6

ไปกันเถอะ


6

ไปกันเถอะ

 

ทันทีที่เปิดประตูออกมา กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารก็ทำให้น้ำย่อยในกระเพาะของพิมพ์นาราปั่นป่วนอีกระลอก เท้าทั้งสองข้างเดินตามกลิ่นอาหารมา สุดระเบียงทางเดินเล็กๆ ลงบันไดไปสามขั้นคือห้องกว้างเปิดโล่งที่มีผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกใสจากพื้นจดเพดานสูงราวสามเมตรเห็นจะได้

แต่ต่อให้ภาพนี้จะสวยมากแค่ไหนก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจเธอได้เท่ากับจานอาหารที่ตั้งเรียงรายอยู่บนเคาน์เตอร์ครัวที่อยู่อีกด้านของห้อง

พิมพ์นาราก้าวลงบันได เดินตรงไปหยุดที่หน้าชามมันฝรั่งบด ควันสีขาวที่ลอยขึ้นมาทำให้หญิงสาวรู้ว่าเจ้านี่เพิ่งจะปรุงเสร็จ แม้จะรู้ว่าเป็นการเสียมารยาท แต่กลิ่นหอมเย้ายวนนี้ทำให้เธออดใจไม่ไหว ใช้ปลายนิ้วจิ้มปาดมันบดที่ขอบถ้วยมาใส่ปาก

มันบดเนื้อนุ่มอุ่นๆ ผ่านการปรุงรสมาแล้วละลายอยู่ในปาก เรียกเสียงครางในลำคอของคนกำลังหิวโหยจนท้องกิ่วได้อย่างดี

“ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีก” เสียงทุ้มดังขึ้นขณะที่ปลายนิ้วของพิมพ์นารายื่นไปที่ชามมันบดอีกครั้ง

พอถูกทักคนร่างบางก็สะดุ้งเฮือกหน้าเหลอ ขยับเท้าออกห่างจากชามมันบด มือทั้งสองข้างถูกส่งไปอยู่ด้านหลัง เหมือนเด็กที่ทำผิดแล้วถูกจับได้ไม่มีผิด เรียกรอยยิ้มจากคนร่างสูงได้ดีนัก

“ถ้าคุณทำแบบเมื่อกี้ มื้อเย็นอาจจะต้องรออีกหน่อย”

คนฟังหน้าแดงระเรื่อขึ้นทันที อดเหน็บในใจไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้ทำไมถึงพูดจาลามกได้หน้าตาเฉย แถมยังฟังไม่เหมือนพวกบ้ากามเลยด้วย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วอีตานี่มักมากแบบสุดๆ!

“ขอโทษที่หยิบเสื้อผ้าคุณมาใช้โดยไม่บอก” พิมพ์นาราพูดขึ้นทันทีเมื่อเห็น ดวงตาคมกวาดมองเธอตั้งแต่หัวจดปลายเท้า

“ผมไม่ได้ว่าอะไร แต่สารภาพว่ากางเกงวอร์มทำให้ผมแปลกใจ ผมหวังจะได้เห็นเสื้อตัวเดียวแบบเซ็กซี่นิดๆ”

“ฉันไม่มีชั้นในนี่” พิมพ์นาราพึมพำตอบกลับไป แต่คนหูดีได้ยินชัดเจน

คิ้วหนาเลิกสูงนิดๆ ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย เขาเดินเข้ามาหา วางขวดไวน์ลงบนเคาน์เตอร์ “ความผิดผมเอง ผมมัวแต่ทำอาหาร ไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้ กระเป๋าเป้คุณยังอยู่ในรถ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จผมจะออกไปเอามาให้” พิมพ์นารากำลังจะเอ่ยขอบคุณเขา แต่อีกฝ่ายพูดต่อว่า “ความจริงมันก็ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไร เพราะยังไงผมก็ต้องถอดมันออกอยู่ดี คุณยังต้องการมันอีกจริงเหรอ”

“ฉันต้องการ ขอความกรุณาด้วยค่ะ”

ธาวินอมยิ้มแล้วตอบกลับ “ได้แน่นอนครับ แต่หลังจากผมเสิร์ฟมื้อเย็นให้คุณก่อนนะ”

พิมพ์นาราตวัดมองค้อนเป็นพิธีอีกเล็กน้อย ก่อนจะช่วยเขายกจานอาหารไปที่โต๊ะกินข้าว มื้อเย็นวันนี้เป็นสเต๊กเนื้อแกะหอมกรุ่นชิ้นสวยน่ากิน มันบดราดซอสเกรวีที่คนร่างสูงบอกว่าเป็นสูตรลับเฉพาะของเขา สลัดปลาแซมอนเสิร์ฟพร้อมกับไวน์แดงชื่อดังของที่นี่

“นี่บ้านคุณเหรอ”

“ก็ไม่เชิง แต่จะเรียกแบบนั้นก็ได้” เขาตอบรับราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร

“อธิบายหน่อยได้ไหม”

“ถ้าพูดถึงเรื่องกรรมสิทธิ์ถือครองมันเป็นของผม ช่วงแรกๆ ที่ซื้อ ผมมาพักเดือนละครั้งสองครั้ง แต่มาช่วงหลังๆ นี้งานผมยุ่งมาก ปีหนึ่งได้มาพักสักที ก็เลยยกให้เพื่อนที่เป็นเจ้าของบริษัทที่คุณไปกระโดดร่มเป็นคนดูแล บ้านนี้ทำเลดี วิวสวย เพื่อนผมก็เลยออกความเห็นว่าน่าจะปล่อยให้เช่าแบบชั่วคราว แบบรายวัน รายสัปดาห์ ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะเสียหายอะไรก็เลยยกให้เขาไปจัดการเรื่องนี้เอาเอง แต่ดุคก็ไม่ได้ให้คนเช่ามั่วๆ หรอกนะ การตั้งราคาเช่าที่ค่อนข้างสูงก็ทำให้สามารถคัดกรองคนที่จะเข้ามาเช่าได้ส่วนหนึ่ง ถ้าไม่มีคนเช่าหรือผมไม่ได้มา ทุกๆ วันพุธก็จะมีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาด ”

“คุณ...ทำงานอะไรเหรอ”

“ออกแบบเรือยอช์ต คล้ายๆ กับพวกอินทีเรียร์ตกแต่งภายในนั่นแหละ ต่างกันที่ผมไม่ได้ออกแบบห้องหรือภายในบ้าน แต่เป็นเรือยอช์ตส่วนตัว นานๆ ครั้งก็รับงานออกแบบภายในเครื่องบินส่วนตัวด้วย แต่ไม่มากนัก”

พิมพ์นาราไม่มีความรู้เรื่องนี้จึงคาดเดารายได้ของเขาไม่ได้ แต่คิดว่าคงไม่น้อย ไม่อย่างนั้นเขาคงเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ไม่ได้ ผู้ชายหน้าตาอย่างเขา หน้าที่การงาน ฐานะดีขนาดนี้แถมยังเก่งเรื่องทำครัวอีก ไม่น่าแปลกไปหน่อยหรือที่เขายังไม่มีภรรยา

“ทำไมคุณยังโสด” คำถามนี้หลุดออกจากปากไปก่อนที่พิมพ์นาราจะทันรู้ตัว พอรู้ว่าตัวเองถามอะไรออกไป หญิงสาวก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจ เหมือนเธอแค่ถามคำถามทั่วๆ ไป ไม่ได้อยากรู้อยากเห็นอะไรเป็นพิเศษ

โดยที่พิมพ์นาราไม่รู้เลยว่าการพยายามของเธอช่างไร้ความหมาย เพราะคนถูกถามไม่ได้คิดอะไรเลยสักนิด

“ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ ก็แค่ไม่ได้คบหาใคร” ก่อนหน้านี้งานของธาวินยุ่งมากจนเขาไม่มีเวลาจะแบ่งสมองไปคิดเรื่องอื่น เขาอายุขนาดนี้ หมดสนุกกับการคบหาผู้หญิงอย่างฉาบฉวยแล้ว

ไม่รู้เพราะอะไร คำตอบอย่างขอไปทีของเขาทำให้พิมพ์นาราอารมณ์เสีย

“ถ้าคุณไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร ความจริงฉันเองก็ไม่ควรถาม ในเมื่อฉันเป็นคนออกกฎเรื่องระหว่างเรา เอาเป็นว่าฉันขอโทษที่ถามก็แล้วกัน”

“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ แล้วผมก็เต็มใจตอบคำถามของคุณด้วย”

“ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ ก็แค่ไม่ได้คบหาใคร นี่เรียกว่าตอบแบบเต็มใจ?”

“ใช่”

คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน แต่สายตาอีกฝ่ายกลับบอกชัดว่าเขาจริงจังกับคำตอบนี้มาก

แต่...เหตุผลแค่นี้จริงๆ น่ะเหรอ

ธาวินมองคนที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดตรงหน้าแล้วอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ดวงตาคมส่อประกายเจ้าเล่ห์เมื่อเอ่ยอีกครั้ง

“จริงๆ ก็มีเหตุผลพิเศษอยู่เหมือนกันนะ”

พิมพ์นาราเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตจ้องเขาจริงจัง ท่าทางตั้งใจฟังมาก

ชายหนุ่มยกมือขึ้นปิดปากแสร้งทำเสียงกระแอมกลบเกลื่อนรอยยิ้มของตัวเอง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“พวกเธอไม่ได้เรียกผมว่า ไอ้คนเฮงซวย”

คนฟังกะพริบตาปริบ “อะไรนะ”

“คุณถามหาเหตุผลว่าทำไมถึงไม่ได้คบหาใครไม่ใช่เหรอ ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่ทันคิดหรอก แต่พอคุณทักก็เลยลองคิดดู ในบรรดาผู้หญิงที่ผมเจอ ไม่มีใครดึงดูดความสนใจของผมได้เลยจริงๆ จนกระทั่งผมพบผู้หญิงน่ารักคนหนึ่งเมื่อไม่กี่วันก่อน เสียงตะโกนลั่นฟ้าของเธอตราตรึงเข้ามาถึงกลางใจผมเลย”

พิมพ์นาราไม่รู้แล้วว่าจะปั้นหน้าอย่างไร จะหน้าแดงเพราะอาย หรือจะหน้าเขียวเพราะโกรธคนตรงหน้าดี เธอบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากำลังรู้สึกแบบไหน หญิงสาวได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น ขณะที่ดวงตากลมจ้องมองคนที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะกินข้าวตัวเล็ก

“คุณจะไม่ลืมมันใช่ไหม” เธอถามหลังจากพยายามปรับอารมณ์ครู่ใหญ่

“ไม่ครับ” อีกฝ่ายตอบกลับทันที “อย่างที่บอก เสียงตะโกนของเธอตราตรึงใจผมมาก”

“แล้วจะตราตรึงกว่านี้ไหมคะ ถ้าเธอฝากรอยข่วนไว้บนหน้าคุณ”

คิ้วหนาเลิกสูง มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจคนมองกระตุกไหว รู้สึกอดระแวงระวังไม่ได้

“เธอทิ้งรอยข่วนเอาไว้แล้วครับ แต่เป็นที่หลังของผมนะ คุณอยากดูไหม มันค่อนข้างน่าประทับใจทีเดียวเมื่อคิดว่าผมได้มันมายังไง และผมหวังว่าเธอจะทำมันอีก”

แค่คำพูดของเขามันก็น่าอายมากพอแล้ว โดยไม่ต้องมีสายตาคมๆ ที่เหมือนกำลังคาดหวังอย่างจริงจังนั่นเลยก็ได้

หุบปาก! พิมพ์นารายอมหุบปากตัวเองแล้วจริงๆ

“หึๆๆ”

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำที่ดังขึ้นเรียกดวงตากลมโตให้ค้อนขวับตอบกลับแทบจะทันที แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เสียงหัวเราะนั้นดังขึ้นไปอีก

 

“แกโอเคแน่นะ”

พิมพ์นาราถอนหายใจยาวกับคำถามที่ชไมพรถามเธอเป็นครั้งที่ห้าแล้ว และแม้ทุกครั้งเธอจะยืนยันว่าไม่ได้เป็นอะไร แต่สีหน้าของเพื่อนที่เห็นผ่านหน้าจอโทรศัพท์ก็ยังไม่คลายความกังวล

“ฉันโอเคมากๆ ขอบใจที่เป็นห่วง แต่ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ นะ ฉันสาบานได้เลยนะเปิ้ลว่าฉันไม่ได้จิตตกอะไรทั้งนั้น” หญิงสาวย้ำกับเพื่อนอีกครั้ง

“แกแค่ติดใจที่นั่นจริงๆ น่ะเหรอ”

“อื้ม!” พิมพ์นาราตอบกลับ เธอไม่แน่ใจว่าเพราะมีชนักติดหลังหรือเปล่า ถึงรู้สึกว่าเสียงตัวเองสูงกว่าปกติ จึงต้องรีบปรับเสียงใหม่ “ควีนส์ทาวน์เป็นเมืองที่สงบและสวยมาก”

“ฉันเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ฉันมีโอกาสไปเที่ยวที่นั่นแค่ครั้งเดียว แถมได้อยู่แค่สองวันก็ต้องกลับแล้ว”

“รอน้องภัทรโตอีกหน่อย แกก็พามาเที่ยวสิ”

“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว ความจริงฉันวางแผนจะส่งลูกไปเรียนมัธยมแล้วต่อมหาวิทยาลัยที่นั่นเลย แต่พอคิดก็ยังทำใจไม่ได้จริงๆ” คนติดลูกเอ่ยเสียงอ่อย

ทำเอาคนเป็นเพื่อนแทบอยากจะกลอกตา เพราะอย่างน้อยๆ ก็ต้องรออีกสิบปีโน่นละกว่าน้องภัทร ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของชไมพรจะเข้าเรียนชั้นมัธยม “เรื่องส่งลูกออกจากอก พูดแล้วก็อดใจหายไม่ได้ เปลี่ยนเรื่องดีกว่า มาคุยเรื่องของแกกัน”

“เรื่องฉัน? มีอะไรให้คุยล่ะ”

“พี่ออดี้เล่าให้ฉันฟังแล้วนะ เรื่องหนุ่มๆ ที่เรียงแถวเข้ามาจีบแก รีบเล่ามาให้หมดเลย”

“ไม่มีอะไรจะให้เล่าหรอก”

“อ้าว! ได้ยังไง”

“ก็ไม่ยังไงนี่ พวกเขามาจีบ แต่ฉันไม่สนใจ ก็เลยไม่มีอะไรจะเล่า”

“แค่นั้นน่ะเหรอ” คนเป็นเพื่อนถามกลับมา ดวงตาเบิกกว้างก่อนจะหรี่แคบลง “อย่าบอกนะว่าแกยัง...”

“หยุดเลยนะเปิ้ล ถ้าขืนแกพูดออกมาละก็ ฉันโกรธแกจริงๆ ด้วย” พิมพ์นาราตัดบทเพื่อนสนิททันที ถึงเธอจะบอกกับคนอื่นรวมทั้งตัวเองว่าไม่เป็นไร แต่ก็ใช่ว่าจะชอบเวลาที่คนอื่นมาสะกิดแผล

เธอเป็นภรรยาของผู้ชายคนนั้นมาสิบปีนะ ไม่ใช่สิบชั่วโมง คิดแล้วพิมพ์นาราก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ เพราะพุฒิพงศ์อยู่ร่วมเกือบจะทุกเหตุการณ์สำคัญในชีวิตเธอ ถ้าจะให้คิดแบบไม่มีเขาอยู่ด้วย ก็คงต้องย้อนไปตอนที่เธอปั่นจักรยานครั้งแรกเลยละมั้ง

ชไมพรเห็นสีหน้าเพื่อนสนิทก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แล้วนี่แกตั้งใจจะอยู่ควีนส์ทาวน์กี่วัน จะเลื่อนตั๋วกลับไทยด้วยหรือเปล่า”

“ฉันยังไม่ได้คิดว่าจะอยู่ต่อกี่วัน”

“แหมๆ อะไรกัน ติดใจเมืองชนบทขนาดนั้นเชียว นี่ถ้าเป็นคนอื่นฉันคงคิดว่าแกหลงคนมากกว่าสถานที่” ชไมพรแซวเพื่อน เพราะอยากเปลี่ยนบรรยากาศก่อนหน้านี้ โดยที่ไม่รู้เลยสักนิดว่าคำพูดของตัวเองแทงใจดำคนฟังเข้าอย่างจัง

พิมพ์นาราเกือบหลุดสำลักอากาศออกมาอยู่แล้ว ดีที่เธอควบคุมตัวเองเอาไว้ได้เสียก่อน และโชคดีมากที่นี่เป็นเพียงการพูดคุยผ่านวิดีโอคอล ไม่อย่างนั้นชไมพรคงเห็นแก้มที่แดงก่ำของเธออย่างชัดเจนไปแล้ว

“เอาละๆ ที่นี่ดึกแล้ว ฉันไปนอนก่อนดีกว่า เอาไว้ฉันตัดสินใจเรื่องวันกลับได้เมื่อไรแล้วจะบอก”

“อื้มๆ แกไปพักผ่อนเถอะ ฉันเองก็จะออกไปเยี่ยมแม่แกแล้วเหมือนกัน” ชไมพรรู้ตัวว่าพูดสะกิดแผลเพื่อนก็ไม่กล้าจะรั้งเอาไว้

“ฉันฝากแกดูแลแม่อีกสักพักนะ” พิมพ์นาราอดรู้สึกผิดไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้เธอละอายใจจนไม่กล้าติดต่อหาผู้เป็นแม่ตอนนี้ ขอเธอทำใจสักคืนหนึ่งก่อนก็แล้วกัน หญิงสาวไม่ได้ตั้งใจจะสารภาพว่าเธอทำอะไรลงไป เพราะถ้าทำแบบนั้น แม่เธออาจจะหัวใจวายเลยก็ได้

“เรื่องทางนี้ไม่ต้องห่วงหรอก เที่ยวให้สนุก ใช้เวลานี้ให้คุ้มค่าก็พอ หรือถ้าจะให้ดี แกก็หิ้วสามีสักคนมาฝากแม่แกเลยก็ได้ ฉันว่าแม่แกต้องดีใจแน่”

“แกถูกแม่ฉันล้างสมองแล้วใช่ไหม”

ชไมพรหัวเราะชอบใจ

“ฉันจะไปนอนแล้ว”

“อย่ามัวแต่หลงธรรมชาตินะ หลงหนุ่มๆ บ้างก็ได้ ไปๆ แยกย้าย” ชไมพรแซวทิ้งท้ายพร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก ก่อนสัญญาณภาพจะถูกตัดไป

พิมพ์นาราได้แต่จ้องมองหน้าจอที่ดับไปแล้วอย่างเอาเรื่อง ได้แต่บ่นงุบงิบพึมพำคนเดียว และพอเงยหน้าขึ้นแก้มเนียนทั้งสองข้างก็พลันร้อนผ่าวขึ้นมาอีกระลอก เพราะรอยยิ้มมุมปากของใครบางคนที่กำลังยืนกอดอกพิงกรอบประตู

จากสีหน้าเขา พิมพ์นารารู้ว่าเขาได้ยินคำพูดบางส่วนแน่ๆ แต่มากน้อยแค่ไหนนั้น เธอเดาไม่ออกจริงๆ

ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ขณะดวงตากลมจ้องมองคนตรงหน้าตรงๆ

“ผมไม่ได้แอบฟังนะ”

คิ้วเรียวเลิกสูงนิดๆ ถามโดยไม่ต้องออกเสียงว่า ‘เหรอ’

“ผมอาบน้ำเสร็จไม่เห็นคุณ แต่ได้ยินเสียงข้างนอกก็เลยเดินออกมาดู ทันได้ยินแค่ตอนบอกว่า แม่คุณคงดีใจถ้าคุณหิ้วสามีกลับไทยด้วย แค่นั้นเอง”

ถ้าเขาแค่พูดแซว หัวใจพิมพ์นาราคงไม่ได้รับผลกระทบเท่าไร แต่เพราะดวงตาคมส่องประกายระยิบระยับนั่นน่ะสิ ที่ทำเอาเธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง และหัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเมื่อคนร่างสูงเดินเข้ามาหาและหยุดตรงหน้า พร้อมกับผ้าคลุมเนื้อหนาที่ถูกนำมาห่อตัวเธอ ปกป้องเธอจากอากาศที่เย็นจัดหลังพระอาทิตย์ตกดิน

ทั้งสองมองสบตากัน แต่ไม่พูดอะไร พิมพ์นารารู้สึกแก้มเธอร้อนผ่าว แต่น่าแปลกที่หัวใจในอกซ้ายกลับรู้สึกสงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“คุณต้องกลับไทยเมื่อไร”

วินาทีนั้นธาวินแทบอยากจะต่อยตัวเองสักทีที่ถามคำถามนั้นออกไป “ผมขอโทษนา ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“ไม่เป็นไรค่ะ...” เสียงตอบของหญิงสาวเบาหวิวแทบจะเป็นเสียงกระซิบ ก่อนเธอจะเบือนหน้าหนี

แต่ช้าไปแล้วที่เธอจะซ่อนความสับสนในดวงตากลมโตคู่นั้น ธาวินเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน สายตาที่กำลังอ้อนวอนเขาเหมือนเด็กหญิงตัวน้อยที่ยังไม่พร้อมกลับบ้าน เห็นแบบนี้แล้วชายหนุ่มจะหักใจตัวเองได้อย่างไร ลำแขนแข็งแรงตวัดรัดเอวคนร่างบางเข้ามาในอ้อมแขน พร้อมกับที่ริมฝีปากเขาก้มลงไปหาริมฝีปากบางอิ่มของเธอ

รสชาติหอมหวานที่ได้ลิ้มรสเรียกเสียงครางกระหึ่มจากอกแกร่งได้อย่างดี มือข้างหนึ่งของเขาประคองแก้มเนียนของเธอเอาไว้ ปลายนิ้วหัวแม่มือแตะอยู่ที่ปลายคางมน กดน้ำหนักเล็กน้อยบังคับให้เธอต้องเปิดแย้มริมฝีปากให้เขาได้ส่งความร้อนผ่านเข้าไปสำรวจความหอมหวานของเธอได้อย่างลึกล้ำมากยิ่งขึ้น ขณะที่มืออีกข้างรวบร่างบางให้แนบติดกับร่างหนาของตัวเอง

ไม่ใช่แค่ธาวินเท่านั้นที่ถูกไฟราคะแผดเผา จูบร้อนแรงของเขาดึงทุกความกังวลให้หายไปจากใจเธอ แขนเรียวทั้งสองข้างยกขึ้นเกี่ยวคล้องลำคอแกร่งของเขาเอาไว้แน่น บดเบียดเรือนร่างตัวเองเข้าหาไอร้อนจากคนร่างสูงอย่างไม่รู้ตัว ศีรษะเอียงไปด้านข้างเพื่อเปิดทางให้เขาได้เข้าถึงเธอมากยิ่งขึ้น

จูบร้อนแรงยาวนานราวไม่อาจตัดใจผละห่างออกจากกันได้ทำให้ลมหายใจของทั้งสองหอบสะท้าน ธาวินขบเม้มริมฝีปากล่างที่บวมช้ำจากจูบของเขาอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะปล่อยเสียงครางอย่างพึงพอใจกับอาการสั่นสะท้านของคนในอ้อมแขน

“พระเจ้า...”

เสียงทุ้มแหบพร่ากระซิบชิดริมฝีปากหอมหวาน ก่อนเขาจะบดเบียดกลืนกินความหอมหวานนั้นอีกครั้ง สายลมและเสียงคลื่นดังอยู่ในอากาศ ย้ำเตือนให้ธาวินรู้ว่าพวกเขาทั้งสองยังยืนอยู่ที่ระเบียงด้านนอก คงไม่เหมาะเท่าไรที่พวกเขาจะพากันเปลือยเปล่าตรงนี้ แม้ชายหนุ่มจะมั่นใจว่าคนในอ้อมแขนจะไม่รู้สึกถึงความหนาวอย่างแน่นอน

ธาวินใช้แขนโอบกระชับร่างบางเอาไว้ ขณะที่ขาทั้งสองข้างค่อยๆ เดินถอยหลังกลับเข้าไปในตัวบ้าน ความสูงที่ต่างกันไม่เป็นอุปสรรคตอนจูบก็จริง แต่กลับเป็นอุปสรรคมากเมื่อคนหนึ่งต้องเดินถอยหลังพร้อมดึงอีกคนให้เดินตาม เสียงหัวเราะกับเสียงสบถดังขึ้นเป็นระยะ เมื่อพวกเขาคนใดคนหนึ่งชนกับขอบประตูหรือเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ในห้องนั่งเล่น

ห้องนอนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ผ่านห้องนั่งเล่น ขึ้นบันได และเดินอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว แต่ระยะทางที่แทบหลับตาเดินนี้กลับไกลมากเหลือเกินในความคิดของธาวินในยามนี้ เขาไม่คิดว่าจะพาตัวเองและคนในอ้อมแขนเดินผ่านเส้นทางนั้นไปได้อย่างราบรื่นนัก

พวกเขาอาจจะจบที่บันได หรือแย่กว่านั้นคือบนพื้นทางเดิน

วินาทีนั้นเองธาวินก็พลันนึกถึงพรมผืนใหม่ที่เขาเพิ่งได้มาไม่กี่วันก่อน พรมขนแกะสีขาวนุ่มที่เขาปูเอาไว้หน้าเตาผิง ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มคิดว่ามันเป็นของแต่งห้องที่ดี และตอนนี้เขาก็เห็นแล้วว่าเขาคิดถูก มันหนาพอที่จะช่วยไม่ให้เข่าเขาเจ็บมากนัก

มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นเล็กน้อยกับความคิดนั้น ขณะที่เขาค่อยๆ ชักนำพาคนในอ้อมแขนให้เดินตรงไปทางเตาผิงใหญ่ภายในห้องนั่งเล่น

พิมพ์นาราไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกพาไปที่ไหน แต่จริงๆ ก็ใช่ว่าเธอจะสน

ไม่เลย เธอไม่สน อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ ในอ้อมแขนของคนคนนี้ เธอเป็นแค่มิสซิสนา สมิธ ที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น

ร่างบางที่เบียดแนบชิดเข้ามาหาเรียกเสียงคำรามอย่างพึงพอใจจากคนร่างสูงได้อย่างดี ช่วงนี้ยังเป็นช่วงฤดูร้อน เตาผิงจึงไม่ได้จุดไฟเอาไว้ แต่อากาศในห้องที่เพียงแค่ปิดหน้าต่างเอาไว้ก็ไม่ได้หนาวเย็นจนถึงขั้นทนไม่ไหว ไฟสีส้มอ่อนที่ติดอยู่เหนือเตาผิงเสริมบรรยากาศความเร่าร้อนระหว่างทั้งสองได้อย่างดี

เสื้อผ้ากลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นจึงถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง ธาวินประคองร่างบางในอ้อมแขนลงสู่ผืนพรมนุ่ม ดวงตากลมโตเบิกกว้างเล็กน้อย มีแววตื่นตระหนกอย่างชัดเจนเมื่อเห็นว่าที่นี่เป็นที่ไหน แต่ชายหนุ่มไม่ปล่อยให้เธอได้มีเวลาคิดเรื่องอื่นนานนัก ริมฝีปากของเขาประกบลงมาอีกครั้ง พร้อมกับความร้อนของร่างกายที่กักกดร่างบางเอาไว้กับความนุ่มของพรมขนแกะ

มือหนาข้างหนึ่งไล้ไปตามแนวข้างลำตัวลงต่ำไปเรื่อยๆ ลูบไล้แผ่นท้องเนียนเรียบ ส่งกระแสไฟร้อนผ่าวผ่านปลายนิ้วทำให้ร่างบางกระตุกไหว เรียกเสียงหัวเราะทุ้มต่ำผ่านลำคอแกร่งได้อย่างดี ธาวินไม่ได้ใช้เพียงมือทั้งสองข้างสำรวจเรือนร่างเย้ายวนนี้เท่านั้น แต่เขายังใช้ริมฝีปากของเขาด้วย

สองครั้งก่อนหน้านี้ ครั้งแรกเขาแทบยั้งตัวเองไม่ไหว จำต้องยอมรับการขายหน้าเล็กน้อย แต่ครั้งนี้เขามุ่งมั่นแรงกล้าที่จะแก้ตัว ใช้เวลาปลุกปั่นอารมณ์ของคนในอ้อมแขนจนเธอต้องกรีดร้องอ้อนวอนเขา และตอนนี้ธาวินตั้งใจที่จะแสดงด้านที่นุ่มนวลของเขาให้เธอเห็น

มุมปากของธาวินยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนเขาจะทุ่มสมาธิมุ่งมั่นกับสิ่งที่ตั้งใจจะทำ

 

“ทิม...” เสียงหวานแหบระโหยเรียกชื่อเขา หางเสียงขาดหายไม่เต็มคำนัก เพราะจังหวะลมหายใจที่สะดุดด้วยริมฝีปากหนาร้อนผ่าวที่งับยอดอกข้างหนึ่งของเธอเอาไว้ในปากเพิ่มแรงขบเม้ม จนทำให้คนร่างบางสะท้านเฮือก ปลายเท้าจิกบนพรมขนแกะเนื้อนุ่ม สะโพกยกขึ้นบิดเร่าเสียดสีตัวเองกับต้นขาแกร่งของเขาอย่างไม่รู้ตัว ศีรษะของพิมพ์นาราแหงนหงายไปด้านหลัง แม้อากาศรอบกายจะต่ำกว่าสิบองศา แต่โคนผมรอบกรอบหน้ากลับมีร่องรอยของหยาดเหงื่อเปียกชื้น คิ้วเรียวเดี๋ยวขมวดเดี๋ยวคลาย แต่ส่วนใหญ่แล้วขมวดแน่น แก้มเนียนเปล่งปลั่ง ริมฝีปากบางอิ่มยามนี้บวมช้ำเล็กน้อย ทั้งแรงกัดจากฟันตัวเอง และการบดขยี้จากริมฝีปากเอาแต่ใจของอีกคน

ในหัวของพิมพ์นารายามนี้ขาวโพลนไปหมด ไม่สามารถคิดอะไรได้อีก สมองเหมือนกลายเป็นวุ้นไปแล้ว ร่างกายราวกับไม่เป็นของเธออีกต่อไป เธอขยับตอบสนองต่อทุกการกระทำของเขาอย่างไม่รู้ตัว เหมือนที่มือทั้งสองข้างของเธอซึ่งกำลังสอดซุกอยู่กับกลุ่มผมหนานุ่มของคนร่างหนา นิ้วทั้งสิบกำยึดเส้นผมของเขาเอาไว้แน่น

แต่หญิงสาวกลับไม่รู้สักนิดว่าเพื่อดึงเขาออกห่าง หรือยึดเขาเอาไว้ไม่ให้ผละห่างออกไปกันแน่

“อืมมม” เสียงครางต่ำดังขึ้น ก่อนจะตามด้วยเสียงคนร่างบางสำลักลมหายใจอีกรอบเมื่อธาวินใช้ลิ้นร้อนผ่าวต

วัดเลียยอดอกเปียกชื้นของเธออีกครั้งเป็นการทิ้งท้าย ก่อนจะย้ายไปดูแลยอดอกอีกข้าง

“ไม่!” เสียงหวานแหบพร่าดังขึ้นอีกครั้ง

“ไม่อะไร” เสียงทุ้มแหบพร่าตอบกลับขณะที่เขาขบเม้มยอดอกอีกข้างของเธอ ส่งผลให้คนร่างบางสั่นสะท้านไปทั้งร่าง มือน้อยของเธอกดศีรษะเขาลงแนบกับอก ขณะที่แผ่นหลังแอ่นหยัด เรียกเสียงหัวเราะทุ้มต่ำให้ดังขึ้น “ไม่ต้องหยุดใช่ไหม”

พิมพ์นาราเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ใช่เพราะอายเกินกว่าจะตอบ แม้หูจะได้ยินสิ่งที่เขาพูด แต่มันจะมีประโยชน์อะไรเมื่อสมองแทบไม่รับรู้

ธาวินเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมหรี่แคบขณะที่เขาจ้องมองลำคอและปลายคางของหญิงสาวที่ชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อ ผมยาวของเธอยุ่งเหยิง ช่วงอกขยับขึ้นลงเพราะการสูดหายใจถี่กระชั้น ชายหนุ่มเลียริมฝีปากตัวเองขณะที่มือหนาวางทาบลงบนหน้าท้องแบนเรียบ แล้วเลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆ

เขารู้ว่าเธอเปียกชื้นโดยที่ปลายนิ้วยังเลื่อนลงไปไม่ถึงด้วยซ้ำ เขาสามารถดันตัวเองสอดลึกเข้าไปในความร้อนผ่าวของเธอได้อย่างง่ายดายด้วยการดันแรงๆ เพียงครั้งเดียว แต่ธาวินต้องพยายามยับยั้งห้ามใจตัวเองเอาไว้ ถุงยางอนามัยที่ผ่านการใช้งานแล้วสองอันที่ถูกโยนทิ้งเอาไว้ใกล้ๆ คือสิ่งที่ช่วยย้ำเตือนว่าเขาเคี่ยวกรำคนในอ้อมแขนมาหนักหน่วงแค่ไหนในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา

เสียงหญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่าปลายนิ้วของเขาแตะต้องส่วนไหนของตัวเอง ร่างบางผวาเฮือก ดวงตากลมโตเบิกกว้าง มือน้อยเลื่อนลงไปยึดข้อมือเขาเอาไว้แน่น การร่วมรักที่ยาวนานทำให้ส่วนนั้นของเธอไวต่อความรู้สึกมากกว่าปกติ เพียงแค่ปลายนิ้วแตะสัมผัสก็ทำให้เธอสั่นไปทั้งร่างแล้ว

“ได้โปรด...” ครั้งนี้เสียงหวานแหบพร่าปนสะอื้นฟังแล้วน่าสงสารอยู่ไม่น้อย

ธาวินก้มลงกดริมฝีปากหนาของเขาที่ขมับชื้นเหงื่อของเธอ “อีกครั้งเดียวนะที่รัก”

สิ่งที่ได้ยินทำให้ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ “ไม่ไหว...”

“อีกครั้งเดียว แล้วผมจะให้คุณพัก ผมสัญญา” เสียงทุ้มแหบพร่าของเขาตอบกลับอย่างมุ่งมั่น

ศีรษะเล็กส่ายเบาๆ ผมยาวของเธอกระจายรอบกรอบหน้าที่แดงก่ำ ดวงตากลมโตมองเขาอย่างเว้าวอน

“อีกครั้งนะที่รัก สุขสมเพื่อผมอีกครั้ง” ธาวินพลิกข้อมือเล็กน้อย กลายเป็นเขาที่เป็นฝ่ายจับมือน้อยเอาไว้ สิบนิ้วของพวกเขาประสานกัน ชายหนุ่มดึงมือเธอขึ้นมา กดริมฝีปากลงบนหลังมือนุ่มของเธอเบาๆ ดึงสายตาและความสนใจของเธอให้ตรึงอยู่ที่มือของทั้งสอง ขณะด้านล่างค่อยๆ กดแนบกับความร้อนผ่าวของเธอ

นิ้วเรียวในอุ้งมือเขาเกร็งขึ้นทันที หญิงสาวพยายามจะดิ้นหนี แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะธาวินได้เปรียบทั้งขนาดร่างกาย น้ำหนักตัว รวมถึงประสบการณ์และความชำนาญที่มากกว่า

หญิงสาวอ้าปาก พยายามสูดลมหายใจเข้าลึก แขนทั้งสองข้างที่ถูกยึดตรึงเอาไว้ข้างศีรษะเหยียดเกร็ง พิมพ์นาราคิดว่าตัวเองคงไม่สามารถทำตามที่เขาต้องการได้ เพราะขาแขนเธอยามนี้แทบจะไร้เรี่ยวแรงแล้ว แต่แล้วเธอกลับต้องแปลกใจเมื่อพบว่าภายในของเธอโอบรัดความร้อนผ่าวนั้น ความปรารถนาถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งอย่างง่ายดาย สะโพกยกขึ้นจากพรมผืนนุ่มรับเอาความร้อนทั้งหมดของเขาเข้ามาในกาย

เสียงคำรามดังกระหึ่มขึ้นเมื่อเขารู้สึกได้ถึงการบีบรัดอันเร้าใจของเธอ “นา...” เหงื่อเม็ดเล็กๆ ไหลจากลำคอแกร่งหยดลงบนผิวแก้มเปล่งปลั่งของพิมพ์นารา

เพราะรู้ว่าหญิงสาวต้องระบมจากการร่วมรักเนิ่นนานก่อนหน้านี้ ธาวินอยากหยุดตัวเองให้ได้ แต่ในเมื่อเขาหยุดไม่ได้ เขาจึงได้แต่พยายามควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวเอง

เขาดึงตัวถอยกลับออกมาช้าๆ หยุดนิ่งเล็กน้อย เมื่อหัวคิ้วเรียวของเธอคลายออก จึงค่อยดันตัวเองกลับเข้าไปอีกครั้ง

กล้ามเนื้อในกายเธออ่อนล้า แต่การเคลื่อนไหวที่ช้าจนชวนใจหายของเขาก็ทำให้ทุกส่วนในกายเธอกรีดร้องเช่นกัน ทุกครั้งที่เขาถอดถอนมันทำให้เธอรู้สึกอ้างว้างว่างเปล่า ต้องการให้ความแกร่งร้อนนั้นกลับมาเติมเต็มอีกครั้ง

ดวงตากลมโตวาววับด้วยหยาดน้ำตาจ้องมองเขา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันจนกลายเป็นก้อนปมเล็กๆ กลางหน้าผาก หญิงสาวกัดเม้มริมฝีปากล่างของตัวเองแน่น

“ทิม...”

มุมปากของธาวินยกขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ เขารู้ว่าเธอต้องการอะไร และธาวินยินดีที่จะให้ในสิ่งที่เธอต้องการ

“อ๊ะ!” เสียงอุทานดังออกมาให้ได้ยินเมื่อความร้อนนั้นกลับเข้ามาเติมเต็มในกายอีกครั้ง

ครั้งนี้คนร่างสูงจงใจรั้งตัวเองให้หยุดนิ่ง สะโพกสอบหมุนคลึงช้าๆ เรียกดวงตากลมโตให้เบิกกว้าง ริมฝีปากบางบวมช้ำเผยอแยกออกจากกันเมื่อเธอพยายามสูดอากาศเข้าปอด ซึ่งการกระทำนั้นส่งผลให้เธอบีบรัดเขาแน่นราวกับจะกลืนกิน

ธาวินตั้งใจจะแกล้งหญิงสาวโดยไม่ทันคิดว่าเขาเองก็จะได้รับผลตามไปด้วย

เสียงสบถแหบห้าวดังขึ้น เขาถอนตัวกลับก่อนจะผลักดันเข้ามาอีกครั้ง แม้จะไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่รุนแรง แต่มันก็หนักหน่วงจนทำให้หญิงสาวแทบลืมหายใจ ขณะที่ภายในบีบรัดเขาอย่างเป็นจังหวะ ร่างทั้งร่างคล้ายจะชาหนึบไปหมด เธอหมดเรี่ยวแรงแล้วจริงๆ เหมือนกับว่ากระดูกทุกชิ้นในร่างกายถูกถอดออกไปจนหมด เปลือกตาบางปิดลงช้าๆ ก่อนที่สติจะดับมืดลง หูเหมือนจะแว่วได้ยินเสียงทุ้มลึกดังมาจากที่แสนไกล

“ทั้งหมดของผมเป็นของคุณ” คำพูดนี้หลุดออกจากปากไปก่อนที่ธาวินจะทันรู้ตัว ว่ากันตามตรงเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาเอ่ยมัน อีกอย่างที่ธาวินไม่รู้ก็คือคำพูดประโยคนี้ราวกับจะสลักลงไปบนทุกส่วนของร่างกายเขาเอง

ความสุขสมครั้งนี้ทำเอาเขาสั่นสะท้านไปทั้งร่างก่อนจะทิ้งตัวทับคนร่างเล็ก หน้าผากของธาวินกดแนบอยู่กับพรมขนแกะ ลมหายใจเขายังคงถี่กระชั้น เสียงครางหนักอย่างขัดเคืองใจดังขึ้นเมื่อรู้สึกว่าส่วนที่อ่อนตัวลงกำลังเลื่อนหลุดจากตัวเธอ

เขาไม่เต็มใจอย่างยิ่งที่จะผละห่างจากความอ่อนหวานนี้

ธาวินรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีจัดการขยับจัดท่านอนของทั้งคู่ รวบเอวบางเอาไว้ขณะพาทั้งคู่พลิกไปพร้อมกัน ให้ตัวเขาเป็นฝ่ายอยู่ด้านล่าง ส่วนหญิงสาวนอนหลับคว่ำหน้าอยู่บนตัวเขา ส่วนที่ต้องจัดการเป็นพิเศษคือตำแหน่งของสะโพกกลมกลึง ชายหนุ่มขยับจนได้ตำแหน่งที่พอใจ แม้ร่างกายของทั้งสองจะไม่ได้เชื่อมประสาน แต่อย่างน้อยความอ่อนหวานของเธอก็กดแนบอยู่กับส่วนกลางลำตัวเขาอย่างพอเหมาะ เรียงเสียงครางอย่างพึงพอใจจากลำคอแกร่งได้อย่างดี การดึงผ้าห่มมาคลุมร่างของทั้งคู่มีความทุลักทุเล แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำมันได้สำเร็จ

เมื่อได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว ร่างหนาของธาวินจึงเริ่มผ่อนคลาย แขนแข็งข้างหนึ่งของเขาวางอยู่บนสะโพกนุ่มของเธอ ขณะที่มืออีกข้างสอดเข้าไปรองรับใต้ศีรษะตัวเอง แล้วปล่อยตัวเข้าสู่การหลับใหลตามคนร่างเล็กที่หลับสนิทอยู่บนตัวเขา

 

นับตั้งแต่วันที่ตัดสินใจหมุนตัวกลับมาจากจุดตรวจผู้โดยสารขาเข้าจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาสามวันแล้ว และพรุ่งนี้คือวันที่เธอจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวกลับเมืองไทยเอาไว้ แต่เมื่อวานพิมพ์นาราจัดการส่งอีเมลเพื่อขอเลื่อนตั๋วเที่ยวกลับออกไปอีกหนึ่งสัปดาห์

พิมพ์นาราอ้างกับแม่และเพื่อนสนิทว่าเธออยากขับรถกลับมากกว่า เพราะมีหลายที่ที่เธอยังไม่ได้แวะไปเที่ยว การต้องโกหกคนสองคนที่เป็นห่วงเธอมากที่สุดทำให้หญิงสาวรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็แค่อยากอยู่ตรงนี้ต่ออีกนิด

ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย พิมพ์นาราสัญญากับตัวเอง แต่ส่วนลึกในใจเธอไม่มั่นใจเอาเสียเลย

เธอรักทุกวินาทีที่ได้อยู่กับผู้ชายคนนี้ สองวันแรกทั้งสองใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในบ้านของเขา เพียงแค่คิดว่าพวกเขาทำอะไรกันตลอดเวลานั้นอุณหภูมิร่างกายก็พลันผ่าวร้อนขึ้นหลายองศา

ความจริงพิมพ์นาราก็ไม่อยากคิดแบบนี้หรอกนะ แต่เธอก็อดที่จะเปรียบเทียบไม่ได้จริงๆ พุฒิพงศ์เป็นผู้ชายคนเดียวในชีวิตเธอ ไม่ต้องเทียบถึงรูปร่างที่ต่างกันของพวกเขาทั้งสองคนหรอก แค่เรื่องเทคนิคบนเตียง อดีตสามีเธอก็แพ้ธาวินไปหลายขุมแล้ว

ก่อนหน้านี้พิมพ์นาราไม่เคยรู้เลยว่าเธอเองก็มีด้านลามกกับเขาเหมือนกัน แต่กับมิสเตอร์สมิธ ไม่รู้ทำไม มือไม้มันพานจะคัน อยากแตะต้องลูบไล้ร่างกายเขาอยู่เรื่อย อีกอย่างหนึ่งที่เธอรู้สึกว่าเขาแตกต่างจากอดีตสามีก็คือความเอาใจใส่ พิมพ์นาราเชื่อว่าผู้ชายคนนี้เป็นสามีในฝันของสาวๆ ได้เลยทีเดียว

พวกเขาช่วยกันทำอาหารในครัว เมื่อเช้านี้เธอกินมื้อเช้าบนตักเขาที่โซฟา ใช้นิ้วป้อนขนมปังใส่ปากเขา เหตุการณ์แบบนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นถ้าคนที่เธออยู่ด้วยคือพุฒิพงศ์ เพราะอดีตสามีของเธอนั่งกินข้าวที่โต๊ะกินข้าวเท่านั้น พื้นที่ทุกส่วนในบ้านรวมถึงครัวคือความรับผิดชอบของเธอ พุฒิพงศ์อยากให้เธอลาออกจากงานด้วยซ้ำเพื่อจะได้ทำหน้าที่แม่บ้านเต็มตัว

แต่ผู้ชายที่เธออยู่ด้วยตอนนี้ เขาไม่ถือเรื่องอะไรเลย เมื่อวานนี้เขาถึงขั้นซักชั้นในให้เธอด้วยซ้ำ พิมพ์นาราอายจนไม่กล้ามองสบตาเขาอยู่หลายชั่วโมง แต่เขากลับเห็นว่าเป็นเรื่องตลกขำขัน บอกว่าไหนๆ ก็ซักแล้วจะเหลือเอาไว้ทำไม

อยู่กับคนคนนี้ พิมพ์นารารู้สึกว่าเธอสามารถเป็นอะไรก็ได้

เมื่อเช้าเขาพาเธอออกไปล่องเรือในทะเลสาบ มันไม่ใช่การไปเที่ยวแบบปักหมุด พวกเขาพายเรือออกไปหยุดที่จุดหนึ่งของทะเลสาบวาคาติปู กินมื้อเช้าที่สายไปเล็กน้อยบนเรือ จากนั้นก็แค่นอนเล่นใต้แสงอาทิตย์ ปล่อยให้กลิ่นอายของธรรมชาติโอบล้อมตัว พอแดดเริ่มแรงเขาก็พาเธอกลับเข้าเมืองมาอีกครั้งเพื่อหาที่นั่งดื่มกาแฟยามบ่าย

“เดี๋ยวก่อนคุณ” หญิงสาวเอ่ยเรียกเมื่อทั้งสองเดินผ่านร้านขายของที่ระลึกร้านหนึ่ง

โปสต์การ์ดใบหนึ่งในแผงที่ตั้งอยู่หน้าร้านสะดุดสายตาเธอ พิมพ์นาราเอื้อมมือไปหยิบมันมา จ้องมองอยู่ที่จุดหนึ่งในรูปก่อนจะตัดสินใจ

“ฉันอยากส่งโปสต์การ์ดกลับไทย”

คิ้วหนาเลิกสูง เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ หญิงสาวถึงเกิดสนใจขึ้นมา เพราะหลายวันที่ผ่านมาพวกเขาเดินผ่านร้านขายของที่ระลึกร้านนี้อย่างน้อยก็สามครั้งแล้ว ภาพในโปสต์การ์ดเป็นภาพวิวส่วนหนึ่งของทะเลสาบวาคาติปู แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร เขาก็ไม่คิดจะขัดอยู่แล้ว

พิมพ์นาราหยิบโปสต์การ์ดใบนั้นติดมือแล้วเดินเข้าไปในร้าน พอสอบถามก็รู้ว่าเธอสามารถเขียนและฝากส่งโปสต์การ์ดที่ร้านได้เลย พิมพ์นาราจ่ายค่าโปสต์การ์ดและแสตมป์ที่จะใช้ติดบนโปสต์การ์ดเรียบร้อย แล้วขอยืมปากกาเพื่อเขียนที่อยู่กับข้อความ

“อ๊ะ!”

“มีอะไรเหรอคุณ”

ริมฝีปากบางเม้มแน่น ดวงตากลมโตจ้องที่อยู่ที่เพิ่งเขียนไปได้ครึ่งเดียวบนโปสต์การ์ด ก่อนจะตอบกลับอย่างเซ็งๆ “ฉันเขียนที่อยู่ผิด”

ความเคยชินทำให้เธอเขียนที่อยู่เป็นบ้านที่ตัวเองอยู่มาสิบปี ซึ่งเพิ่งจะย้ายออกเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

น้ำเสียงแปลกๆ ของเธอทำให้ธาวินอดจ้องที่อยู่บนโปสต์การ์ดไม่ได้ เนื่องจากเขาไม่ได้อาศัยอยู่เมืองไทย ถึงจะอ่านสิ่งที่เขียนอยู่ตรงนั้นรู้เรื่อง แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันผิดตรงไหน

“บ้าจริงๆ เลยพิมพ์นารา” คนเขียนผิดบ่นอุบ แล้วพยายามเขียนที่อยู่ใหม่บนโปสต์การ์ดใบเดิม

จริงๆ มันก็ไม่ได้ผิดอะไรมาก แค่บ้านเลขที่กับชื่อหมู่บ้านเท่านั้นเอง เธอพยายามเขียนเลขที่ทับลงไปจนพอจะมองออก แต่ชื่อหมู่บ้านแก้ไขไม่ได้ง่ายๆ เธอจึงใช้วิธีขีดทิ้งแล้วเขียนใหม่ข้างๆ กัน ที่อยู่บนโปสต์การ์ดจึงอยู่ในสภาพค่อนข้างจะเละเทะพอสมควร

ธาวินไม่ได้พูดอะไร เขาเดินกลับออกไปด้านนอก หยิบโปสต์การ์ดลายเดียวกันติดมือกลับมา แวะจ่ายค่าโปสต์การ์ดใบใหม่กับเจ้าของร้าน แล้วจึงเดินมาหยุดข้างกายหญิงสาวอีกครั้ง ดึงโปสต์การ์ดอันที่เขียนผิดไปเก็บใส่กระเป๋าหลังกางเกงยีน แล้วเลื่อนโปสต์การ์ดใบใหม่ไปให้

“เขียนผิดก็เขียนใหม่”

พิมพ์นารามองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยักไหล่นิดๆ แล้วเริ่มเขียนใหม่ ครั้งนี้หญิงสาวตั้งสติแล้วเขียนที่อยู่บ้านแม่ลงไป เธอเขียนข้อความสั้นๆ เป็นภาษาไทยว่า ‘สถานที่แห่งความทรงจำ’ เขียนเสร็จก็จัดการติดแสตมป์ลงบนโปสต์การ์ดและส่งมันให้เจ้าของร้าน

“เดี๋ยวผมจัดการส่งให้นะครับ”

“ขอบคุณค่ะ”

หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกจากร้านขายของที่ระลึก เดินต่อไปยังร้านกาแฟที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกลนัก เลือกนั่งที่โต๊ะว่างตัวหนึ่งด้านนอกร้าน อากาศวันนี้ดีเกินกว่าจะเข้าไปนั่งอุดอู้อยู่ด้านใน พิมพ์นารานั่งรออยู่ที่โต๊ะ ส่วนธาวินรับหน้าที่เข้าไปสั่งเครื่องดื่มและของว่างสำหรับทั้งคู่

ขณะที่กำลังนั่งรอดื่มกาแฟยามบ่ายนั้นเอง เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของพิมพ์นาราก็ดังขึ้น ตอนแรกหญิงสาวไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเสียงที่ดังอยู่ดังมาจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของเธอ ต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งเลยทีเดียวกว่าจะรู้ เพราะนับตั้งแต่เธอมาถึงนิวซีแลนด์ การใช้โทรศัพท์โทร. เข้าโทร. ออกแทบไม่จำเป็นเลย ผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่เน้นการส่งข้อความมากกว่า เพราะค่าบริการถูกกว่า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเปิดสัญญาณอินเทอร์เน็ตตลอดทั้งวันทั้งคืนเลย ปกติแล้วพิมพ์นาราจะติดต่อหาคนที่เมืองไทยโดยผ่านแอปพลิเคชันสื่อสารที่เชื่อมต่อสัญญาณไวไฟเท่านั้น และตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งแม่และเพื่อนสนิทของเธอเองต่างก็รู้เรื่องนี้ดี

หญิงสาวรีบควานหาโทรศัพท์มือถือที่ส่งเสียงร้องในกระเป๋า หยิบมันขึ้นมาพลิกดูที่หน้าจอแล้วก็ต้องแปลกใจจึงรีบกดรับทันที

“ว่าไงเปิ้ล”

“แกขับรถอยู่หรือเปล่า ถ้าขับอยู่หาที่จอดรถแล้วค่อยโทร. กลับมาหาฉันได้ไหม”

“ฉันไม่ได้ขับรถ แกมีอะไรก็พูดมาเถอะ”

คนปลายสายเงียบไปอึดใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “นา แกตั้งใจฟังฉันให้ดีนะ แล้วก็ต้องใจเย็นๆ ด้วย”

มันเป็นสองประโยคที่พิมพ์นาราไม่สามารถจะทำตามได้

“มีอะไรเปิ้ล เกิดอะไรขึ้น แม่ฉันเป็นอะไร”

“แม่แกไม่ได้เป็นอะไรมาก ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”

“ปลอดภัยเหรอเปิ้ล แม่ฉันเป็นอะไร ว่าไงล่ะเปิ้ล ตอบคำถามฉันสิ แม่ฉันเป็นอะไร”

“ใจเย็นๆ ก่อนนา!”

“จะให้ฉันใจเย็นได้ยังไง นั่นแม่ฉันนะ!”

“ฉันรู้ว่าแกเป็นห่วงแม่ แต่ฟังฉันก่อนนะ ตอนนี้แม่แกอยู่ในความดูแลของหมอ และหมอยืนยันว่าแม่แกปลอดภัยแล้ว สบายใจหายห่วง”

พิมพ์นาราพยายามทำใจให้สงบ แม้มันจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากก็ตาม “แม่ฉันเป็นอะไรเหรอเปิ้ล”

“จริงๆ ก็ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร หมอบอกแม่แกความดันต่ำนิดหน่อย แต่ไม่ถึงขั้นอันตรายหรอกนะ แต่บังเอิญว่าเมื่อเช้าแม่แกออกไปจัดสวนหน้าบ้าน แล้วก็คงจะก้มหน้านานไปหน่อย ตอนลุกขึ้นไม่ทันระวังก็เลยหน้ามืด จังหวะที่จะล้มดันไปปัดเอากระถางดินเผาแตก มือก็เลยโดนบาด แผลไม่ยาวมาก แต่ก็ลึกพอสมควร หมอเย็บแผลให้แล้ว ตอนนี้อาการทั่วไปก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ตอนนี้หมอให้ยานอนหลับไปแล้วก็ขอแอดมิตให้น้ำเกลือดูอาการยี่สิบสี่ชั่วโมง”

หญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเธอไม่เลื่อนกำหนดกลับตั้งแต่แรก แม่เธออาจจะไม่ต้องเจออุบัติเหตุนี้ก็ได้

“ฉันฝากแกดูแลแม่ก่อนนะเปิ้ล ฉันจะพยายามหาทางกลับไปให้เร็วที่สุด”

“เฮ้ยนา ใจเย็นๆ ก่อน”

“จะใจเย็นได้ยังไงล่ะ แม่ฉันทั้งคนนะเปิ้ล!” ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับแม่ พิมพ์นาราไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิตแน่

“เพราะอย่างนี้ไงฉันถึงลังเลแทบตายว่าจะโทร. บอกแกดีหรือเปล่า” ชไมพรว่าสวนกลับมาทันที “ตอนแรกฉันก็ไม่ได้ตั้งใจโทร. บอกแกหรอก เพราะกลัวแกจะวิตกจริตแบบนี้แหละ แต่คิดไปคิดมาแล้วก็บอกเอาไว้หน่อยดีกว่า อย่างที่บอก หมอรับรองว่าอาการของแม่แกไม่ได้มีอันตรายอะไร”

“ยังไงฉันก็ต้องหาทางกลับไปให้เร็วที่สุด”

“ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน ต้องขับรถอีกไกลหรือเปล่ากว่าจะกลับถึงโอ๊กแลนด์”

ครั้งนี้พิมพ์นาราชะงัก เพราะเธอไม่สามารถตอบคำถามได้ทันที “ฉัน... อยู่ใกล้ไครสต์เชิร์ชแล้ว ฉันคืนรถเช่าที่สนามบินได้ เดี๋ยวฉันจะดูว่าพอจะมีตั๋วเครื่องบินจากที่นี่ไปโอ๊กแลนด์หรือเปล่า”

“แน่ใจนะว่าแกอยู่ใกล้สนามบินจริงๆ”

“แน่ใจสิ ฉันจะโกหกแกทำไม”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่แกต้องไม่ขับรถเร็วนะนา”

“อื้ม ถ้าได้เรื่องตั๋วเครื่องบินเมื่อไร ฉันจะโทร. ไปบอกนะ ระหว่างนี้ฝากแกดูแลแม่ฉันด้วยนะ”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก วันนี้พี่แมนจะไปรับตาภัทรที่โรงเรียนแล้วก็พาไปส่งที่บ้านย่า ส่วนฉันจะอยู่เฝ้าแม่แกคืนนี้เอง”

“ขอบใจมากนะเปิ้ล ถ้าไม่มีแกฉันคงไม่รู้จะทำยังไง”

“อย่าคิดมากเลยน่า ที่สำคัญแกนั่นแหละ อย่าขับรถเร็วเด็ดขาดเลยนะ!”

“อื้ม ขอบใจนะ”

“เออๆ อย่าคิดมากน่า ไปหาน้ำเย็นๆ หรือไม่ก็กาแฟสักแก้วก่อน ทำใจให้สงบแล้วค่อยขับรถ ส่งข่าวถึงฉันเป็นระยะด้วยนะ”

“อื้ม” พิมพ์นารารับคำอีกครั้ง ก่อนจะวางสายกับเพื่อนสนิท

“มีอะไรหรือเปล่า” เสียงทุ้มลึกดังขึ้น

พิมพ์นาราเงยหน้ามองเขาทันที เห็นสีหน้าที่ซีดเผือด ดวงตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้ ธาวินก็อดที่จะตกใจไม่ได้ เขารีบวางกาแฟลงบนโต๊ะ คุกเข่าข้างหนึ่งตรงหน้าเธอ มือหนากุมมือน้อยที่เย็นเฉียบของเธอเอาไว้ “เกิดอะไรขึ้น”

พิมพ์นาราจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ

“แม่ฉันเป็นลม ตอนนี้นอนแอดมิตอยู่ที่โรงพยาบาล” พูดคำสุดท้ายพร้อมกับน้ำตาที่ไหลผ่านแก้ม

ชายหนุ่มยกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน “ถ้าอย่างนั้นเรากลับไปเก็บของกันเถอะ”

ดวงตากลมโตพราวด้วยหยาดน้ำตาจ้องมองเขา ก่อนหญิงสาวจะพยักหน้ารับ

“มาเถอะ” ธาวินเป็นฝ่ายดึงหญิงสาวให้ลุกขึ้นยืนก่อนเขาจะรีบพาเธอกลับไปเก็บของที่บ้าน

 

สิ่งแรกที่พิมพ์นาราทำทันทีเมื่อมาถึงบ้านของธาวินคือโทร. ไปขอเลื่อนตั๋วเครื่องบินกลับไทย ซึ่งสายการบินที่เธอจองตั๋วเอาไว้มีเที่ยวบินออกจากเมืองโอ๊กแลนด์ตอนบ่ายโมงครึ่งทุกวัน แต่ตอนนี้เวลาเกือบจะบ่ายสองโมงแล้ว

เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่เธอจะขึ้นเที่ยวบินนี้ทัน แต่เธอก็ยังหวังว่าจะได้ที่นั่งของเที่ยวบินวันพรุ่งนี้ แต่แล้วพิมพ์นาราก็ต้องผิดหวัง เมื่อพนักงานแจ้งว่าเที่ยวบินของวันพรุ่งนี้เต็มหมดแล้ว

“ไม่เหลือเลยสักที่เหรอคะ”

“ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ แต่เรามีที่นั่งเที่ยวบินวันถัดไป ถ้าคุณผู้โดยสารต้องการ ดิฉันจะทำการเปลี่ยนให้ทันทีค่ะ ตามข้อมูลผู้โดยสารเคยแจ้งเปลี่ยนเที่ยวบินแล้วหนึ่งครั้ง เพราะฉะนั้นครั้งนี้จะมีค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินนะคะ”

“ฉันอยากได้ตั๋วของวันพรุ่งนี้จริงๆ คุณช่วยฉันไม่ได้เลยเหรอคะ”

ขณะที่พิมพ์นาราพยายามจะอ้อนวอนเจ้าหน้าที่สายการบินให้หาที่นั่งให้เธอ ธาวินซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ได้ยินบทสนทนาทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องได้ยินคำพูดของพนักงานที่อยู่ปลายสาย แค่ท่าทางเหมือนจะร้องไห้ของหญิงสาวก็บอกเขาได้อย่างดีแล้ว

ธาวินหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องทำงานเขา จัดการเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเพื่อค้นหาตั๋วเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ มีเที่ยวบินของสายการบินหนึ่งที่ว่าง แต่ปัญหาก็คือหญิงสาวไม่น่าจะไปถึงสนามบินโอ๊กแลนด์ได้ทัน คิ้วหนาขมวดเข้าหากันก่อนจะปรับเปลี่ยนการค้นหาอีกครั้ง ข้อมูลถูกดีดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาพิจารณาสิ่งที่เห็นอยู่ครู่หนึ่ง ยกโทรศัพท์ขึ้นแล้วโทร. สอบถามข้อมูลทันที เมื่อได้รับข้อมูลยืนยันเรื่องที่ว่างแล้ว ธาวินจึงเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กในมือ

ตอนที่เขาเดินออกมาพิมพ์นาราเพิ่งจะวางสายกับสายการบิน ท่าทางของเธอเหมือนคนที่พร้อมจะล้มได้ทุกเมื่อ ทำให้ธาวินต้องรีบเข้าไปประคองร่างบางเอาไว้

“คุณโอเคไหม”

“ไม่เลยค่ะ ฉันหาตั๋วเครื่องบินเฮงซวยแค่ใบเดียวไม่ได้เลย!”

มุมปากของธาวินกระตุกเล็กน้อย เขารู้ว่าไม่ควรยิ้ม แต่ก็อดไม่ได้จริงๆ

“จำเป็นแค่ไหนที่คุณต้องกลับไปขึ้นเครื่องที่โอ๊กแลนด์”

พิมพ์นาราเงยหน้ามองเขา ดวงตากลมโตฉายชัดถึงความไม่เข้าใจ

“ถ้าผมเดาไม่ผิด เสื้อผ้าและข้าวของส่วนใหญ่ของคุณคงจะฝากคนรู้จักเอาไว้ที่โอ๊กแลนด์ใช่ไหม ของพวกนั้นมีอะไรเร่งด่วนที่คุณต้องนำกลับไทยหรือเปล่า”

หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายศีรษะช้าๆ

“พวกเอกสารแสดงตัวต่างๆ อย่างหนังสือเดินทาง บัตรประจำตัวประชาชน คุณคงจะเอาติดตัวมาด้วยหมดถูกต้องไหม”

“ค่ะ”

“หากในกระเป๋าใบที่คุณฝากเพื่อนเอาไว้ไม่ได้มีของมีค่าอะไร ถ้าอย่างนั้นคุณบินกลับจากที่นี่เลยก็ได้นี่ แล้วค่อยให้คนทางนี้ส่งกระเป๋าเสื้อผ้าของคุณตามกลับไปอีกทีก็น่าจะได้ไม่ใช่เหรอ ค่าใช้จ่ายอาจจะสูงหน่อย แต่ทำให้คุณกลับถึงไทยได้เร็วขึ้น” ธาวินพูดพร้อมหมุนหน้าจอโน้ตบุ๊กให้หญิงสาวดู “คุณจะถึงกรุงเทพฯ ตอนตีหนึ่งสี่สิบห้า นั่นฟังดูดีไหม”

“ยิ่งกว่าดูดีอีกค่ะ” พิมพ์นารากรีดร้องแล้วหันไปกระโดดกอดคนข้างกาย “ขอบคุณมาก ถ้าไม่มีคุณฉันคงไม่รู้จะทำยังไง”

“เรื่องขอบคุณเอาไว้ทีหลังเถอะ ตอนนี้คุณรีบไปเก็บของ ผมจะจองตั๋วเครื่องบินให้ อ้อ แต่ผมจำเป็นต้องใช้ชื่อจริงนามสกุลจริงของคุณนะ”

พิมพ์นาราไม่คิดอะไรมาก เธอรีบล้วงหาหนังสือเดินทางในกระเป๋าแล้วจัดการส่งต่อให้เขาทันที

“ไปเก็บของเถอะ เรามีเวลาไม่ถึงสี่สิบนาทีเพื่อจะไปให้ทันขึ้นเครื่อง”


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น