3

โน้ตตัวที่ ๓

โน้ตตัวที่ ๓

 

“น้ำแน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร”

เอกภพมองใบหน้าซีดเซียวของหญิงสาวที่นั่งเงียบจนผิดสังเกตอยู่บนเบาะข้างคนขับมากว่าสิบนาทีแล้วด้วยความรู้สึกเป็นห่วง หลังจากเธอออกมาจากห้องน้ำของพนักงานทางด้านหลังร้านแล้ว ก็มีทีท่าที่แปลกไปอย่างมาก ดวงตาของเธอแดงก่ำ แถมยังเปลี่ยนมาสวมเสื้อยืดอีกตัวที่ยืมมาจากนิสาแทนตัวเก่าที่เจ้าตัวอ้างว่าทำเหล้าหกใส่ทั้งที่ไม่ได้เดินเฉียดเข้ามาใกล้แก้วเหล้าแม้แต่นิด นฎาคออ่อนมาก แต่ไหนแต่ไรมาก็แทบจะไม่แตะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลย เว้นแต่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ เท่านั้น

“น้ำไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะพี่เอก”

เสียงของนฎาแหบแห้งนิดๆ เธอพยายามประสานมือไว้บนตักเพื่อควบคุมอาการสั่นให้บรรเทาเบาบางลง แต่ช่างยากเย็นเหลือเกิน ไอร้อนและเสียงขู่คำรามของเขายังดังก้องอยู่ในสมองประหนึ่งว่าตราบาปที่เขาเคยจารไว้บนเนื้อตัวของเธอจะไม่จางหายไปตลอดกาล และจะตามหลอกหลอนกันไปชั่วชีวิต

“ตกลง...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ฮึน้ำ รู้ตัวหรือเปล่าว่าเราหน้าซีดมาก”

โพรดิวเซอร์หนุ่มตัดสินใจเอ่ยถามออกมาตรงๆ ในที่สุด กับคนปากหนักอย่างนฎา หากมัวแต่พูดอ้อมไปมาก็คงไม่ได้รู้ความกันพอดี

“เกิดอะไรขึ้นล่ะคะ ไม่มีอะไรเสียหน่อย” นฎาฝืนยิ้มพร้อมปรับน้ำเสียงให้สดชื่นขึ้น ทว่าทักษะการแสดงเป็นศูนย์จึงดูไม่สมจริงเอาเสียเลย “ช่วงนี้น้ำคงนอนน้อยไปหน่อยมั้งคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เป็นวันหยุด น้ำจะนอนให้เต็มคราบไปทั้งวันเลย พอวันเสาร์ไปอัดเสียงจะได้มีพลังเต็มที่”

ดวงตากลมโตเหลือบมองนาฬิกาดิจิทัลบนคอนโซลของรถเก๋งคันงาม ขณะนี้เป็นเวลาเกือบตีสองแล้ว วันเกิดของเธอเพิ่งผ่านพ้นไปและเป็นวันเกิดที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่ลืมตาดูโลกมา 

‘อ้อ...วันนี้เป็นวันเกิดของเธองั้นเหรอ คงต้องบอกว่าสุขสันต์วันเกิดสินะ...’

เสียงทุ้มนุ่มของปีศาจรูปงามยังดังก้องอยู่ในสมอง และพาให้กายสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้อีกครา เธอกลัวเขามาก แค่คิดว่าจะต้องพบเขาอีกครั้งภายในสามวัน เธอก็...

“น้ำ”

เอกภพวางมือบนหลังมือของหญิงสาวแล้วบีบเบาๆ ทำเอาเธอสะดุ้งต้องชักมือหนีโดยอัตโนมัติ 

“ทำไมตัวสั่น เป็นอะไรหรือเปล่า แอร์เย็นไปเหรอ แอร์เย็นไปก็บอกสิ เดี๋ยวพี่หรี่ให้ก็ได้” เอกภพพูดพลางกดปุ่มปรับอุณหภูมิให้อุ่นขึ้น “พักนี้น้ำทำตัวแปลกๆ จริงๆ นะ”

“น้ำก็แปลกมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่คะ” นฎาหัวเราะกลบเกลื่อน 

“น้ำ!” เอกภพเรียกเสียงหนัก “ไม่ตลกเลย นี่พี่ซีเรียสนะ น้ำรู้ใช่ไหมว่าถ้ามีปัญหาอะไรบอกพี่ได้ทุกเรื่อง”

‘ถ้าเธอบอกเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้กับใคร รู้ใช่ไหมว่าจะมีจุดจบแบบไหน...’

คำขู่ของเควานหนักอึ้งอยู่ในอก และถ่วงริมฝีปากของเธอไว้ไม่ให้ขยับเอื้อนเอ่ยใดๆ ออกไป หากเธอบอกเอกภพเรื่องปีศาจร้ายตนนั้น คำถามแรกที่เขาจะถามเธอกลับก็คือ เธอรู้จักปีศาจนั่นได้อย่างไร ไม่สิ...จากที่ไหน...

‘เอ้า ชน!’

เสียงแก้วเหล้ากระทบกัน เคล้าเสียงหัวเราะรื่นเริงของผู้คนในงานเลี้ยงสละโสดเมื่อหลายเดือนก่อนลอยกลับเข้ามาในโสตประสาทอีกครา 

“น้ำ”

เสียงเรียกของเอกภพดึงนฎาให้ออกจากห้วงความคิดแทบจะในทันที 

“พี่เอกคะ เดี๋ยวพี่เอกส่งน้ำที่ร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอยก็พอ น้ำนึกขึ้นมาได้ว่ากิ่งฝากซื้อพวกขนมปังกับนมไว้กินตอนเช้า ถ้าลืมขึ้นมา มีหวังถูกบ่นหูชาแน่เลย”

หญิงสาวชี้ไปยังร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเบื้องหน้า เป็นการตัดบทไม่ให้เขาถามเรื่องที่เธอไม่อยากแม้แต่จะนึกถึงอีก 

“เอาอย่างนั้นก็ได้” เอกภพถอนใจ เขารู้ดีว่าต่อให้คาดคั้นมากไปกว่านี้ เธอก็คงไม่ยอมพูดอะไรอีกอยู่ดี “พี่จะลงไปเป็นเพื่อนก็แล้วกัน มันดึกมากแล้ว พี่เป็นห่วง”

ห่วง...คือคำที่เขาพูดกับนฎาบ่อยที่สุดอย่างน่าสมเพช 

ห่วง...แต่แทบไม่เคยทำอะไรเพื่อเธอได้มากไปกว่าลูบศีรษะหรือปลอบใจเธอนานๆ ครั้งเลย

ห่วง...แต่กลับใช้เธอเป็นเครื่องมือในการก้าวสู่ความสำเร็จอย่างน่าละอายใจที่สุด

นี่เป็นความห่วงใยประเภทใดกันเล่า ไอ้เลวเอกภพเอ๊ย...

“ไม่ต้องหรอกค่ะ หอพักอยู่แค่นี้เอง เดินเข้าซอยไปแป๊บเดียวก็ถึง พี่เอกกลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ แค่กรุณามาส่ง น้ำก็เกรงใจมากแล้ว”

หญิงสาวรีบปลดเข็มขัดนิรภัยเมื่อรถเก๋งสีดำจอดเทียบทางเท้าด้านหน้าร้านสะดวกซื้อ แสงไฟในร้านสว่างจ้าและมีผู้คนเดินกันขวักไขว่แม้จะเป็นเวลาเกือบตีสองครึ่งแล้วก็ตาม อาจเพราะมีนักศึกษาพักอาศัยอยู่ในย่านนี้เป็นจำนวนมาก จึงค่อนข้างคึกคัก คนรุ่นหนุ่มสาวที่ต้องอยู่ห่างไกลบ้าน เวลาดึกดื่นหิวขึ้นมาก็มีร้านสะดวกซื้อประเภทนี้นี่ละเป็นที่พึ่งพิง

“พูดเหมือนเราเป็นคนอื่นคนไกลกันอย่างนั้นละ มาเถอะ อยากกินอะไรเดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”

เอกภพทำท่าจะปลดเข็มขัดนิรภัยบ้าง แต่นฎารีบยกมือห้าม

“ไว้คราวหน้าพี่เอกรอเลี้ยงอะไรแพงๆ ให้น้ำดีกว่าค่ะ จะเลี้ยงทั้งที ต้องเอาให้คุ้มเนอะ”

“เรานี่น้า” เอกภพวางมือบนศีรษะของหญิงสาวแล้วโยกเบาๆ “เอางั้นก็ได้ กลับถึงห้องแล้วอย่าลืมส่งข้อความบอกพี่ด้วยล่ะ โอเค้?”

“ค่ะ”

นฎากระพุ่มมือไหว้ชายหนุ่มแล้วรีบเผ่นแผล็วลงจากรถ รีบเข้าไปในร้านสะดวกซื้อให้เร็วที่สุด สัมผัสอบอุ่นอ่อนโยนของเขาเรียกน้ำตาให้ขึ้นมารื้นขอบตาทั้งสองข้าง เธอไม่ควรลากคนที่ใจดีกับเธอเสมอมาอย่างเขามาผจญเรื่องอันตรายแบบนี้ด้วย สิ่งที่เธอต้องทำภายในสามวันนี้ก็คือ หาคำตอบให้ได้ว่าแหวนบ้าๆ วงนั้นอยู่ที่ไหน หากไม่รู้คงต้องคิดแผนสำรองเพื่อหาทางหนีทีไล่ ไม่ให้คนรอบข้างต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย

“แหม...เป็นฉากที่ดูซาบซึ้งดีนะ เหมือนละครน้ำเน่าช่วงไพรม์ไทม์เลย”

เสียงกระซิบที่ดังชิดใบหูและลมหายใจร้อนระอุที่เป่ารดต้นคอทำเอาหญิงสาวสะดุ้งสุดตัว เธอหันกลับไปหาต้นเสียงแล้วต้องรีบยกสองมือขึ้นปิดปากไม่ให้เสียงร้องกรี๊ดดังลอดออกมา

เควาน!

ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มยืนห่างออกไปเพียงลมหายใจกั้น เขายังอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิมกับที่เห็นก่อนหน้านี้ เพียงแต่สวมทับด้วยเสื้อแจ็กเกตแบบมีฮูดปกปิดใบหน้าเอาไว้ ดวงตาสีเขียวอมเทาราวป่าที่ปกคลุมไว้ด้วยเมฆหมอกจางๆ หลุบมองใบหน้าซีดเผือดของหญิงสาวอย่างเย็นชา 

“นี่คุณ...มา...มาได้ยังไง...” นฎาตัวสั่น เธอมองไปรอบด้านก็เห็นว่าผู้คนที่เข้าออกร้านเริ่มบางตาลงบ้างแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ไม่กล้าส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ แม้ตอนนี้เขาจะไม่อวดเขี้ยวเล็บ แต่เธอก็รู้ดีแก่ใจว่าเขาอันตรายเพียงไหน

“บินมา” เควานยักไหล่แล้วเอื้อมมือข้ามศีรษะของหญิงสาวไปหยิบถุงขนมมันฝรั่งทอดด้านหลังขึ้นมาดู “อันนี้น่ากินแฮะ”

“บะ...บินมา?” นฎาวางหน้าไม่ถูก กลัวเขาจับใจ “ไหนคุณบอกว่าให้เวลาฉันสามวันไง แล้ว...”

เสียงของเธอสั่นและกระท่อนกระแท่นจนฟังแทบไม่เป็นประโยค เควานแสยะยิ้มอวดคมเขี้ยวที่ค่อยๆ งอกยาวออกมาทีละนิดให้เธอดู

“ฉันก็แค่อยากรู้ว่าเธอปากโป้งบอกอะไรไอ้หน้าอ่อนนั่นหรือเปล่า ถ้าพูด ฉันจะได้หักคอมันทิ้งเสียเลย”

“อย่า...” นฎาเอื้อมมือสั่นๆ มารั้งชายเสื้อของเขาเอาไว้อย่างลืมตัว “ฉัน...ฉันไม่ได้บอกอะไรใครเลย ฉัน...ไม่กล้าหรอก...”

“ก็คิดว่าเธอไม่น่าจะกล้าหรอก” ชายหนุ่มหลุบตามองมือเล็กๆ ของหญิงสาวแวบหนึ่ง ก่อนจะปัดทิ้งอย่างไม่ไยดี “อย่ามัวแต่ยืนทำหน้าโง่น่า ไปหยิบโค้กมาให้สองกระป๋องซิ เอาเย็นๆ นะ บินมาเหนื่อย ร้อนด้วย”

“อะ...เอ่อ...” นฎาเงยหน้าขึ้นมองคนพูดด้วยความรู้สึกเหมือนตนเองหูฝาดไป “คะ...โค้กเหรอคะ”

“ก็เออสิ สมองมีแต่ขี้เลื่อยหรือไง ถึงต้องให้สั่งซ้ำ”

เสียงขู่ฟ่อของเขาเหมือนเป็นสัญญาณให้สองขาของเธอออกวิ่งไปยังตู้แช่ที่อยู่อีกด้านโดยอัตโนมัติ เธอทั้งงุนงงและสับสนไปหมด เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ เขายังขู่จะฆ่าเธอเรื่องแหวนที่เธอจำไม่ได้ว่ามีอยู่ในโลกนี้ด้วยซ้ำอยู่เลย แต่จู่ๆ ในคืนเดียวกันนี้ก็มาปรากฏตัวต่อหน้าเธออีกครั้ง แล้วสั่งให้เธอไปหยิบโค้กในร้านสะดวกซื้อเนี่ยนะ!

“ช้าจริ๊ง”

เควานสาวเท้ายาวๆ ตามมาหยิบกระป๋องน้ำอัดลมจากหญิงสาวแล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน เธอกะพริบตาปริบๆ มองตามแผ่นหลังกว้างไปอย่างไม่เข้าใจ เธอเคยคิดว่าเอกภพเป็นผู้ชายประเภทศิลปินจ๋าที่ใครๆ ก็เข้าถึงยากแล้วเชียวนะ แต่ปีศาจตนนี้ต้องเรียกว่าเป็นขั้นกว่าของ ’ติสต์ตัวพ่อ

“นี่เธอ มีเศษเหรียญไหม ขอยืมหน่อย ฉันมีแต่แบงก์พัน”

“หา? อะ...เอ่อ มี...”

นฎาควานมือลงไปในกระเป๋ากางเกง พอเจอเหรียญสิบ เหรียญห้าและเหรียญบาทอีกสองสามเหรียญก็ยื่นส่งให้เขาไปด้วยท่าทางเหมือนคนละเมอ...นี่นอกจากขู่จะฆ่าเธอแล้ว เขายังมาไถเงินเธออีกด้วยงั้นเหรอ 

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน...

“ไปกันหรือยัง”

เควานหันมาถามคนที่ยืนนิ่งเหมือนถูกสาป เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวไม่ตอบจึงเดินไปคว้าข้อมือของเธอแล้วกระตุกให้ออกเดินไปนอกร้านแต่เธอสะบัดหนี

“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน ฉัน...งงไปหมดแล้ว คุณต้องการอะไรกันแน่”

“ต้องการแหวน”

ปีศาจรูปงามตอบพลางหยิบกระป๋องน้ำอัดลมออกมาจากถุงพลาสติก แล้วสอดนิ้วเข้าไปในห่วงอะลูมิเนียม ดึงเปิดแล้วยกขึ้นดื่มด้วยท่าทางไม่อนาทรร้อนใจ ในขณะที่นฎารู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้า 

“แต่...คุณบอกว่าให้เวลาฉันสามวัน...ไม่ใช่เหรอ...”

เธอถามคำถามเดิมซ้ำ ดวงตาเต้นระริกขณะมองเสี้ยวหน้าคมคายที่โผล่พ้นฮูดออกมาให้เห็นรำไร รูปโฉมนี้...สมบูรณ์แบบเกินกว่าจะเป็นรูปโฉมของมนุษย์จริงๆ นี่กระมังที่เขาเรียกกันว่า...ปีศาจจำแลง

“ก็ใช่ แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว” เขาตอบง่าย แต่ฟังยากสำหรับหญิงสาวอย่างที่สุด 

“พูดง่ายๆ แบบนี้เนี่ยนะ”

“ก็ง่ายๆ แบบนี้แหละ โจรไม่มีสัจจะฉันใด ปีศาจก็ไม่มีสัจจะฉันนั้น” เขาเลิกคิ้วนิดๆ อย่างยียวน “ฉันเป็นคนกำหนด เธอมีหน้าที่แค่ทำตาม จะถามให้มากเรื่องทำไม”

“แต่...” นฎาอึกอัก “ฉันไม่เข้าใจ คุณ...เปลี่ยนใจนี่หมายความว่าคุณจะฆ่า...”

“ตอนนี้ยังไม่มีอารมณ์จะฆ่าหรอก แต่มีอารมณ์อยากทำอย่างอื่น”

“หา?”

“ไปกันได้แล้ว นาดา” เขาออกเสียงชื่อของเธอในแบบที่ต่างออกไป แต่ฟังไพเราะอย่างน่าประหลาด “พาฉันไปที่ห้องเธอ”

“หะ...ห้องฉัน?” นฎางงเป็นไก่ตาแตก “เดี๋ยวก่อน...ไม่ได้ คุณไปไม่ได้...”

ความคิดอกุศลพาภาพอันน่าละอายระหว่างเธอกับเขาย้อนกลับมาในสมองอีกครั้ง ภาพที่ทำให้เธอสั่นจนก้าวขาไม่ออก

“ต้องได้” เควานยิ้มเย็น “รู้เอาไว้ด้วยว่าฉันต้องได้ทุกอย่างที่ฉันต้องการเสมอ นาดา”

นฎาก้าวถอยหลัง แต่ช้ากว่ามือใหญ่โตที่คว้าข้อมือเล็กผอมของเธอไว้ ฝ่ามือของเขาร้อนจัดและให้ความรู้สึกเหมือนผิวกำลังถูกนาบด้วยเหล็กร้อนๆ ติดไฟจนแดง แม้ในยามนี้มือข้างนี้จะดูเป็นปกติดี ทว่าภาพตอนที่มันเปลี่ยนสภาพเป็นกรงเล็บน่าสะพรึงก็ยังติดตาอยู่ไม่หาย

“เธออยู่ตึกนั้นใช่ไหม”

เควานพูดพลางก้าวขานำไปก่อน นฎาพยายามขืนแรงไว้ แต่ไม่เป็นผล ถูกเขาลากถูลู่ถูกังให้เดินตามเข้าไปในซอยมืดสลัวจนได้

“คุณรู้ได้ยังไง” หญิงสาวมองศีรษะทางด้านหลังที่มีฮูดคลุมอยู่ด้วยแววตาสั่นระริก “คุณ...ตามดูฉันมานานเท่าไหร่แล้ว”

“อาทิตย์หนึ่ง ก่อนหน้านี้ก็ตามหาอยู่เป็นเดือน โคตรเหนื่อย” เขาตอบง่ายๆ เหมือนกำลังพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ “แล้วฉันก็รู้ด้วยว่าเธอซุกหัวอยู่ที่นี่กับผู้หญิงอีกคน”

“ดึกป่านนี้ เพื่อนฉัน...น่าจะกลับมาแล้ว คงไม่สะดวกถ้าคุณจะ...เข้าไป...” นฎาพูดอึกอัก เธอเป็นห่วงกิ่งกาญจน์ กลัวว่าเพื่อนจะพลอยตกอยู่ในอันตรายไปด้วย

“เพื่อน?” เควานหัวเราะเสียงแผ่ว เขาหันกลับมามองใบหน้าซีดขาวของเธอด้วยแววตาเยาะหยัน “เธออาจคิดว่าเขาเป็นเพื่อน แต่จะแน่ใจได้ยังไงว่าเขาเห็นเธอเป็นเพื่อนหรือเปล่า”

“คุณพูดเรื่องอะไรของคุณ”

“ก็แค่สะกิดให้คิด”

เขาจูงเธอเดินผ่านเข้าประตูทางเข้าหอพักไปหน้าตาเฉย แล้วก้าวๆ ฉับๆ ขึ้นบันไดอาคารตรงไปยังชั้นสาม ดูเหมือน...เขาจะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเธอเป็นอย่างดีจนน่าขนลุก ซึ่งหมายความว่าการจะหนีพ้นเงื้อมมือเขานั้นเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย!

คิดถึงตรงนี้ เหงื่อก็ซึมออกมาจนเปียกชุ่มมือของหญิงสาวไปหมด เธอภาวนาให้กิ่งกาญจน์เดตติดลมยังไม่กลับ ต่อให้ครั้งนี้แม่เพื่อนคนสวยจะค้างคืนข้างนอก เธอก็จะไม่บ่นอีกเลย เพราะอย่างน้อยก็คงปลอดภัยกว่าที่นี่!

“อา...ดูเหมือนเธอจะมีแขกนะ นาดา”

เสียงเรียกของชายหนุ่มดึงนฎาออกจากห้วงความคิด เธอมองฝ่าความมืดสลัวของทางเดินภายในอาคารแคบๆ ไปยังประตูห้องด้านในสุดซึ่งติดกับทางเข้า-ออกบันไดหนีไฟ พร้อมกับสาวเท้าไปบนพื้นกระเบื้องกระดำกระด่างช้าๆ 

“เอ๊ะ...”

หัวใจของหญิงสาวหล่นวูบไปกองที่ตาตุ่มเมื่อเห็นว่าประตูด้านหน้าเปิดแง้มอยู่ ก่อนออกจากห้องเธอจำได้ว่าตรวจดูแล้วตรวจดูอีกว่าล็อกเรียบร้อยหรือยัง ทั้งขยับประตูและคล้องแม่กุญแจอย่างแน่นหนา ส่วนกิ่งกาญจน์ รายนั้นรอบคอบละเอียดลออกว่าเธอเสียอีก คอยเดินดูกลอนประตูบ่อยๆ จนแทบจะเรียกว่าเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ห้องจะถูกเปิดทิ้งไว้เช่นนี้ เว้นเสียแต่ว่า...จะมีขโมย!

“ยืนอยู่ข้างหลังฉัน”

เควานสั่งเสียงเรียบแล้วปล่อยมือจากนฎา ในตอนนั้นเองที่เธอเริ่มลังเลว่าควรจะหันหลังแล้ววิ่งหนีสุดฝีเท้าดีหรือไม่ แต่อีกใจก็รู้อยู่เต็มอกว่าหากทำเช่นนั้น ปีศาจร้ายตัวโตที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าอาจจิกกรงเล็บทะลุคอหอยของเธอได้ทุกเมื่อ

การต่อสู้ระหว่างสัญชาตญาณการเอาตัวรอดกับความหวาดกลัวในสมองของหญิงสาวจบลงด้วยการที่ความหวาดกลัวเป็นผู้ชนะ เธอไม่กล้าแม้แต่จะก้าวขาหนีเสียด้วยซ้ำไป สิ่งเดียวที่ทำได้คือเดินตามชายหนุ่มไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะพบว่ามีกลิ่นคาวแปลกๆ โชยออกมาจากด้านในห้องที่ปิดไฟมืดสนิท

“กลิ่นคาวเลือด”

เควานพูดขึ้นลอยๆ เหมือนอ่านใจของนฎาออก แต่ก่อนที่เธอจะได้เอ่ยตอบอะไรก็เห็นเงาคนวูบไหวอยู่ที่ประตูทางออกไปสู่ระเบียงห้อง แสงจากเสาไฟริมถนนด้านนอกสาดเข้ามาให้พอเห็นรางๆ ว่าในมือของเจ้าของเงาร่างนั้นมีวัตถุสีดำมะเมื่อมอยู่และกำลังยกขึ้นเล็งมาทางเธอ

นั่นมัน...ปืน!

แต่ก่อนที่นิ้วในโกร่งไกปืนจะทันขยับ เควานก็ก้าวเข้ามายืนตรงหน้าหญิงสาว เธอได้ยินเสียงคล้ายมีบางสิ่งบางอย่างฉีกขาดพร้อมๆ กับปีกขนาดมหึมาแทงทะลุเสื้อผ้าของเขาออกมา ปีกนั้นน่าจะมีขนาดข้างละสองเมตรได้ บนปีกมีขนนกสีดำสนิทเป็นมันเงาปกคลุมอยู่จนทั่วดูงดงามราวภาพฝัน...ทว่าชวนให้รู้สึกขนลุกขนพองเทียมกัน

นฎาเข้าใจคำพูดของเขาที่ว่า ‘บินมา’ ในตอนนั้นเอง เขาต้องบินมาสิ ก็เขามีปีกนี่!

ปัง! ปัง! ปัง!

เสียงปืนดังติดกันสามนัด ทว่าไม่อาจทะลุปีกที่เขากางกั้นเอาไว้ได้ มิหนำซ้ำเมื่อเขาเริ่มกระพือปีกแรงๆ กระแสลมก็พัดหมุนวนจนข้าวของในห้องปลิวกระจัดกระจายไปปะทะร่างของมือปืนจนต้องกระเสือกกระสนหนีออกไปทางหน้าต่าง

“บ้าจริง เสื้อตัวเก่งเสียด้วย”

นฎาได้ยินเควานสบถหยาบคายชนิดแทบทนฟังไม่ได้เหยียดยาว แต่เธอไม่มีเวลาใส่ใจนัก สิ่งแรกที่เธอทำคือวิ่งไปกดสวิตช์ไฟบนฝาผนังห้องทางด้านหลังเพียงเพื่อจะพบว่าห้องพักตกอยู่ในสภาพเละเทะจนแทบจำเค้าเดิมไม่ได้ บนเตียงมีคราบเลือดสีแดงฉานติดอยู่เป็นดวงเช่นเดียวกันกับบนพื้นกระเบื้องสีขาว ไม่ห่างออกไปนักมีมีดสปาตาเปื้อนคราบเลือดตกอยู่

“กิ่ง...” ชื่อแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองของหญิงสาวคือชื่อของเพื่อนรัก เธอมองไปรอบๆ ก็เห็นรอยเท้าสีแดงที่น่าจะเกิดจากการเหยียบเลือดที่กองอยู่บนพื้น รอยเท้านั้นตรงไปทางประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่ “กิ่ง!”

วินาทีนั้น นฎาไม่สนใจปีศาจร้ายที่ยืนกางปีกอย่างพิสดารอยู่กลางห้องอีกแล้ว เธอรีบวิ่งตรงไปยังห้องน้ำแล้วเคาะประตูที่ล็อกอยู่ดังปึงปังด้วยท่าทางร้อนรน

“กิ่ง! กิ่งอยู่ในนั้นใช่ไหม เป็นอะไรหรือเปล่า!”

เสียงปืนที่ดังในตอนแรกผสมกับเสียงร้องของหญิงสาวเรียกให้เพื่อนบ้านที่พักอาศัยอยู่ห้องข้างๆ เปิดประตูออกมาดูเหตุการณ์ กลุ่มคนที่ใจกล้าหน่อยก็พากันเดินตรงมาที่ห้องของเธอ

“น้อง เกิดอะไรขึ้น ให้พี่ช่วยอะไรไหม”

ชายหนุ่มตัวผอมที่สวมเสื้อยืดกับกางเกงบอลเป็นคนแรกที่เยี่ยมหน้าเข้ามาในห้อง เขาเบิกตากว้างเมื่อเห็นสภาพเหมือนเพิ่งเกิดสงครามหมาดๆ ในห้อง ทั้งคราบเลือด มีด และ...ผู้ชายตัวโตเป็นตึกที่ยืนอยู่กลางห้อง แถมยังสวมเสื้อฮูดที่มีรอยขาดขนาดใหญ่สองรอยที่หลังด้วย!

“โทร. เรียกตำรวจทีค่ะพี่! มีโจรขึ้นห้องพัก มัน...มันทำร้ายเพื่อนหนู...”

เมื่อได้ยินคำว่าโจร สายตาของบรรดาไทยมุงก็พุ่งเป้าไปยังคนที่ยืนนิ่งเหมือนรูปสลักอยู่กลางห้องทันที

“ไอ้นี่ใช่ไหม!”

“โจรที่ไหนจะยืนรอให้จับเล่า ผมไม่ใช่โจร แต่เป็นแฟนเขา”

เควานทำหน้าเมื่อย เขารูดฮูดออกจากศีรษะ เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาทำเอาคนมองกันตาค้าง ไม่คิดว่าสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเหมือนเด็กน้อยอย่างนฎาจะมีคนรักเป็นฝรั่งรูปหล่อขนาดนี้

“กิ่ง! แกได้ยินฉันไหม!” นฎาไม่ทันได้ฟังสิ่งที่เควานพูด มือเล็กเขย่าลูกบิดพร้อมๆ กับตบบานประตูจนมือแดงแจ๋ 

เควานมองภาพตรงหน้าแล้วระบายลมหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่าย

“น่าเบื่อจริ๊ง แค่ตามหาแหวนวงเดียว ทำไมถึงได้วุ่นวายขนาดนี้วะ” เขาพึมพำอย่างหงุดหงิดเต็มแก่ “ยายโง่ หลบไป”

“หา?”

นฎาหันกลับมามองคนพูด แต่ยังไม่ทันจะหลบอย่างที่เขาบอก เท้าหนาในรองเท้าหนังอย่างดีก็พุ่งเฉียดตัวเธอไปนิดเดียว กระแทกเข้ากับประตูดังโครมทำเอาเธอร้องกรี๊ดเสียงแหลม ทั้งลูกบิด ทั้งสลักบานพับหลุดออกมาจนห้อยร่องแร่งในจังหวะเดียวกันกับที่บานประตูหักครึ่งไปต่อหน้าต่อตาทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์

หญิงสาวอ้าปากค้าง กลัวเควานก็กลัว แต่เป็นห่วงเพื่อนมากกว่า เธอจึงรีบเผ่นแผล็วผ่านซากประตูเข้าไปในห้องน้ำซึ่งมีสภาพไม่ต่างจากห้องด้านนอกเท่าใดนัก ข้าวของทุกอย่างถูกกวาดจนล้มระเนระนาดลงมากองบนพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดสีแดงคล้ำจนเกือบดำ ที่มุมห้องมีร่างในชุดนอนกระโปรงผ้าซาตินนั่งคู้ตัวอยู่ ตามแขนขามีรอยกรีดลึกยาวเป็นทางดูน่าขนลุก 

“กิ่ง!” นฎาปรี่เข้าไปประคองเพื่อนรักเอาไว้ แต่เจ้าตัวหมดสติไปแล้ว ชุดนอนสีน้ำเงินถูกย้อมด้วยเลือดจนเป็นสีเข้มจัด “ทำใจดีๆ เอาไว้นะกิ่ง ฉันอยู่นี่แล้ว อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ”

หญิงสาวปัดเส้นผมยาวยุ่งเหยิงที่ปรกหน้าปรกตาเพื่อนออก ก็เห็นว่าบนใบหน้ามีรอยฟกช้ำดำเขียวเต็มไปหมด กระทั่งริมฝีปากยังแตกจนได้เลือด 

นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมกิ่งกาญจน์ถึงได้ถูกซ้อมจนยับเยินขนาดนี้...

“เพื่อนเธอจะตายก็เพราะเธอมัวแต่พิรี้พิไรนี่ละ” เควานใช้มือกระแทกบานประตูที่ห้อยค้างอยู่จนร่วงหล่นลงพื้นแล้วตรงเข้าไปอุ้มคนเจ็บขึ้นแนบอก “ตั้งสติแล้วโทร. เรียกรถพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย”

“หา...เอ่อ...” มือของนฎาเย็นเฉียบ เธอสั่นจนทำอะไรไม่ถูก 

“เร็วสิโว้ย!”

เสียงตวาดดังลั่นของชายหนุ่มดังสะท้อนก้องอยู่ในห้องน้ำ หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว รีบล้วงมือหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดหมายเลขฉุกเฉิน ดวงตากลมโตเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ในสมองมีแต่ความสับสนวุ่นวาย แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงใหญ่ที่ยืนบังแสงจนทำให้ห้องทั้งห้องมืดทะมึน ชีพจรที่เต้นแรงจนเหมือนจะระเบิดก็เริ่มเต้นช้าลงจนพอตั้งสติได้

นี่เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเขาเป็นปีศาจจริงๆ อย่างที่คิด หรือว่าเป็นเทวดาตกสวรรค์กันแน่หนอ...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น