2
ตะโกนออกไปเลย
เมืองโอ๊กแลนด์ เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดของเกาะเหนือ ประเทศนิวซีแลนด์
หน้าร้านอาหารไทยร้านหนึ่ง ผู้หญิงสี่คนเดินออกมาจากร้านอาหาร พวกเธอช่วยกันปิดล็อกประตูร้าน เช็กความเรียบร้อยก่อนจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม สองคนเตรียมไปทางซ้าย ส่วนอีกสองคนจะแยกไปทางขวา
“แล้วเจอกัน กลับบ้านดีๆ นะ” ทั้งสี่คนบอกลากันก่อนต่างคนต่างจะแยกกันไป
พิมพ์นารายกมือขึ้นกอดอกเมื่อลมเย็นๆ พัดวูบมา “คืนนี้เริ่มหนาวแล้ว” หญิงสาวพึมพาเบาๆ
สิริณีมองคนบ่นแล้วได้แต่หัวเราะเบาๆ “มาอยู่ที่นี่ตั้งเกือบเดือนแล้วยังไม่ชินอีกเหรอ”
“นาเป็นคนขี้หนาว ยังไงก็ไม่ชินหรอก เดี๋ยวคืนนี้สงสัยต้องเพิ่มผ้าห่มอีกผืน”
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาปลายเดือนมกราคม แม้จะยังเรียกช่วงนี้ว่าฤดูร้อน แต่อากาศที่นี่ก็ใช่ว่าจะร้อนเหมือนเมืองไทย ช่วงกลางวันอุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณยี่สิบถึงยี่สิบห้าองศา ส่วนตอนกลางคืนจะลดลงเหลือประมาณสิบกว่า องศาเท่านั้น มันเป็นตัวเลขที่ดูต่ำพอสมควรหากเทียบกับเมืองไทย แต่เพราะแดดที่นี่แรงกว่า ทำให้อุณหภูมิยี่สิบกว่า องศาไม่ได้ทำให้รู้สึกหนาวเย็นจนเข้ากระดูก
แต่เพราะสถานที่นี้ตั้งอยู่ใกล้ทะเล เวลาลมพัดมาแต่ละทีก็ทำเอาขนลุกได้เหมือนกัน แต่ความเย็นก็ยังดีกว่าลมแรง บางวันที่ลมแรงมากๆ อาจจะพัดแรงได้ถึงห้าสิบถึงแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงได้เลยทีเดียว
“อากาศที่เกาะใต้หนาวกว่านี้อีกนะ จะสู้ไหวเหรอ”
“พี่ซีไม่ต้องหรอกค่ะ นาเตรียมเสื้อกันหนาวเอาไว้หลายตัว แต่ถ้าไม่พอก็อาจจะต้องขอยืมพี่ซีนะ”
“ได้ๆ ถ้าพรุ่งนี้ตอนเช้าก็แวะมาเข้ามาเลือกที่บ้านพี่ก่อนจะเข้าไปร้านแล้วกัน” สิริณีบอก ตอนนี้ทั้งสองเดินมาถึงสี่แยกเล็กๆ “กลับบ้านดีๆ นะนา”
“พี่ซีด้วย เจอกันพรุ่งนี้นะคะ”
สิริณียิ้มให้คนเด็กกว่า ก่อนจะเดินเลี้ยวขวาแยกไป
พิมพ์นาราสูดหายใจเข้าลึก กระชับเสื้อคลุมตัวนอกแล้วก้าวเดินผ่านแยกไปข้างหน้า พื้นที่ซึ่งเป็นเนินทำให้ต้องออกแรงไม่น้อย หลังจากทำงานวันแรกและต้องเดินกลับที่พัก พิมพ์นาราก็แทบจะต้องลากขาตัวเองไปร้องไห้ไปเลยทีเดียว แต่พอเดินนานๆ เข้าก็รู้สึกชินจนแทบไม่รู้สึกอะไรเลย จากสี่แยกที่แยกทางกับสิริณี เดินต่อไปอีกไม่ถึงห้านาที เลี้ยวอีกสองครั้ง พิมพ์นาราก็มาถึงบ้านชั้นเดียวสีครีมไข่ไก่แล้ว
บ้านหลังนี้เป็นบ้านชั้นเดียวก็จริง แต่มีพื้นที่ด้านในกว้างขวาง ภายในบ้านมีสี่ห้องนอน ห้องครัว ห้องนั่งเล่น แล้วยังมีสนามหญ้าด้านหลังอีก ส่วนที่ใช้อาบน้ำกับสุขาทำแยกออกจากกัน นอกจากแบ่งพื้นที่เปียกแห้งแล้วยังเหมาะกับบ้านที่มีคนอยู่ร่วมกันเยอะๆ แบบนี้ด้วย
พิมพ์นาราอยู่ที่นี่มาเดือนกว่าแล้ว บ้านหลังนี้เป็นของน้องสามีอรดี ญาติของเกรียงไกร เจ้าของบ้านตัวจริงต้องไปทำงานที่ออสเตรเลียสองปี และถึงแม้ระยะทางจากนิวซีแลนด์กับออสเตรเลียจะไม่ได้ไกลกันมากนัก นั่งเครื่องบินใช้
เวลาเพียงแค่สี่ชั่วโมง แต่พวกเขาก็ตัดสินใจย้ายไปอยู่ด้วยกันที่นั่น เจ้าของบ้านไม่อยากขายบ้านหลังนี้จึงปล่อยให้พวกนักศึกษาไทยมาเช่าอยู่ เด็กที่ทำงานอยู่ที่ร้านอาหารไทยซึ่งเธอมาทำงานแทนก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน
พูดง่ายๆ เลยก็คือพิมพ์นาราทั้งมาทำงานแทนและอาศัยห้องว่างนี้แทนเป็นเวลาหนึ่งเดือน แลกกับการอยู่ฟรีไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย อรดีจึงเสนอให้เธอช่วยทำความสะอาดบ้านหลังนี้ให้ด้วย ส่วนค่าจ้างเสิร์ฟที่ร้านอาหารนั้นก็แยกไว้อีกส่วนหนึ่ง
ตอนแรกที่รู้ว่าจะได้มาอาศัยอยู่ฟรี พิมพ์นาราเกรงใจเกือบจะหลุดปากบอกไม่เอาค่าจ้างทำงานที่ร้านอาหาร ซึ่งโชคดีอย่างมากที่เธอยังไม่ได้พูดแบบนั้นออกไป เพราะการเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารไม่ใช่เรื่องหมูๆ เลยสักนิด
จานอาหารที่นี่ใหญ่กว่าและหนักกว่าที่เมืองไทยเยอะ ไหนจะความต้องการของลูกค้าบางคนซึ่งจำกัดและชัดเจนมาก ชนิดที่ตกหล่นไม่ได้แม้แต่นิดเดียว เพราะนั่นหมายถึงร้านอาจจะโดนฟ้องร้องได้เลย ดังนั้นแม้จะได้ค่าแรงน้อยกว่าพนักงานคนอื่น แต่ส่วนที่ได้มาทดแทนก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วสำหรับเธอ
อีกสามวันนักเรียนไทยจะกลับมาแล้ว พิมพ์นาราต้องย้ายออกจากที่พักเมื่อเด็กคนนี้กลับมาถึง ที่ร้านอาหารก็จะไม่ขาดคนอีก หลังจากนี้จึงถือว่าเป็นเวลาท่องเที่ยวอิสระสำหรับเธอ
พิมพ์นาราใช้เวลาว่างตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเก็บข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เพื่อนๆ ที่ร้านอาหารก็ช่วยเสนอแนะ ตอนนี้เธอมีแผนที่เส้นทางท่องเที่ยวจดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงเวลาเธอก็จะหิ้วกระเป๋าไปรับรถที่จองเอาไว้แล้วออกไปสำรวจประเทศที่เต็มไปด้วยธรรมชาติน่าค้นหาแห่งนี้
ก่อนหน้านี้พิมพ์นาราแอบกังวลอยู่เหมือนกันว่าเธอจะเที่ยวคนเดียวไหวหรือเปล่า แต่เมื่อลองมาสัมผัสด้วยตัวเองแล้ว หญิงสาวก็พบว่าการทำอะไรคนเดียวนั้นมัน ‘เจ๋งเป็นบ้า’ จะกินอะไร เมื่อไรก็ได้ อยากนอนตอนไหนก็นอน ไม่ต้องมีคนมากำหนดตารางเวลาให้ ไม่ต้องกังวลว่ามีใครรออยู่หรือเปล่า
มันเป็นอิสระที่พิมพ์นาราเพิ่งจะเคยสัมผัส เธอพบว่าตัวเองเสพติดความอิสระนี้อย่างรวดเร็ว
พิมพ์นาราไขกุญแจเปิดเข้ามาในบ้าน เดินเข้าไปดูความสะอาดของห้องครัวเป็นอย่างแรกเหมือนที่ทำทุกวัน โชคดีที่นักเรียนไทยอีกสามคนที่มาเช่าอยู่มีระเบียบและรักษาความสะอาดเป็นอย่างดี งานในฐานะแม่บ้านของพิมพ์นาราจึงไม่เหนื่อยมากนัก
พิมพ์นาราเดินไปที่ตู้เย็น ยัดกล่องอาหารที่เป็นของเหลือจากที่ร้านใส่เข้าไปในชั้นที่มีชื่อเธอติดเอาไว้ จากนั้นจึงเดินสำรวจคร่าวๆ อีกหนึ่งรอบ ตรวจดูล็อกประตูหน้าต่างแล้วกลับเข้าห้องนอนของตัวเอง
เวลาที่นิวซีแลนด์เร็วกว่าที่ไทยราวหกชั่วโมง ตอนนี้ที่นี่เลยห้าทุ่มมาแล้วก็จริง แต่ที่ไทยคงจะเกือบหกโมงเย็นเท่านั้น
หญิงสาวล้วงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าสะพาย กดเชื่อมต่อสัญญาณไวไฟ แล้วเลือกใช้โปรแกรมโทรศัพท์ฟรีผ่านแอปพลิเคชันสื่อสาร คนแรกที่พิมพ์นาราโทร. หาก็คือผู้เป็นแม่ หลังจากที่พาณีงอนลูกสาวที่จู่ๆ ก็ตัดสินใจหนีมาไกลกว่าครึ่งโลก ไม่ยอมคุยด้วยอยู่สองสัปดาห์เต็ม แต่หลังจากพาณีทำใจได้ทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม พิมพ์นาราติดต่อผู้เป็นแม่ทุกๆ สองสามวันครั้ง
การมาต่างประเทศครั้งนี้ไม่ใช่พิมพ์นาราไม่มีห่วงอะไรเลย เพราะมีกันแค่สองแม่ลูก หญิงสาวจึงค่อนข้างกังวลไม่น้อย ก่อนหน้านี้แม้จะแต่งงานแยกออกไปอยู่ข้างนอกแต่ก็ยังอยู่ในประเทศเดียวกัน บ้านห่างกันแค่ไม่ถึงชั่วโมง แต่ตอนนี้เธออยู่ห่างมาครึ่งโลก แค่เวลาที่ต้องนั่งอยู่บนเครื่องก็สิบสองชั่วโมงแล้ว ดังนั้นเรื่องดูแลผู้เป็นแม่ที่อยู่เมืองไทยจึงต้องฝากเอาไว้กับเพื่อนสนิทอย่างชไมพร
“วันนี้เป็นยังไงบ้างแม่” พิมพ์นาราถามเมื่อได้ยินเสียงมารดาดังมาตามสาย ขณะที่เธอวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะข้างประตูและเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะอาบน้ำ
คนที่นี่ไม่อาบน้ำกันบ่อยนัก ส่วนมากเลือกแค่เช้าหรือไม่ก็เย็นเท่านั้น เพราะการต้มน้ำร้อนสำหรับใช้ภายในบ้านต้องใช้แก๊ส ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก ตอนมาถึงแรกๆ พิมพ์นาราก็ไม่ชินเท่าไร แต่พอหลายวันเข้าก็เริ่มชิน การต้องทำงานมาทั้งวัน แม้จะแทบไม่มีเหงื่อ แต่ก็มีกลิ่นอาหารติดตัว พิมพ์นาราจึงเลือกอาบน้ำช่วงเย็นเหมือนคนอื่นๆ ในบ้าน เพราะอยากนอนหลับอย่างสบายตัว
“วันนี้ก็เรื่อยๆ นะ แกนั่นแหละเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว อีกสองสามวันก็จะเดินทางแล้วไม่ใช่หรือไง เสื้อผ้าข้าวของเตรียมพร้อมหรือยัง”
พิมพ์นาราแอบกลอกตาเล็กน้อย เพราะคำถามนี้ของแม่ทำให้เธอดูเหมือนเด็กสิบห้าที่เตรียมเที่ยวครั้งแรกอย่างนั้นละ
“เรื่องนาแม่ไม่ต้องห่วงหรอก ทางแม่เป็นยังไงบ้าง”
“ก็เรื่อยๆ เหมือนเดิมนั่นแหละ...” สองแม่ลูกคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ ผลัดกันเล่าผลัดกันฟังจนกระทั่งเวลาล่วงเลยมากว่าครึ่งชั่วโมง “...ที่โน่นคงดึกแล้ว แกไปอาบน้ำนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปทำงานอีก”
“ดูแลตัวเองด้วยนะแม่ ถ้ารู้สึกไม่สบายไม่ต้องรอให้หนักนะ โทร. หาเปิ้ลทันทีเลยนะแม่”
“รู้แล้วๆ บ่นเหมือนฉันเป็นเด็กไปได้” ผู้เป็นแม่ต่อว่ากลับมา แต่ตัวเองก็ไม่ได้ต่างกัน “แกเองก็ดูแลตัวเองด้วยละ”
“รู้แล้วน่า แม่ไปกินข้าวเถอะ นาก็จะไปนอนแล้วเหมือนกัน”
“เที่ยวพอใจแล้วก็รีบกลับมานะ” ประโยคของแม่ทำให้พิมพ์นาราถึงกับชะงักไปเล็กน้อย พลันหัวใจก็เบาโหวง เหมือนน้ำตาจะคลออยู่ในดวงตาทั้งสองข้าง
“เที่ยวเสร็จก็ต้องกลับสิแม่ หรือจะให้นาหาสามีที่นี่เลยดี”
“อย่ามาพูดเล่นเลย ถ้าแกยอมหาสามีจริงๆ ฉันจะดีใจมาก”
“เอาจริงนะแม่ เดี๋ยวนาพาหนุ่มผมทองตาสีน้ำเงินไปฝากสักคน”
“เหอะ! ไปนอนไป!”
พิมพ์นาราหัวเราะเสียงใสก่อนจะตอบกลับ “ดูแลตัวเองด้วยนะแม่ รอนาพาเขยนอกไปฝากนะ”
คนเป็นแม่ไม่อยากพูดด้วยจึงกดตัดสายไป พิมพ์นารายังหัวเราะคิกคักอยู่อีกครู่ ก่อนเสียงนั้นจะค่อยๆ หายไป
เรื่องที่เธอพูดกับแม่เมื่อกี้เป็นเรื่องล้อเล่นล้วนๆ เพราะถ้าให้สารภาพตามตรงพิมพ์นาราไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเธอจะยังสามารถเปิดใจยอมรับใครเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกได้อีก เธอมีประสบการณ์ความรักไม่มาก แค่ครั้งเดียว แต่ก็เป็นครั้งเดียวที่เจ็บเจียนตาย ครั้งเดียวที่ทลายศรัทธาของเธอจนหมดสิ้น
รักอีกครั้งเหรอ...
มุมปากของพิมพ์นารากระตุกเล็กน้อย ร่างบางลุกขึ้นจากที่นอน คว้าผ้าขนหนูกับชุดนอนแล้วเดินออกจากห้องไปยังห้องน้ำ
ครั้งเดียวก็เกินพอแล้วหรือเปล่า
หน้าร้านอาหารไทยร้านหนึ่งในเมืองโอ๊กแลนด์ ตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าอยู่มาก ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้าน แต่ที่ด้านหน้ากลับมีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งยืนออกันอยู่
“เดินทางปลอดภัย เที่ยวให้สนุกนะ” อรดีเป็นคนเอ่ยก่อน “เกิดมาทั้งทีต้องใช้ชีวิตให้คุ้ม”
“ใช่ๆ พี่ออดี้พูดถูก แต่น่าเสียดาย ถ้านามาช่วงหยุดคริสต์มาสคงจะดีกว่านี้ เราจะได้ไปเที่ยวด้วยกัน” สิริณีเอ่ยอย่างอดเสียดายไม่ได้ ช่วงคริสต์มาสถึงสิ้นปีที่ร้านปิด หยุดยาวกว่าสองสัปดาห์
“เอาไว้รอบหน้านาจะมาฉลองคริสต์มาสกับพวกพี่ก็แล้วกัน”
เพื่อนร่วมงานอีกสามคนสนับสนุนทันที
“ไปเที่ยวรอบนี้ก็หาหนุ่มนิวซีแลนด์หนุ่มออสซี่สักคนสิ จะได้อยู่ด้วยกันเสียที่นี่เลย” สิริณีพูดพร้อมสายตาเป็นประกาย ส่วนอีกสามที่เหลือพากันหัวเราะคิกคัก มีเพียงอรดีเท่านั้นที่ไม่ได้หัวเราะไปด้วย
คนอื่นๆ ในร้านไม่รู้ว่าพิมพ์นาราผ่านอะไรมา แต่ในฐานะที่เป็นเจ้าของร้านและเป็นญาติของเกรียงไกร เธอจึงพอจะได้ฟังเรื่องราวของหญิงสาวตรงหน้ามาบ้าง
“ที่พี่ซีพูดมาก็ถูกนะ หนุ่มๆ ที่นี่นิสัยน่ารักกว่าหนุ่มไทยเยอะ ยิ่งถ้าเป็นพี่นาด้วยนะ แค่ดีดนิ้วผู้ชายหลายคนก็พร้อมที่จะคุกเข่าแล้ว”
“แพทก็พูดเกินไป”
ภีรภัทรส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “ไม่เกินไปหรอกค่ะ ผิวสีน้ำผึ้ง ตาคมหน้าคมแบบนี้ พี่นาน่ะสเปกของหนุ่มๆ แถวนี้เลยนะคะ อย่างน้อยก็มีสองคนแหละที่แพทเห็น!”
“ใช่ๆ พวกเราก็เห็น” อีกสามคนรีบสนับสนุนกันทันที
เรื่องที่ภีรภัทรพูดไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนในร้านมักเอามาพูดแซวเธออยู่เสมอ หลังจากพิมพ์นารามาทำงานได้แค่สองวัน ที่ร้านก็มีลูกค้าขาประจำเพิ่มมาหนึ่งคน เป็นหนุ่มสัญชาตินิวซีแลนด์แท้
เขาเห็นพิมพ์นาราครั้งแรกก็คิดว่าเธอเป็นนักศึกษาชาวไทยที่มาเรียนต่อและทำงานพิเศษในร้าน เรื่องนี้ทำให้คนในร้านพากันหัวเราะจนท้องแข็งเลยทีเดียว แม้แต่พิมพ์นาราเองก็ยังตกใจไม่น้อยเพราะเธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะดูเด็กได้ขนาดนั้น
ส่วนอีกคนเพิ่งจะมาเป็นลูกค้าประจำได้ไม่ถึงสัปดาห์ หนุ่มสัญชาติอเมริกันที่มาติดต่อธุรกิจที่เมืองโอ๊กแลนด์และคนนี้จีบหนักจริงจังกว่าหนุ่มคนแรกเสียอีก เขาถามเธอตรงๆ เลยว่าตอนนี้กำลังคบหาใครอยู่หรือเปล่า เพราะเขาคิดจะจีบเธอ แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็ทำให้สาวๆ ในร้านพากันกรี๊ดกร๊าดมีเรื่องให้เมาท์กันหลายวันเลยทีเดียว
“สำหรับพี่นะ พี่ให้เบอร์สอง ฐานะดูมั่นคงกว่ามาก ที่สำคัญอายุมากกว่านาด้วย เด็กๆ น่ะพูดกันไม่รู้เรื่องหรอก”
“โธ่พี่ซี สมัยนี้ใครเขาจะสนเรื่องอายุกันล่ะคะ อีกอย่างนะ กินเด็กสิดี ยาอายุวัฒนะเลยนะคะ”
พิมพ์นาราพูดอะไรไม่ออก มองสองคนที่กำลังเถียงกันแล้วก็ได้แต่ส่งยิ้มแหยเท่านั้น เป็นอรดีที่เข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ให้
“พูดเรื่องนี้ทีไรได้เถียงกันทุกทีสิน่า” อรดีแสร้งเอ่ยเสียงดุอย่างเอือมๆ “แล้วมัวแต่เถียงกันแบบนี้ นาเขาจะได้ไปเมื่อไรล่ะ จากนี่ไปไวโตโมต้องขับรถเกือบสามชั่วโมงเชียวนะ นาไม่ชินทางด้วย อาจจะช้ากว่านั้นก็ได้” คำเตือนของอรดีทำให้สาวๆ พากันหน้าเจื่อนเล็กน้อย แต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้น สีหน้าก็กลับมาสดใสกันเหมือนกัน
บอกลากันอีกครู่ใหญ่กว่าพิมพ์นาราจะขอแยกตัวเดินไปขึ้นรถเช่าที่จอดอยู่หน้าร้านได้ โบกมือให้คนมาส่งอีกรอบ แล้วจึงเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ โบกมืออีกครั้งก่อนจะสตาร์ตเครื่องแล้วพารถออกสู่ถนนเบื้องหน้า
หัวใจดวงน้อยเต้นระทึกอยู่ในอก แอบหวาดหวั่นอยู่หน่อยๆ แต่ส่วนใหญ่ความรู้สึกของพิมพ์นาราเอนเอียงไปทางตื่นเต้นเสียมากกว่า การขับรถเที่ยวในประเทศนิวซีแลนด์ไม่ใช่เรื่องยากมากนัก ถนนทุกสายอยู่ในสภาพดี คนขับเคารพกฎจราจรอย่างดี แต่สิ่งที่ต้องระวังก็มีอยู่ไม่น้อย เพราะที่นี่เข้มงวดเรื่องเขตกำหนดความเร็วมาก หากมีป้ายเตือนไม่ว่าข้างหน้าจะมีหรือไม่มีรถ ก็ต้องลดความเร็วให้ได้ตามป้ายกำหนด เมื่อต้องผ่านทางม้าลายที่ไม่มีป้ายไฟสัญญาณจราจรต้องชะลอความเร็วรถและมองฟุตพาททั้งสองข้าง ถ้ามีคนข้าม คนขับก็ต้องหยุดรถรอ ถือเป็นกฎพื้นฐานที่ต้องจดจำและระวังให้ดี
ถึงจะเป็นฤดูร้อนแต่อากาศก็ไม่ได้เลวร้ายเลยสักนิด สำหรับคนขี้หนาวอย่างพิมพ์นารา การขับรถเปิดกระจกรับลมจากด้านนอกที่มาพร้อมกลิ่นหอมของต้นไม้ผสานกับกลิ่นดินทำให้รู้สึกสดชื่นมากทีเดียว นิวซีแลนด์เป็นประเทศทางซีกโลกใต้ มีประชากรราวสี่ล้านคนและประชากรแกะราวสี่สิบล้านตัว ดังนั้นภาพของเหล่าแกะขาวขนฟูจึงมีให้เห็นอยู่เกือบตลอดทาง ภูมิศาสตร์ของประเทศตั้งอยู่ใต้เส้นศูนย์สูตรมาทางขั้วโลกใต้ ทำให้ฤดูกาลที่นี่จะสลับกับฝั่งยุโรป ช่วงเดือนที่ฝั่งยุโรปกำลังโดนพายุถล่ม แต่คนที่นี่กำลังต้อนรับท้องฟ้าที่สดใสของฤดูร้อน
สถานที่แรกที่พิมพ์นาราปักหมุดว่าต้องมาเที่ยวก็คือถ้ำไวโตโมโกลว์วอร์ม1 เป็นถ้ำหนอนเรืองแสง เธอเคยเห็นภาพถ่ายจากหนังสือท่องเที่ยว ภายในถ้ำเรืองรองด้วยแสงจากหนอนนับล้านๆ ตัว แต่สายตาคนเราไม่ได้เก็บภาพออกมาเหมือนกล้องคุณภาพดีและการใช้โปรแกรมแต่งภาพ สิ่งที่ตาเห็นกับภาพถ่ายต่างกันพอสมควรทีเดียว
ในภาพถ่ายเราจะเห็นสีหน้าตื่นเต้นของคนที่เข้ามาดูความงามของเจ้าหนอนเรืองแสงเหล่านี้ แต่ความเป็นจริงก็คือภายในถ้ำนี้เราจะไม่เห็นอะไรเลยนอกจากแสงที่เรืองรอง เจ้าหนอนเรืองแสงพวกนี้ก็ช่างอ่อนไหว แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปหรือเสียงที่ดังเกินไปอาจทำให้พวกมันตกใจตายได้ ดังนั้นระหว่างการล่องเรือเข้าชมเกือบสี่สิบห้านาทีนั้น ภายในถ้ำจึงทั้งเงียบและมืด พิมพ์นาราแทบจะมองไม่เห็นคนข้างๆ แต่คนข้างๆ จะเป็นอย่างไรก็ช่างเถอะ เพราะทุกคนกำลังตื่นเต้นกับแสงระยิบระยับที่อยู่รอบตัวมากกว่า
เหมือนกับการมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวในค่ำคืนที่มืดสนิท
หลังจากความตื่นเต้นน่าอัศจรรย์ของเจ้าหนอนเรืองแสงแห่งถ้ำไวโตโมผ่านพ้น พิมพ์นาราก็ขับรถมุ่งหน้าสู่โรโตรัว เมืองที่มีชื่อเสียงมากของเกาะเหนือ แนวธารลาวาที่ผ่านบริเวณนี้ทำให้เกิดบ่อน้ำพุร้อนมากมาย พิมพ์นาราเลือกที่นี่เป็นที่พักสำหรับคืนแรกของการออกเดินทางท่องเที่ยวของเธอ
เนื่องจากที่พักประเภทโรงแรมมีราคาค่อนข้างสูง พิมพ์นาราจึงเลือกที่พักประเภทโฮสเทล ตอนแรกที่ตัดสินใจหญิงสาวก็ยังหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอนอนในห้องที่มีคนแปลกหน้าอีกเป็นสิบอยู่ด้วย แต่ผ่านไปแค่ไม่ถึงสิบห้านาทีที่ก้าวเข้ามา พิมพ์นาราก็รู้สึกว่าเธอกังวลมากเกินไปแล้ว เธอเลือกห้องพักที่แบ่งแยกชายหญิงชัดเจนเพื่อความปลอดภัย และเธอได้ผูกมิตรกับเพื่อนๆ ต่างชาติหลายคน
และมันก็เป็นเรื่องธรรมดามาก หากสาวๆ มารวมตัวกัน ไม่ว่าจะถือสัญชาติอะไรก็ไม่พ้นเรื่องการตั้งวงเมาท์มอย ถึงตอนนี้พิมพ์นารารู้สึกว่าการเลือกเรียนเอกภาษาอังกฤษของเธอกับการทำงานในบริษัทที่มีคนต่างชาติกว่าสิบปีมีประโยชน์มาก
เพื่อนๆ ต่างชาติโดยเฉพาะพวกที่อยู่ยุโรปค่อนข้างให้ความสนใจแก่ประเทศไทยมากทีเดียว ซึ่งทำให้พิมพ์นาราเชื่อแล้วว่าชื่อเสียงทะเลใต้ของเมืองไทยดังไกลทั่วโลกจริงๆ
เวลาล่วงเลยมาจนดึกพอสมควร สาวๆ ต่างแยกย้ายเข้านอนเตียงใครเตียงมัน พิมพ์นาราเองก็ปีนขึ้นมานอนบนเตียงนอนบนชั้นสองของเธอเหมือนกัน
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของพิมพ์นาราอย่างที่เธอไม่รู้ตัว ดวงตากลมโตสีดำเป็นประกายเจิดจ้า การท่องเที่ยวคนเดียวครั้งแรกของเธอก็ดูจะไม่เลวเลยจริงๆ
พิมพ์นาราใช้เวลากว่าสิบวันในการท่องเที่ยวบนเกาะเหนือ แม้เวลาส่วนใหญ่หญิงสาวจะขับรถเพียงลำพัง แต่ เธอก็มีเพื่อนใหม่ที่พบกันในโฮสเทลติดรถไปเที่ยวด้วยกันบ้างในบางครั้ง มิตรภาพมากมายเกิดขึ้นระหว่างทาง ภาพถ่ายสวยๆ ถูกอัปโหลดลงหน้าเฟซบุ๊กของเธอเพื่อบันทึกเป็นความทรงจำในการท่องเที่ยวครั้งนี้
จากเกาะเหนือพิมพ์นาราใช้บริการเรือเฟอร์รีข้ามฟากไปยังเกาะใต้ของนิวซีแลนด์ สู่เป้าหมายที่เธอตั้งเอาไว้คือเมืองควีนส์ทาวน์ เมืองที่อยู่เกือบใต้สุดของประเทศ แน่นอนว่าระหว่างทางพิมพ์นาราได้แวะพักตามเมืองต่างๆ ไปตลอดเส้นทางด้วยเช่นกัน
เมืองไครสต์เชิร์ช เมืองใหญ่ที่สุดของเกาะใต้ แม้จะเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่เมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ยังมีอีกหลายสถานที่ที่ยังคงความสวยงามอยู่ ถัดมาคือทะเลสาบเทคาโป หนึ่งในทะเลสาบที่ขึ้นชื่อเรื่องความงดงาม ที่เกาะใต้นี้พิมพ์นาราได้เริ่มต้นการผจญภัยเล็กๆ ของเธอด้วยการปีนธารน้ำแข็งฟ็อกซ์2 มันเป็นช่วงเวลาสองชั่วโมงที่ทั้งเหนื่อยทั้งสนุก และหวาดเสียวมาก แต่ประสบการณ์ที่ได้ก็ถือว่าคุ้มค่ามาก
หลังจากใช้เวลาไปเกือบสิบห้าวัน ในที่สุดพิมพ์นาราก็มาถึงจุดหมายสุดท้ายที่เธอตั้งเอาไว้คือ เมืองควีนส์ทาวน์ ซึ่งหญิงสาววางแผนอยู่ที่นี่หนึ่งสัปดาห์เต็ม ก่อนจะจัดการคืนรถเช่าที่สนามบินและเดินทางกลับเมืองโอ๊กแลนด์ด้วยเครื่องบิน
สำหรับที่นี่ พิมพ์นาราไม่ได้วางแผนอะไรไว้มากนัก แม้ควีนส์ทาวน์จะเป็นเมืองที่มีทั้งธรรมชาติและกิจกรรมมากมายให้เลือกทำ ช่วงสองวันแรกพิมพ์นาราเลือกที่จะเดินชมเมืองอย่างสบายๆ ปล่อยอารมณ์และทอดสายตาไปกับท้องฟ้าและฟังเสียงคลื่นจากทะเลสาบวาคาติปู
การได้นั่งจิบกาแฟร้อนๆ กับอ่านหนังสือนิยายสักเล่ม มันเป็นอะไรที่ทำให้ฟินมากทีเดียวเชียวละ
หลังจากพักจนพอใจแล้ว พิมพ์นาราก็ตัดสินใจเลือกทำกิจกรรมผจญภัยอีกครั้ง
พิมพ์นาราบอกไม่ได้ว่าตอนที่ตัดสินใจทำแบบนี้เธอคิดอะไรอยู่ เหมือนกับว่าความทรงจำระหว่างนั้นมันหายไป ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเธอตกลงจ่ายเงินไปตอนไหน เซ็นเอกสารเกี่ยวกับความปลอดภัยไปได้อย่างไร ทุกอย่างในช่วงนั้นกลายเป็นช่องว่างในความทรงจำของเธอ
มารู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่ความเย็นปะทะกับผิวกาย พร้อมกับการสั่นนิดๆ ของเครื่องบิน
“คุณโอเคไหม” เสียงทุ้มลึกจากคนด้านหลังถามขึ้น
เสียงนี้ดังใกล้มาก เพราะเขายืนซ้อนอยู่ด้านหลังเธอพร้อมกับอุปกรณ์มากมายเกี่ยวกับความปลอดภัยสำหรับการกระโดดร่มเป็นคู่
ใช่แล้ว กระโดดร่มเป็นคู่! ความคิดนี้แทบจะกลายเป็นเสียงกรีดร้องอยู่ในหัวของพิมพ์นารา
อะไรทำให้เธอพาตัวเองขึ้นมาอยู่บนเครื่องบินที่กำลังบินอยู่เหนือก้อนเมฆ ผูกตัวเองติดอยู่กับผู้ชายแปลกหน้าที่กำลังจะพาเธอกระโดดลงไป!
“ให้ตายสิ!” หญิงสาวสบถพึมพำกับตัวเอง
“คุณว่าอะไรนะ”
พิมพ์นาราเม้มริมฝีปากแน่น เธอรู้ว่าไม่ควรมาปอดแหกเอาตอนนี้ แต่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น จะไม่ให้เธอตื่นเต้นบ้างเลยหรืออย่างไร
“คุณมาคนเดียวใช่ไหม” เสียงทุ้มลึกด้านหลังดังขึ้นอีก
หญิงสาวต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าสมองจะประมวลผลได้แล้วตอบกลับไป “ใช่”
“ผู้หญิงเที่ยวคนเดียวเหรอ อื้ม น่าสนใจดีนะ คุณมาจากที่ไหนเหรอ”
“ฉันขับรถมาจากโอ๊กแลนด์”
“โอ้ มาไกลเลยนี่ ระหว่างทางคงจะเที่ยวมาหลายที่เลยสินะ คุณไปที่ไหนมาบ้างเหรอ” เจ้าของเสียงทุ้มชวนคุยอีก ซึ่งส่วนใหญ่เขาเป็นคนถาม ทั้งสองคนคุยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งประตูเครื่องบินด้านข้างเปิดออกพร้อมกับสายลมที่ตีเข้ามาปะทะหน้า
พิมพ์นาราหันไปมองตาค้าง บนเครื่องบินลำเล็กนี้มีคนทั้งหมดห้าคู่ถูกผูกติดกันเอาไว้ เธอเป็นคู่ที่อยู่ด้านหน้าติดกับห้องนักบินมากที่สุด จากลำดับนี้เธอจะได้ออกจากเครื่องเป็นคู่สุดท้าย
ในหัวพิมพ์นารายังว่างเปล่าอยู่เลยเมื่อคู่แรกกระโดดลงไป แถมแต่ละคู่ที่กระโดดลงไปก็จะมีอีกคนตามไปด้วยเพื่อบันทึกภาพเคลื่อนไหว
“สูดหายใจเข้าลึกๆ” เสียงทุ้มลึกดังขึ้นข้างหูเธออีกครั้ง “ไม่มีอะไรน่ากลัว ผมจะนับหนึ่งถึงสามแล้วค่อยกระโดด”
หญิงสาวไม่ตอบ ไม่ใช่เพราะตอบไม่ได้ แต่ตอนนั้นคู่ที่สองกับคู่ที่สามที่ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนกันกระโดดตามกันลงไปแล้ว
“มาเถอะ” คนร่างสูงด้านหลังพูดแล้วเริ่มขยับเท้า น้ำหนักที่เบาแสนเบาของพิมพ์นาราทำอะไรเขาไม่ได้เลย ราวกับเธอเป็นตุ๊กตาหมีที่ผูกติดอยู่กับด้านหน้าของเขาเท่านั้น
“เดี๋ยวๆ” หญิงสาวเริ่มกรีดร้องเบาๆ หัวใจเบาหวิว ตอนนี้เธอเห็นภาพด้านนอกแล้ว ท้องฟ้าอยู่แค่เอื้อม แต่แผ่นดินนั้นอยู่ไกลมาก หลังคาบ้านหรืออาจเป็นโรงแรมหดเล็กเหลือแค่หัวไม้ขีดไฟ
“ฉันขึ้นมาทำบ้าอะไรบนนี้”
แรงขืนนิดๆ ของเธอทำให้คนด้านหลังรู้สึกได้ แต่เพราะกระแสลมแรงที่พัดเข้ามาทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงบ่นของเธอ
“หายใจเข้าลึกๆ”
“ฉันกลับลงไปพร้อมเครื่องบินได้ไหม”
“ไม่เอาน่า นี่เป็นประสบการณ์ชีวิตเลยนะ มองดูสิ ข้างล่างนั่นสวยมาก วิวที่คุณจะได้เห็นมันสุดยอดเลยนะ รับรองคุณต้องติดใจแน่”
ใบหน้าหวานยังขาวซีด ทั้งที่กลัวแต่ก็อดเหน็บคนร่างสูงไม่ได้ว่าเขาพูดแบบนี้กับคนมากี่คนแล้ว
“เอาอย่างนี้ ผมมีวิธีหนึ่งทำให้เรื่องนี้สนุกขึ้น”
“...”
“ตอนกระโดดลงไป คุณตะโกนด่าคนที่คุณเกลียดที่สุดเลยนะ ตะโกนให้ดังไปเลย”
พิมพ์นาราไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันจะช่วยเธอได้อย่างไร แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของอดีตสามีก็ผุดขึ้นมาในสมองเสียอย่างนั้น ความโกรธแล่นเป็นริ้วๆ อยู่ในอก
“นึกออกไหม เอาสักประโยคสั้นๆ ลองพูดออกมาหน่อย”
“ไอ้คนเฮงซวย” หญิงสาวพูดเป็นภาษาไทย
“หืม” รู้สึกได้ว่าคนด้านหลังเหมือนจะก้มหน้าลงมาหา
“ฉันพูดแล้ว” พิมพ์นาราตอบกลับ รู้สึกอายอยู่หน่อยๆ เหมือนกัน
“โอเค พูดแล้วก็พูดแล้ว จำเอาไว้แล้วใช่ไหม พร้อมจะด่าหรือยัง”
“หืม?” ครั้งนี้เป็นพิมพ์นาราที่สงสัย ขณะที่เธอกำลังจะอ้าปากตอบกลับคนด้านหลัง หญิงสาวกลับพบว่ารอบตัวเธอคือความว่างเปล่า
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง แขนขากางออกตามการจัดท่าของคนด้านหลัง เขายังมีหน้าสะกิดให้เธอหันไปมองกล้องบันทึกภาพวิดีโอตัวเล็กที่อยู่บนหลังมือของเขาอีกด้วย
“อะ...ไอ้คนเฮงซวยยย”
เสียงกรีดร้องดังลั่นท่ามกลางท้องฟ้าสีน้ำเงินสดใส
ความคิดเห็น |
---|