8
ถึงเวลาก็ต้องตัด
พิมพ์นารากลับเมืองไทยมาได้สี่วันแล้ว ส่วนกระเป๋าเดินทางของเธอก็เดินทางมาถึงแล้วเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องพูดถึงราคาที่แพงลิบของการส่งมันกลับมา วันแรกที่มาถึงไทยเธอวุ่นวายอยู่กับการจ่ายบิลของโรงพยาบาล พาแม่กลับบ้านและการเลี้ยงฉลองเล็กๆ ในตอนเย็น สองวันต่อมาเธออยู่บ้านเป็นเพื่อนแม่ แต่ระหว่างนั้นก็มองหางานไปด้วยเช่นกัน
วันนี้พิมพ์นารามีธุระต้องออกไปนอกบ้านตั้งแต่เช้า เริ่มจากพาแม่ไปทำบุญครบรอบวันตายของผู้เป็นยาย จากนั้นช่วงสายๆ ก็ไปหาผู้เช่าคอนโดมิเนียมเพื่อเซ็นสัญญาเช่าต่อ หลังจากนี้ก็คือนัดกินมื้อเย็นกับเพื่อนๆ ที่ทำงานเก่า จริงๆ แล้วก็ไม่เชิงนัดกินมื้อเย็นหรอก มันเป็นเลี้ยงอำลาเสียมากกว่า เพื่อนคนหนึ่งในแผนกจะลาออกเพราะย้ายตามสามี ซึ่งย้ายไปรับตำแหน่งใหญ่กว่าที่จังหวัดเชียงใหม่ ไกรศรจึงโทร. มาชวนเธอไปด้วย
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้สักเดือนละก็ พิมพ์นาราคงตอบปฏิเสธไปแล้ว เพราะเธอไม่พร้อมที่จะถูกอดีตเพื่อนร่วมงานจับจ้องด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเห็นใจ
ก็รู้อยู่หรอกนะว่าทุกคนเป็นห่วงและหวังดี แต่การที่ทุกคนมองว่าเธอน่าสงสารเหมือนเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายมันก็น่าหงุดหงิดจริงๆ นะ การถูกสามีนอกใจมันเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของผู้หญิงทุกคน แต่มันไม่ได้ทำเธอตายภายในสามเดือนสักหน่อย
หญิงสาวพลิกข้อมือดูนาฬิกาข้อมือ เห็นว่านี่เพิ่งจะเลยเที่ยงมานิดหน่อยเท่านั้น ยังเหลือเวลาอีกหกชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัดหมายกับพวกไกรศร แต่จากจุดที่เธออยู่ การกลับบ้านไม่ใช่ทางเลือกที่ดี เพราะเธอต้องขับรถอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน และต้องออกจากบ้านก่อนเวลาเด็กๆ เลิกเรียนเพื่อเลี่ยงการจราจรในช่วงเร่งด่วน
เวลาหกชั่วโมงที่เธอมี ครึ่งหนึ่งหมดไปกับการขับรถ นั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีแน่ๆ พิมพ์นาราจึงตัดสินใจว่าเธอจะใช้เวลาอยู่ในห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ ที่นัดหมาย
เธอเพิ่งหย่าไม่กี่เดือนก็จริง แต่เธอใช้ชีวิตเหมือนเป็นโสดมาแล้วสี่ปี ดังนั้นการเดินเล่นคนเดียวในห้างสรรพสินค้าจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่เวลาหกชั่วโมงก็ไม่ถือว่าไม่น้อยเลย พิมพ์นาราไม่ใช่สายชอปปิงอยู่แล้ว ผ่านไปชั่วโมงเดียวเธอก็ยืนเคว้งไม่รู้จะทำอะไรต่อแล้ว
มื้อเที่ยงก็ไม่ได้ใช้เวลามากนัก มากินคนเดียวมันจะใช้เวลาสักเท่าไรกันล่ะ สามสิบนาทีที่พยายามนั่งแช่อยู่ในร้านก็ทำให้เธอเกือบจะหลับ ขณะที่พิมพ์นารากำลังเซ็งจัดเพราะไม่รู้จะทำอะไรดี จังหวะนั้นเธอก็เดินผ่านร้านทำผมร้านหนึ่งเข้าพอดี อาจเป็นเพราะตอนนี้เป็นเวลากลางวันที่คนส่วนใหญ่ทำงานอยู่ ในร้านจึงมีคนไม่มากนัก
“เข้ามาก่อนไหมคะ” พนักงานที่เคาน์เตอร์รับลูกค้าเห็นเธอหยุดจึงเอ่ยเรียก
พิมพ์นาราก็ใจง่าย เดินเข้าไปในร้านแทบจะทันที
“สวัสดีค่ะ วันนี้อยากทำอะไรดีคะ”
“สระไดร์ละกัน”
“มีช่างประจำไหมคะ”
“ไม่มี” พิมพ์นาราตอบกลับก่อนจะรีบเสริม “พี่อยากตัดผมด้วย น้องช่วยหาช่างตัดดีๆ ให้หน่อยนะ”
“ค่ะ เดี๋ยวเชิญคุณพี่นั่งรอช่างสักครู่นะคะ” พนักงานที่เคาน์เตอร์บอก ก่อนจะทำการเรียกช่างมาให้ ไม่ถึงนาทีช่างซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ชายสายหวานก็เดินตรงเข้ามาหาพิมพ์นาราพร้อมรอยยิ้ม
“เชิญทางนี้เลยค่ะ”
พิมพ์นาราพยักหน้ารับและเดินตามช่างทำผมเข้าไปด้านในเพื่อสระผมก่อน ระหว่างนี้ทั้งคู่ก็เริ่มคุยกัน บทสนทนาตอนแรกเริ่มจากสิ่งที่พิมพ์นาราต้องการทำในวันนี้ เธอแจ้งความต้องการว่าอยากจะตัดผม แต่ยังไม่รู้จะตัดทรงไหนดี ช่างจึงบอกให้ไปเลือกแบบจากในนิตยสารก็ได้ เพราะพิมพ์นารามีใบหน้ารูปไข่อยู่แล้ว จะตัดทรงไหนก็ได้ทั้งนั้น หลังจากนั้นบทสนทนาที่เหลือพิมพ์นาราก็ไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามันเริ่มต้นได้อย่างไร หรือมันจะไปไกลได้ถึงไหน
หลังจากสระผมเสร็จ ช่างทำผมก็พาเธอมานั่งรอที่เก้าอี้หน้ากระจกบานใหญ่ น้ำขวดเล็กถูกนำมาเสิร์ฟพร้อมกับหนังสือนิตยสารเกี่ยวกับทรงผม ขณะที่ช่างกำลังเตรียมอุปกรณ์ของตัวเอง
พิมพ์นาราเปิดพลิกหน้านิตยสารอยู่หลายรอบ แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าจะตัดทรงไหนดี เธอไว้ผมยาวตรงธรรมดามาตลอดสิบเจ็ดปี มีเข้าร้านทำผมบ้างก็แค่ตัดปลายผมที่แตกหรือเสียออกเท่านั้น ไม่เคยทำสีผม ไม่เคยดัดหยิก เพราะผมตรงธรรมชาติอยู่แล้ว เธอจึงไม่เคยแม้แต่จะยืดผมเลยด้วยซ้ำ
“ตัดสินใจได้หรือยังคะว่าจะตัดทรงไหนดี ดัดลอนดีไหม เอาลอนใหญ่ๆ ให้เหมือนหยักศกธรรมชาติ”
ดวงตากลมโตหรี่แคบ หญิงสาวจ้องตัวเองในกระจกเงา ผมเธอตอนนี้ยาวจนเกือบถึงกลางหลัง มันเป็นทรงผมที่พุฒิพงศ์ชอบ เขาชอบผู้หญิงไว้ผมยาว ปล่อยสยาย
เปลือกตาของพิมพ์นารากระตุกเล็กน้อย และเป็นตอนนั้นเองที่เธอเห็นป้ายประกาศบางอย่างผ่านทางกระจกเงา
“หรือจะแค่ไดร์ตรงธรรมดาดี”
“ที่ร้านรับบริจาคผมด้วยเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ ผมที่ลูกค้าบริจาค ทางร้านจะรวบรวมส่งไปที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติเพื่อทำวิกให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งค่ะ ผมต้องอยู่ในสภาพดีนะคะ ถ้าผ่านการทำสีหรือดัดก็ต้องไม่เสียหายเกินไป ยาวเกินสิบนิ้วก็ใช้ได้แล้วค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตัดเลยค่ะ”
“หืม?” ช่างทำผมเหมือนได้ยินไม่ชัด เขาก้มหน้าลงมาอยู่ระดับเดียวกับใบหน้าเธอ ทั้งสองจ้องมองกันผ่านทางกระจกเงา
“ตัดสั้นเลยค่ะ ให้เหลือประมาณประบ่าก็พอ ส่วนผมที่ตัด หนูฝากร้านพี่จัดการเรื่องบริจาคให้ด้วยนะคะ”
“เอาแน่เหรอคะ ผมหนูยาวมากเลยนะ”
พิมพ์นารารู้สึกลังเล แต่ก็เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น “ค่ะ ตัดเลย”
คำตอบอย่างใจเด็ดขนาดนี้ช่างทำผมเองก็ไม่พูดอะไร รวบผมยาวของหญิงสาวเอาไว้อย่างช้าๆ รอดูว่าลูกค้าสาวจะเปลี่ยนใจหรือไม่
“ตัดเถอะค่ะ ถ้าพี่ไม่กล้า เดี๋ยวคุณน้องตัดเองก็ได้นะ แต่ต้องให้ส่วนลดด้วยนะคะ” พิมพ์นาราเอ่ยด้วยน้ำเสียงขบขัน
ช่างทำผมหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะทำการตัดผมด้วยสีหน้ากึ่งเสียดายอยู่หน่อยๆ
หลังจากอยู่ในร้านทำผมกว่าสามชั่วโมง เพราะเธอไม่ได้แค่ตัดผมเท่านั้น แต่ยังตัดสินใจทำสีผมอีกด้วย พิมพ์นาราก็พร้อมจะเดินออกจากร้านทำผม ช่างที่ทำผมให้เธอเดินตามมาส่งถึงหน้าร้าน ย้ำแทบตลอดเวลาว่าผมทรงนี้เหมาะกับเธอมาก และยังมีพนักงานที่เคาน์เตอร์ต้อนรับลูกค้าก็ออกปากเห็นด้วยอีกคน พิมพ์นารายิ้มให้พวกเขาโดยไม่พูดอะไร เธอไม่รู้ว่าทั้งคู่ชมเพราะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ หรือแค่ชมให้เธอสบายใจเท่านั้น
นอกจากสัมผัสของปลายผมที่ระต้นคอเวลาเดินนั้นให้ความรู้สึกแปลกๆ กับความไม่คุ้นชินเวลาเห็นหน้าตัวเองที่สะท้อนในกระจกเงา แล้วก็แค่รู้สึกว่าทรงผมของเธอตอนนี้มันดูไม่เข้ากับเสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่อยู่เอาเสียเลย
เพราะเธอทำในสิ่งที่ไม่คิดจะทำไปแล้ว พิมพ์นาราจึงไม่ลังเลอะไรเลยสักนิดเมื่อก้าวฉับๆ เข้าในไปในร้านขายเสื้อผ้าร้านหนึ่ง และสนุกอย่างเต็มที่กับการซื้อเสื้อผ้าใหม่
ร้านอาหารที่อดีตเพื่อนร่วมงานนัดเป็นร้านชื่อดัง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นร้านที่คนในแผนกมักจะมากันเป็นประจำ
“นามาถึงแล้วค่ะพี่” พิมพ์นาราพูดผ่านทางโทรศัพท์มือถือขณะที่สายตากวาดมองไปทั่วร้านอาหารเพื่อมองหาใบหน้าที่คุ้นเคย หญิงสาวมาถึงตามเวลานัด แต่คนอื่นๆ มาถึงก่อนเวลาเล็กน้อย จึงกลายเป็นว่าพิมพ์นารามาถึงเป็นคนสุดท้าย “นาเห็นพวกพี่แล้วค่ะ เดี๋ยวนาเดินเข้าไปหานะคะ”
หญิงสาววางสายแล้วรีบเดินเข้าไปที่โต๊ะที่พวกไกรศรนั่งอยู่ หกคนที่นั่งอยู่ก่อนยืดคอมองหาเธอเช่นกัน แต่ไม่มีใครมองมาที่เธอเลยสักคน จนกระทั่งพิมพ์นาราเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าพวกเขา ทั้งหกคนถึงกับเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
“ขอโทษที่มาช้านะคะ”
“นา...เหรอ พิมพ์นารา!?” ไกรศรเป็นคนถามก่อน เขากะพริบตาปริบมองหญิงสาวตรงหน้าตัวเอง
“พี่ศรถามอย่างนี้ นาเลยไม่มั่นใจแล้วนะเนี่ย” พิมพ์นาราตอบกลับอย่างเขินๆ สายตาของบรรดาอดีตเพื่อนร่วมงานทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย วันนี้หลังจากตัดผม เธอก็จัดหาชุดใหม่ให้ตัวเอง เลือกตั้งนานกว่าจะได้ชุดที่เข้ากับผมทรงใหม่ “ดูแย่มากเลยเหรอคะ”
“โอ๊ยๆ ไม่แย่ๆ” อดีตเพื่อนร่วมงานรีบแย่งกันตอบ
“ไม่แย่เลยสักนิดค่ะคุณน้อง เยี่ยมมากเลยต่างหาก” ศศิธรซึ่งเป็นพนักงานอาวุโสคนหนึ่งของแผนกเป็นคนพูด “นาทำให้พวกเราอึ้งมากจริงๆ เมื่อกี้พวกเรายังคุยกันอยู่เลยว่านาสวยเฉี่ยวเปรี้ยวมากค่ะคุณน้อง”
พิมพ์นารายิ้มเขินๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาที่นั่งข้างไกรศรซึ่งถูกเว้นที่เอาไว้ให้แล้ว “พี่ศรีก็ล้อนาเล่นอยู่เรื่อย”
“พี่ศรีไม่ได้ล้อเล่นหรอก คุณสวยมากจริงๆ นะ”
ทุกคนในโต๊ะหันไปมองคนพูดทันที สีหน้าและแววตาของเจษฎาจริงจังเสียจนคนถูกมองเกือบทำหน้าไม่ถูก ส่วนคนอื่นๆ ในโต๊ะก็ได้แต่ลอบส่งสายตาให้กัน
เจษฎาเพิ่งเข้ามาทำงานในบริษัทได้แปดเดือน และทุกคน ยกเว้นพิมพ์นาราคนเดียวเท่านั้นที่สังเกตเห็นความเป็นห่วงเป็นใยพิมพ์นาราอย่างออกนอกหน้าของชายหนุ่มคนนี้
“ขอบใจเจษ”
“ผมทรงนี้เหมาะกับนามากเลยนะ หน้าเด็กลงมากเลย นี่ถ้าบอกว่าเป็นเด็กมหา’ลัย พี่ก็เชื่อนะเนี่ย” อิสราคือคนที่กำลังจะลาออกสิ้นเดือนนี้รีบพูด ซึ่งช่วยกอบกู้บรรยากาศในโต๊ะให้กลับมาครึกครื้นได้อีกครั้ง
งานเลี้ยงอำลาอิสราแทบจะกลายเป็นงานเลี้ยงต้อนรับพิมพ์นาราเสียอย่างนั้น แต่ดูเหมือนอิสราจะไม่ได้สนใจเลย เพราะเธอเองก็สนใจเรื่องของพิมพ์นาราเหมือนคนอื่นๆ ทุกคนเป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊ก ดังนั้นจึงพอจะรู้บ้างว่าเกือบสองเดือนที่ผ่านมาพิมพ์นาราไปทำอะไรอยู่ที่ไหน แม้หญิงสาวจะไม่ได้อัปเดตสถานะตลอด แต่ก็ยังมีการโพสต์ภาพถ่ายสถานที่สวยๆ ลงเฟซบุ๊กอยู่เรื่อยๆ จะห่างหายไปบ้างก็ตอนที่เธออยู่กับใครบางคนนั่นละ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ พิมพ์นาราก็อดที่จะลอบมองโทรศัพท์มือถือที่วางเอาไว้ข้างจานข้าวบนโต๊ะไม่ได้
วันนี้เธอบอกธาวินไปแล้วว่าจะมากินมื้อค่ำกับเพื่อน เขาจึงไม่ได้ส่งข้อความมา พิมพ์นารารู้ว่าเขาทำแบบนี้ก็เพราะรักษามารยาท แต่มันก็ทำให้เธอแอบหงุดหงิดอยู่หน่อยๆ เหมือนกัน
“นั่นคุณไกรศรหรือเปล่าคะ” เสียงหวานของใครบางคนดังขึ้นดึงความสนใจของคนทั้งโต๊ะให้หันไปมอง
ทุกคนในโต๊ะถึงกับชะงักเมื่อเห็นว่าคนที่เอ่ยทักนั้นเป็นใคร ทั้งหกคนห้ามตัวเองไม่ให้เหลือบมองไปที่พิมพ์นาราไม่ได้
แต่พิมพ์นารากลับไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร เธอเพียงแค่นั่งเฉย สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ แม้ว่าคนที่เอ่ยทักจะเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่อีกข้างของไกรศร
“คุณไอรดา” ไกรศรเอ่ยทักตามมารยาท
ไอรดาโปรยยิ้มหวานให้ทุกคนในโต๊ะหนึ่งรอบ ก่อนสายตาจะสะดุดที่พิมพ์นารา คิ้วเรียวพลันขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
เธอรู้สึกคุ้นหน้าคนคนนี้ แต่กลับคิดไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน ที่แน่ๆ คือเธอรู้สึกไม่ถูกชะตากับผู้หญิงคนนี้เลย
“นี่คุณไกรศรพาเด็กใหม่มาเลี้ยงต้อนรับเหรอคะ”
ทุกคนในโต๊ะหันไปมองพิมพ์นาราเป็นตาเดียวอีกครั้ง
“ฉันพูดอะไรผิดหรือเปล่าคะ หรือว่าเป็นการเลี้ยงส่งเด็กฝึกงาน”
พิมพ์นาราไม่ตอบอะไร แต่มุมปากของเธอกระตุกเล็กน้อย
คิ้วเรียวสวยของไอรดาขมวดยิ่งกว่าเดิม ดวงตากลมโตขึงมองคนตรงหน้าทันทีเพื่อแสดงออกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอไม่พอใจ
แต่พิมพ์นาราไม่ใช่เด็กฝึกงานหรือพนักงานใหม่ที่ต้องกลัวไอรดา หญิงสาวจึงจ้องอีกฝ่ายกลับตรงๆ
“ไอซ์” เสียงผู้ชายดังขึ้น
ทุกคนจึงหันไปมอง ก่อนที่หกคนที่ร่วมโต๊ะจะหันกลับมามองพิมพ์นาราอย่างรวดเร็ว
ไม่ต้องเห็นหน้าเจ้าของเสียงพิมพ์นาราก็รู้แล้วว่าเขาเป็นใคร เธอคาดการณ์ตั้งแต่เห็นไอรดาแล้วด้วยซ้ำว่าเขาจะต้องอยู่ด้วย เขาคงจะให้ไอรดาเข้ามาหาที่นั่งก่อนขณะที่ตัวเองวนหาที่จอดรถ
พุฒิพงศ์เดินเข้ามาหยุดข้างกายไอรดา เมื่อเห็นหน้ากลุ่มคนในโต๊ะก็รู้ทันทีว่าเป็นพนักงานของบริษัท เขากำลังจะเอ่ยทักไกรศร แต่ผู้หญิงผมสั้นที่นั่งข้างผู้จัดการฝ่ายการตลาดนั้นดึงดูดสายตาของเขามากจนต้องหันกลับมามองอีกครั้ง พลันดวงตาก็เบิกกว้างเมื่อจำได้ว่าเธอเป็นใคร
สีหน้าไอรดาย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นแฟนหนุ่มสนใจผู้หญิงที่ไม่ถูกชะตาคนนี้ “พุฒิ...”
“นา” สองคนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน สายตาของพุฒิพงศ์ยังคงจ้องเขม็งอยู่ที่พิมพ์นารา
“พุฒิรู้จักผู้หญิงคนนี้ด้วยเหรอคะ”
ชายหนุ่มไม่หันกลับไปมองคนถามด้วยซ้ำเมื่อเอ่ยเรียกชื่อเต็มของหญิงสาว “พิมพ์นารา”
“ใครนะ” ไอรดาถามย้ำแล้วหันกลับไปมองหญิงสาวผมสั้นอีกครั้ง จ้องอยู่อึดใจริมฝีปากก็เผยอกว้าง “พิมพ์นารา!”
“ฉันเกือบเสียใจที่คุณจำไม่ได้แล้ว”
“เธอ พิมพ์นารา!” ไอรดาเรียกชื่ออีกฝ่ายอีกครั้ง น้ำเสียงบอกชัดว่าไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตัวเองเห็น เธอกวาดตามองคนตรงหน้าสองรอบ แต่ก็ยังทำใจให้เชื่อไม่ได้
“อย่าทำหน้าตกใจขนาดนั้นสิคะ ฉันก็แค่ภรรยาเก่าของแฟนคุณ ไม่ใช่ผีสางนางไม้ที่ไหน”
เป็นพิมพ์นาราจริงๆ ไอรดากรีดร้องอยู่ในใจ ก่อนจะตวัดสายตาไปมองคนข้างกาย เมื่อเห็นว่าพุฒิพงศ์ยังเอาแต่จ้องมองอดีตภรรยาตัวเองตาแทบถลน ไอรดาก็แทบอยากจะกรีดร้องออกมาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยจริงๆ แต่เพราะไม่
สามารถทำได้ หญิงสาวจึงได้แต่เอื้อมมือไปควงแขนของแฟนหนุ่มเอาไว้ ทั้งเป็นการเตือนสติเขาและเป็นการประกาศความเป็นเจ้าของด้วย
“เมื่อกี้ฉันต้องขอโทษที่เสียมารยาทนะ แต่ฉันจำคุณไม่ได้จริงๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้ว”
“เชิญพวกคุณตามสบายนะคะ พวกเราเองก็ต้องขอตัวก่อน”
“เชิญค่ะ” พิมพ์นาราตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน
ไอรดาเม้มริมฝีปากเล็กน้อยแล้วขยับเท้าจะออกเดิน แต่เพราะคนข้างกายไม่ยอมขยับ เธอจึงไปไหนไม่ได้ หญิงสาวเงยหน้ามองพุฒิพงศ์ เห็นว่าเขายังจ้องมองอดีตภรรยาอยู่ก็ยิ่งหงุดหงิด เล็บคมจิกลงบนแขนเขาอย่างแรงจนมันแทบจะทะลุเนื้อผ้าของเชิ้ตแขนยาว
ความเจ็บนั้นทำให้พุฒิพงศ์สะดุ้ง เขาเกือบจะลืมตัวกระชากแขนจากการเกาะกุมของไอรดาเลยด้วยซ้ำ ดีที่เขายังพอรู้ตัว
“ผมกับคุณไอรดาต้องขอตัวก่อนนะครับ”
พิมพ์นาราไม่พูดอะไร เพื่อนร่วมโต๊ะของเธอก็เพียงแค่ส่งยิ้มให้ทั้งคู่เท่านั้น
พุฒิพงศ์แจกยิ้มอย่างมีมารยาท แล้วขยับตัวตามแรงดึงของไอรดา แต่ถึงอย่างนั้นสายตาเขาก็ยังหยุดที่พิมพ์นาราอีกครั้ง ก่อนจะยอมหมุนตัวเดินจากไป
สองคนที่เข้ามาทักเดินหายลับไปแล้ว สายตาของคนทั้งโต๊ะจึงถูกดึงดูดด้วยแขนเรียวของพิมพ์นาราที่เอื้อมไปตักยำปลาดุกฟูสีทองกรอบตรงหน้า หญิงสาวชะงักเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงสายตาของทุกคนที่มองตรงมาที่เธอ
พิมพ์นาราดึงแขนกลับมาอย่างเกรงๆ แล้วเอ่ยถาม “อะไรกันคะ ทำไมทุกคนถึงมองนาแบบนั้น”
“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมนา” เจษฎาถามเป็นคนแรก
“แล้วจะให้นาเป็นอะไรล่ะเจษ”
“ก็เมื่อกี้...” ไกรศรอยากจะพูด แต่สุดท้ายก็แสร้งทำเป็นกระแอมเบาๆ
“ถ้านาไม่สบายใจเราย้ายร้านกันก็ได้นะ” ศศิธรพูดขึ้นบ้าง ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
พิมพ์นารากวาดสายตามองเพื่อนร่วมโต๊ะหนึ่งรอบ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “นาขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงความรู้สึกของนานะคะ แต่นาไม่เป็นอะไรค่ะ”
“แน่ใจเหรอนา” อิสราเองก็เป็นห่วง
“จริงๆ นะคะ” หญิงสาวยืนยัน “พวกเขาอยู่ในส่วนของเขา เราก็อยู่ในส่วนของเรา ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอกค่ะ อีกอย่างทุกคนก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่านากับพุฒิแยกกันอยู่ก่อนจะตัดสินใจหย่าตั้งนานแล้ว ตอนนี้มันก็เหลือแค่ความเจ็บๆ คันๆ นิดหน่อยเท่านั้นแหละค่ะ”
ไม่มีใครพูดอะไร คนที่อาวุโสกว่าพิมพ์นารามองหญิงสาวอย่างเป็นห่วงปนสงสาร คนอายุน้อยกว่าไม่สามารถปิดบังความอยากรู้อยากเห็นได้มิด คนเดียวที่ต่างจากคนอื่นก็คือเจษฎา สีหน้าและแววตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธอย่างชัดเจน
เฮ้อ เพราะอย่างนี้น่ะสิ พิมพ์นาราถึงไม่อยากจะตอบรับคำชวน
เวลาที่คนเราเสียใจ แน่ละว่าต้องการกำลังใจจากคนรอบข้าง แต่ความสงสารที่ไม่รู้จักจบจักสิ้นนี่มันก็ออกจะน่ารำคาญไปสักหน่อยไม่ใช่หรือ ก็รู้อยู่หรอกนะว่าทุกคนเป็นห่วงเธอ แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าทุกคนทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เพราะสายตาของคนรอบข้างทำให้เธออึดอัด หญิงสาวจึงตัดสินใจขอแยกตัวออกไปสักครู่ “นาขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”
ไม่มีใครทักท้วง ทุกคนเหมือนจะเต็มใจให้เธอไป ดูสนับสนุนออกนอกหน้าจนพิมพ์นาราแทบอยากจะหัวเราะ เธอคิดว่าตัวเองเดาความคิดของอดีตเพื่อนร่วมงานได้ ทุกคนคงคิดว่าเธอจะแอบหลบไปร้องไห้ในห้องน้ำ
เมื่อไรเธอถึงจะหลุดจากการเป็นผู้หญิงน่าสงสารที่ถูกสามีนอกใจนะ!
น่าเบื่อมาก!
พิมพ์นาราพิมพ์ข้อความแล้วกดส่งออกไประหว่างที่เธอเดินตามป้ายที่ชี้ทางไปห้องน้ำ แต่เดินมาถึงจุดหนึ่งเธอก็เลี้ยวก่อนถึงหน้าห้องน้ำ มันเป็นเส้นทางเล็กๆ แยกออกไปสู่ระเบียงแคบริมแม่น้ำ พื้นที่เล็กๆ ที่ทำเอาไว้ให้พวกสิงห์อมควัน แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่
โทรศัพท์มือถือในมือของพิมพ์นาราสั่นเบาๆ
เพราะไม่มีเพื่อนร่วมโต๊ะที่เร้าใจสินะ เด็กน้อยที่น่าสงสาร
อารมณ์หงุดหงิดของพิมพ์นาราหายไปกว่าครึ่งโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว
หรือบางทีอาจจะเป็นพ่อครัวสุดเซ็กซี่
แก้มสองข้างของเธอร้อนผ่าว อดคิดถึงเหตุการณ์ครั้งล่าสุดเมื่อเขาอาสาทำอาหารเย็นให้เธอไม่ได้ เคาน์เตอร์ครัวแข็งและเย็นมาก แต่ความร้อนจากร่างกายเขาสามารถชดเชยความไม่สบายเหล่านั้นได้ พิมพ์นารากัดริมฝีปากล่างของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะกดส่งข้อความ
เหมือนทุกครั้ง พิมพ์นาราไม่ต้องรอนานนักโทรศัพท์มือถือในมือก็สั่น
คุณกำลังยั่วยวนผมเหรอที่รัก
แล้วได้ผลไหม
มาก
คำตอบสั้นมาก แต่พิมพ์นารากลับหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี
ดูสิว่าใครน่าสงสาร
ครั้งนี้เธอรอข้อความนานมาก นานจนหน้าจอโทรศัพท์ดับมืดไป หัวใจดวงน้อยในอกซ้ายเต้นช้ามาก พิมพ์นาราแทบจะกลั้นหายใจขณะรอให้หน้าจอโทรศัพท์มือถือในมือสว่างขึ้น
ผมได้ตั๋วแล้ว เตรียมตัวเอาไว้เลยแม่คนช่างยั่ว
พิมพ์นารากะพริบตาปริบ ต้องใช้เวลาตั้งสติเล็กน้อยก่อนจะรีบพิมพ์กลับไป
ตั๋วอะไร
ตั๋วเครื่องบินจากซิดนีย์ไปกรุงเทพฯ ไงที่รัก
คนโกหก
พนันสิ
หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างของตัวเองอีกครั้ง ถึงจะตอบกลับไปแบบนั้นแต่เขาต้องรู้แน่ๆ ว่าหัวใจเธอได้รับผลกระทบเพราะสิ่งที่กำลังอ่านอยู่มากแค่ไหน
อะไรคือสิ่งแรกที่คุณต้องการเมื่อถึงเมืองไทย
คุณไม่รู้จริงๆ เหรอ
พิมพ์นาราแทบจะได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเขาที่ข้างหูเธอ ขณะที่หัวใจของหญิงสาวเต้นรัวจนแทบจะทะลุออกมานอกอกอยู่นั้นเอง อีกข้อความก็ถูกส่งมา
ผมต้องการสาวสวยสุดเซ็กซี่ตะโกนข้างหูผม
ข้อความนี้ทำให้พิมพ์นาราอึ้งไปสักพักก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา ตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่าคนร่างสูงแค่อยากแกล้งเธอเล่นเท่านั้น หญิงสาวกำลังจะพิมพ์ตอบกลับแต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงพุฒิพงศ์ดังขึ้นจากด้านหลัง
“คุณทำอะไรอยู่”
พิมพ์นาราหมุนตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว แต่พื้นไม้ที่ปูพื้นไม่ได้เรียบ มีร่องสูงต่ำนิดๆ ทำให้เธอสะดุดมัน แต่ที่ไม่ล้มเพราะคนที่ทำให้เธอตกใจเข้ามาช่วยประคองเธอเอาไว้ได้ทัน
“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“ค่ะ ขอบคุณ” หญิงสาวบอกแล้วรีบขยับออกห่าง “ขอบคุณอีกครั้ง”
พุฒิพงศ์ไม่ตอบอะไร เขาเพียงแค่กวาดตามองเธอเท่านั้น ซึ่งไม่ได้ทำให้พิมพ์นารารู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด หญิงสาวไม่แน่ใจว่าเพราะแสงจากหลอดไฟหรือเปล่า ที่ทำให้เธอเหมือนได้เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความ...ดีใจ
“ขอโทษนะ คุณช่วยหลีกทางได้ไหม ฉันออกมานานแล้วเดี๋ยวพวกพี่ศรจะเป็นห่วง”
“ผมสั้นเหมาะกับคุณนะ”
“หา? อะไรนะ”
ชายหนุ่มกระแอมเล็กน้อย ทำท่าเหมือนอายหน่อยๆ ด้วย “ผมบอกว่าผมทรงนี้เหมาะกับคุณมาก คุณดูดี”
พิมพ์นาราอึ้งครู่ใหญ่ก่อนจะพยายามตั้งสติ “คุณเมาหรือไง ดื่มไปเท่าไรแล้ว”
“ผมไม่ได้เมานา ผมพูดจริงๆ คุณดูดีมาก”
“อ้อ ขอบคุณ” พิมพ์นาราคิดคำตอบอะไรไม่ออกนอกจากนี้จริงๆ ตอนนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือในมือเธอสั่น หญิงสาวก้มหน้าลงกดอ่านข้อความแล้วต้องกัดริมฝีปากตัวเองแน่น
ผมคิดถึงริมฝีปากคุณ
แต่สิ่งที่พิมพ์นาราคิดถึงเมื่ออ่านข้อความนี้ก็คือ ริมฝีปากของเขาบนริมฝีปากของเธอ
พุฒิพงศ์รู้สึกขัดใจที่เขาไม่ได้รับความสนใจ “คุณหางานได้หรือยัง”
“คะ อะไรนะ อ้อ...งาน ยังหรอก ยังไม่ได้หา”
อีกข้อความถูกส่งมา
คิดถึงกลิ่นเซ็กซี่ที่ซอกคอคุณ
พิมพ์นาราสำลักอากาศ หัวใจเต้นรัวอยู่ในอก
“ถ้าคุณต้องการ ผมช่วยคุณได้นะ คุณก็รู้ผมมีคนรู้จักเยอะ ผมสามารถฝากงานตำแหน่งดีๆ ให้คุณได้”
อืม เธอเองก็คิดถึงกล้ามเนื้อแน่นๆ ของเขาเหมือนกัน
“นา!” เสียงพุฒิพงศ์ที่ดังขึ้นทำเอาร่างบางสะดุ้ง หญิงสาวเงยหน้ามองเขาอย่างงงงัน ขณะที่ชายหนุ่มจ้องเธอด้วยความไม่พอใจ “คุณกำลังอ่านอะไรอยู่ คุณไม่สนใจที่ผมพูดเลย”
“ขอโทษ ฉันคุยกับเพื่อนอยู่ เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ”
พุฒิพงศ์สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ยย้ำอีกครั้ง “ถ้าคุณต้องการ ผมสามารถฝากงานให้คุณได้”
“คุณจะช่วยฉันทำไม” หญิงสาวถามกลับทันที
“ไม่เอาน่านา คุณไม่เคยทำอะไรด้วยตัวเองนะ คุณจำเป็นต้องมีคนชี้แนะ”
อารมณ์ดีๆ ของพิมพ์นาราหายแวบไปในนาทีนั้นเอง
“ขอบคุณนะคะคุณพุฒิพงศ์ แต่ฉันไม่ต้องการความเมตตาของคุณเลยสักนิด ฉันหางานเองได้” พูดจบพิมพ์นาราก็พยายามจะเดินผ่านเขาไป แต่พุฒิพงศ์กลับไม่ยอมให้เธอทำแบบนั้น “ขอโทษนะคะ คุณขวางทางฉันอยู่”
“ผมไม่ได้จะหาเรื่องคุณนะนา ผมแค่ต้องการจะช่วย”
“แต่ฉันไม่ต้องการ!” หญิงสาวย้ำทีละคำอย่างชัดเจน
“ผมรู้จักคุณดีกว่าใครนา คุณหางานเองไม่ได้หรอก ถ้าได้มันก็ไม่ใช่งานดีๆ แน่”
“คุณนี่มันมั่นหน้าจนน่าหมั่นไส้เลยนะ!” พิมพ์นาราอดต่อว่าไม่ได้ “หลีกไปพุฒิ ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากคุณทั้งนั้น ไม่ว่าจะจากความสงสารหรือสมเพช”
“ไม่เอาน่านา อย่ามองผมในแง่ร้ายได้ไหม ผมแค่อยากจะช่วยคุณเท่านั้นเอง” พุฒิพงศ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เหมือนผู้ใหญ่สอนเด็ก ซึ่งมันยิ่งทำให้พิมพ์นารายิ่งโกรธจัด
“ฉันไม่ได้พูดไปแล้วเหรอพุฒิ ว่าฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ ของคุณทั้งนั้น กลับไปหาแฟนคุณเถอะพุฒิ ก่อนที่คุณไอรดาจะอาละวาดเพราะคนในปกครองหายไป” พิมพ์นาราเอ่ยอย่างมีอารมณ์ “ทีนี้ ถอยไป!”
จังหวะนั้นโทรศัพท์ในมือเธอสั่นอีกครั้ง พิมพ์นาราก้มลงมองทันที เธอรู้ตั้งแต่มันสั่นแล้วว่าใครส่งข้อความมา แต่เธอห้ามตัวเองไม่ให้ก้มดูไม่ได้ ชื่อของคนส่งข้อความทำให้ริมฝีปากกระตุกเป็นรอยยิ้มอย่างที่เธอเองก็ไม่รู้ตัว
แต่พุฒิพงศ์เห็น เขาสังเกตตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว และเขาไม่ชอบใจเลยสักนิด ชายหนุ่มไม่พูดอะไร ขยับก้าวเข้าประชิดร่างบางหวังจะฉวยเอาโทรศัพท์มือถือของเธอมาดูให้รู้แล้วรู้รอดว่าหญิงสาวอ่านข้อความอะไรกันแน่ แต่พิมพ์นาราเองก็มีปฏิกิริยาสนองต่อการเคลื่อนไหวของเขาเช่นกัน หญิงสาวผงะถอยหลังและดึงโทรศัพท์มือถือหนีทันที
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก พิมพ์นาราตกใจที่จู่ๆ เธอก็ถูกรุกประชิด มือข้างที่ถือโทรศัพท์ยกสูง ขณะที่ขาก้าวถอยหลัง พุฒิพงศ์เองก็เอื้อมมือมาหมายจะดึงเอาโทรศัพท์ไปจากมือเธอ ทั้งคู่ยื้อยุดกันไม่ถึงเสี้ยววินาที เสียงของบางอย่างหล่นลงน้ำก็ดังขึ้น
จ๋อม!
พิมพ์นาราหมุนตัวเกาะขอบระเบียงไม้แน่น ขณะก้มลงมองแสงของหน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังดิ่งหายลงแม่น้ำเจ้าพระยาไปอย่างรวดเร็ว
พุฒิพงศ์เองก็ตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้ตั้งใจปัดโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวตกน้ำ
“นาผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมแค่อยากรู้ว่าอะไรทำให้คุณไม่มีสมาธิคุยกับผม”
พิมพ์นาราแทบไม่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เธอยังคงมองจุดที่โทรศัพท์มือถือตกลงไป ความเคว้งคว้างอยู่ในดวงตากลมโตของเธอ
“นา ผมขอโทษ ผมจะซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่...”
เผียะ!
หลังมือของพิมพ์นาราสะบัดใส่แก้มของคนที่กำลังพูดอย่างแรงจนแก้มของเขาสั่นไปชั่วครู่เลยทีเดียว พุฒิพงศ์ต้องใช้เวลาหลายวินาทีกว่าจะรู้ว่าตัวเองเพิ่งถูกตบและความเจ็บชาตามมาแทบจะทันที
“นี่คุณ...ตบผม?”
“ใช่ค่ะ หรือถ้าคุณยังรู้สึกไม่ชัดเจนพอ ฉันยินดีจะตบให้อีกที”
พุฒิพงศ์มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นความโกรธจัด
“ก็แค่โทรศัพท์เครื่องเดียว ผมซื้อให้คุณได้เป็นสิบเครื่อง”
“เก็บเงินและความกรุณาของคุณเอาไว้เถอะพุฒิ ฉันไม่อยากได้ ถอยไป!” ครั้งนี้พิมพ์นาราไม่ได้แค่พูด แต่เธอผลักเขาออกจนพ้นทาง หญิงสาวไม่สนเสียงตะโกนที่ดังมาจากด้านหลัง
พุฒิพงศ์ไม่กล้าจะตามเธอไปถึงโต๊ะอาหารด้านนอก เพราะกลัวไอรดาจะเห็น เขาได้แต่ยืนอยู่ตรงมุมนั้น สบถอย่างเจ็บใจ ขณะมองพิมพ์นาราบอกลาเพื่อนๆ ร่วมโต๊ะแล้วเดินออกจากร้านอาหารไป
พิมพ์นาราเดินกลับมาที่รถยนต์ซึ่งจอดเอาไว้ เปิดประตูเข้าไปนั่งด้านใน เสียบกุญแจแล้วสตาร์ตเครื่อง ตลอดเวลานั้นใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธจัด จนกระทั่งรถแล่นมาจอดติดไฟแดงที่สี่แยก หยาดน้ำตาจึงค่อยๆ ไหลรินจากดวงตาทั้งสองข้าง
ความคิดเห็น |
---|