7
โง่ก่อนฉลาด
บรรยากาศในโรงพยาบาลตอนเวลาเกือบจะตีสามชวนวังเวงอยู่ไม่น้อย แต่ความเงียบงันนั้นก็ถูกรบกวนด้วยจังหวะการก้าวเดินอย่างรีบเร่งของหญิงสาวคนหนึ่งที่ใบหน้าแสดงชัดถึงอาการร้อนรน
พิมพ์นารากระชับกระเป๋าเป้บนหลังขณะที่ปลายนิ้วกดรัวที่ปุ่มเรียกลิฟต์ และแม้ประตูลิฟต์เกือบจะเปิดแยกออกในทันทีแต่ก็ยังไม่ทันใจอยู่ดี ร่างบางเอียงตัวสวนเข้าไปด้านใน นิ้วกดหมายเลขที่ต้องการและกดปุ่มปิดประตูลิฟต์โดยเร็วที่สุด
ร่างกายของเธอปวดเมื่อยไปเกือบทุกส่วน ซึ่งเป็นผลจากการนั่งบนเครื่องบินยาวนานถึงกว่าสิบห้าชั่วโมง ถึงแม้ว่าจะมีช่วงเวลาพักยืดเส้นยืดสายสั้นๆ ตอนเปลี่ยนเครื่องที่ท่าอากาศยานนานาชาติคิงส์ฟอร์ดสมิธ เมืองซิดนีย์ แต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสองชั่วโมง จากนั้นเธอก็นั่งเครื่องยาวกว่าเก้าชั่วโมงจนกระทั่งล้อเครื่องบินแตะพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมีเกรียงไกรสามีของชไมพรเป็นคนไปรอรับเธอที่สนามบิน และพาเธอมาส่งที่โรงพยาบาล
หญิงสาวรู้สึกขอบคุณสองสามีภรรยาคู่นี้มาก และเกรงใจเพราะต้องรบกวนทั้งคู่ตลอด เธอจะต้องหาโอกาสตอบแทนพวกเขาสักวันอย่างแน่นอน
ลิฟต์ส่งเสียงเตือนเมื่อมันเคลื่อนมาถึงชั้นที่พิมพ์นารากดเอาไว้ก่อนหน้า หญิงสาวก้าวออกจากลิฟต์ สายตากวาดมองหาป้ายบอกทาง เมื่อเห็นจึงรีบเดินตรงไปทางนั้นทันที
“คุณพิมพ์นารา ญาติคุณพาณีหรือเปล่าคะ” นางพยาบาลที่ทำหน้าที่เข้าเวรคืนนี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ตั้งแต่เธอได้ยินเสียงลิฟต์แล้ว
“ค่ะ ฉันขอโทษที่มาดึกมากนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ทางเราได้รับแจ้งเอาไว้ก่อนแล้ว ห้อง 1013 อยู่ทางด้านขวาสุดทางเดินค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ” พิมพ์นารารีบเดินไปตามหาห้องหมายเลขตามที่นางพยาบาลบอก ซึ่งก็หาได้ไม่ยากเลย เพราะมันเป็นห้องที่อยู่สุดทางเดิน
ห้องพิเศษของโรงพยาบาลนี้มีการแบ่งส่วนที่คนไข้พักซึ่งอยู่ด้านในสุด กับส่วนรับแขกด้านนอกซึ่งอยู่ติดกับประตูทางเข้าโดยมีผ้าม่านผืนหนากางกั้น เมื่อพิมพ์นาราเปิดประตูเข้ามา เธอก็พบว่าไฟในส่วนรับแขกนั้นสว่างจ้า ชไมพรกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะกินข้าวสำหรับสองคน
ไม่จำเป็นต้องเดาให้ยุ่งยาก คนที่ชไมพรคุยด้วยจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากสามีของเธอ
“เหนื่อยไหมแก”
“ไม่เท่าไร แต่เมื่อยก้นสุดๆ เลย” พิมพ์นาราอดจะบ่นไม่ได้ ก่อนจะขยับไปยืนชิดผ้าม่าน แอบเปิดดูคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล “อาการแม่ฉันเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เมื่อตอนเย็นหมอมาตรวจแล้ว บอกว่าพรุ่งนี้เช้าก็กลับบ้านได้” ชไมพรตอบขณะกวาดสายตามองสภาพเพื่อนสนิท พิมพ์นาราสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนดูสบายก็จริง แต่ความอิดโรยก็ยังฉายชัด “แม่แกฉันไม่ห่วงหรอก ตอนนี้ฉันห่วงแกมากกว่า มานั่งก่อนที่แกจะล้มไปอีกคนเถอะ”
พิมพ์นาราไม่ทำอวดดี ปลดกระเป๋าเป้ลงจากหลังแล้วไปนั่งที่เก้าอี้ว่างอีกตัว รับน้ำจากเพื่อนสนิทมาเปิดดื่มอึกใหญ่
“แกกลับไปเลยก็ได้นะ ที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการเอง แค่นี้ฉันก็รบกวนแกกับพี่แมนมากแล้ว ไหนจะต้องรบกวนให้พี่ออดี้ส่งกระเป๋าเดินทางของฉันกลับมาอีก”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องคิดมาก ว่าแต่แกจะอยู่ได้แน่เหรอ ฉันเห็นสภาพแกแล้วอยากเรียกพยาบาลให้เอาเตียงมาเสริมให้อีกเตียงจริงๆ”
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกน่า ฉันก็แค่เพิ่งลงเครื่องที่นั่งมาสิบกว่าชั่วโมงจากอีกซีกโลกที่ในฤดูร้อนเวลาจะเดินเร็วกว่าประเทศไทยหกห้าชั่วโมงเท่านั้นเอง เหนื่อยและเน่าสุดๆ ไปเลย”
“นี่แกซดกาแฟไปกี่แก้วเนี่ย” ชไมพรอดขำท่าทางของเพื่อนสนิทไม่ได้
“สามแก้วในยี่สิบชั่วโมง และกำลังมองหาแก้วที่สี่”
“พอเลยๆ ขืนแกกินมากกว่านี้ ถ้าไม่เมากาเฟอีนก็อาจจะหัวใจวายเฉียบพลันกันพอดี”
“...”
“ฉันว่าแกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า จะได้สดชื่นขึ้น ตอนนอนจะได้สบายตัวด้วย” ชไมพรพูดแล้วหันไปหยิบกระเป๋าผ้าใบย่อมด้านหลังมาวางบนโต๊ะ “ฉันเอาเสื้อมาให้เผื่อแกไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน พวกของใช้ในห้องน้ำทางโรงพยาบาลเขาก็มีเตรียมเอาไว้ให้แล้วอยู่ในห้องน้ำนั่นแหละ อ้อ ฉันซื้อของกินมาเก็บเอาไว้ในตู้เย็นให้ด้วยนะ เผื่อแกหิว”
พิมพ์นาราลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าไปกอดเพื่อนสนิททันที “ขอบใจมากนะแก”
ชไมพรตบหลังเพื่อนสนิทเบาๆ “อย่าคิดมากเลย ไปอาบน้ำเถอะจะได้นอนพัก สักสองสามชั่วโมงก็ยังดี”
“อื้ม ขอบใจมาก แกรีบไปเถอะ ป่านนี้พี่แมนรอแย่แล้ว”
“ฉันไปแล้ว พรุ่งนี้ฉันอาจจะมาถึงสายหน่อย แต่รับรองว่ามาทันรับแกกับแม่กลับบ้านแน่”
“ไม่ต้องหรอกเปิ้ล ฉันพาแม่กลับแท็กซี่ก็ได้ แกเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พรุ่งนี้นอนให้สบายเถอะ”
“ฉันไม่ได้เหนื่อยอะไรมากขนาดนั้นหรอก ฉันทำเพื่อความสบายใจ แกก็อย่าขัดใจฉันเลย ไม่ต้องเถียงแล้วด้วย ตกลงตามนี้แหละ ฉันไปก่อนแล้ว” ชไมพรพูดยาว ไม่ให้โอกาสคนเป็นเพื่อนได้ค้าน พูดเสร็จก็คว้ากระเป๋าถือแล้วรีบเดินออกจากห้องไปทันที
พิมพ์นารามองประตูที่ถูกปิดลงแล้วก็ได้แต่ยิ้มอย่างหนักใจ เธอรู้สึกขอบคุณเพื่อนสนิทจากใจ แต่ก็อดเกรงใจไม่ได้เหมือนกัน
แต่การคิดมากไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น อีกอย่างตอนนี้เธอเพลียและหมดแรงมากจริงๆ หญิงสาวเดินไปดูผู้เป็นแม่ที่หลับอยู่บนเตียงอีกครั้ง รู้สึกโล่งอกที่แม่มีแค่สายน้ำเกลือสายเดียวที่เสียบมือเอาไว้ หลังจากนั้นเธอจึงเดินกลับออกมาที่ห้องด้านนอกอีกครั้ง ค้นหาเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ
จริงอยู่ว่าผลจากการต้องบินมาครึ่งโลกกะทันหันทำให้เธอแทบอยากจะทิ้งตัวลงนอนเสียเดี๋ยวนี้ แต่อากาศเมืองไทยไม่ได้เหมือนที่นิวซีแลนด์ แค่ลงจากเครื่องจนถึงจุดตรวจคนเข้าเมืองยังไม่ทันได้ออกนอกเขตสนามบิน หลังเธอก็ชื้นเหงื่อแล้ว
น้ำเย็นช่วยทำให้พิมพ์นาราสดชื่นได้พอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นการได้นอนพักก็เป็นสิ่งที่ร่างกายเรียกร้องอยู่ดี แต่ก่อนจะนอนเธอมีบางอย่างจะต้องทำก่อน เธอเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่เสียบปลั๊กชาร์จแบตเตอรี่เอาไว้ก่อนเข้าไปอาบน้ำ กดเปิดหน้าจอโทรศัพท์มือถือ พิมพ์ข้อความสั้นๆ เสร็จแล้ว แต่ต้องชะงัก เหลือบสายตามองดูเวลาที่มุมด้านบนสุดของจอโทรศัพท์มือถือ
เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เวลาเร็วกว่าไทยราวสามชั่วโมง ตอนนี้ที่ไทยเกือบตีสี่แล้ว ดังนั้นที่โน่นก็น่าจะราวๆ เจ็ดโมงเช้า มันเป็นเวลาค่อนข้างเช้ามากที่จะส่งข้อความหาใครบางคน
พิมพ์นาราลังเลเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็กดส่งข้อความออกไป
ถึงเมืองไทยแล้ว อากาศร้อนมากจนแทบอยากจะนั่งเครื่องกลับไปเสียเดี๋ยวนี้เลย
พิมพ์นาราจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือตัวเองอยู่นาน แต่ละวินาทีที่ผ่านไปทรมานใจอย่างน่าประหลาด ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร มือที่ถือโทรศัพท์ก็ยิ่งกำแน่น การรอแค่หนึ่งนาทีดูนานราวกับหนึ่งชั่วโมง
ครืด
โทรศัพท์มือถือสั่นพร้อมกับหน้าจอที่สว่างวาบขึ้น เตือนว่ามีข้อความเข้า
นั่งเครื่องนาน เหนื่อยไหม แม่คุณเป็นยังไงบ้าง
หัวใจในอกข้างซ้ายของพิมพ์นาราเต้นรัวขึ้น มุมปากคลี่เป็นรอยยิ้มอย่างไม่รู้ตัวขณะที่ปลายนิ้วกดพิมพ์คำตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
แม่ฉันสบายดี ขอบคุณที่เป็นห่วง
พอส่งข้อความไปแล้ว พิมพ์นาราก็อดมานั่งคิดไม่ได้ว่าเธอส่งข้อความสั้นเกินไปหรือเปล่า เขาคงจะไม่คิดว่าเธอพยายามตัดบทสนทนาใช่ไหม
ขณะที่กำลังคิดนั้นเองโทรศัพท์ในมือก็สั่นอีกครั้ง และครั้งนี้ข้อความที่ส่งกลับมาทำเอาแก้มเนียนร้อนผ่าวขึ้นทันที
ดีใจที่ได้ยินแบบนั้น หวังว่าแม่คุณจะสบายดี แต่ผมกำลังมีปัญหาหนัก เมื่อคืนผมนอนไม่หลับเลย คิดถึงหมอนข้างแสนนุ่มที่กอดมาหลายคืน
พิมพ์นารากัดริมฝีปากล่างของตัวเองแน่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะสามารถปิดกั้นรอยยิ้มบนใบหน้าได้ ดวงตากลมโตจ้องขึงใส่หน้าจอโทรศัพท์ราวกับว่าคนส่งข้อความที่อยู่อีกซีกโลกจะมองเห็น
ตอนนั้นเองที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือของเธอเตือนว่ามีข้อความเข้ามาอีกครั้ง
ห่างคุณยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ก็คิดถึงแทบจะบ้าแล้ว
หัวใจพิมพ์นาราเต้นโครมครามอยู่ในอก ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไป
คิดถึงคุณเหมือนกัน
ไม่ต้องรอนานนักกับข้อความที่ตอบกลับมา
ตอนนี้ที่ไทยน่าจะเกือบตีสี่แล้ว คุณควรไปนอนได้แล้ว
พิมพ์นารายังไม่อยากไป เธออยากจะบอกเขาว่าเธอไม่เหนื่อย แต่เขาต้องไม่มีทางเชื่อเธอแน่ๆ ขณะที่หญิงสาวกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดี โทรศัพท์มือถือในมือก็สั่นอีกครั้ง เธอเปิดข้อความอ่านทันที
ไปนอนซะ แล้วก็ส่งข้อความหาผมทันทีที่ตื่น
หัวใจที่เหมือนจะห่อเหี่ยวไปชั่วครู่กลับมาพองโตคับอกอีกครั้ง พิมพ์นาราอมยิ้ม ปลายนิ้วพิมพ์ข้อความตอบกลับไป
ฉันกำลังจะไปนอน คุณก็อย่าลืมกินข้าวนะ
พิมพ์เสร็จหญิงสาวก็เตรียมตัวจะเข้านอน ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินผ่านผ้าม่านเข้าไปด้านใน จัดที่ทางหมอนบนโซฟาสำหรับคนเฝ้าข้างเตียงคนไข้ ตอนนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือในมือสั่นอีกครั้ง พิมพ์นาราพลิกหน้าจอขึ้น กดเพื่อเปิดอ่านข้อความที่ถูกส่งมา
ผมอยากกินคุณมากกว่า
ข้อความสั้นๆ แต่ทำให้หัวใจคนอ่านแทบจะทะลุออกมาจากอก พิมพ์นารารู้สึกถึงความร้อนวูบวาบไปทั่วทั้งตัว ทุกส่วนของร่างกายจำสัมผัสร้อนผ่าวของเขาได้อย่างดี ความรู้สึกของริมฝีปากเขาบนผิวเธอ สัมผัสซาบซ่านเวลาที่ฝ่ามือร้อนผ่าวของเขาลูบไล้บนผิวเธอ ลมหายใจร้อนๆ ที่รินรด และความร้อนผ่าวหนักอึ้งของเขาในตัวเธอ ความคิดนี้ชวนให้วาบหวามเสียจนพิมพ์นาราต้องกัดริมฝีปากล่างของตัวเองแน่น ดวงตากลมโตตวัดมองค้อนโทรศัพท์มือถือในมือราวกับว่ามันจะส่งไปถึงคนที่ส่งข้อความมาได้
ทั้งหมดเป็นเพราะเขานั่นละ! ผู้ชายนิสัยไม่ดี! ตัวเองลามกคนเดียวไม่พอ ยังมาทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงลามกไปด้วยอีก
ในใจเธอเหน็บแนมต่อว่าเขาก็จริง แต่ริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ หญิงสาวล้มตัวลงนอนบนโซฟาที่ไม่น่าจะนอนสบายนัก แต่กลับหลับได้อย่างรวดเร็ว หญิงสาวพยายามบอกตัวเองว่ามันเป็นผลจากความเพลียหลังจากต้องนั่งปวดหลังบนเครื่องบินนานกว่าสิบห้าชั่วโมง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้อความที่เธอเพิ่งอ่านไปเมื่อกี้เลย
ไม่เกี่ยวเลยจริงๆ...นะ
เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้วตอนที่ชไมพรขับรถมาส่งพิมพ์นารากับแม่ที่บ้าน หมอมาตรวจอาการพาณีตอนเกือบเก้าโมงเช้า แต่เพราะระบบที่รวดเร็วของโรงพยาบาลเอกชนทำให้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงทั้งสามก็พากันออกจากโรงพยาบาลได้ ถึงพาณีจะบ่นลูกสาวตั้งแต่เช้าว่าไม่น่าต้องรีบร้อนกลับมา เพราะตัวเองไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ชไมพรเชื่อว่าในใจของคุณป้าต้องกำลังดีใจมากแน่ๆ เพราะเมื่อวานหลังจากที่เธอบอกว่าพิมพ์นารากำลังนั่งเครื่องกลับมา พาณีก็ถึงกับเฝ้ามองเวลาอยู่ตลอด ไม่ยอมนอน จนชไมพรต้องออกไปขอยานอนหลับกับพยาบาล ไม่อย่างนั้นเช้าวันนี้ถ้าความดันตก หมอคงไม่อนุญาตให้คนไข้กลับบ้านแน่ๆ
เพราะใกล้เที่ยง พิมพ์นาราจึงขอให้เพื่อนแวะร้านอาหารระหว่างทางกลับบ้าน ซื้อข้าวพร้อมกับข้าวสำหรับมื้อเที่ยงของทั้งสามคน
ทั้งสามมาถึงบ้านได้ไม่ถึงสิบนาที รถยนต์คันหนึ่งก็เข้ามาจอดเทียบข้างรั้วบ้านต่อท้ายรถของชไมพรที่จอดขวางประตูอยู่
ชไมพรกำลังวุ่นกับการเทอาหารจากห่อใส่จานอยู่ในครัว พาณีเจ้าของบ้านกำลังอยู่ในห้องน้ำ พิมพ์นาราที่เพิ่งจะเดินลงมาจากชั้นบนหลังเอาของขึ้นไปเก็บจึงเห็นรถยนต์คุ้นตานั้นเป็นคนแรก
หญิงสาวหยุดที่เชิงบันได มองเจ้าของรถร่างสูงที่เปิดประตูลงมายืนข้างรถ พุฒิพงศ์ขยับไปทางที่นั่งตอนหลังเปิดประตูเพื่อนำกระเช้าของเยี่ยมออกมาแล้วจึงอ้อมหน้ารถมาหยุดที่หน้าประตูบ้าน จากจุดนี้เขาเห็นคนที่อยู่ข้างในบ้านได้รางๆ ไม่ถึงกับเห็นหน้าชัดเจน แต่ก็รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นใคร
พิมพ์นารายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกไปที่หน้าบ้าน
“คุณกลับมาเมื่อไร”
“เมื่อเช้า คุณมาที่นี่ทำไม”
คิ้วของพุฒิพงศ์ขยับเล็กน้อย ไม่รู้เพราะอะไร จะเป็นเพราะการแต่งตัวของพิมพ์นาราตอนนี้หรือเปล่า เขาเองก็บอกไม่ได้ เสื้อสายเดี่ยวสีขาวที่เธอสวมคู่กับกางเกงยีนเข้ารูป รวมกับการรวบผมหางม้าตึงทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงตรงหน้าดูแปลกไป ปกติพิมพ์นาราจะสวมเดรสหรือกางเกงขายาวกับเสื้อเรียบๆ ที่ไม่รัดรูปมากนัก มักจะปล่อยผมยาวเสมอเพราะนั่นเป็นแบบที่เขาชอบ
นี่เป็นครั้งแรกที่พุฒิพงศ์สังเกตว่าหญิงสาวมีรูปร่างที่น่ามอง
“คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า” หญิงสาวถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ยืนจ้องเธอ แต่ไม่พูดอะไร
พุฒิพงศ์กระแอมเล็กน้อยก่อนจะตอบ “เมื่อเช้าผมแวะไปที่โรงพยาบาล แต่คลาดกัน นางพยาบาลบอกว่าคุณพาแม่กลับบ้านแล้ว”
พิมพ์นาราแปลกใจที่เขารู้ว่าแม่เธอเข้าโรงพยาบาล แต่เธอยังไม่ทันเอ่ยถามก็รู้สึกว่าแขนถูกสะกิดจากด้านหลัง
“ฉันยังไม่ได้บอกแกใช่ไหม” ชไมพรทำหน้าเสียนิดๆ “เขาเป็นคนพาแม่แกไปส่งโรงพยาบาล เขาติดต่อฉันหลังจากติดต่อแกไม่ได้”
คนฟังรับฟังข้อมูลด้วยท่าทางนิ่งสงบ และไม่ถึงอึดใจต่อมาหญิงสาวก็เดินไปหน้าบ้าน ทำบางอย่างที่ทำให้ชไมพรต้องอ้าปากค้าง
พิมพ์นาราเปิดประตูบ้านให้พุฒิพงศ์ “ถ้าคุณมาเยี่ยมแม่ ก็เข้ามาก่อนสิ”
อย่าว่าแต่ชไมพรเลย แม้แต่พุฒิพงศ์เองก็อดที่จะอึ้งไม่ได้ เขาคาดว่าจะถูกต่อว่าหรือไม่ก็ไล่ให้กลับไป การถูกเชิญเข้าบ้านไม่ใช่การคาดการณ์ของเขา เพราะไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองนัก พุฒิพงศ์จึงไม่ได้ขยับไปไหน ได้แต่ยืนกะพริบตาปริบมองอดีตภรรยานิ่งเท่านั้น
“คุณจะไม่เข้ามาเหรอ”
“เข้าสิ” พุฒิพงศ์รีบตอบเพราะกลัวพิมพ์นาราจะเปลี่ยนใจปิดประตูบ้าน เมื่อเข้ามายืนด้านในเขาก็ยื่นส่งกระเช้าของเยี่ยมในมือให้ “ของเยี่ยม”
พิมพ์นาราเอ่ยขอบคุณขณะยื่นมือออกไปรับของมา แล้วหมุนตัวกลับเดินนำเข้าไปในบ้าน ชไมพรยืนมองเพื่อนสนิทตาค้างขณะที่อีกฝ่ายเดินผ่านหน้าเข้าบ้านไป พาณีที่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องน้ำก็ตกใจจนเกือบจะรับไหว้อดีตลูกเขยแทบไม่ทันเหมือนกัน
พาณีในฐานะเจ้าของบ้านรีบเชิญแขกทั้งสองนั่งที่โซฟา สายตาสามคู่มองสลับกันไปมาเหมือนจะถามแต่ละฝ่ายว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่มีใครตอบคำถามได้ บรรยากาศในห้องรับแขกจึงอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสามนั่งตัวเกร็งบนโซฟาคนละตัว เมื่อพิมพ์นาราเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับแก้วน้ำสองใบในมือ
แก้วน้ำเย็นถูกวางตรงหน้าพุฒิพงศ์ ส่วนอีกแก้วที่น้ำไม่เย็น พิมพ์นาราวางลงตรงหน้าแม่ของเธอ
สายตาสามคู่จ้องมองพิมพ์นาราเป็นตาเดียว
“เปิ้ลบอกฉันแล้วว่าคุณเป็นคนพาแม่ส่งโรงพยาบาล ขอบคุณคุณมากนะ”
“ครับ” พุฒิพงศ์ตอบได้แค่นั้น เพราะเขายังมึนงงกับท่าทีของหญิงสาวอยู่
พาณีกับชไมพรเหลือบมองสบตากัน แต่ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่มองคู่อดีตสามีภรรยาสลับกันไปมาเท่านั้น ตอนนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือของพิมพ์นาราที่เธอเสียบชาร์จแบตเตอรี่เอาไว้ไม่ไกลนักส่งเสียงเตือนข้อความเข้า
“คุณคุยกับแม่ตามสบายนะ ฉันขอตัว”
“เดี๋ยวนา!” พุฒิพงศ์ลุกพรวดขึ้นยืน คิ้วหนาขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิดที่เธอดูจะไม่สนใจเขาเลย ทำราวกับเขาเป็นเพื่อนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น “ที่จริงผมมาที่นี่ไม่ได้แค่จะมาเยี่ยมแม่คุณเท่านั้น ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณด้วย”
“คุยกับฉัน? เรื่องอะไร” หญิงสาวถามกลับตรงๆ ไม่มีท่าทีไม่พอใจเลยสักนิด เธอรอให้เขาพูด แต่อีกฝ่ายก็ไม่พูด หญิงสาวจึงเอ่ยต่อ “จะพูดอะไรก็พูดมาเลย ฉันรอฟังอยู่”
พุฒิพงศ์บอกไม่ได้ว่าทำไม แต่เขากำลังหงุดหงิดมาก!
“คนเช่าคอนโด เขาจะขอต่อสัญญาอีกปี แต่เขาติดต่อคุณไม่ได้ก็เลยโทร. มาหาผม”
“อ้อ ขอบคุณที่มาบอกนะ เดี๋ยวที่เหลือฉันจัดการต่อเอง” พิมพ์นาราพูดจบก็หมุนตัวจะเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือ แต่ต้องชะงักเพราะเสียงพุฒิพงศ์ดังขึ้นอีก
“ผมรู้จากแม่ว่าคุณไปต่างประเทศมา”
พิมพ์นาราหันกลับมาพร้อมกับคิ้วเรียวที่เลิกสูง “ใช่”
“คุณไปคนเดียวเหรอ สนุกหรือเปล่า”
ครั้งนี้หญิงสาวทำให้พุฒิพงศ์ต้องประหลาดใจอีกครั้ง เพราะเธอถึงกับส่งยิ้มให้เขา!
“มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตฉันช่วงหนึ่งเลยละ”
“ดูเหมือนคุณจะชอบมากจริงๆ”
“แน่สิ ฉันได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ คุณอาจจะไม่เชื่อก็ได้ แต่ฉันเนื้อหอมมากเลยนะ” พิมพ์นาราตอบกลับไปโดยไม่ได้คิดจะประชดประชันคนถามเลยสักนิด แทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าคนถามเป็นอดีตสามีของตัวเอง เธอก็แค่กำลังคิดถึงใครบางคนเท่านั้นเอง “ฉันไม่เคยคิดเลยว่าการอ่อยผู้ชายสักคนก็สามารถทำให้สนุกได้เหมือนกัน”
พาณีกับชไมพรพากันอ้าปากค้าง ขณะที่พุฒิพงศ์กัดฟันกรอด เพราะความหงุดหงิดที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
“คุณพยายามจะประชดผมเหรอนา”
“หืม?” พิมพ์นาราหันมามองเขาทันที “ประชดเหรอ ทำไมต้องประชดล่ะ”
ถ้าเธอแสร้งทำท่ายิ้มเยาะเขาคงจะไม่โมโหขนาดนี้ แต่ท่าทางจริงจังของเธอทำให้ชายหนุ่มแทบอยากจะเดินเข้าไปกระชากร่างบางมาเขย่าถามให้รู้แล้วรู้รอดว่าเธอพูดจริงหรือเปล่า
“ฉันต้องขอบคุณอีกครั้งนะ ทั้งเรื่องที่คุณพาแม่ฉันไปส่งโรงพยาบาล แล้วก็เรื่องคนเช่าคอนโด ส่วนที่เหลือฉันจะจัดการต่อเอง คุณคุยกับแม่ตามสบายเลยนะ ฉันขอตัว ไม่ส่งนะ” พูดจบพิมพ์นาราก็เดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ จากนั้นใบหน้าหวานก็ปรากฏรอยยิ้มสดใส เธอไม่พูดอะไรอีก แค่ถือโทรศัพท์มือถือเดินหายเข้าไปในครัว ทิ้งบรรยากาศอึดอัดในห้องนั่งเล่นเอาไว้ข้างหลังโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
พาณีกับชไมพรอึ้งไปครู่ใหญ่ ทั้งสองหันมามองหน้ากันก่อนจะเบนสายตาไปทางคนร่างสูงที่ยืนกัดฟันกรอดอยู่กลางห้องนั่งเล่น
ชายหนุ่มเองเมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกมองอยู่จึงยิ่งหงุดหงิด เขาหันไปทางพาณี พยายามระงับอารมณ์จนสามารถบังคับให้ตัวเองบอกลาผู้อาวุโสกว่าได้โดยไม่ต้องส่งเสียงคำราม
พุฒิพงศ์เดินออกมาข้างนอก เปิดประตูรถเตรียมจะเข้าไปนั่ง อดไม่ได้ที่จะตวัดสายตากลับไปมองด้านในตัวบ้านอีกครั้ง
ถ้าพิมพ์นาราอาละวาดใส่ พุฒิพงศ์จะไม่รู้สึกอะไร แต่ท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจเขานั่นมันอะไรกัน ทั้งๆ ที่พยายามบอกตัวเองว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นเพียงคำประชดประชัน แต่ไม่รู้ทำไมอีกเหมือนกัน เขาถึงหงุดหงิดแทบบ้าแบบนี้ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าที่พิมพ์นาราพูดมาเมื่อกี้เป็นเรื่องจริง
“บ้าเอ๊ย!” ชายหนุ่มสบถกับตัวเองอีกครั้งก่อนจะเข้าไปนั่งในรถ เสียงสตาร์ตเครื่องยนต์ดังขึ้น ก่อนจะตามด้วยเสียงล้อบดถนนเมื่อคนขับเหยียบคันเร่งตอนรถออกตัว
สองคนที่ยังอยู่ในห้องนั่งเล่นหันมามองหน้ากันอีกครั้ง
“ยายนาไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังเลยเหรอเปิ้ล หรือว่ายายนาไปเจอใครถูกใจที่นั่น เพราะอย่างนี้หรือเปล่าถึงเลื่อนตั๋วกลับไทย”
“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะแม่ ที่พอได้ยินมาบ้างก็เรื่องมีคนมาจีบ แต่เรื่องอื่นยายนาไม่ได้บอกอะไรหนูเลย”
“แม่ว่าต้องมีอะไรแน่ๆ”
“หนูก็ว่างั้นเหมือนกันค่ะ”
สองคนต่างวัยเอนตัวสุมหัวเห็นพ้องต้องกัน
“ถ้าแม่ถาม ยายนาต้องไม่ตอบแน่ๆ เปิ้ลช่วยเป็นธุระให้แม่เรื่องนี้หน่อยนะ”
“ให้เป็นหน้าที่เปิ้ลเองค่ะแม่”
“หน้าที่อะไร” เสียงพิมพ์นาราที่ดังขึ้น ทำเอาทั้งสองคนสะดุ้งโหยง รีบผละห่างออกจากกันด้วยท่าทางมีพิรุธสุดๆ “ว่าไงแม่ เปิ้ล นี่วางแผนทำอะไรกัน อย่าบอกนะว่าแม่ยังไม่เลิกคิดจะหาคู่ให้นาอีก แกคงไม่ได้จะเข้าข้างแม่ฉันใช่ไหมเปิ้ล"
“เห็นแม่เป็นคนยังไงฮึยายนา”
“แม่สื่อตัวยุ่ง” พิมพ์นาราตอบกลับทันที
“พิมพ์นารา!”
“นารู้ว่าแม่เป็นห่วงนา แต่แม่ไม่จำเป็นต้องเที่ยวจับนาใส่พานไปให้ใครต่อใครก็ได้ ให้นาตัดสินใจด้วยตัวเองเถอะนะคะ”
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ลูกสาวเธอคงจะตอบว่าไม่คิดจะสนใจใครอีกแล้ว แต่ตอนนี้คำตอบกลับเปลี่ยนไป ไม่ใช่ว่าไม่อยากคบหาใคร แต่กลายเป็นขอตัดสินใจด้วยตัวเอง สิ่งที่ได้ยินทำให้พาณียิ่งมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิด
มีบางอย่างเกิดขึ้นที่นิวซีแลนด์แน่ๆ หรือพูดให้ถูกก็คือลูกสาวของเธอจะต้องพบใครบางคนที่นั่นแน่ๆ
“นี่ก็เที่ยงแล้ว กินข้าวกันดีกว่า แม่ต้องกินยาด้วย” พิมพ์นาราพูดขึ้นแล้วเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง
พาณีรีบหันไปส่งสายตาให้ชไมพรทันที ซึ่งคนอายุน้อยกว่าก็พยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งเครียดราวกับกำลังปฏิบัติภารกิจสำคัญระดับชาติ ก่อนจะรีบลุกแล้วเดินตามเพื่อนเข้าไปในครัว
“เมื่อกี้มันอะไรกัน”
คำถามของเพื่อนทำให้คนกำลังเทอาหารออกจากถุงใส่จานชะงักไปเล็กน้อย
“แกหมายถึงอะไร ที่ฉันพูดกับแม่เมื่อกี้น่ะเหรอ ถามเหมือนไม่รู้ว่าฉันหนีไปนิวซีแลนด์ทำไม”
ชไมพรเข้ามาช่วยเพื่อนจัดอาหารใส่จาน แต่สายตายังจ้องมองเหมือนจะจับผิด “ฉันหมายถึงที่แกเชิญ ‘อดีตสามี’ เข้าบ้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั่นต่างหาก”
คิ้วเรียวเลิกสูงนิดๆ “ก็แกบอกเองว่าเขาเป็นคนพาแม่ฉันไปส่งโรงพยาบาลนี่”
“มันก็ใช่ แต่ฉันไม่คิดว่าแกจะเชิญเขาเข้าบ้าน ครั้งล่าสุดที่ฉันจำได้ แกแทบห้ามตัวเองไม่ให้กระโดดเตะก้านคอเขาไม่ได้”
พิมพ์นารายักไหล่นิดๆ เหมือนไม่ใส่ใจ “เขามาเยี่ยมแม่ก็คือส่วนของแม่ ฉันเองก็ไม่ได้รังเกียจพ่อกับแม่เขาเหมือนกัน”
ชไมพรจ้องเพื่อนเขม็งเหมือนพยายามจับผิดบางอย่าง แต่คนเป็นเพื่อนก็ไม่แสดงท่าทีผิดปกติอะไรเลยสักนิด
“แก...ไม่โกรธไม่เกลียดเขาแล้วจริงๆ น่ะเหรอ ไม่เหลือความรู้สึกเลยสักนิด?”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงจะดีน่ะสิ” พิมพ์นาราตอบกลับทันที “ผู้ชายคนนั้นมีอิทธิพลในชีวิตฉันมาสิบเจ็ดปีนะเปิ้ล มันไม่ใช่เวลาที่จะตัดทิ้งไปได้ง่ายๆ เขามีส่วนร่วมเกือบทุกช่วงในความทรงจำของฉัน ทั้งวันที่สุขที่สุดและวันที่ทุกข์จนแทบอยากตาย มันไม่ใช่สิ่งที่จะลืมได้ในเวลาแค่เดือนสองเดือนหรอกนะ”
“ฉันขอโทษ”
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก มันยังเจ็บอยู่ก็จริง แต่มันไม่ได้เจ็บมากขนาดนั้นอีกแล้วละ” พิมพ์นาราเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งขบขัน “แกรู้อะไรไหม พอฉันได้อยู่คนเดียว ได้มีเวลาคิด ได้มีเวลามองย้อนกลับไป ฉันก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่าการร้องไห้แทบเป็นแทบตายของฉันตอนนั้น เป็นเพราะเสียใจหรือเพราะความโกรธกันแน่”
พิมพ์นาราหันกลับมาส่งยิ้มให้เพื่อนสนิท
“บางทีนะเปิ้ล บางทีลึกๆ แล้วฉันอาจจะเตรียมใจเอาไว้ตั้งนานแล้วก็ได้”
“นา...”
“ตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว แต่ตอนนั้นฉันพยายามปลอบใจตัวเองว่ามันจะไม่เป็นไร ฉันรู้ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป ถึงพุฒิจะพยายามปกปิดมัน แต่ฉันก็รู้สึกได้ จริงอยู่ว่าเรื่องบนเตียงของฉันกับเขาไม่ได้หวือหวาร้อนแรง แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย สามีที่ไม่แตะต้องภรรยาตัวเองเลยทั้งๆ ที่ไม่ได้เจอกันหลายเดือน มันจะเป็นไปได้เหรอ ความต้องการบนเตียงน่ะเป็นพื้นฐานอย่างหนึ่งระหว่างชายหญิงนะ...
ไม่ใช่เขาคนเดียวที่รู้จักฉันมาสิบเจ็ดปี ฉันเองก็รู้จักเขาพอๆ กันนั่นแหละ เพราะไม่อยากเชื่อว่าเขาอาจจะมีคนอื่นฉันก็เลยหลอกตัวเองมาตลอดสามปี จนกระทั่งถึงวันที่พุฒิเดินเข้ามาบอกฉันว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันก็ยังไม่คิดจะยอมรับความจริง ดื้อดึง รั้งให้ตัวเองต้องทรมานอีกเกือบปี! คิดย้อนกลับไปแล้ว ฉันนี่ก็บ้าใช้ได้เหมือนกัน”
ชไมพรไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ เธอจึงไม่รู้จะปลอบคนเป็นเพื่อนอย่างไร
“ฉันคิดนะว่าสาเหตุที่ฉันพยายามจะยื้อพุฒิเอาไว้ก็เพราะเขาเป็นแฟนคนแรกของฉัน เป็นผู้ชายคนแรกของฉัน สิบเจ็ดปีที่ฉันพยายามเป็นทุกอย่างที่ดีที่สุดในสายตาเขา เป็นผู้หญิงว่าง่าย เชื่อทุกอย่างที่เขาพูด เพราะคิดว่าเขาเป็นโลกทั้งใบของฉัน” พิมพ์นาราหยุดไปอึดใจ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ “โง่เนอะ ว่าไหม”
“ไม่หรอก” ชไมพรอยากจะปลอบใจ แต่จะเถียงอะไรได้ เพราะที่เพื่อนพูดมาเป็นเรื่องจริงนี่สิ
เธอเองก็มีครอบครัวแล้ว แต่สามีของเธอไม่เหมือนพุฒิพงศ์ ชไมพรมีอิสระที่จะคิด ทำ หรือเสนออะไรก็ได้ เกรียงไกรจะฟังเธอเสมอ แต่กับคู่ของพิมพ์นาราแล้วต่างกัน พุฒิพงศ์คือคนกำหนด พิมพ์นาราคือคนที่เดินตาม
“แต่โบราณเขาว่าฟ้าหลังฝนมักสว่างเสมอ คนเราก็มักจะโง่ก่อนจะฉลาด ต้องเจอของแย่ก่อนจะได้รู้ว่าอะไรคือของดีจริงไหม” น้ำเสียงช่วงท้ายประโยคระรื่นอย่างชัดเจนจนคนเป็นเพื่อนต้องรีบเงยหน้าขึ้น แต่คนพูดไม่อยู่รอให้ซัก พิมพ์นาราถือจานกับข้าวสองมือเดินตัวปลิวไปถึงประตูห้องครัวแล้ว
“เมื่อกี้แกว่าไงนะนา”
“หืม ว่าไง อะไรเหรอ” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์และการลากเสียงนั้นบอกชัดเลยว่าต้องมีอะไรแน่ๆ
“หยุดเลยนะพิมพ์นารา พูดแบบนี้มันต้องมีอะไรแน่ๆ นี่ยายนา!” ชไมพรรีบหันไปคว้าถ้วยต้มยำเอาไว้ทั้งสองมือ ปากตะโกนถามไม่หยุด ขณะที่รีบสาวเท้าตามหลังเพื่อนสนิทไปติดๆ
ความคิดเห็น |
---|