บทที่ 8
“คุณปรินทร์เชิญด้านนี้หน่อยครับ ลูกค้าจะเดินทางกลับแล้ว”
ปรินทร์วางหญิงสาวในอ้อมกอดลงบนโซฟา แล้วลุกไปหยิบเสื้อโคตที่เจ้าตัววางพาดเก้าอี้ไว้มาคลุมร่างกายให้มิดชิดเมื่อได้ยินลูกน้องเดินมาเรียก
“เกล เกล” เขาใช้ฝ่ามือหนาประคองใบหน้าหวานพร้อมกับเรียกสติเล็กน้อย
“หืมมม”
“ฉันไปทำธุระแป๊บนึง เดี๋ยวกลับมารับ อย่าเดินไปไหนนะ”
“โอเค~” เธอรับคำเสียงหวานติดจะยานคาง แต่ดูเหมือนปรินทร์ยังไม่ไว้ใจ เพราะกว่ากวิสราจะเลิกดื่ม เขาก็เลิกนับแก้วเครื่องดื่มไปเสียก่อน สภาพตอนนี้จึงนับว่าไม่น่าจะดูแลตัวเองได้ เขาจึงหันไปตกลงกับสี่สาวที่เป็นคนนั่งดูแลเขาตลอดทั้งงาน
“ฝากดูหน่อย เดี๋ยวฉันมา อย่าให้คนอื่นเข้าใกล้นะ”
“ได้ค่า~ จะดูแลอย่างดี ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยค่ะสุดหล่อ” หนึ่งในสาวสวยตอบ
หลังจากอดทนมาหลายชั่วโมง ในที่สุดลูกค้าก็ยอมเซ็นสัญญาเสียที ด้วยเสียงที่อึกทึกภายในร้าน ทำให้ทั้งหมดเลือกออกไปคุยเรื่องงานกันต่อในรถส่วนตัวที่จอดอยู่หน้าร้าน จริงๆ ทุกอย่างก็เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ขาดเพียงลายเซ็นลงนามอย่างเป็นทางการเท่านั้น
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะครับคุณปรินทร์”
“ทางเราก็ยินดีมากเช่นกันครับ”
“ขอโทษด้วยที่พวกผมกวนเวลาคุณนานไปหน่อย หวังว่าคุณจะไม่ถือสาเรื่องสนุกเล็กน้อยในค่ำคืนนี้” ชายสูงวัย คู่ค้าคนสำคัญที่มีรอยยิ้มการค้าอยู่บนใบหน้าตลอดเวลาพูดขึ้นอย่างมีนัย
“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี เดินทางปลอดภัยนะครับ”
เมื่อชายต่างวัยทั้งสองจับมือกันเสร็จสรรพ ปรินทร์จึงเอ่ยคำอำลา และถือแฟ้มที่มีเอกสารสัญญาก้าวลงจากรถยุโรปที่มีปลายทางคือสนามบินสุวรรณภูมิ มือหนาปิดประตูรถให้ด้วยความสุภาพ ก่อนที่มันจะแล่นหายไปในความมืด
“คืนนี้เหนื่อยหน่อยนะคุณปรินทร์ พอดีท่านขี้แกล้งน่ะ ดีที่สาวที่คุณชวนมาทำให้คุณอดทนได้จนงานเลิก ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับบ้านไปนอนก่อนนะครับ ไว้เจอกันที่บริษัทครับ” เออีหนุ่มบอกลาเจ้านายง่ายๆ แล้วเดินไปยังสถานที่ที่จอดรถตัวเองไว้
ปรินทร์สังเกตว่า สภาพประธานบริษัทที่ดูเมามายและหื่นกระหายในกามารมณ์กลับหายไปเมื่อได้เวลาเดินทางกลับราวเป็นคนละคน และเมื่อได้ฟังสิ่งที่พนักงานของตัวเองพูด เขาก็ยิ่งมั่นใจว่า...
เขาเพิ่งถูกสอนเชิงมวยทางธุรกิจ
กลเกมทางธุรกิจที่หลอกล่อให้หมดความอดทนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ถึงแม้เขาจะไม่ชอบ แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงมันได้
ภายในห้องวีไอพีของคลับ เสียงกระซิบรอบข้างของคนที่จับเข่าคุยกันฟังดูน่าสนุกสนาน แต่มันทำกวิสราเผือกไม่สุด เพราะได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง จนฟังไม่ได้ศัพท์ หากเป็นช่วงเวลาปกติ เธอคงปล่อยให้มันเป็นเพียงลมที่พัดผ่านไป แต่ไม่ใช่ในช่วงเวลาแบบนี้
“แก พูดกันเบาๆ หน่อยดิวะ เดี๋ยวไก่ตื่น”
“ทำไมต้องซุบซิบกันด้วยอะ คุยเสียงดังหน่อยก็ได้ หรือจะตั้งกรุ๊ปไลน์ไว้เมาท์ก็โอเค พอดีอยากใส่ใจด้วย~”
“อ้าว นึกว่าหลับไปแล้ว”
“หลับเหลิบที่หนาย~ แค่กรึ่มๆ นินทาเค้าอยู่เหรอ”
“เออ นินทาอยู่ มีไรไหม” หญิงสาวในชุดเซเลอร์มูนโดดเด่นกว่าคนอื่นที่สวมใส่ชุดนักเรียนเอ่ยยอมรับอย่างไม่คิดปิดบัง
“ไม่มีไร แค่อยากคุยด้วย อยากรู้ไรก็ถามสิ เราพวกเดียวกัน” กวิสราเอ่ยอย่างเป็นมิตร หากเธอสร้างศัตรูในสภาพนี้ ท่าจะศพไม่สวย ปากก็ไม่น่าไวเอ่ยทักออกไปเลย น่าจะแกล้งตายอยู่เงียบๆ
“เมาแล้วพูดจาเลอะเทอะว่ะยายคนนี้ พวกเดียวกันอะไร”
“เอ๊า พูดเรื่องจริงก็ไม่เชื่ออีก ผู้ชายคนเมื่อกี้ก็ลูกค้าเราเหมือนกัน”
“เฮ้ย ถามจริงงงง” เซเลอร์มูนคนสวยยังคงต่อบทสนทนากับเธออย่างต่อเนื่อง โดยที่คนอื่นยืนฟังเงียบๆ แต่ดูจะอยากรู้อยากเห็นไม่น้อยเช่นกัน
“ก็จริงน่ะสิคนสวย ว่าแต่มีแฟนยังจ๊ะ ตรงสเปกเลยนะเนี่ย” ปากเปราะนี่ก็พูดแซวไปเรื่อย แม้จะรู้ว่าตัวเองเมาแล้วรั่ว พูดจาไม่รู้เรื่องทุกครั้งที่ดื่มแอลกอฮอล์ อย่างที่พี่ทิวบอกว่าเวลาเมาแล้วชอบแกว่งปากหางาน แต่กวิสราก็ห้ามตัวเองไม่ได้
คืนนี้เธอต้องการความกล้าหาญจริงๆ ถึงแม้จะดูโง่เง่าก็ตามที่เลือกทำแบบนี้ แต่ถ้าเธอไม่ดื่ม ก็คงวิ่งหนีออกจากงานไปนานแล้ว
“ตรงสเปกกับผีน่ะสิ ถ้าไม่อยากเจอมังกรผงาด ก็ตั้งสติจ้าาา” จู่ๆ เซเลอร์มูนก็เปิดเผยตัวตนว่าเป็นหน้ากากทักซิโดเสียอย่างนั้น
“อ้าว แล้วก็ไม่บอก ฮาย~ กาเทยยย”
“ตบคนเมาคว่ำตอนนี้เสียกี่ร้อยวะ”
“อย่าทำเลา เลามาววว”
“เมาสตรอว์เบอร์รีเหรอคะลูก”
“กัดเจ็บจังค่ะแม่” ร่างบางพูดติดตลก ดูเหมือนบรรยากาศระหว่างเธอกับสี่สาวจะดีขึ้นนิดๆ
“ว่าแต่เมื่อกี้พูดจริงเหรอ แล้วมาจากมอเดลลิงไหน”
“ของคุณอาร์มน่ะ รู้จักไหม”
“อาร์มไหนวะ” หนึ่งในสี่สาวเริ่มเกาศีรษะพลางหันไปถามกันอย่างสงสัย
“อาร์มที่ตัวสูงๆ หุ่นลีนๆ หน้าตาดีๆ หว่านล้อมหลอกลวงเก่งๆ น่ะ พอรู้จักไหม” กวิสราพยายามอธิบายลักษณะนายหน้าหางานของเธอเท่าที่พอจะจำได้
“ใครวะแก อยู่วงการนี้มาหลายปี ยังไม่เคยเจอมอเดลลิงที่ชื่อคุณอาร์มสักคน ถ้ามันดีป้อนงานดีจะได้ติดต่อกันไว้”
“ไม่ดีหรอก ก่อนเซ็นสัญญาพูดอีกแบบ หลังเซ็นสัญญานี่พลิกลิ้นหนีไปคนละเรื่องเลย”
“กั๊กปะเนี่ย ถามจริง ลูกค้างานดีออก” ยิ่งเห็นรูปร่างหน้าตาพร้อมฐานะอันมั่งคั่งของปรินทร์ พวกเธอก็ไม่เห็นว่าหญิงสาวร่างเล็กจะเจองานไม่ดีตรงไหน
“กั๊กอะไรเล่า พูดเรื่องจริงนะเนี่ย”
“แล้วเมื่อกี้เธอได้ทิปเยอะไหม” ยังคงมีคนที่คาใจและซักไซ้ไม่หยุด แต่กวิสราก็ยังคงพูดความจริง พร้อมอธิบายความในใจน้ำไหลไฟดับอย่างฉุดไม่อยู่
“ทิปที่ไหนไม่เห็นจะได้สักบาท แถมต้องเอาเงินที่เพิ่งเล่นเกมดื่มเหล้าชอตมาได้ไปจ่ายค่าแชมพูแมวอีกตั้งสี่พัน คิดแล้วน้ำตาพานจะไหล”
“ทำแบบนี้ก็คงจะได้อยู่หรอก ทิปน่ะ เพื่อนเที่ยวที่ไหนนั่งซดเหล้าอยู่คนเดียว ไม่เอนเตอร์เทนลูกค้าเลย เหล้าสักแก้วก็ไม่ยอมชงให้”
“เซเลอร์มูนอย่าแขวะเรา ก็เพิ่งเคยรับงานครั้งแรกนี่ มันต้องทำยังไงล่ะ วานบอกเอาบุญที”
“กด 99 แล้วสาธุสิ เผื่อฉันจะยอมบอก”
“กด 69 แล้วสาธุแทนได้ไหม งื้อออ”
“อีเด็กบ้า!”
กวิสราในเวอร์ชันเมาแล้วรั่วทำเอาสาวๆ อดขำไม่ได้ แถมยังลดอคติลงได้อย่างน่าประหลาด อาการขุ่นเคืองมาตลอดค่อนคืนที่พวกเธอรู้สึกว่าถูกคนตัวเล็กแย่งลูกค้ากลับมลายหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
“ขอบใจสำหรับคำชม”
“แต่หน้าตาท่าทางไม่น่างกเลย ตายๆๆๆ ไอ้เราก็หลงชงเหล้าให้อยู่ตั้งนาน”
“ไม่งกธรรมดา ที่บ้านยังชอบสะสมขยะอีกต่างหาก อีกสามเดือนต่อจากนี้สงสัยต้องกินแกลบต่างข้าว กว่าจะหมดสัญญาทาส” นี่ก็ยังคงขายความลับของปรินทร์ไม่หยุด
“ขนาดนั้นเลย” ชายในร่างหญิงเริ่มเสียงอ่อนลง แต่กวิสรากลับตอบคำถามนั้นด้วยรอยยิ้มหวาน
“ถ้าจะขนาดนี้ พวกเราก็กลับกันเลยดีกว่าเจ้ รอต่อไปคงไม่ได้อะไร เงินค่าตัวเขาก็จ่ายล่วงหน้ามาหมดแล้ว คนอื่นก็ทยอยกลับกันไปจนเกลี้ยง”
เห็นจะจริงอย่างที่หนึ่งในสาวสวยพูด เพราะตอนนี้ทั้งห้องวีไอพีเหลือพวกเธอกันแค่ห้าคนเท่านั้น
“ให้ไปส่งไหม กลับเองไม่น่าจะไหว”
แอ๊ด~
เซเลอร์มูนที่คอยแขวะเธอตลอดกลับเป็นคนที่เอ่ยชวนเธอกลับบ้าน แต่ปรินทร์ดันกลับมาถึงห้องวีไอพีพอดี และเขาก็เริ่มทยอยแจกเงินพิเศษให้สี่สาว
“ขอบใจมากที่ช่วยดูแลคนเมาให้”
แต่ก่อนที่ทั้งสี่คนจะออกไป เซเลอร์มูนที่น่ารักก็เดินตรงเข้ามาหาเธอ พลางกระซิบบางอย่างที่ทำเอาเธอตาโตด้วยความคาดไม่ถึง ก่อนจะพูดทิ้งท้ายสั้นๆ
“ลองทำดู อย่างน้อยก็ดีกว่าทนกินแกลบ”
“คุยอะไรกัน” เสียงทุ้มดังขึ้น
แต่แทนที่กวิสราจะตอบคำถาม กลับเอื้อมมือไปหยิบแก้วแอลกอฮอล์ที่ยังมีวางอยู่บนโต๊ะด้านหน้า
“ยังจะกินอีกเหรอ ทีหลังฉันจะไม่ชวนเธอมางานแบบนี้อีกแล้ว คนให้มาช่วยพาออกจากงาน ดันมาเมาเละเสียเอง”
ปรินทร์นั่งคุกเข่าลงตรงหน้าร่างบางที่ดูปวกเปียก คล้ายใกล้จะกลายสภาพเป็นของเหลวนอนกองอยู่บนโซฟา ก่อนจะหยิบแก้วเครื่องดื่มออกจากมือหญิงสาว
แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น...
เมื่อสองมือเรียวประกบลงบนใบหน้าคมสัน ก่อนจะออกแรงบีบเพียงเล็กน้อยให้ปรินทร์เผยอริมฝีปากออก และบรรจงแนบริมฝีปากของตนลงไป แอลกอฮอล์ขมปร่าบาดคอไหลลงจากปากริมฝีปากเล็กช้าๆ แม้จะพยายามมากเพียงใด แต่ความที่ไม่เชี่ยวชาญ จึงทำให้ของเหลวไหลเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ตั้งแต่คาง ลำคอ ลามไปยันเสื้อเชิ้ตสีดำที่ปรินทร์สวมอยู่
กึก
แก้วแอลกฮอล์ที่อยู่ในมือแกร่งถูกปล่อยทิ้งลงบนพรม ร่างบางของกวิสรากำลังจะผละออก แต่กลับถูกมือของปรินทร์รั้งท้ายทอยเอาไว้ ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะบดเบียดลงมาอย่างรุนแรง
“แฮกๆๆ”
กว่าจะถูกปล่อยให้หายใจอีกครั้ง กวิสราก็แทบขาดใจ ร่างเล็กโกยออกซิเจนเข้าปอดอย่างเหนื่อยอ่อน เธอไม่น่าเอาคำแนะนำของเพื่อนใหม่มาใช้เลย มันดูจะเสียมากกว่าได้แล้วตอนนี้
ยามที่ริมฝีปากสัมผัสกันมันก็รู้สึกดีนะ จูบแรกไม่ได้แย่อย่างที่เคยคิด แต่สายตาร้อนแรงของปรินทร์ที่มองจ้องกลับมาตอนผละออกจากกัน เสมือนว่าเธอได้เหยียบกับระเบิดที่ซุกซ่อนอยู่ภายในกายเขาเข้าอย่างจัง
ใบหน้าคมเคลื่อนเข้ามาชิดอีกครั้งจนรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกัน ดวงตาของเขาคล้ายหลุมลึกที่มีแรงดึงดูดอย่างประหลาด จนทำให้เธอไม่อาจควบคุมร่างกายที่อ่อนไหวต่อแรงกระตุ้นนั้นได้ กว่าจะรู้ตัว วงแขนของเธอก็คล้องอยู่ที่ลำคอแกร่งและตอบสนองทุกการเรียกร้องของเขาแล้ว ความกลัวว่าจะเตลิดไปกับสัมผัสที่ไม่เคยพบเจอแล่นเข้ามาเกาะกุมภายในใจ ทำให้หญิงสาวแกล้งหลับทันทีที่เขาผละใบหน้าออก
“มาครับผมช่วย”
คนขับรถเมื่อเห็นปรินทร์อุ้มหญิงสาวที่เขารับจากบ้านเจ้านายออกจากผับหรู ก็ถลาจะเข้าไปช่วย แต่กลับถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“ไม่ต้อง ฉันอุ้มเอง”
ปรินทร์วางร่างคนเมาจนหมดสติลงบนเบาะรถตอนหลัง กายหนาสอดตัวตามเข้าไปนั่งด้านข้าง ก่อนที่มือแกร่งจะจับศีรษะเล็กขึ้นที่ค่อยๆ ไหลลงมาตามแรงโน้มถ่วงให้นอนลงบนตักตน
นิ้วเรียวเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้าใส ก่อนจะเลื่อนไปสัมผัสริมฝีปากบางที่บวมเจ่อ มีรอยปริแตก เขาคงทำรุนแรงเกินไป มุมปากยกขึ้นยิ้มอย่างพอใจกับบาดแผลนั้น
ริมฝีปากหนาฝังจูบลงบนหน้าผากกลมมน ก่อนกระซิบบางประโยคที่เขาอยากพูดมานานแสนนาน
‘ในที่สุดเธอก็กลับมาหาฉัน’
ความคิดเห็น |
---|