได้ ทำให้ต้องรีบวิ่งขึ้นไปหยิบเสื้อโคตมาสวมทับอีกที ก่อนจะรีบเดินออกไปขึ้นรถที่จอดรออยู่นาน
แน่นอนเธอมาสาย แค่สิบห้านาทีมันจะไปพอได้อย่างไร แต่คนที่มารอรับกลับไม่เอ่ยว่าอะไรทั้งนั้น เขาทำเพียงขับรถพาเธอออกจากหมู่บ้านอย่างเงียบขรึม และส่งต่อเธอให้รีเซปชันสาวสวยของผับหรู
เพียงแค่เดินเข้ามาในห้องรับรองวีไอพีที่ถูกเช่าจัดงานเลี้ยงเพื่อความเป็นส่วนตัวในการเลี้ยงรับรองลูกค้าระดับผู้บริหารของบริษัท คนที่มาใหม่ก็อยากจะถอยหลังแล้วโกยหนีให้ไว สถานการณ์ในนี้มันเกินกว่าที่เธอคาดการณ์ไว้มากนัก
หากไม่ใช่เพราะนัยน์ตาคมกริบของเจ้าของงานที่ตรึงขาเธอไว้กับที่ เธอคงแอบหนีออกไปจากงานแล้ว
“ทำไมมองแบบนั้น คุณอย่าดูถูกสไตล์ของห้องเสื้อ ลองค์ดูว์กรูแต่งค์เองสิ”
แม้ปรินทร์จะยังไม่ทันได้พูดอะไร แต่แววตาเอาเรื่องของเขาก็ทำให้เธอร้อนตัว จนต้องแก้ตัวแบบขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน
“ฉันบอกเธอว่ายังไง ให้เอาลุคฟาดได้ฟาด เธอแต่งตัวเรียบร้อยแบบนี้ จะไปฟาดบาทหลวงที่โบสถ์เหรอ!”
กวิสราทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาที่อยู่ตรงข้ามปรินทร์ ใช่ เข้าใจไม่ผิดหรอก เธอเลือกนั่งตรงข้ามเขา
แทนที่จะไปนั่งขนาบข้างตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แต่โซฟาฝั่งเจ้านายของเธอนั้นคล้ายเป็นแลนด์มาร์กของห้องวีไอพีแห่งนี้ เพราะเต็มไปด้วยหญิงสาวมากหน้าหลายตาประกบเขาอยู่อย่างเนืองแน่น มันไม่มีที่ว่างมากพอจะให้คนมาทีหลังเช่นเธอเข้าไปแทรกได้เลย
“นี่มันไม่ได้เป็นไปตามที่ฉันสั่ง”
“เดี๋ยวก่อน ขอเวลานิดนึง” กวิสราพูด แล้วกวาดตาไปทั่วห้องจัดเลี้ยงเป็นการประเมินสถานการณ์เบื้องต้น ก่อนจะไปสะดุดเข้ากับแก้วนับสิบใบที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ
“เดี๋ยวอะไร ฉันไม่รอแล้ว เธอทำผิดสัญญา คิดว่าจ่ายค่าเสียหายไหวไหม” เขาพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“แก้วพวกนี้คืออะไร” แทนที่คนถูกคาดโทษจะตื่นกลัว กวิสรากลับดูใจเย็นผิดวิสัย พร้อมถามถึงแก้วชอตที่ข้างใต้มีธนบัตรใบละพันบาทสอดอยู่ทุกใบ
“เป็นเกมที่ลูกค้าต่างชาติเอามาเล่นน่ะ วางไว้สักพักแล้ว ไม่รู้จะเริ่มเล่นตอนไหน สาวๆ ไม่มีใครยอมเล่นด้วยเลย เพราะล้วงเอาจากกระเป๋าเงินลูกค้าน่าจะง่ายกว่า”
คำบอกเล่าเชิงสัพยอกที่ได้ยินจากชายที่นั่งใกล้กัน ไม่รู้เธอควรจะขำดีไหม
เขาช่างใจดี ยอมตอบทุกคำถามแทนปรินทร์ที่เอาแต่นั่งเงียบมองหน้าเธอไม่วางตา ก่อนจะพยักพเยิดไปด้านข้าง ทำให้เธอต้องมองตาม จนไปเจอเจ้าของเกมที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่สุด รายล้อมไปด้วยหญิงสาวเช่นกัน และดูเหมือนเขาคงอยากเลิกเล่นเกม แล้วเปลี่ยนไปเลิกเสื้อผ้าสาวๆ ที่ถูกจ้างมาเอนเตอร์เทนในงานแทนแล้ว
“แล้วฉันกินได้ไหม”
“ก็น่าจะได้นะ เดี๋ยวผมลองถามเขาก่อน” ชายหนุ่มแปลกหน้าที่ดูมีสติมากที่สุดในงานนี้แล้วท่ามกลางผู้ชายราวสิบคนหากไม่นับปรินทร์ เขยิบเข้าไปใกล้ชายสูงวัยที่กำลังลูบไล้ต้นขาขาวของหญิงสาว พร้อมกระซิบโดยที่กวิสราไม่ได้ยินบทสนทนา
แต่จากปฏิกิริยาของชายสูงวัยคู่ค้าคนสำคัญของปรินทร์ที่แสดงออกมาในทางเชื้อเชิญ คำตอบคงเป็นไปในทางบวก ซึ่งก็ตรงกับที่เธอคาดการณ์ไว้
“ท่านบอกเชิญดื่มได้เลย แล้วเงินใต้แก้วนั้นจะเป็นของคุณ”
หลังจากจบประโยคบอกเล่านั้น ดูเหมือนทุกสายตาของคนในงานจะพุ่งเป้ามายังหญิงสาวที่แต่งตัวมิดชิดจนน่าขบขัน
กึก
ตุบ
แก้วชอตใบแรกถูกยกขึ้น ก่อนวางลงด้วยความรวดเร็ว จนเริ่มเกิดเสียงเชียร์ขึ้นรอบด้าน
“ว่าแต่เธอเป็นใครครับคุณปรินทร์” เมื่อคนเริ่มรุมล้อมเข้ามาดูสาวผมสั้นเล่นเกมสุดโหด เออีของบริษัทก็เปลี่ยนที่นั่งเข้ามาใกล้ปรินทร์เพื่อพูดคุย
“ถามทำไม สนใจงานของคุณเถอะ รีบไปลากลูกค้ามาเซ็นสัญญาได้แล้ว ผมจะรีบกลับ” แม้ปากจะสนทนากับลูกน้อง แต่สายตากลับจดจ้องกวิสราที่ยกแก้วชอตเข้าปากอย่างต่อเนื่องไม่วางตา
“ใช่ว่าผมไม่อยากทำ แต่คุณปรินทร์ก็เห็น ลูกค้าอยากมาปลดปล่อย ถึงขนาดขนชุดนักเรียนญี่ปุ่นใส่กระเป๋าเอกสารมาจากบ้านตัวเองเพื่อให้สาวๆ ในงานเลี้ยงใส่ ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อลูกค้าตกลงว่าจบงานนี้แล้วจะเซ็นสัญญาเลย เพราะตอนเช้ามีไฟลต์บินกลับประเทศเขาทันที เราจึงทำได้แค่รอนะครับ”
ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากที่พนักงานบริษัทของปรินทร์พูด ตอนนี้กวิสรานั่งอยู่ท่ามกลางผู้ชายหลากหลายวัยนับสิบคนที่มีหญิงสาวในชุดนักเรียนญี่ปุ่นรายล้อมจนห้องจัดเลี้ยงแน่นขนัด คาดว่าน่าจะเป็นรสนิยมส่วนตัวของเจ้านายบริษัทคู่ค้ารายใหม่ของปรินทร์
แต่กวิสราคงจะมาช้าไป เพราะเสียงเพลงเบาลงจนแทบจะเป็นเพลงบัลลาดอยู่แล้ว และทุกคนดูเหมือนจะอยากทำอย่างอื่นกันมากกว่ากินเลี้ยงธรรมดาๆ แล้วละ แต่อย่างน้อยก็ยกเว้นใครคนหนึ่งที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับในขณะนี้
“แต่นี่มันจะเที่ยงคืนแล้ว” ปรินทร์เอ่ยอย่างหงุดหงิด ก่อนจะปัดแก้วเหล้าที่หญิงสาวรอบกายเชียร์ให้ดื่ม
“ผมแจ้งลูกค้าไว้ว่าร้านปิดตีสี่น่ะครับ ก็เลย...” เออีประจำบริษัทถึงกับอธิบายตะกุกตะกัก เพราะนั่นลูกค้ารายใหญ่ ส่วนนี่ก็เจ้านายคนสำคัญ
“ฉันไม่สน ปิดจ๊อบเดี๋ยวนี้ หลังจากเซ็นสัญญาแล้วจะอยู่ต่อกันยันเช้าฉันก็ไม่แคร์” ปรินทร์ได้ยินแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเขาต้องติดแหง็กอยู่ในสภาพนี้ไปอีกเกือบสี่ชั่วโมง
“โธ่ คุณปรินทร์ ถือว่าผมขอละ อย่าเพิ่งกลับเลย เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราไม่ให้ความสำคัญ เมื่อครู่ผมถึงแจ้งให้คุณพาใครมาด้วย เพราะมันใช้เวลานานมากแน่นอน”
พนักงานตัวจ้อยพยายามเต็มที่ที่จะให้เจ้านายอยู่ต่อ เขาก็พอทราบมาบ้างว่าปรินทร์ไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย และหลีกเลี่ยงทุกงานสังสรรค์จริงๆ มีเพียงเลขาฯ ที่มารับหน้าทำแทนให้ตลอด แต่ว่าตอนนี้มันดันตรงกับช่วงลาพักร้อนไปต่างประเทศของคุณเลขาฯ พอดี ทำให้ปรินทร์ต้องออกมารับรองลูกค้าเอง และนี่ก็เพิ่งจะดีลงานกับลูกค้ารายใหญ่คนนี้ได้เป็นครั้งแรก ถ้าปิดจ๊อบงานนี้สำเร็จ ก็เท่ากับไปเปิดตลาดกระจายสินค้าในประเทศเพื่อนบ้านได้ ซึ่งมันสำคัญมาก
ปรินทร์ซึ่งกำลังจะเอ่ยโต้แย้งกลับชะงักไป เมื่อกวิสราวางแก้วชอตเปล่าใบที่สิบลงบนโต๊ะ ก่อนจะเก็บธนบัตรหนึ่งพันบาทสิบใบลงกระเป๋าเสื้อโคตของตนเอง และประกาศยุติการเล่นเกมแต่เพียงเท่านี้
“พอแล้ว ยอมแพ้”
หญิงสาวพูดแค่นั้น ทุกคนที่กรูกันเข้ามาดูก็ถอยกลับมุมเดิมของตน เพราะกวิสราไม่มีทีท่าว่าจะดื่มต่อแล้วจริงๆ แม้จะเหลือแก้วชอตอยู่หลายใบ
“ทำไมยอมแพ้ง่ายจัง นึกว่าจะกวาดหมดทั้งโต๊ะ” ปรินทร์ปรายตามองกวิสราซึ่งยามนี้ใบหน้ามีเลือดฝาดนิดๆ พร้อมปรามาสเจ้าตัวเล็กน้อย
“พูดเรื่องตลกเหรอคุณ กินหมดโต๊ะก็หมดสภาพสิ แค่ดื่มย้อมใจเรียกความกล้าเฉยๆ” เสียงหวานดูแตกต่างจากตอนเดินเข้ามาจนปรินทร์รู้สึกได้
“ไหวรึเปล่าน่ะ”
“ไหวสิ ที่ทำแบบนี้เพราะคำสั่งคุณล้วนๆ เลยนะ”
“ฉันไม่เคยบอกให้เธอกินเหล้า”
“ฉันก็ไม่เห็นได้บอกว่าคุณสั่งให้ดื่มเหล้านี่”
“ถ้าไม่ไหวก็กลับไปนอนเลย ฉันไม่แบกกลับนะ”
“แน่ใจเหรอว่าไม่อยากแบก”
“ตกลงฉันเรียกเธอมาทำอะไรกันแน่เนี่ย”
“เรียกให้ฉันมาฟาดไง” เสียงหวานติดกลั้วหัวเราะเล็กน้อยยามทวนคำสั่งของปรินทร์ ทำไมรู้สึกว่าอารมณ์เธอตอนนี้มันช่างดีขนาดนี้จนเริ่มกลัวใจตัวเอง
“เธอไม่ได้ทำอะไรที่มันใกล้เคียงกับที่ฉันสั่งเลยนะ ฉันไม่ได้แม้แต่การชงเหล้าง่ายๆ จากเธอเลย”
“โธ่ ก็มันไม่มีที่นั่งนี่ ข้างคุณคนนั่งเบียดกันเต็มขนาดนั้น” แม้กระทั่งตอนนี้ที่กวิสราคุยกับปรินทร์ ก็ยังไม่มีสาวๆ คนไหนยอมลุกออกจากที่นั่งเลย
“ก็ลองหาทางดูเอาสิ มันหน้าที่เธอนะ”
“ด้ายยย จัดไป~” เสียงหวานยานคางอย่างคนตั้งใจจะยียวน
ร่างบางลุกขึ้นจากที่นั่ง ก่อนจะเดินเซนิดๆ ตรงไปยังปรินทร์ซึ่งนั่งอยู่กลางโซฟา ท่าทางการเดินที่ไม่มั่นคงดีคงทำให้ปรินทร์อ่อนใจ จนต้องยอมผ่อนปรนให้เล็กน้อย และหวังว่ากวิสราจะกลับบ้านเขาโดยสวัสดิภาพ
“ถ้าไม่ไหวก็กลับไปนอนเลย ฉันไม่แบกกลับนะ”
“แน่ใจเหรอว่าไม่อยากแบก” กวิสราเผยรอยยิ้มยามพูดก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น
มือบางค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อโคตสีดำตัวใหญ่ แล้วถอดมันพาดไว้กับเก้าอี้ตัวหนึ่ง เพียงแค่เสื้อโคตเลื่อนหลุดออกจากตัว เปิดเผยผิวกายภายใน ผู้ชายหลายคนในงานก็หยุดมองนิ่งราวถูกสะกด
ผ้าพันคอยี่ห้อหรูถูกดัดแปลงจนกลายเป็นเกาะอกปกปิดร่างกายส่วนบน แผ่นหลังบอบบางเรียกได้ว่าแทบจะเปิดเปลือย มีเพียงปมผ้าที่เกิดจากการผูกชายทั้งสองด้านของผ้าพันคอเข้าหากันเท่านั้นที่ถูกรัดรึงอยู่กลางแผ่นหลัง ด้านล่างมีเพียงยีนสกินนีเอวต่ำสีดำรัดรูป เข้าคู่กับรองเท้าส้นสูงปลายเข็ม โชว์เอวคอดกิ่วขาวเนียนและเรียวขายาว
ชุดนี้น่าจะดูซอฟต์กว่านี้หากกวิสรามีเรือนผมยาวสลวย แต่ชุดกลับดูแรงและเปิดเผยเนื้อตัวมากขึ้นเมื่อเธอมีเส้นผมที่สั้นยิ่งกว่าเด็กมัธยมต้นเสียอีก ซึ่งไม่สามารถช่วยปกปิดส่วนใดบนร่างกายได้เลย
ร่างบางเดินโซซัดโซเซท่ามกลางสายตาตกตะลึงของคนที่กำลังจ้องมอง ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนที่ว่างหนึ่งเดียวบนโซฟาตัวนี้
“แน่ใจนะว่าจะนั่งตรงนี้”
ชายหนุ่มถามเสียงเบาราวกระซิบ เหมือนใจดีมีทางอื่นให้เลือก แต่อ้อมแขนแกร่งที่รัดเอวคอดแนบแน่นดูจะไม่เปิดโอกาสให้เธอเปลี่ยนที่นั่งแม้แต่น้อย
“เริ่มไม่แน่ใจแล้ว ปล่อยลงได้ไหมล่ะ” หญิงสาวบ่นงึมงำเมื่อปลายจมูกโด่งฝังลงบนกลุ่มผมนุ่มเบาๆ ก่อนวิจารณ์ร่างบางที่นั่งอยู่บนตัก กวิสราเบี่ยงตัวหนีเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าปรินทร์ทำอะไรอยู่
“หอมดี แต่กลิ่นคุ้นๆ”
“คงคุ้นอยู่แหละ ก็มันของคุณนี่ ขอโทษทีที่ถือวิสาสะหยิบมาใช้นะ พอดีเจอตอนเก็บกวาดบ้าน สต๊อกของใช้ในบ้าน ฉันลืมเตรียมมาด้วย ไม่สระผมก็ไม่ไหว วันนี้ฉันเจอมาหนักจริงๆ แต่เดี๋ยวใช้ค่าแชมพูคืนให้”
“ขวดสีอะไร” เจ้าของเสียงทุ้มถามเบาๆ
“สีดำขวดปั๊ม ที่มันเขียนว่าออร์แกนิกแชมพู”
“ขวดนั้นสี่พันกว่า”
“ฮะ!” กวิสราร้องเสียงหลงตอนได้ยินราคา เธอน่าจะปล่อยให้หัวตัวเองเน่าตายไปซะ!
“ไม่เป็นไร ฉันพอมีเงินเก็บ เดี๋ยวเอามาใช้คืนให้ ขอโทษจริงๆ”
“แต่นั่นยังไม่ใช่ปัญหา เท่าที่มันเป็นแชมพูของมายเลิฟนะ” ปรินทร์หัวเราะเสียงดังหลังพูดจบ ก่อนจะฝังจมูกลงบนผมนุ่มอีกครั้งอย่างถูกใจ
‘เวรเอ๊ยยย ควรปล่อยให้หัวมันเน่าไปเลยจริงๆ’
แค่คิดว่าตัวเองไปแย่งแชมพูแมวมาใช้ กวิสราก็ยกแก้วแอลกอฮอล์ขึ้นดื่มไม่หยุดเพื่อกลบเกลื่อนความน่าอับอายของตน
“เบาๆ หน่อย” ปรินทร์เอ่ยเตือนเมื่อเห็นว่ามันเริ่มจะมากเกินไปแล้ว
“โอ๊ย แค่นี้สบ๊าย ปกติก๊งเหล้ากับเพื่อนที่ทำงานเก่าเป็นอาชีพ พูดแล้วไม่อยากจะคุย แต่ขอคุยหน่อย เห็นแบบนี้ไม่เคยเมาเหมือนหมานะ อย่างดีก็แค่ภาพตัด แต่ตื่นมาเสื้อผ้าครบ ไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง”
“เก่งจริง”
“ก็พอตัว เพราะฉันมอมพวกนั้นก่อน ค่อยทิ้งตัวเป็นคนสุดท้าย” กวิสราตอบติดตลก ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างได้ จึงตัดสินใจพูดขึ้นมา เพราะเกรงว่าถ้าเป็นเวลาปกติแบบร่างกายปราศจากแอลกอฮอล์ เธอคงไม่กล้าพูดเรื่องนี้
“นี่คุณ มายเลิฟเนี่ย ถ้าคุณไม่ว่างเลี้ยง จบงานแล้วฉันขอซื้อมันต่อได้ไหม”
“ไม่ได้” ปรินทร์ปฏิเสธทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด
“แต่คุณไม่มีเวลาให้มันด้วยซ้ำ”
“เธอเลี้ยงไม่ไหวหรอก มันกินเก่ง แล้วก็แก่มากแล้ว ค่ารักษาพยาบาลแต่ละครั้งที่มันป่วยก็ราคาสูง”
“มายเลิฟเนี่ยนะแก่แล้ว”
“อืม มันเป็นคุณลุงแล้วละ”
“หลังจบงานฉันต้องคิดถึงมันแน่ๆ” ขนาดอยู่ด้วยกันไม่ถึงสองวัน กวิสราก็ต้องยอมรับว่าหลงรักมายเลิฟหมดใจ
“เวลาที่คิดถึงก็แวะมาเยี่ยมมันสิ”
“ได้เหรอ”
“ก็นะ ถ้าหลังจากนี้สามเดือนเธอยังไม่เบื่อที่มีมันคอยตามพันแข้งพันขา ไว้ฉันจะลองคิดดูอีกที”
ภาพชายหญิงที่นั่งคุยกันอยู่สองคนโดยไม่สนใจสายตาใคร ทำเอาเออีประจำบริษัทมองเจ้านายตนเองแล้วทำหน้าเหม็นเบื่อ จากคนที่ไม่อยากอยู่ต่อ กลายเป็นคนที่ไม่ค่อยอยากจะกลับเท่าไรแล้วละมั้ง
ปรินทร์ทำอย่างกับอยู่ในโลกที่มีเพียงแค่สองเรา ทั้งโอบกอดหญิงสาวเอาไว้แน่น บางครั้งก็ดูเผลอตัว แอบหอมคนในอ้อมแขนอยู่บ่อยๆ แต่สมองที่กำลังวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เป็นอันต้องหยุดไว้เพียงแค่นั้น เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาเจอเจ้าของนัยน์ตาคมกริบที่มองตรงมาอย่างเชือดเฉือน และขยับริมฝีปากเบาๆ
“มองอะไร”
เออีหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธอย่างไว ก่อนจะเบนสายตาหนีเจ้านายไปทางอื่น
“คุณมองอะไร ชนแก้วกัน”
ปลายคางเกยไว้บนไหล่ลาดเนียนนุ่ม แสดงตนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหญิงสาวเต็มที่ มือแกร่งยกแก้วแอลกอฮอล์ดีกรีสูงขึ้นจิบ ก่อนมองกราดผู้ชายทุกคนที่กล้ามองคนในอ้อมแขนตน
แกร๊ง
หญิงสาวยกแก้วของตัวเองขึ้นมาชนแก้วเขาด้วย เป็นการหันเหความสนใจเขาจากการคาดโทษลูกน้องได้เป็นอย่างดี
“นี่เธอมอมตัวเองอยู่รึไง ดื่มไม่หยุดเลย”
กวิสราที่ดูจะเป็นคนสงวนคำพูดยามอยู่กับเขา พอแอลกอฮอล์เข้าปากกลับกลายเป็นใครอีกคนที่พูดเจื้อยแจ้วได้ตลอดเวลา แล้วเจ้าตัวก็ไม่ได้ชงเหล้าหรือทำอะไรทั้งสิ้น เพราะสาวๆ ในงานจัดการเรื่องเครื่องดื่มให้เสร็จสรรพ จนคนที่มีหน้าที่ยกดื่มอย่างเดียวเริ่มตัวอ่อนลงเรื่อยๆ จนคนอุ้มเช่นเขารู้สึกได้
“ไม่ได้ม้อมมม แค่ย้อมใจ ฉันรู้ลิมิตตัวเองน่า”
“มันยากมากเลยรึไงกับการทำตามที่ฉันสั่ง ถึงขนาดต้องดื่มย้อมใจหนักแบบนี้”
“อืม มันรู้สึกแปลกๆ พอทำตัวไม่ถูก เวลาถูกมองหรือถูกกอด ก็เลยทำได้แค่ยกแก้ว” เธอคล้ายคนถูกสัจจะเซรุ่ม คิดอะไรก็พูดออกมาแบบไม่มีกั๊ก
“และมันยิ่งยากขึ้นไปอีก เพราะอะไรรู้ไหม”
“ไม่รู้สิ แล้วเธออยากบอกฉันไหมล่ะ” เขาเอ่ยเสียงทุ้มคล้ายกำลังล่อลวง
“เพราะตอนนี้ฉันกำลังโนบรา มันรู้สึกโล่งมาก เลยยิ่งยากไปกันใหญ่ไง นี่มันชุดเฮงซวยอะไรก็ไม่รู้” เจ้าของศีรษะเล็กที่พิงไหล่กว้างหันหน้าเข้าไปกระซิบชิดหูเพราะกลัวคนรอบข้างได้ยินสิ่งที่เธอพูด จนริมฝีปากเล็กสัมผัสมันบางเบา ลมหายใจอุ่นร้อนคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ที่เพิ่งดื่มไปหมาดๆ
อึก...
ใครบางคนกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบากเมื่อได้ยินความลับนั้นของหญิงสาว
“ฉันกะมาฟาดคุณตามที่สั่งเลยไง ฉะนั้นอย่ามาหาเรื่องหักตังค์กันนะ” กวิสราหัวเราะร่วน สัจจะเซรุ่มสีเข้มคงจะเริ่มทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง
“...”
“คุณ อย่าเงียบสิ ใจคอไม่ดีเลยนะ”
ความคิดเห็น |
---|