9

บทที่ 9


บทที่ 9


ความร้อนแรงแผดเผาของแสงอาทิตย์ยามบ่าย สามารถทำให้ร่างเล็กที่ถูกเตียงนอนดูดอยู่ครึ่งค่อนวันเริ่มขยับตัว

อึก...

เพียงแค่รู้สึกตัว ยังไม่ทันได้ลืมตาตื่นดี บางอย่างที่ตีขึ้นมาฉับพลันภายในร่างกายทำให้กวิสรารีบลุกขึ้นวิ่งพรวดพราดไปยังห้องน้ำส่วนตัว ก่อนที่เธอจะทำห้องนอนเลอะขนานใหญ่

ร่างบางโอบกอดสุขภัณฑ์ในห้องน้ำดั่งเพื่อนรักที่พลัดพรากจากกันมานาน ของเหลวจากกระเพาะถูกขย้อนออกมาอย่างไม่อาจห้ามได้

รสขมผสมเปรี้ยวฝาดติดอยู่บนริมฝีปากลามไปยันโคนลิ้น ความทุกข์ทรมานหลังจากค่ำคืนอันสุดเหวี่ยงของเธอมักจบลงด้วยสภาพแบบนี้อยู่ร่ำไป จนเกิดความเข็ดขยาดที่จะดื่มเสมอ แต่เมื่อคืนน่ะ จงใจเมาเองเลยแหละ

ภาพหญิงสาวใต้ตาดำคล้ำ ใบหน้ายับย่น ผมเผ้ายุ่งเหยิงดูไม่จืดที่สะท้อนออกมาจากกระจกยามนี้ ทำเอาเจ้าตัวได้แต่ส่ายหัว แต่ก็ยังดีที่อย่างน้อยเสื้อผ้าบนตัวอยู่ครบทุกชิ้น มือเรียวคว้าแปรงสีฟันที่ป้ายยาในหลอดเรียบร้อยแล้ว ยัดเข้าไปในโพรงปากเพื่อทำความสะอาด โดยที่มืออีกข้างหนึ่งไพล่ไปด้านหลังเพื่อแกะปมผ้าพันคอที่แปลงสภาพเป็นเกาะอกออก

“โอ้ย เมื่อย” แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนกวิสราก็แกะปมผ้าไม่ออก จึงยอมตัดใจเปลี่ยนมาแปรงฟันล้างหน้าให้เสร็จก่อน

“ฮึบ”

เมื่อถึงเวลาที่ต้องอาบน้ำจริงๆ แม้จะใช้มือทั้งสองข้างก็ยังถอดผ้าพันคอไม่สำเร็จ เพราะผูกไว้แน่นเกินไป อันเกิดจากความกังวล หากไม่ติดว่าเป็นชุดของผู้อื่น เธอคงหากาวตาช้างมาหยอดลงไปกันพลาดแล้ว

กวิสรามองสภาพผ้าพันคอชาแนลที่แทบจะกลายสภาพเป็นชาโคลจากการถูกปลุกปล้ำมาหลายนาทีอย่างอ่อนใจ แววเสียเงินเริ่มโผล่มารำไร ได้แต่ภาวนาให้มันเป็นเพียงของปลอม

หลังจากที่ชั่งใจอยู่นานว่าจะทำอย่างไรดี ระหว่างฝืนแกะต่อไปกับเอากรรไกรมาตัดทิ้ง สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะโทร. ไปสอบถามราคาจากเจ้าของและใช้กรรไกรตัดมันทิ้งเสีย

ก๊อกๆๆ

กวิสรายืนฟังเสียงรอสายจนมันตัดไปถึงสองครั้ง ขณะที่กำลังจะกดโทร. ออกเป็นครั้งที่สาม ก็มีเสียงเคาะประตูหน้าห้อง จึงต้องหยิบชุดคลุมอาบน้ำมาสวมก่อนจะเดินไปเปิดประตู

ปรินทร์ซึ่งยืนอยู่หลังประตูไม่ได้ทำให้เธอแปลกใจแต่อย่างใด

“ตื่นแล้วก็ลงไปกินข้าว”

“วันนี้คุณอยู่บ้านเหรอ” หญิงสาวถามด้วยความแปลกใจ เพราะตอนที่ตื่นขึ้นมาและรู้ว่าเกือบบ่ายสองแล้ว ก็ดันคิดไปเองว่าเธออยู่บ้านหลังนี้เพียงลำพัง

“กลับถึงบ้านตอนสว่าง แถมต้องแบกคนเมากลับมาด้วย เธอคิดว่าฉันจะไปทำงานไหวไหมล่ะ”

กวิสราถึงกับหน้าเสียเมื่อได้ยินที่ปรินทร์พูด รีบละล่ำละลักขอโทษ

“ขอโทษทีคุณ ฉันไม่รู้สึกตัวเลย”

“ถ้าทำอะไรเสร็จแล้วก็ลงไปข้างล่าง”

“ได้ๆ คุณ ว่าแต่เห็นเสื้อคลุมที่ฉันใส่เมื่อคืนไหม เมื่อกี้ลองเดินหาดูในห้องก็ไม่มี”

“อยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่น ถามทำไม กลัวเงินหายเหรอ” ชายหนุ่มถามยิ้มๆ อย่างคนอารมณ์ดี

“เงินอะไร”

“ก็เงินที่เธอเล่นเกมได้เมื่อคืนไง”

“คุณพูดเรื่องอะไร”

“อย่าบอกนะว่าเธอจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้”

“ก็จำได้แค่ว่ายกแก้วชอตดื่ม หวังเอาเงินใต้แก้ว นี่คุณอย่าบอกนะว่าเงินที่พูดถึงมาจากเกมนั้น”

“ใช่”

“จริงปะ! คุณ ฉันได้กี่แก้ว ฉันได้กี่แก้ว”

ร่างบางที่แสดงท่าทางดีใจจนออกนอกหน้ากลับทำให้ใครบางคนเริ่มรู้สึกไม่ดี และยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ เมื่อรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกลัวเริ่มจะเป็นความจริง

“สิบ”

“เฮ้ยยยย สุดยอดเลย ฉันจำได้แค่ตอนยกแก้วแรกนั่นแหละ ปกติถ้าฉันกินเหล้า ส่วนมากจะขี้ลืมน่ะ ขอบคุณมากนะคุณที่บอก”

ปรินทร์ยืนจ้องคนที่กระโดดโลดเต้นอย่างเงียบขรึม แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้สึกถึงรังสีอำมหิตนี้เลย ยังมีหน้ากดรับโทรศัพท์ที่มีคนโทร. เข้ามาเสียงใส

“ฮัลโหลกิ๊ก...ใช่ๆ พี่โทร. ไป”

“พี่เกลมีอะไรรึเปล่าคะ เห็นโทร. มาหลายสาย พอดีกิ๊กติดเรียน”

“อ๋อ พี่แค่อยากถามกิ๊กว่า ชุดที่ให้ยืมมาแพงมากไหม”

กวิสราทาบนิ้วชี้บนริมฝีปากของตนเป็นเชิงให้ปรินทร์ช่วยอยู่เงียบหน่อยๆ เพราะเธอไม่อยากให้ใครรู้ว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ที่ไหน

“เชิญตามสบาย” ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างหัวเสีย ก่อนจะหันหลังกลับ เตรียมเดินออกไปจากหน้าห้องของหญิงสาว

“ไม่แพงค่ะพี่เกล หมื่นกว่าบาทเอง”

“โอเค พี่จะได้รีบเอาไปคืนเรา ขอบคุณมากนะกิ๊ก”

สิ่งที่ได้ยินจากกุ๊กกิ๊กทำให้กวิสราไม่สามารถปล่อยปรินทร์กลับไปได้ มือเล็กรีบคว้าชายเสื้อเขาไว้ ก่อนจะรีบตัดบทสนทนากับปลายสายและวางโทรศัพท์ลง

“คุณ” กวิสราช้อนตามองปรินทร์ เริ่มอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ

“มีอะไร” ปรินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่สบอารมณ์ พร้อมกอดอกอย่างตั้งแง่

“ช่วยถอดเสื้อให้หน่อย...ได้ไหม”

หากกวิสราไม่ได้ตาฝาดไป เพียงชั่วเสี้ยววินาที เธอเห็นความตื่นตกใจในแววตาของปรินทร์ แต่เธอเลือกจะไม่ใส่ใจมันในเวลาฉุกเฉินเช่นนี้

“นะ” เธอยังเอ่ยออดอ้อนไม่เลิกรา

เพียงแค่เขาพยักหน้า เธอก็รีบปิดประตูห้องเพื่อจัดการกับตัวเองทันที

ประตูห้องนอนเปิดออกอีกครั้ง กวิสราซึ่งอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำที่กลับจากด้านหน้ามาไว้ด้านหลังก็เดินออกมา แล้วหันหลังให้ปรินทร์อย่างเก้อเขินเช่นคนทำตัวไม่ถูก

“คุณช่วย...เอ่อ แกะปมผ้าที่ฉันผูกไว้ให้หน่อย”

แม้ไม่มีเสียงตอบรับ แต่สัมผัสจากด้านหลังที่ชุดคลุมอาบน้ำถูกแหวกออกก็ทำให้เธอรู้ว่า ปรินทร์เข้าใจว่าต้องทำอะไร สัมผัสจากปลายนิ้วของเขาทุกครั้งที่โดนแผ่นหลังยิ่งทำให้เธอวางตัวไม่ถูก

“ขออนุญาตนะ”

เขาเอ่ยเสียงทุ้มเบาๆ แล้วใช้นิ้วมือทั้งสองข้างสอดเข้าไปด้านในของผ้า ค่อยๆ ดึงรั้งมันลงมาจากหน้าอก จนผ้าพันคอตกลงไปกองอยู่ที่เอวคอด มือหนาแหวกชุดคลุมอาบน้ำลงมาถึงบั้นเอว และคุกเข่าลงไปใช้ฟันหน้าช่วยในการแกะปมผ้าอีกแรง ปรินทร์ใช้เวลาไม่นานนักก็ดึงผ้าพันคอออกจากร่างกายของเธอได้ แต่กุ๊กกิ๊กคงจะไม่ได้ของคืนแล้ว เมื่อปรินทร์ผูกชุดคลุมอาบน้ำจากด้านหลังให้เธอเรียบร้อย เขาก็ขอสิ่งที่ทำให้ตัวเธอร้อนฉ่าด้วยความอับอาย

“ผ้าผืนนี้ ฉันขอนะ”


อาหารเช้าที่ปรินทร์สั่งมาให้ กว่าจะได้กินรสชาติก็ชืดไปหมดแล้ว แถมบรรยากาศระหว่างกันยังเต็มไปด้วยความอึดอัด แม้จะพยายามทำตัวตามปกติ แต่เมื่อเผลอตัวทีไรก็ได้แต่ลอบมองเขาด้วยความสงสัยอยู่ร่ำไป

แค่คิดว่าเมื่อสักครู่ปรินทร์เอาอะไรไปจากเธอ กวิสราก็รู้สึกแปลกจนมองหน้ากันไม่ติด หัวสมองเอาแต่คิดวนเวียนเรื่องเดิมๆ

‘เป็นโรคจิตเปล่าวะเนี่ย’

กวิสราทำได้แค่คิดในใจ ไอ้ครั้นจะถามว่าเอาผ้าพันคอไปทำอะไรก็ไม่กล้า แค่นึกถึงก็กระดากอายแล้ว แต่เธอคงเก็บอาการได้ไม่ดีนักจึงถูกจับได้เช่นนี้

“มีอะไรจะถามรึเปล่า ถึงมองหน้าฉันแบบนั้น” อยู่ๆ คำถามปลายเปิดก็ถูกส่งมาจากปรินทร์ แล้วคิดหรือว่าคนอย่างเธอจะกล้าถาม

“เปล่านี่” ไม่เพียงแค่พูด กวิสรายังสั่นศีรษะเป็นการปฏิเสธแทบจะทันทีที่ปรินทร์ถามจบ

“แล้วทำไมต้องแอบมองหน้าฉัน”

“เอ่อ...คือ...”

“ตกลงมีอะไรก็พูดมา”

นี่มันไม่ใช่ประโยคคำถามแล้ว จะคาดคั้นทำไมนักหนา ดวงตากลมกลอกกลิ้งไปมา พยายามหาเรื่องแถ จนในที่สุดเธอก็คิดออก เมื่อเห็นโคตสีดำของตัวเองที่วางพาดอยู่บนโซฟา

“ฉันเปล่ามองคุณเสียหน่อย แค่มองหาเสื้อเฉยๆ คุณน่ะคิดมาก”

ไม่พูดเปล่า กวิสรายังลุกจากโต๊ะอาหารไปหยิบเสื้อโคตบนโซฟา แล้วกลับมานั่งกินอาหารตามเดิม มือข้างที่ว่างยังคงค้นตามกระเป๋าเสื้อโคตไปมาจนดูวุ่นวายและยุ่งยากกว่าที่ควรเป็น

“อ้าว ฉันได้เงินเยอะอย่างที่คุณพูดจริงด้วยนี่” มือบางหยิบธนบัตรสีเทาหลายใบที่ค้นเจอในกระเป๋าเสื้อโคตขึ้นมานับช้าๆ เป็นการกระทำที่ทำให้ปรินทร์รู้สึกกังขา

“เธอจำเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ได้เลยรึไง”

“อืม...” กวิสราขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะส่ายศีรษะ พลางอธิบายขยายความเล็กน้อย

“มันก็พอจำได้บ้าง แต่เป็นช่วงแรกๆ ตอนไปถึงที่ร้านนะ พอเหล้าเข้าปากแล้ว หลังจากนั้นมันเหมือนภาพตัด ตื่นมาตอนเช้ามักจะจำอะไรไม่ค่อยได้ ทำไมเหรอ เมื่อคืนมีอะไรรึเปล่า ว่าจะถามอยู่เหมือนกันว่าฉันกลับมานอนที่นี่ได้ยังไง”

“ลืมทุกเรื่องจริงๆ สินะ” ปรินทร์ทอดตามองอย่างอ่อนใจ เสียงทุ้มดูจะผิดหวังนิดๆ

“ฉัน...เอ่อ...ทำเรื่องไม่ดีกับคุณเหรอ”

“เปล่านี่” ปรินทร์ปฏิเสธทันควันก่อนจะลุกขึ้นยืนตัวตรง

“ถ้าเธอไม่ได้มีปัญหามีอะไรก็ดี กินข้าวเสร็จก็เอามายเลิฟใส่กระเป๋าแล้วไปรอที่รถ ฉันจะพามันไปอาบน้ำ อย่าลืมหยิบแชมพูของมันไปด้วย ฉันจะขึ้นไปหยิบของด้านบนก่อน จะได้ไปซื้อของสดเข้าบ้านด้วยเลย”

“ได้”

“อย่าลืมส่งเลขที่บัญชีเธอเข้ามาในไลน์ด้วย”

“คุณจะเอาไปทำอะไร” กวิสราเก็บความสงสัยไว้ไม่ได้จนต้องถามออกไป เพราะแปลกใจที่อยู่ๆ ปรินทร์ก็มาถามหาเลขที่บัญชีจากเธอ

“ก็เอามาจ่ายค่าผ้าพันคอผืนเมื่อกี้ไง” ปรินทร์เดินหนีขึ้นชั้นบนไปแล้ว ในขณะที่กวิสราได้แต่นั่งบื้อใบ้เพราะปฏิเสธไม่ออก

‘เอาจริงดิ ให้ตาย อย่าบอกว่าจะเอาไปแอบใส่เอง’ ช่างมันดีไหม อย่างน้อยเขาก็จ่ายเงิน ถึงแม้มันจะให้ความรู้สึกแปลกๆ ก็เถอะ

จานชามไม่กี่ใบที่ใช้ในมื้ออาหารเมื่อครู่ถูกเก็บกวาดจนเรียบร้อย กวิสราจึงเดินขึ้นไปหยิบกระเป๋าที่ใช้สำหรับใส่มายเลิฟเวลาต้องพามันไปข้างนอก โดยไม่ลืมแวะห้องนอนตนเองเพื่อหยิบแชมพูขวดสีดำที่ใช้สำหรับแมวโดยเฉพาะออกมาด้วย

ปรินทร์ซึ่งเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยเกิดนึกขึ้นได้ว่า กวิสราเผลอหยิบแชมพูของมายเลิฟไปใช้ แต่เพราะยังไม่อยากทวงคืนตอนนี้ จึงเดินไปที่ตู้เก็บของใช้เพื่อหยิบแชมพูขวดใหม่ที่ชอบซื้อตุนไว้ให้มายเลิฟ นำไปใช้อาบน้ำที่ร้าน

แต่เขาคงต้องเปลี่ยนใจ เมื่อได้ยินสิ่งที่กวิสราคุยกับมายเลิฟยามจับมันลงกระเป๋า

“มายเลิฟ พี่เกลขอโทษนะที่แอบใช้แชมพูของมายเลิฟ เดี๋ยวพี่เกลซื้อขวดใหม่มาคืนให้นะ”

ร่างสูงหมุนตัวกลับไปยังตู้เก็บของเพื่อเอาแชมพูที่ถือมาไปวางไว้ที่เดิม

‘หึ จำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ แต่ดันจำได้ว่าเผลอใช้แชมพูของมายเลิฟ’ ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มสุดชั่วร้ายเมื่อคิดถึงสิ่งที่หญิงสาวหลอกลวงตน

“ร้ายนักนะ”


กวิสรายืนมองรถสปอร์ตคาบริโอเลตสุดหรูที่จอดอยู่ภายในบริเวณบ้าน เธอไม่ทันได้สังเกตว่าเขาเปลี่ยนรถใช้ตอนไหน

“มีอะไร”

“คุณเปลี่ยนรถเหรอ”

“เปล่า คันนั้นจอดอยู่บริษัท ขืนขับคันสีเหลืองไปต้อนรับลูกค้า ท่านประธานบริษัทคงจะไมเกรนขึ้น ไป ขึ้นรถได้แล้ว”

ภายในห้องโดยสารปราศจากบทสนทนา แต่ก็แปลกที่กวิสราไม่รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด ผิดกับตอนนั่งร่วมโต๊ะด้วยกันตอนกินอาหาร เสียงเพลงในรถที่ปรินทร์เปิดคลอเบาๆ พร้อมกับการเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยตามจังหวะ ทำให้กวิสรารู้สึกถึงความเบาสบายของบรรยากาศระหว่างกัน และสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเขาที่ดีขึ้นมาก ไม่รู้ว่าชั่วเวลาไม่กี่นาทีที่ไปเตรียมตัวก่อนออกจากบ้าน เขาไปเจอเรื่องดีๆ อะไรมากันแน่ ถึงเธอจะชอบช่วงเวลาแบบนี้ แต่ด้วยระยะทางที่ดูไกลพอสมควร ทำให้กวิสราต้องเอ่ยท้วง

“ทำไมคุณต้องขับรถออกมาไกลขนาดนี้ด้วย แถวบ้านก็น่าจะมีร้านรับอาบน้ำเยอะแยะ”

“ก็ฉันไม่ใช่คนเลือกร้านนี่ จริงไหมมายเลิฟ”

“เมี้ยววว”

มายเลิฟส่งเสียงร้องออกมาเมื่อได้ยินชื่อตัวเอง อย่างกับจะบอกว่าตัวเองต่างหากที่เป็นผู้เลือกร้าน

“เราจะไปแถวบ้านพ่อฉัน แต่ก่อนฉันเลี้ยงมายเลิฟที่นั่น มายเลิฟหวงตัว หาร้านอาบน้ำยาก เลยต้องพาไปร้านประจำ”

“คุณแน่ใจว่ามายเลิฟหวงตัว?” กวิสราถามให้แน่ใจ ก่อนจะหันไปจ้องเจ้าอ้วนที่นั่งอยู่ในกระเป๋าบนเบาะด้านหลัง

“อืม มันไม่ค่อยเอาใคร ตอนไปเรียนต่อ ฉันยังต้องหอบมันไปด้วยเลย ค่าพาไปพากลับแทบจะเสียเงินเยอะกว่าค่าเรียนฉันอีกมั้ง”

“เอ๊า นี่เด็กนอกเหรอเนี่ย ให้ตาย ไฮโซจริงๆ นะเราอะ” กวิสราอดแซวแมววัดอิมพอร์ตไม่ได้

“เมี้ยว~”

ไม่นานปรินทร์ก็ขับรถเข้ามาจอดเทียบหน้าร้านอาบน้ำตัดขนสัตว์เล็กๆ แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ หลังคารถยนต์เปิดออกเพื่อความสะดวกในการยกกระเป๋าใส่มายเลิฟออกจากรถ

“เกล เอามายเลิฟมานี่”

ปรินทร์เดินเข้าร้านด้วยความคุ้นเคย ก่อนจะเรียกให้เธอเอาแมวอ้วนไปฝากไว้กับเจ้าของร้านที่แทบจะวิ่งออกมาต้อนรับเมื่อเห็นหน้าเจ้านายของเธอ

“คุณปรินซ์~ กลับไทยมานานแล้วเหรอคะ หายไปตั้งหลายปี”

“สักพักแล้วครับ”

“วันนี้มีอะไรให้รับใช้คะ”

“ฝากอาบน้ำมายเลิฟให้หน่อย ช่วงนี้ผมไม่ค่อยว่างทำเอง”

“นี่อย่าบอกนะว่าเป็นแมวตัวเดียวกับตัวนั้น”

กวิสรามองซ้ายทีขวาที เมื่อเห็นคนทั้งคู่รำลึกความหลังเหมือนไม่ได้เจอกันมานาน

“ครับ ตัวนั้นแหละ ฝากดูแลด้วยนะครับ เดี๋ยวผมกลับมารับ”

“ไหนมาดูซิว่ามายเลิฟสุดหล่อหายดื้อบ้างรึยัง อย่ามาฝากยันต์ห้าแถวไว้บนตัวพนักงานร้านพี่อีกนะคะ”

เจ้าของร้านยกกระเป๋าไปให้พนักงานของตน ก่อนจะพูดเสียงสองใส่แมวเหมียวไม่หยุด ท่าทางที่มายเลิฟขืนตัวออกจากมือพนักงานในร้านสุดฤทธิ์เป็นสิ่งที่กวิสราไม่เคยเห็นมาก่อน

“เมี้ยววว”

“มายเลิฟอย่าดื้อ” ปรินทร์ดุเบาๆ เมื่อเห็นว่าสัตว์เลี้ยงของตนเริ่มแผลงฤทธิ์กับคนแปลกหน้าอีกแล้ว

“ไม่เป็นไรค่ะคุณปรินซ์ เดี๋ยวพี่ดูแลเอง หมวย ส่งน้องมา”

เจ้าของร้านรีบปรี่เข้าไปอุ้มแมวแทนทันที และเมื่อมายเลิฟถูกเปลี่ยนมือ มันก็เริ่มสงบลง แม้จะยังหลงเหลือท่าทีขัดขืนบ้างเล็กน้อย แต่ก็ดูไม่น่ามีปัญหาอะไร

“เดี๋ยวตอนเย็นผมเข้ามารับนะครับ”

“ได้ค่ะ” เจ้าของร้านรับคำพร้อมฉีกยิ้มหวาน

“เกล ไปกันได้แล้ว”

เมื่อนัดแนะเวลาที่จะกลับมารับเสร็จสรรพ ก็ถึงคราวที่ต้องไปซื้อของต่อ ปรินทร์จึงชวนเธอกลับ แต่ทาสแมวคนใหม่ก็ยังไม่วายเป็นห่วง เมื่อได้เห็นอาการของมายเลิฟเมื่อครู่ จึงเอ่ยกำชับเจ้านายของตน ก่อนจะลูบหัวมันเป็นการปลอบประโลมเบาๆ

“มายเลิฟอย่าดื้อนะ เดี๋ยวพี่เกลรีบกลับมารับ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น